การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~ 253 ที่มาของความเกลียดชัง

Now you are reading การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~ Chapter 253 ที่มาของความเกลียดชัง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 253 ที่มาของความเกลียดชัง

 

「ลูเซียส!!」

 

 

 

พอได้ยินเสียงลูเซียสกรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดทันทีที่รับหมัดของโซระเข้าไป เซน่อนก็รีบรุดเข้าไปช่วยเหลือลูกชายตนทันที

 

 

ท่าโซระก็ไม่ได้ยืนเฉยๆ รอให้อีกฝ่ายเข้ามาช่วยเหลือกัน เขาทำการเสริมแรงไปยังช่วงขาของเขาแล้วหมุนตัวเตะเข้าไปยังสีข้างของลูเซียสอย่างรุนแรง

 

 

 

 

「――อึก!!」

 

 

การโจมตีคราวนี้ทำให้ลูเซียสส่งเสียงกรีดร้องออกมาไม่ได้อีก ก่อนที่ร่างจะงอเป็นตัว C จากการโดนเตะเข้าสีข้าง ร่างของเขากระเด็นไปในอากาศทันที

 

ในขณะที่ลูเซียสกำลังลอยลองไปมาบนอากาศเซน่อนก็รีบพุ่งตัวเข้าไปหาลูกชายของเขาให้เร็วที่สุดเพื่อทำการรับร่างของลูกชายไว้ก่อนจะกระแทกกับพื้น โดยใช้มือซ้ายรับเอาไว้ ส่วนมือขวาก็จับอาภรณ์วิญญาณชี้ไปทางโซระเพื่อคุมเชิง

 

 

 

 

「ลูเซียส!」

 

 

เซน่อนพยายามเรียกลูเซียส แต่อีกฝ่ายก็ไม่ตอบอะไรกลับมา

 

 

 

ใบหน้าของลูเซียสบิดเบี้ยวไปด้วยความเจ็บปวด มือขวาเละไม่เหลือซาก เลือดค่อยๆ ไหลรินออกมาจากปาก การเตะของโซระนั้นได้ทะลวงบาเรียคิของลูเซียสเข้ามาและสร้างความเสียหายให้กับอวัยวะภายในเต็มๆ เฉกเช่นเดียวกับมือขวา

 

 

รอยย่นระหว่างคิ้วของเซน่อนเริ่มมีมากขึ้น

 

เห็นได้ชัดเลยว่าตอนรู้กับรากุนะ โซระนั้นยั้งมือเอาไว้มากขนาดไหน อย่างไรก็ตามไม่ว่าจะยั้งมือแค่ไหน แต่มันเป็นไปได้ด้วยหรือที่จะสามารถจัดการกับรองหัวหน้าหน่วยโดยไม่ใช้แม้แต่อาภรณ์วิญญาณ

 

 

ไม่สิ โซระได้พิสูจน์เรื่องนี้ให้เซน่อนเห็นแล้วและมันก็ชวนให้เซน่อนนึกถึงเรื่องราวของหัวหน้าหน่วยคนก่อนที่เคยเล่าให้เขาฟัง

 

 

――เทคนิคการต่อสู้ของพวกคิจิน ที่สามารถทะลวงบาเรียคิเข้ามาได้โดยไม่สนสิ่งใด มันคือสิ่งที่เขาได้ยินมา เมื่อ 50 ปีก่อนบริเวณเขาไดโกะ จำได้ว่าตอนนั้นนักรบแห่งผืนป่าตายกันไปไม่น้อยเลย…

 

 

ทว่าไม่ว่าจะก่อนหรือหลังเซน่อนเข้ามารับตำแหน่งหัวหน้าหน่วยธงที่ 3 เขาก็ไม่เคยเจอคิจินที่ใช้เทคนิคดังกล่าวเหมือนที่หัวหน้าหน่วยคนก่อนเล่ามาเลยสักครั้ง แถมพวกพ้องคนอื่นๆ ของเขาก็ไม่เคยเจออีก

 

เซน่อนก็เลยเดาว่าพวกที่สามารถใช้เทคนิคดังกล่าวได้น่าจะหายสาปสูญไปแล้ว หรือไม่ก็เป็นเทคนิคลับที่ส่งต่อกันในพวกระดับสูงเท่านั้น

 

 

 

หากเทคนิคที่โซระใช้มันเป็นไปตามที่เซน่อนคาดเดา ก็หมายความว่าโซระได้รับความไว้วางใจจากพวกคิจินถึงขึ้นพวกมันส่งต่อเทคนิคลับนี้ให้กับเขา

 

พอคิดได้แบบนี้เซน่อนก็ทำใจยอมรับไม่ได้

 

 

 

――โซระผู้มีสายเลือดของมิตสึรุกิไหลเวียนอยู่ให้ทำการสร้างสัมพันธ์กับคิจินอย่างใกล้ชิด นี่มันเป็นการทำลายกฏเกณฑ์แห่งมิตสึรุกิที่มีมาแต่โบราณเห็นๆ

 

 

หากโซระได้ขึ้นไปเป็นผู้นำตระกูลคนถัดไปความล่มจมได้มาเยือนพวกเขาแน่ แต่หากคิดอย่างใจเย็นสักนิดเรื่องแบบนี้ก็ไม่น่าจะมีวันเกิดขึ้นได้

 

เพราะโซระจะต้องตายที่นี่ ในวันนี้

 

แม้ว่าเซน่อนจะพ่ายแพ้ให้กับเขา แต่ชิกิบุก็จะเป็นคนจัดการกับโซระแทน เพราะไม่มีทางที่นักบุญดาบผู้เป็นร่างอวตาลแห่งความถูกต้องจะไว้ชีวิตลูกชายของตนที่ฝักใฝ่ความชั่วร้าย

 

ชะตากรรมของโซระได้ถูกตัดสินไปตั้งแต่ที่เขาเข้าร่วมกับคิจินแล้ว โซระไม่มีทางยึดครองตระกูลมิตสึรุกิได้เป็นแน่ นั่นคือสิ่งที่เซน่อนย้ำบอกตัวเอง

 

….แต่ไม่ว่าเขาจะพร่ำบอกกับตัวเองสักแค่ไหน ลางสังหรณ์แปลกๆ ที่คิดว่านั่นจะกลายเป็นเรื่องจริงกลับไม่จางหายไป

 

 

 

「นี่ข้ากำลังคิดบ้าอะไรกันอยู่นะ」

 

 

เซน่อนมองดูร่างของโซระขณะตั้งท่าเตรียมสู้

 

 

มันคือลางสังหรณ์ที่ไร้ซึ่งพื้นฐานใดๆ แต่เพราะแบบนั้นมันก็เลยไม่มีจุดให้ปฏิเสธหรือหักล้างด้วยทฤษฏีเช่นเดียวกัน ดังนั้นวิธีเดียวที่จะขจัดความปั่นป่วนภายในจิตใจออกไปก็คือการเอาชนะชายหนุ่มตรงหน้าตน

 

นั่นจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเซน่อน รากุนะ และมิตสึรุกิ

 

 

 

 

「――อาภรณ์แห่งความว่างเปล่า」

 

 

 

 

เรื่องการป้องกันด้วยบาเรียคิตัดทิ้งไปได้เลย เพราะเขาเห็นสภาพลูเซียสที่พยายามรับมือด้วยสิ่งนั้นมาแล้ว หากเขาได้รับการโจมตีของโซระเข้าไปเพียงครั้งเดียว ร่างเนื้อของเขาคงได้มีสภาพไม่ต่างกับเซน่อนแน่

 

 

ซึ่งต่างจากโซระที่มีพลังในการฟื้นฟูตัวเอง หากกระดูกของเซน่อนหักไปสักท่อนสองท่อน ความสามารถในการต่อสู้ของเขาก็จะลดลงไปด้วย

 

โซระในตอนนี้ก็เปรียบเสมือนแมงป่องที่มีพิษร้าย เพื่อจะเอาชนะสิ่งนี้ให้ได้ เขาจำเป็นต้องปิดเกมให้เร็วที่สุดด้วยการโจมตีที่รุนแรงที่สุด

 

 

รากุนะเองก็เคยคิดแผนแบบนี้มาแล้วจึงปลดปล่อยเทคนิคลับออกไป แต่น่าเสียดายที่มันไม่เพียงพอจะจัดการจับโซระ

 

 

แต่เซน่อนนั้นต่างออกไป เขาเชื่อว่าเขามีพลังมากพอจะจัดการกับโซระให้ได้ในการโจมตีเดียว

 

 

 

 

「จงวิ่งไล่หมู่ดาวสุริยะ เรกูลัส! (ประกายดาราใจสิงห์) 」

 

 

 

 

ในวินาทีถัดมา ออร่าความแข็งแกร่งของเซน่อนก็ขยายวงกว้างขึ้นและระเบิดออกมา มันแตกต่างจากร่างที่เป็นอาภรณ์วิญญาณอย่างสิ้นเชิง จนสามารถสั่นเทือนท้องฟ้าและผืนดินเมืองชูโตะได้

 

แล้วก็เฉกเช่นเดียวกับอาภรณ์วิญญาณที่แต่ละคนนั้นจะมีความต่างกันออกไปตามแต่ควรจะเป็น อาภรณ์แห่งความว่างเปล่าก็เหมือนกัน มันมีความสามารถอยู่หลากหลายรูปแบบตามแต่ตัวของผู้ใช้ บ้างก็ออกมาในรูปแบบของเทคนิคต่อสู้ที่แปลกใหม่ บ้างก็เปลี่ยนรูปร่างของอาวุธ บ้างก็เสริมความสามารถเพิ่มเติมจากเดิมที่มี ส่วนอาภรณ์แห่งความว่างเปล่าที่เซน่อนถือครองนั้นเป็นการแปรเปลี่ยนรูปร่างอาวุธและเสริมความแข็งแกร่งให้ยิ่งขึ้นไปกว่าเดิม

 

 

ดาบขนาดใหญ่ที่เคยถือได้แปรเปลี่ยนเป็นดาบยาวที่งดงาม รูปร่างที่ดูใหญ่โตก็เล็กลงมาจนไม่ต่างกับดาบทั่วไปที่ถือจับได้ง่ายกว่า ทว่าในขณะเดียวกันความหนาแน่นของพลังที่ห่อหุ้มเอาไว้นั้น ดาบใหญ่ในตอนแรกเทียบไม่ได้เลยสักนิด

 

ว่ากันว่าหลังเลโอนีเมียนได้ถูกสังหารลง มันก็ได้ปีนป่ายขึ้นไปยังท้องฟ้าดวงดาราและกลายเป็นหนึ่งในกลุ่มดาวสิงห์ อย่างเรกูลัสซึ่งสว่างไสวที่สุดในกลุ่มดาว

 

 

 

เซน่อนได้ทำการใช้ดาบแห่งแสงดาวเปิดการโจมตีถัดไปทันทีโดยไม่รีรอ

 

 

 

 

「มายาดาบเดียว กระบวนท่าประสานตะวัน――」

 

 

 

 

นอกเหนือจากเทคนิคลับทั้ง 8 แล้ว สิ่งที่เซน่อนกำลังใช้อยู่ก็คือการประสาน ซึ่งถูกเรียกว่าผืนภาพทั้ง 4

 

 

ด้วยเทคนิคนี้ที่ปลดปล่อยออกมาจากพลังของอาภรณ์แห่งความว่างเปล่า มันจะหมายถึงความตายของอีกฝ่ายที่ต้องรับการโจมตีนี้เข้าไป โดยไม่เหลือแม้แต่ฝุ่นซาก

 

 

 

 

「ดาบเพลิงสีชาด!!」

 

 

 

 

เซน่อนได้ทุ่มพลังทั้งหมดที่ตนฝึกฝนและสั่งสมมาทั้งชีวิตใส่โซระในครั้งเดียว

 

ทางโซระที่เห็นแบบนั้นก็――

 

 

 

 

「เคนริวซาซากากิ」

 

 

 

 

เขาทำการปลดปล่อยเทคนิคการป้องกันออกมาทันที

 

 

โดยชื่อของเทคนิคดังกล่าวนั้นมันสื่อถึงรั้วไม้ไผ่ ซึ่งเป็นเทคนิคป้องกันที่ครั้งหนึ่งเคยปกป้องเขาจากลมหายใจของเบฮีมอธที่ทะเลทรายคาตาลานมาแล้ว

 

 

เมื่อเทคนิคป้องกันได้เข้าปะทะกับการโจมตีอันทรงพลังของเซน่อน

 

เสียงคำรามกึกก้องก็ดังไปทั่วเมืองชูโตะ

 

 

 

 

◆◆◆

 

 

เขาไม่สามารถหยุดหนาวสั่นได้เลย ร่างของของเขามันเย็นไปหมดราวกับความตื่นเต้นของการต่อสู้ที่ผ่านมาเป็นเรื่องโกหก

 

เหงื่อหยดใหญ่ได้หลั่งรินผ่านหน้าผากของมิตสึรุกิ รากุนะ ไม่นานนักเขาก็ทำการปาดเหงื่อและมองไปยังมือที่ว่างเปล่าของตนซึ่งกำลังเปียกปอนด้วยเหงื่อ มันยังอุ่นอยู่ นี่คือการพิสูจน์ว่าร่างกายของเขาไม่ได้สูญเสียความร้อนไปแต่อย่างใด

 

 

ทว่าถึงร่างกายของเขาจะร้อนมาจนมีเหงื่อออกมา แต่ความหนาวเย็นที่สัมผัสได้นั้นมันน่าจะเกิดขึ้นภายในจิตใจ แล้วไม่นานเขาก็ได้คำตอบของสาเหตุในเรื่องนี้

 

 

 

――ใช่แล้ว เขากำลังรู้สึกกลัวอยู่จริงๆ

 

 

มันคือตอนที่รากุนะได้เห็นโซระกำลังต่อสู้กับเซน่อนอย่างดุเดือด

 

เลือดได้เริ่มไหลออกมาจากหน้าผากของโซระ ใบหน้าครึ่งหนึ่งถูกย้อมไปด้วยเลือดสีแดง บาดแผลได้เกิดขึ้นตามมือซ้ายและขวา เลือดของโซระสาดกระเซ็นไปมาทุกครั้งที่ชกหรือปะทะกับการโจมตีของเซน่อน

 

บาดแผลของโซระได้เกิดขึ้นมาแล้วจากเทคนิคประสานของเซน่อน มันช่างแตกต่างกับเทคนิคลับของรากุนะที่ไม่สามารถสร้างบาดแผลให้กับโซระได้เลย

 

 

 

อย่างไรก็ตามฝ่ายที่กำลังแสดงสีหน้าตกอยู่ในที่นั่งลำบากออกมากลับเป็นเซน่อนหาใช่โซระ

 

 

ก็คงไม่แปลกอะไรเพราะขนาดว่าตัวเซน่อนเป็นถึงหัวหน้าหน่วยธงที่ 3 แถมยังปลดปล่อยเทคนิคที่ทรงพลังที่สุดของเขาออกมาแล้ว กลับยังไม่สามารถโค่นโซระซึ่งไม่เปิดใช้งานอาภรณ์วิญญาณลงได้

 

แม้ว่าโซระจะได้รับบาดแผล แต่มันก็ช่างห่างไกลกับการเรียกว่าสาหัส ทันทีที่โซระเกิดบาดแผลขึ้น มันก็จะเริ่มทำการสมานในทันที

 

 

 

เซน่อนได้ทำการเผยไพ่ในมือจนหมดแล้ว ในขณะที่โซระยังมีไพ่ในมืออยู่อีกมาก มองจากมุมไหนก็รู้ว่าฝ่ายไหนกำลังเสียเปรียบ

 

 

――ไม่สามารถเทียบเคียงได้เลยสักนิด

 

 

 

รากุนะคร่ำครวญอยู่ภายในใจ

 

ทั้งที่โซระซึ่งเป็นถึงลูกชายคนโตของตระกูลมิตสึรุกิ แต่กลับไม่สามารถใช้งานอาภรณ์วิญญาณได้จนถูกหลายคนดูหมิ่น เมื่อเจอแบบนั้นเขาก็มักจะเดินก้มหน้าไหล่ตกแล้วจากไปเสมอ

 

นั่นสิคือโซระที่รากุนะควรจะรู้จัก ทั้งน่าสงสารและไร้ความสามารถ

 

ตัวรากุนะเหนือกว่าโซระทุกด้านและมีคุณสมบัติในการเป็นผู้สืบทอดตระกูลคนถัดไปมากกว่าโซระเป็นไหนๆ ――นั่นคือสิ่งรากุนะเชื่อมั่น

 

 

ทว่าการเติบโตของโซระในตอนนี้มันได้ทำลายความมั่นใจของรากุนะไปเสียจนหมดสิ้น จนทำให้รากุนะรู้สึกกลัว

 

 

 

ความกลัวที่รากุนะไม่อยากให้เกิดขึ้นจริงๆ

 

――หากโซระกลับมาได้จริงๆ ทั้งแม่ของเขาและอายากะก็จะ….

 

 

เสียงกัดฟันแน่นได้ดังออกมาจากว่าที่ผู้สืบทอดตระกูลมิตสึรุกิ

 

 

ก็อย่างที่ได้พูดไปว่า สำหรับรากุนะแล้วโซระคือพี่ชายที่ไร้ความสามารถและน่าสมเพชในเวลาเดียวกัน แต่แล้วทำไมกันคนที่ไร้ความสามารถและน่าสมเพชขนาดนั้นถึงได้รับทุกสิ่งที่รากุนะต้องการไป

 

เขายังจดจำมันได้ดี ในวันที่เขาได้กลับไปบอกเอ็มมะผู้เป็นแม่ถึงเรื่องที่เขาได้กลายเป็นว่าที่ผู้สืบทอดตระกูลคนถัดไปแทนโซระ

 

 

ในวันที่โซระถูกเนรเทศนั้น แม่ของเขากำลังนอนป่วยติดเตียงอยู่ รากุนะเลยตัดสินใจว่าจะบอกกับแม่ของเขาหลังจากโซระออกจากเกาะไปแล้วได้ 3 วัน

 

เขาคิดว่าแม่ของเขาคงจะมีความสุขไม่น้อย ก่อนจะส่งรอยยิ้มที่งดงามราวกับดอกไม้บานมาให้กับเขาแล้วชมเขาที่พยายามอย่างหนัก

 

 

 

ทว่ารากุนะก็ไม่ได้เห็นรอยยิ้มนั้นอีกเลย เมื่อแม่ของเขาได้ยินเรื่องของโซระ สีหน้าของเธอก็เปลี่ยนไปทันที เธอรีบลุกขึ้นและออกจากห้องไป จนทำให้รากุนะได้แต่ตะลึงนิ่งไป

 

 

ไม่นานนักพอเขาได้สติ เขาก็รีบตามแม่ของตนไป แล้วก็พบว่าแม่ของเขากำลังเข้าไปพบกับพ่อของเขาอย่างอุกอาจ

 

 

เท่าที่รากุนะรู้มา แม่ของเขาไม่เคยแสดงท่าที่อะไรแบบนี้มาก่อนเลย เธอดำรงตนได้ดีเป็นอย่างมากในฐานะภรรยาของผู้นำตระกูลและไม่เคยตกอยู่ในสภาพนี้มาก่อนสักครั้ง

 

 

ตอนนี้แม่ของเขากำลังทำการขอร้องให้ยกเลิกคำสั่งเนรเทศโซระ โดยการก้มหัวขอร้องพ่อของเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า

 

เดิมทีเอ็มมะก็ใจดีกับโซระมากพออยู่แล้ว แต่พอโซระเสียแม่ไป เอ็มมะก็ยิ่งโอ๋โซระหนักกว่าเก่า นั่นทำให้รากุนะไม่พอใจเป็นอย่างมาก แม้ว่าเขาจะเป็นพี่ชายของตนก็เถอะ แต่ก็ใช่ว่าจะร่วมสายเลือดกันร้อยเปอร์เซ็นต์ ใครมันจะไปพอใจได้ลง

 

โชคดีที่ในอดีตโซระยังพยายามปัดป้องความเมตตาของเอ็มมะ ตัวเอ็มมะก็เลยเลือกรักษาระยะห่างแทน ตอนแรกรากุนะก็แอบดีใจ แต่ไม่นานนักเขาก็สังเกตเห็นได้ชัดเลยว่า เอ็มมะเอาแต่กังวลเกี่ยวกับโซระไม่เลิก

 

 

 

พอแม่ของเขาทำการก้มหัวอ้อนวอนได้ประมาณชั่วโมงหนึ่ง เธอก็เริ่มเห็นแล้วว่าตนไม่สามารถโน้มน้าวชิกิบุได้ เลยเลือกจะเดินออกมาจากตรงนั้นแล้วกลับไปยังห้องของตนเพื่อเขียนจัดหมายส่งไปยังตระกูลพาราดิส

 

ตระกูลดยุกพาราดิสนั้น เป็น 1 ใน 3 สุดยอดขุนนางระดับสูงแห่งจักรวรรดิ แอด แอสเทร่า และผู้นำตระกูลคนปัจจุบันซึ่งเป็นน้องชายของเธอ

 

 

 

จนกระทั่งถึงตอนนี้ เอ็มมะยังไม่เคยขอความช่วยเหลือจากน้องชายของเธอเป็นการส่วนตัวเลยสักครั้ง แม้ว่าเขาจะเป็นน้องชายของเธอ แต่การที่เธอเลือกแต่งงานกับอีกตระกูลหนึ่งแล้ว เธอก็เลยอยากจะสร้างระยะห่างและสมดุลของอำนาจ ระหว่างพาราดิส กับมิตสึรุกิเอาไว้ ดังนั้นเธอจึงเลือกจะพบเจอและมีปฏิสัมพันธ์กับทางนั้นเฉพาะงานพิธีการเท่านั้น

 

 

ทว่าเพียงเพราะเธอต้องการจะหาตัวโซระให้เจอจงได้ เธอจึงเลือกจะขอความช่วยเหลือจากพาราดิสแทนที่จะขอพึ่งพาคนในเกาะที่จำเป็นต้องทำการคำสั่งของชิกิบุอย่างช่วยไม่ได้ แถมเธอก็ยังเตรียมใจที่จะถูกลงโทษเอาไว้แล้วด้วย

 

 

นี่จึงเป็นครั้งแรกที่เธอขอความช่วยเหลือจากน้องชายซึ่งเป็นคนนอกเกาะ

 

แล้วก็เพราะเป็นคำขอที่หาได้ยาก――นับตั้งแต่ที่พี่สาวของตนแต่งงานออกตระกูลไป ดยุกพาราดิสจึงตอบรับคำขอนั้นทันที พวกเขาได้ส่งคนภายในตระกูลรีบค้นหาตัวโซระทันที ทว่ามันก็สายเกินไปแล้วเพราะแม้จะพยายามใช้อำนาจของตระกูลดยุกที่มีสุดท้ายพวกเขาก็ไม่รู้ว่าโซระหายไปอยู่ที่ไหน

 

 

ตัวรากุนะที่ได้ทุกอย่างมาครอบครองแล้วกลับทำได้เพียงยืนนิ่งๆ เพื่อส่งแม่ของตนมาเคารพหลุมฝังศพของชิซึยะ เพื่อนรักผู้ล่วงลับของแม่เขา

 

 

 

 

――โซระมีความสำคัญกับเอ็มมะ มากกว่ารากุนะ

 

 

ไม่ว่าจะกี่ครั้งที่เขาคิดถึงเรื่องนี้ จิตใจของเขาก็อดรู้สึกหดหู่ไม่ได้ แต่เขามองว่าการได้คู่หมั้นคนใหม่อย่าง อายากะ อาเซอร์ไรท์จะช่วยเยียวยาเขาได้

 

ตอนแรกเขาก็แอบกังวลว่า อายากะที่สนิทกับโซระขนาดนั้นจะปฏิเสธเขาไหม แต่ก็ผิดคาดที่อายากะนั้นยอมรับในตัวของรากุนะอย่างง่ายดายและปฏิบัติกับเขาเช่นเดิม

 

ตัวรากุนะเองก็แอบโล่งใจไปส่วนหนึ่งที่คู่หมั้นของตนไม่ได้มองตนเหมือนกับก้อนหินริมทาง

 

 

ส่วนเหตุผลที่รากุนะกังวลอะไรแบบนั้นก็คงจะเป็นเรื่องในตอนนั้น

 

ตอนที่เขาได้พบกับอายากะเมื่อช่วงอายุได้สัก 6 ปี มันคือรักแรกพบของเขา ใบหน้าที่งดงามราวกับตุ๊กตามันได้ช่วงชิงหัวใจของเขาไปจนหมด….แต่ในตอนนั้นอายากะยังมองรากุนะด้วยสายตาที่ไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ อยู่

 

 

ถึงตอนนั้นเขาจะรู้ดีว่าเธอคือคู่หมั้นของพี่ชายตัวเอง แต่ด้วยหัวใจที่เป็นเด็กน้อยเขาจึงไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดอะไร ยิ่งเป็นรักแรกพบด้วยยิ่งแล้วใหญ่

 

สายตาของอายากะในตอนนั้นไม่ได้ส่งมาให้เพียงรากุนะคนเดียว แต่ยังส่งให้กับโซระที่เป็นคู่หมั้นของเธอด้วย ก็หมายความว่าเธอปฏิบัติกับสองพี่น้องอย่างเท่าเทียม

 

 

แต่พอมองกลับไปแล้ว รากุนะคิดว่า อายากะคงจะแค่รู้สึกกังวลใจเฉยๆ เพราะเธอที่เป็นถึงลูกสาวของตระกูลอาเซอร์ไรท์ ซึ่งเป็น 1 ใน 3 สุดยอดขุนนางแห่งจักรวรรดิ จำเป็นต้องย้ายมายังเกาะอันโดดเดี่ยว จะรู้สึกกังวลและไม่พอใจก็ไม่แปลกยิ่งด้วยช่วงอายุที่เด็กยิ่งแล้วใหญ่

 

 

จากนั้นไม่นานนักอายากะก็กลับมาร่าเริงอย่างที่เขาเห็นในปัจจุบันและปฏิบัติกับรากุนะซึ่งเป็นน้องเขยอย่างสนิทสนม

 

 

 

 

แล้วเวลาก็ผ่านไปได้ 7 ปี

 

รากุนะได้กลายเป็นว่าที่ผู้สืบทอดแทนโซระ และได้รับอายากะ อาเซอร์ไรท์มาครองแทน แถมยังได้รอยยิ้มที่สดใสของเธอมาอีกด้วย รักแรกพบของเขากำลังจะมาใช้ชีวิตอยู่กับเขาแล้ว ทว่ายิ่งเขาได้เข้าใกล้มากเท่าไหร่เขาก็ยิ่งรู้สึกว่าแม่ของเขากับอายากะเริ่มห่างออกไป

 

 

เพราะเขารู้สึกได้เลยว่าทัศนคติและท่าทางของอายากะที่มีต่อเขานั้นไม่ได้เปลี่ยนไปจากเดิม――หรือก็คือเธอปฏิบัติตัวกับเขาไม่ต่างอะไรกับตอนที่พวกเขาอยู่ในสถานะว่าที่น้องเขยกับพี่สะใภ้…

—-

Note : ชีวิตเศร้าๆของกระสอบทราย // ดาบเพลิงสีชาดน่าจะเป็นท่าประสานแบบเนิฟของกระบวนท่าผสานหยินเล็กคมดาบสีขาวที่โซเฟียใช้ แล้วมันจะไปทำอะไรโซระได้น้อ

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด