การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~ 84 แม้จะไม่มีความแค้นต่อกัน ทว่า.. (บทต้น)

Now you are reading การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~ Chapter 84 แม้จะไม่มีความแค้นต่อกัน ทว่า.. (บทต้น) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 84 แม้จะไม่มีความแค้นต่อกัน ทว่า.. (บทต้น)

 

 

กิลด์นักผจญภัยที่ข้อมูลหลากหลายประเภทที่เกี่ยวข้องกับเหล่านักผจญภัยที่เป็นสมาชิกของกิลด์

 

เลเวลของเขามีเท่าไร วิธีการต่อสู้ อาวุธ ชุดเกราะ เวทที่ถนัด ระดับของเวทที่ใช้ได้

 

 

สำหรับนักผจญภัยแล้วข้อมูลพวกนี้ก็เปรียบเสมือนได้กับชีวิตของพวกเขา ดังนั้นพนักงานของกิลด์จึงจำเป็นต้องมีจริยธรรมและความรับผิดชอบที่สูงพอในการจัดการความลับทั้งหมด

 

 

 

แน่นอนว่าพาร์เฟตเองก็เข้าใจเรื่องนี้ดีถึงแม้เธอจะอายุยังน้อย แต่ในฐานะพนักงานของกิลด์แล้วเธอก็มีประสบการณ์มามากกว่า 1 ปี เธอรู้ดีว่าเรื่องอะไรที่ควรพูดและไม่ควรพูด

 

 

 

 

พาร์เฟตตอบเรื่องของโซระให้โกซุฟัง แต่เธอไม่ได้บอกข้อมูลของโซระเกี่ยวกับตอนที่เขาอยู่ในกิลด์ว่าทำอะไรไปบ้างหรือเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นระหว่างนั้น เรื่องหลังออกจากกิลด์ไปแล้วก็เช่นกัน

 

 

 

สิ่งที่เธอพูดถึงมีแค่เรื่องราวความกล้าหาญของโซระ และความสำเร็จที่เขาทำให้กับสาธารณะชนจนกลายเป็นแคลนที่มีชื่อว่า ดาบควันโลหิต

 

 

ก็จริงว่าข้อมูลที่เธอบอกไปมันไม่ได้มีประโยชน์อะไรนัก อันที่จริงถ้าโกซุเดินทางไปในเมืองอิชกะ ข้อมูลพวกนี้เขาสามารถหาได้โดยง่ายเพียงแค่วันเดียว ทว่าทางโกซุกลับรับฟังข้อมูลเหล่านี้อย่างตั้งใจ

 

 

 

เธอรู้สึกตกใจมากริงๆ ที่ผู้ใช้ศาสตร์การต่อสู้สุดแกร่งมีท่าทีเช่นนี้ ทั้งที่บนโลกนี้ไม่ควรจะมีอะไรทำให้เขาตะลึงได้ขนาดนี้สิ

 

 

พอเธอมองไปรอบๆ ถึงอาการจะไม่ชัดเท่าโกซุแต่ก็เห็นได้ว่าอีกสองคนที่เหลือก็เหมือนจะสนใจเรื่องของโซระเหมือนกัน

 

 

 

ไคลอาก็ฟังอย่างตั้งใจ ส่วนคลิมก็ทำหน้าบึ้งแต่ก็ไม่ได้ขัดบทสนทนาหรือเดินออกจากเต็นท์ไประหว่างคุย

 

 

 

เพราะแบบนี้พาร์เฟตจึงมั่นใจ

 

 

ว่าทั้งสามคนนี้คือผู้ที่มีความเกี่ยวข้องกับโซระจริงๆ นอกจากนี้เธอคาดว่าหากเธอสามารถเชื่อมโยงความเกี่ยวข้องของพวกเขาได้จริงๆ มันอาจจะค้นพบสาเหตุที่ทำให้รู้ว่าทำไมโซระที่ติดอยู่เลเวล 1 มาช้านานถึงได้แข็งแกร่งขึ้นมาด้วยความรวดเร็ว

 

 

 

ลิดเดลก็เหมือนจะคิดตรงกับเธอขณะที่เฝ้ามองอยู่เงียบๆ ไม่นานนักทั้งสองก็มองหน้ากันพักหนึ่งและพยักหน้าให้กันเล็กน้อย

 

 

 

 

◆◆◆

 

 

หลังจากที่ทั้งสองออกจากเต็นท์ไป โกซุก็ขมวดคิ้วและเอาแต่จมอยู่ในห้วงความคิด

 

 

 

ไม่ต้องบอกก็คงรู้กันดีว่าเขากำลังคิดถึงเรื่องของโซระ

 

 

 

ข้อมูลส่วนใหญ่ที่เขาได้มาจากลิดเดลและพาร์เฟตยังไม่เป็นชิ้นเป็นอันพอที่จะให้เขาปักใจเชื่อว่า นักผจญภัยที่ชื่อโซระคือ มิตสึรุกิ โซระ

 

 

พอเขารู้สึกตัวอีกทีมือของเขาก็ได้ไปแตะเข้าที่ด้ามดาบโดยไม่รู้ตัว ก่อนที่ตนจะยิ้มออกมาด้วยรอยยิ้มที่ดูขมขื่น

 

 

「ก็หวังว่าโซระ….นายน้――ไม่สิท่านโซระ อื้มแบบนี้คงได้….แต่ว่าหากเป็นเขาจริงๆ ….」

 

 

เหตุผลที่เขาคิดถึงตัวตนจริงๆ ของโซระคนนั้นไม่ใช่แค่เพราะเขารู้สึกคิดถึงชื่อนี้

 

 

ก็จริงว่า มันมีความรู้สึกที่น่าคิดถึงปนอยู่ด้วยแต่นั่นก็เป็นเพียงส่วนเล็กน้อยของเหตุผลที่ทำให้เขาคิดมาก

 

 

เรื่องที่เขาสงสัยจริงๆ ก็คือ หากเป็นโซระจริง เป็นไปได้หรือเปล่าว่าเขาจะได้รับอาภรณ์วิญญาณมากแล้ว

 

 

สำหรับมิตสึรุกิ โซระที่โกซุรู้จัก หากจะประสบความสำเร็จในการเป็นนักผจญภัยและทำเรื่องที่แสนกล้าหาญพวกนั้นตามที่พาร์เฟตบอกได้ ปัจจัยอย่างอาภรณ์วิญญาณย่อมเป็นเรื่องที่ขาดไม่ได้

 

 

แน่นอนว่ามันเป็นเพียงการคาดเดาเท่านั้น แต่ก็มีความเป็นไปได้ว่า 5 ปีที่ผ่านมาตั้งแต่เขาถูกเนรเทศจากเกาะไป เขาได้พบเข้ากับที่ปรึกษาที่เหมาะสมและทำให้เขาสามารถพัฒนาความแข็งแกร่งตัวเองได้หลังผ่านการต่อสู้มามากมาย

 

 

อย่างไรก็ตาม หากถามโซกุว่าชายหนุ่มในอดีตที่อายุ 13 ปี แค่นักรบเขี้ยวมังกรตัวเดียวยังไม่สามารถทำอะไรได้ จะเติบโตกลายมาเป็นคนที่สามารถรับมือกับสกิลล่าและกริฟฟอนได้ด้วยตัวคนเดียวภายใน 5 ปีได้หรือเปล่า โกซุก็คงตอบว่าไม่

 

 

 

ดังนั้นความเป็นไปได้เดียวก็คือ โซระคนนั้นจะต้องได้รับอาภรณ์วิญญาณมาแล้วเป็นแน่

 

และหากโซระสามารถเรียนรู้วิชามายาดาบเดียวได้ด้วยตัวเองจนสำเร็จถึงขั้นนี้บางที….

 

 

「นายท่านอาจจะยอมรับพาเขากลับเข้าตระกูลก็ได้」

 

 

เนื่องจากตอนนี้ยังมีรากุนะอยู่ด้วย เขาคงไม่ได้กลับไปยังจุดเดิมที่เคยอยู่ แต่ก็ใช่ว่าความเป็นไปได้มันจะเท่ากับศูนย์ซึ่งก็คงต้องขึ้นอยู่กับลักษณะของอาภรณ์วิญญาณเขา

 

 

พอโกซุคิดได้แบบนั้น ไม่แปลกที่เขาจะรู้สึกยินดีขึ้นมา

 

 

แต่ภายในความยินดีก็มีความกังวลเช่นเดียวกัน

 

 

โซระที่ถูกเนรเทศออกจากเกาะบ้านเกิดตัวเองจะรู้สึกยังไงกับที่นั่น

 

 

เขาจะทำยังไงดีหาก โซระไม่ยอมกลับไปที่เกาะอสูรยักษ์

 

ส่วนตัวแล้ว หลังจากที่ได้ยินเรื่องของโซระทำที่นอกเกาะมาในมุมโกซุก็คิดว่าโซระคงพยายามทำได้ดีเพียงพอแล้ว จะปล่อยไปก็คงไม่เป็นไร นอกจากนี้น้องสาวของเขาอย่างเซชิรุก็น่าจะยินดีด้วยเหมือนกันหากได้ยินเรื่องโซระ

 

 

แต่สำหรับชิบะแห่งตระกูลมิตสึรุกิแล้ว เขาไม่สามารถปล่อยให้ผู้ใช้วิชามายาดาบเดียวเพ่นพ่านอยู่นอกเกาะได้ด้วย

 

 

 

มายาดาบเดียวเป็นศาสตร์ที่ไม่ควรนำมาใช้กับคนภายนอก หากไม่ได้รับอนุญาตผู้ใช้วิชามายาดาบเดียวก็จะไม่สามารถออกจากเกาะมาตามใจชอบได้

 

สำหรับคนที่ตัดสินใจจะออกจากเกาะไปเองก็ต้องทำการสาบานว่าตนจะไม่ใช้วิชามายาดาบเดียวไปตลอดชีวิตและจะไม่บอกอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ให้ใครฟัง

 

 

 

แน่นอนว่ามันไม่ใช่แค่การพูดปากเปล่าหรือเขียนคำสาบาน แต่พวกเขาจะต้องถูกทำลายวิชาจนไม่สามารถจับอาวุธได้อีกก่อนจะถูกร่ายมนตร์ให้ไม่สามารถพูดเรื่องพวกนี้ได้ ไม่ต่างอะไรไปกับอาชญากรและผู้ถูกเนรเทศของเกาะ

 

 

 

หากใครหนีออกจากเกาะไปเองโดยไม่ผ่านพิธีนี้เพราะความกลัว ทางตระกูลก็จะส่งนักฆ่าตามไปสังหารในทันที

 

 

 

นี่คือกฎเหล็กของมายาดาบเดียว

 

 

 

เหตุผลที่โซระยังสามารถออกจากเกาะไปได้ครบ 32 นั่นก็เป็นเพราะเขายังไม่ได้เป็นศิษย์สำนักอย่างเป็นทางการ

 

 

 

แต่ทางตระกูลมิตสึรุกิจะตัดสินยังไงกันนะ หากพวกเขารู้ว่าโซระสามารถใช้อาภรณ์วิญญาณได้แล้ว

 

 

ถึงเขาจะสามารถเข้าถึงศาสตร์ลับได้หลังจากถูกเนรเทศออกจากเกาะ ผ่านการพยายามด้วยพลังของตัวเองซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องกับสำนักมายาดาบเดียวเลย แต่เหตุผลแบบนี้ก็คงไม่สามารถเถียงกับทางตระกูลได้

 

 

เป็นเวลากว่า 300 ปีมาแล้วที่ต้นตระกูลอย่างนักบุญดาบได้สร้างมายาดาบเดียวขึ้น รูปแบบการใช้อาภรณ์วิญญาณก็ถูกผูกขาดเอาไว้จากตระกูลมิตซึรุกิ หากความลับเรื่องอาภรณ์วิญญาณหลุดออกไปทั่วโลกแล้วละก็ อิทธิพลของพวกเขาก็คงจะอ่อนแอลงไปด้วย

 

 

ด้วยเหตุนี้ ผู้ใช้อาภรณ์วิญญาณทุกคนจะต้องถูกควบคุมโดยตระกูลมิตซึรุกิ

 

 

 

ในฐานะชิบะแล้ว โกซุไม่มีทางเลือกนอกจากต้องกลั้นใจทำ

 

 

หากโซระยอมกลับเกาะแต่โดยดีก็คงไม่มีปัญหาอะไร แต่ถ้าไม่ โกซุก็คงต้องใช้กำลังพาเขากลับไป ไม่เช่นนั้นเขาก็คงต้องทำให้โซระไม่สามารถใช้วิชามายาดาบเดียวได้อีกตลอดชีวิต

 

 

「…ให้ตายสิ อยากจะทำเป็นเหมือนไม่เคยได้ยินชื่ออย่างโซระจริงๆ 」

 

 

โกซุพึมพำกับตัวเองอย่างแผ่วเบาไม่สมกับขนาดร่างของเขาเลยสักนิด

 

 

หากโกซุเป็นเพียงคนเดียวที่ได้ยินเรื่องนี้จากพวกพนักงานต้อนรับ เขาก็คงจะปล่อยผ่านไปได้ แต่สองพี่น้องเบิร์ชดันอยู่กับเขาด้วย จะให้เขาแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินก็คงไม่ได้

 

 

ดังนั้น แทนที่จะต้องตามมาแก้ไขเรื่องในภายหลัง เขาควรรีบจัดการมันให้เสร็จไปเลย หากปล่อยให้มันกวนใจอยู่แบบนี้มันอาจจะทำให้เขาพลาดระหว่างการต่อสู้กับพวกมอนสเตอร์เอาก็ได้ เพราะตัวโกซุไม่ใช่พวกประเมินความสามารถตัวเองสูงจนเกินไปอยู่แล้ว

 

 

พอโกซุบอกแผนที่เขาคิดขึ้นมาให้กับสองคนฟัง คลิมเป็นคนแรกที่ตอบสนองคำของเขา

 

เด็กหนุ่มผมสีขาวพูดออกมาด้วยท่าทางที่เหมือนเย้ยหยัน

 

 

 

「ทั้งที่บอกกับพวกเราเองแท้ๆ ว่ามาเพื่อชดใช้ความผิดของเจ้าพระนั่น แล้วทำไมนายถึงเลือกที่จะหนีออกจากสนามรบก่อนเพื่อเลยล่ะ เปลี่ยนใจไปมาง่ายจริงน้า」

 

 

「แค่ออกจากจุดนี้ไปสักวันสองวัน มันไม่ได้หมายความว่าข้าจะทิ้งสถานที่แห่งนี้เสียหน่อย ใช้เวลาไม่นานหรอกจากตรงนี้ไปเมืองอิชกะหากใช้คิ แล้วก็ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องใครจะจับได้ด้วยเพราะข้าจะลอบเข้าไปตอนกลางคืน」

 

 

「อย่ามาทำเป็นแก้ตัวอะไรนักเลย ที่ฉันจะบอกก็คือให้นายรับผิดชอบคำพูดตัวเองหน่อยสิ」

 

 

คลิมจ้องมองโกซุด้วยความโมโห

 

 

 

ตอนนี้ท่าทีของเขาดูเหมือนจะล้ำเส้นคนที่มีอำนาจมากกว่าตนไปบ้าง แต่ก็ช่วยไม่ได้เพราะเขารู้สึกว่า โกซุเหมือนจะทำอะไรตามใจชอบไปซะหมด เขาเลยไม่จำเป็นต้องสุภาพอะไรกับคนแบบนี้

 

 

จากนั้นคลิมก็พูดต่อโดยที่ไม่ได้สนใจ โกซุที่เป็นถึงชิบะเลยสักนิด

 

 

「อย่างแรกเลยนะ หากพวกมอนสเตอร์มันมาเอาตอนที่นายจากไปล่ะ ก็ไม่ได้บอกหรอกนะว่าถ้าขาดนายไปแล้ว จะรับมือกับพวกมันไม่ได้ แต่ฉันไม่ได้มีหน้าที่เอาภาระความรับผิดชอบอะไรของนายมาทำสักหน่อย หากอยากจะไปเจอเจ้าโซระขนาดนั้น ก็รีบๆ จัดการงานตรงนี้ของตัวเองให้มันจบๆ ก่อนสิ」

 

 

หากเป็นแบบนั้นฉันจะไม่บ่นอะไรเลย คลิมพูดเย้ยออกมา

 

 

ก็จริงว่าทั้งไคลอาและคลิมไม่ใช่ผู้ติดตามส่วนตัวของโกซุ ดังนั้นพวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องมาสนใจเรื่องความรู้สึกส่วนตัวของโกซุหรือทำงานอะไรแทนเขา คลิมพูดจาออกมาอย่างหยาบคาย แต่ที่เขาว่ามามันก็ไม่ได้ผิดอะไร โกซุจึงพยักหน้ารับคำของเขาไป

 

 

 

หากเขาทิ้งความรู้สึกส่วนตัวออกไป สิ่งที่เขาควรสนใจตอนนี้ที่สุดก็คือพวกมอนสเตอร์ โกซุมองว่าหากเขาเป็นคลิม เขาก็คงจะบ่นออกมาแบบนี้เหมือนกัน

 

 

พอโกซุจะตอบปากรับคำของคลิม ก็มีอีกคนพูดขัดเขาขึ้นมาก่อน

 

เธอคนนั้นคือพี่สาวของคลิม

 

 

 

「หากนั่นคือสิ่งที่คุณอยากจะทำก็เชิญเลยค่ะชิบะ เดี๋ยวฉันจะดูแลตรงนี้ให้เอง」

 

 

 

「เดี๋ยวสิ? ทำไมท่านพี่ถึง…」

 

 

คลิมรู้สึกตกใจกับคำพูดของพี่สาวเขา

 

 

 

โกซุเองก็เช่นกัน เขาเลิกคิ้วขวาของตนขึ้นก่อนจะมองไปทางไคลอา

 

 

 

「เจ้าแน่ใจแล้วเหรอ? 」

 

 

「ค่ะ คลิมเรียกมันว่าเรื่องส่วนตัวก็จริง แต่ทางฉันไม่คิดแบบนั้น หากนักผจญภัยที่ชื่อว่าโซระเป็นคนเดียวกันกับที่เรารู้จักจริงๆ แล้ว บางทีเขาอาจจะมีความเกี่ยวข้องกับการตายของจินโบก็ได้」

 

 

 

「……หื้ม」

 

โกซุพยักหน้ารับคำของไคลอา

 

 

เขาคิดถึงเรื่องความเป็นไปได้ที่โซระอาจจะได้รับอาภรณ์วิญญาณมาแล้วก็จริง แต่เรื่องที่เขาจะเกี่ยวข้องกับการตายของจินโบนี่เขาไม่ได้คิดถึงมันเลย

 

ในฐานะอดีตผู้สืบทอดของตระกูลมิตสึรุกิแล้ว โซระไม่มีทางจะคิดฆ่านักรบของธงแห่งผืนป่าแน่ๆ นั่นคือสิ่งที่โกซุมอง

 

 

ทว่านี่มันก็ผ่านมาตั้ง 5 ปีแล้วตั้งแต่เขาออกมาจากเกาะ บางทีนิสัยของเขาอาจจะเปลี่ยนไปแล้วก็ได้

 

 

 

แต่ก็จริงหากมองว่าจินโบถูกโซระคนนั้นที่สามารถใช้อาภรณ์วิญญาณได้เช่นกันฆ่าตาย หากเป็นไปตามนี้ทุกอย่างมันก็น่าเชื่อถือมากกว่าดยุกดรากูนอทเป็นไหนๆ

 

 

 

「นอกจากนี้ หากเรายอมรับข้อเสนอที่จะอยู่ภายใต้การควบคุมของกิลด์นักผจญภัยยังไงเราก็ต้องเดินทางไปเมืองอิชกะเพื่อพบกิลด์มาสเตอร์เอลการ์ดในการคลายข้อสงสัยที่พวกเขาคิดกับพวกเราอยู่ แต่หากเราเคลื่อนไหวไปทั้งหมดพร้อมกันแนวป้องกันก็คงจะพังเอาจริงๆ ดังนั้นฉันฝากชิบะเป็นตัวแทนในการเดินทางไปก็แล้วกัน」

 

 

หากทำแบบนั้นก็คงจะไม่มีปัญหาด้วยหากจะทำการตรวจสอบเรื่องของโซระต่อ ไคลอากล่าว

 

 

 

「ใช่ไหมล่ะ หืม…คลิม? 」

 

 

คลิมสัมผัสได้ถึงบางอย่างที่อยู่ภายใต้รอยยิ้มของไคลอา

 

 

เธอไม่สามารถมองข้ามพฤติกรรมที่หยาบคายต่อโกซุที่มีตำแหน่งสูงกว่าพวกเธอได้ คลิมรู้สึกตัวสั่นขึ้นมาในทันที เพราะเขารู้ดีว่าหากพี่สาวของเขาโกรธมันจะเกิดเรื่องน่ากลัวขนาดไหนขึ้น

 

 

นอกจากนี้ ก็ยังมีเรื่องที่น้องชายของเขาฝากไปยังเอลการ์ดอย่าง “อย่ามาออกคำสั่งอะไรกับเขา” นั่นอีก พอพี่สาวของเขาเอาเรื่องนี้มาพูดด้วย คลิมก็เลยไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากพยักหน้ายอมไป

 

 

 

「…ถ้าเป็นงั้น ฉันก็ไม่มีอะไรจะบ่นแล้ว」

 

 

 

「แต่ก็ยังเหลือเรื่องที่นายต้องพูดอยู่ไม่ใช่หรือไงกัน? 」

 

 

 

「….ขอโทษนะชิบะ ที่ล้ำเส้นไปหน่อย」

 

 

 

「ฉันก็ต้องขออภัยด้วยเหมือนกันค่ะที่น้องชายของฉันหยาบคายกับคุณ」

 

 

ไคลอาพูดเสร็จก็โค้งคำนับให้กับโกซุ ทางคลิมที่เห็นแบบนั้นก็ทำตามแม้จะไม่เต็มใจนัก

 

 

 

โกซุก็ทำได้เพียงแค่ยิ้มให้กับภาพที่มักจะเห็นได้เป็นปกติของสองพี่น้องเบิร์ช

 

———
Note 1 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ ผมแปะไว้ใต้เม้นของเพจนะครับ และสามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~ 84 แม้จะไม่มีความแค้นต่อกัน ทว่า.. (บทต้น)

Now you are reading การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~ Chapter 84 แม้จะไม่มีความแค้นต่อกัน ทว่า.. (บทต้น) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 84 แม้จะไม่มีความแค้นต่อกัน ทว่า.. (บทต้น)

 

 

กิลด์นักผจญภัยที่ข้อมูลหลากหลายประเภทที่เกี่ยวข้องกับเหล่านักผจญภัยที่เป็นสมาชิกของกิลด์

 

เลเวลของเขามีเท่าไร วิธีการต่อสู้ อาวุธ ชุดเกราะ เวทที่ถนัด ระดับของเวทที่ใช้ได้

 

 

สำหรับนักผจญภัยแล้วข้อมูลพวกนี้ก็เปรียบเสมือนได้กับชีวิตของพวกเขา ดังนั้นพนักงานของกิลด์จึงจำเป็นต้องมีจริยธรรมและความรับผิดชอบที่สูงพอในการจัดการความลับทั้งหมด

 

 

 

แน่นอนว่าพาร์เฟตเองก็เข้าใจเรื่องนี้ดีถึงแม้เธอจะอายุยังน้อย แต่ในฐานะพนักงานของกิลด์แล้วเธอก็มีประสบการณ์มามากกว่า 1 ปี เธอรู้ดีว่าเรื่องอะไรที่ควรพูดและไม่ควรพูด

 

 

 

 

พาร์เฟตตอบเรื่องของโซระให้โกซุฟัง แต่เธอไม่ได้บอกข้อมูลของโซระเกี่ยวกับตอนที่เขาอยู่ในกิลด์ว่าทำอะไรไปบ้างหรือเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นระหว่างนั้น เรื่องหลังออกจากกิลด์ไปแล้วก็เช่นกัน

 

 

 

สิ่งที่เธอพูดถึงมีแค่เรื่องราวความกล้าหาญของโซระ และความสำเร็จที่เขาทำให้กับสาธารณะชนจนกลายเป็นแคลนที่มีชื่อว่า ดาบควันโลหิต

 

 

ก็จริงว่าข้อมูลที่เธอบอกไปมันไม่ได้มีประโยชน์อะไรนัก อันที่จริงถ้าโกซุเดินทางไปในเมืองอิชกะ ข้อมูลพวกนี้เขาสามารถหาได้โดยง่ายเพียงแค่วันเดียว ทว่าทางโกซุกลับรับฟังข้อมูลเหล่านี้อย่างตั้งใจ

 

 

 

เธอรู้สึกตกใจมากริงๆ ที่ผู้ใช้ศาสตร์การต่อสู้สุดแกร่งมีท่าทีเช่นนี้ ทั้งที่บนโลกนี้ไม่ควรจะมีอะไรทำให้เขาตะลึงได้ขนาดนี้สิ

 

 

พอเธอมองไปรอบๆ ถึงอาการจะไม่ชัดเท่าโกซุแต่ก็เห็นได้ว่าอีกสองคนที่เหลือก็เหมือนจะสนใจเรื่องของโซระเหมือนกัน

 

 

 

ไคลอาก็ฟังอย่างตั้งใจ ส่วนคลิมก็ทำหน้าบึ้งแต่ก็ไม่ได้ขัดบทสนทนาหรือเดินออกจากเต็นท์ไประหว่างคุย

 

 

 

เพราะแบบนี้พาร์เฟตจึงมั่นใจ

 

 

ว่าทั้งสามคนนี้คือผู้ที่มีความเกี่ยวข้องกับโซระจริงๆ นอกจากนี้เธอคาดว่าหากเธอสามารถเชื่อมโยงความเกี่ยวข้องของพวกเขาได้จริงๆ มันอาจจะค้นพบสาเหตุที่ทำให้รู้ว่าทำไมโซระที่ติดอยู่เลเวล 1 มาช้านานถึงได้แข็งแกร่งขึ้นมาด้วยความรวดเร็ว

 

 

 

ลิดเดลก็เหมือนจะคิดตรงกับเธอขณะที่เฝ้ามองอยู่เงียบๆ ไม่นานนักทั้งสองก็มองหน้ากันพักหนึ่งและพยักหน้าให้กันเล็กน้อย

 

 

 

 

◆◆◆

 

 

หลังจากที่ทั้งสองออกจากเต็นท์ไป โกซุก็ขมวดคิ้วและเอาแต่จมอยู่ในห้วงความคิด

 

 

 

ไม่ต้องบอกก็คงรู้กันดีว่าเขากำลังคิดถึงเรื่องของโซระ

 

 

 

ข้อมูลส่วนใหญ่ที่เขาได้มาจากลิดเดลและพาร์เฟตยังไม่เป็นชิ้นเป็นอันพอที่จะให้เขาปักใจเชื่อว่า นักผจญภัยที่ชื่อโซระคือ มิตสึรุกิ โซระ

 

 

พอเขารู้สึกตัวอีกทีมือของเขาก็ได้ไปแตะเข้าที่ด้ามดาบโดยไม่รู้ตัว ก่อนที่ตนจะยิ้มออกมาด้วยรอยยิ้มที่ดูขมขื่น

 

 

「ก็หวังว่าโซระ….นายน้――ไม่สิท่านโซระ อื้มแบบนี้คงได้….แต่ว่าหากเป็นเขาจริงๆ ….」

 

 

เหตุผลที่เขาคิดถึงตัวตนจริงๆ ของโซระคนนั้นไม่ใช่แค่เพราะเขารู้สึกคิดถึงชื่อนี้

 

 

ก็จริงว่า มันมีความรู้สึกที่น่าคิดถึงปนอยู่ด้วยแต่นั่นก็เป็นเพียงส่วนเล็กน้อยของเหตุผลที่ทำให้เขาคิดมาก

 

 

เรื่องที่เขาสงสัยจริงๆ ก็คือ หากเป็นโซระจริง เป็นไปได้หรือเปล่าว่าเขาจะได้รับอาภรณ์วิญญาณมากแล้ว

 

 

สำหรับมิตสึรุกิ โซระที่โกซุรู้จัก หากจะประสบความสำเร็จในการเป็นนักผจญภัยและทำเรื่องที่แสนกล้าหาญพวกนั้นตามที่พาร์เฟตบอกได้ ปัจจัยอย่างอาภรณ์วิญญาณย่อมเป็นเรื่องที่ขาดไม่ได้

 

 

แน่นอนว่ามันเป็นเพียงการคาดเดาเท่านั้น แต่ก็มีความเป็นไปได้ว่า 5 ปีที่ผ่านมาตั้งแต่เขาถูกเนรเทศจากเกาะไป เขาได้พบเข้ากับที่ปรึกษาที่เหมาะสมและทำให้เขาสามารถพัฒนาความแข็งแกร่งตัวเองได้หลังผ่านการต่อสู้มามากมาย

 

 

อย่างไรก็ตาม หากถามโซกุว่าชายหนุ่มในอดีตที่อายุ 13 ปี แค่นักรบเขี้ยวมังกรตัวเดียวยังไม่สามารถทำอะไรได้ จะเติบโตกลายมาเป็นคนที่สามารถรับมือกับสกิลล่าและกริฟฟอนได้ด้วยตัวคนเดียวภายใน 5 ปีได้หรือเปล่า โกซุก็คงตอบว่าไม่

 

 

 

ดังนั้นความเป็นไปได้เดียวก็คือ โซระคนนั้นจะต้องได้รับอาภรณ์วิญญาณมาแล้วเป็นแน่

 

และหากโซระสามารถเรียนรู้วิชามายาดาบเดียวได้ด้วยตัวเองจนสำเร็จถึงขั้นนี้บางที….

 

 

「นายท่านอาจจะยอมรับพาเขากลับเข้าตระกูลก็ได้」

 

 

เนื่องจากตอนนี้ยังมีรากุนะอยู่ด้วย เขาคงไม่ได้กลับไปยังจุดเดิมที่เคยอยู่ แต่ก็ใช่ว่าความเป็นไปได้มันจะเท่ากับศูนย์ซึ่งก็คงต้องขึ้นอยู่กับลักษณะของอาภรณ์วิญญาณเขา

 

 

พอโกซุคิดได้แบบนั้น ไม่แปลกที่เขาจะรู้สึกยินดีขึ้นมา

 

 

แต่ภายในความยินดีก็มีความกังวลเช่นเดียวกัน

 

 

โซระที่ถูกเนรเทศออกจากเกาะบ้านเกิดตัวเองจะรู้สึกยังไงกับที่นั่น

 

 

เขาจะทำยังไงดีหาก โซระไม่ยอมกลับไปที่เกาะอสูรยักษ์

 

ส่วนตัวแล้ว หลังจากที่ได้ยินเรื่องของโซระทำที่นอกเกาะมาในมุมโกซุก็คิดว่าโซระคงพยายามทำได้ดีเพียงพอแล้ว จะปล่อยไปก็คงไม่เป็นไร นอกจากนี้น้องสาวของเขาอย่างเซชิรุก็น่าจะยินดีด้วยเหมือนกันหากได้ยินเรื่องโซระ

 

 

แต่สำหรับชิบะแห่งตระกูลมิตสึรุกิแล้ว เขาไม่สามารถปล่อยให้ผู้ใช้วิชามายาดาบเดียวเพ่นพ่านอยู่นอกเกาะได้ด้วย

 

 

 

มายาดาบเดียวเป็นศาสตร์ที่ไม่ควรนำมาใช้กับคนภายนอก หากไม่ได้รับอนุญาตผู้ใช้วิชามายาดาบเดียวก็จะไม่สามารถออกจากเกาะมาตามใจชอบได้

 

สำหรับคนที่ตัดสินใจจะออกจากเกาะไปเองก็ต้องทำการสาบานว่าตนจะไม่ใช้วิชามายาดาบเดียวไปตลอดชีวิตและจะไม่บอกอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ให้ใครฟัง

 

 

 

แน่นอนว่ามันไม่ใช่แค่การพูดปากเปล่าหรือเขียนคำสาบาน แต่พวกเขาจะต้องถูกทำลายวิชาจนไม่สามารถจับอาวุธได้อีกก่อนจะถูกร่ายมนตร์ให้ไม่สามารถพูดเรื่องพวกนี้ได้ ไม่ต่างอะไรไปกับอาชญากรและผู้ถูกเนรเทศของเกาะ

 

 

 

หากใครหนีออกจากเกาะไปเองโดยไม่ผ่านพิธีนี้เพราะความกลัว ทางตระกูลก็จะส่งนักฆ่าตามไปสังหารในทันที

 

 

 

นี่คือกฎเหล็กของมายาดาบเดียว

 

 

 

เหตุผลที่โซระยังสามารถออกจากเกาะไปได้ครบ 32 นั่นก็เป็นเพราะเขายังไม่ได้เป็นศิษย์สำนักอย่างเป็นทางการ

 

 

 

แต่ทางตระกูลมิตสึรุกิจะตัดสินยังไงกันนะ หากพวกเขารู้ว่าโซระสามารถใช้อาภรณ์วิญญาณได้แล้ว

 

 

ถึงเขาจะสามารถเข้าถึงศาสตร์ลับได้หลังจากถูกเนรเทศออกจากเกาะ ผ่านการพยายามด้วยพลังของตัวเองซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องกับสำนักมายาดาบเดียวเลย แต่เหตุผลแบบนี้ก็คงไม่สามารถเถียงกับทางตระกูลได้

 

 

เป็นเวลากว่า 300 ปีมาแล้วที่ต้นตระกูลอย่างนักบุญดาบได้สร้างมายาดาบเดียวขึ้น รูปแบบการใช้อาภรณ์วิญญาณก็ถูกผูกขาดเอาไว้จากตระกูลมิตซึรุกิ หากความลับเรื่องอาภรณ์วิญญาณหลุดออกไปทั่วโลกแล้วละก็ อิทธิพลของพวกเขาก็คงจะอ่อนแอลงไปด้วย

 

 

ด้วยเหตุนี้ ผู้ใช้อาภรณ์วิญญาณทุกคนจะต้องถูกควบคุมโดยตระกูลมิตซึรุกิ

 

 

 

ในฐานะชิบะแล้ว โกซุไม่มีทางเลือกนอกจากต้องกลั้นใจทำ

 

 

หากโซระยอมกลับเกาะแต่โดยดีก็คงไม่มีปัญหาอะไร แต่ถ้าไม่ โกซุก็คงต้องใช้กำลังพาเขากลับไป ไม่เช่นนั้นเขาก็คงต้องทำให้โซระไม่สามารถใช้วิชามายาดาบเดียวได้อีกตลอดชีวิต

 

 

「…ให้ตายสิ อยากจะทำเป็นเหมือนไม่เคยได้ยินชื่ออย่างโซระจริงๆ 」

 

 

โกซุพึมพำกับตัวเองอย่างแผ่วเบาไม่สมกับขนาดร่างของเขาเลยสักนิด

 

 

หากโกซุเป็นเพียงคนเดียวที่ได้ยินเรื่องนี้จากพวกพนักงานต้อนรับ เขาก็คงจะปล่อยผ่านไปได้ แต่สองพี่น้องเบิร์ชดันอยู่กับเขาด้วย จะให้เขาแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินก็คงไม่ได้

 

 

ดังนั้น แทนที่จะต้องตามมาแก้ไขเรื่องในภายหลัง เขาควรรีบจัดการมันให้เสร็จไปเลย หากปล่อยให้มันกวนใจอยู่แบบนี้มันอาจจะทำให้เขาพลาดระหว่างการต่อสู้กับพวกมอนสเตอร์เอาก็ได้ เพราะตัวโกซุไม่ใช่พวกประเมินความสามารถตัวเองสูงจนเกินไปอยู่แล้ว

 

 

พอโกซุบอกแผนที่เขาคิดขึ้นมาให้กับสองคนฟัง คลิมเป็นคนแรกที่ตอบสนองคำของเขา

 

เด็กหนุ่มผมสีขาวพูดออกมาด้วยท่าทางที่เหมือนเย้ยหยัน

 

 

 

「ทั้งที่บอกกับพวกเราเองแท้ๆ ว่ามาเพื่อชดใช้ความผิดของเจ้าพระนั่น แล้วทำไมนายถึงเลือกที่จะหนีออกจากสนามรบก่อนเพื่อเลยล่ะ เปลี่ยนใจไปมาง่ายจริงน้า」

 

 

「แค่ออกจากจุดนี้ไปสักวันสองวัน มันไม่ได้หมายความว่าข้าจะทิ้งสถานที่แห่งนี้เสียหน่อย ใช้เวลาไม่นานหรอกจากตรงนี้ไปเมืองอิชกะหากใช้คิ แล้วก็ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องใครจะจับได้ด้วยเพราะข้าจะลอบเข้าไปตอนกลางคืน」

 

 

「อย่ามาทำเป็นแก้ตัวอะไรนักเลย ที่ฉันจะบอกก็คือให้นายรับผิดชอบคำพูดตัวเองหน่อยสิ」

 

 

คลิมจ้องมองโกซุด้วยความโมโห

 

 

 

ตอนนี้ท่าทีของเขาดูเหมือนจะล้ำเส้นคนที่มีอำนาจมากกว่าตนไปบ้าง แต่ก็ช่วยไม่ได้เพราะเขารู้สึกว่า โกซุเหมือนจะทำอะไรตามใจชอบไปซะหมด เขาเลยไม่จำเป็นต้องสุภาพอะไรกับคนแบบนี้

 

 

จากนั้นคลิมก็พูดต่อโดยที่ไม่ได้สนใจ โกซุที่เป็นถึงชิบะเลยสักนิด

 

 

「อย่างแรกเลยนะ หากพวกมอนสเตอร์มันมาเอาตอนที่นายจากไปล่ะ ก็ไม่ได้บอกหรอกนะว่าถ้าขาดนายไปแล้ว จะรับมือกับพวกมันไม่ได้ แต่ฉันไม่ได้มีหน้าที่เอาภาระความรับผิดชอบอะไรของนายมาทำสักหน่อย หากอยากจะไปเจอเจ้าโซระขนาดนั้น ก็รีบๆ จัดการงานตรงนี้ของตัวเองให้มันจบๆ ก่อนสิ」

 

 

หากเป็นแบบนั้นฉันจะไม่บ่นอะไรเลย คลิมพูดเย้ยออกมา

 

 

ก็จริงว่าทั้งไคลอาและคลิมไม่ใช่ผู้ติดตามส่วนตัวของโกซุ ดังนั้นพวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องมาสนใจเรื่องความรู้สึกส่วนตัวของโกซุหรือทำงานอะไรแทนเขา คลิมพูดจาออกมาอย่างหยาบคาย แต่ที่เขาว่ามามันก็ไม่ได้ผิดอะไร โกซุจึงพยักหน้ารับคำของเขาไป

 

 

 

หากเขาทิ้งความรู้สึกส่วนตัวออกไป สิ่งที่เขาควรสนใจตอนนี้ที่สุดก็คือพวกมอนสเตอร์ โกซุมองว่าหากเขาเป็นคลิม เขาก็คงจะบ่นออกมาแบบนี้เหมือนกัน

 

 

พอโกซุจะตอบปากรับคำของคลิม ก็มีอีกคนพูดขัดเขาขึ้นมาก่อน

 

เธอคนนั้นคือพี่สาวของคลิม

 

 

 

「หากนั่นคือสิ่งที่คุณอยากจะทำก็เชิญเลยค่ะชิบะ เดี๋ยวฉันจะดูแลตรงนี้ให้เอง」

 

 

 

「เดี๋ยวสิ? ทำไมท่านพี่ถึง…」

 

 

คลิมรู้สึกตกใจกับคำพูดของพี่สาวเขา

 

 

 

โกซุเองก็เช่นกัน เขาเลิกคิ้วขวาของตนขึ้นก่อนจะมองไปทางไคลอา

 

 

 

「เจ้าแน่ใจแล้วเหรอ? 」

 

 

「ค่ะ คลิมเรียกมันว่าเรื่องส่วนตัวก็จริง แต่ทางฉันไม่คิดแบบนั้น หากนักผจญภัยที่ชื่อว่าโซระเป็นคนเดียวกันกับที่เรารู้จักจริงๆ แล้ว บางทีเขาอาจจะมีความเกี่ยวข้องกับการตายของจินโบก็ได้」

 

 

 

「……หื้ม」

 

โกซุพยักหน้ารับคำของไคลอา

 

 

เขาคิดถึงเรื่องความเป็นไปได้ที่โซระอาจจะได้รับอาภรณ์วิญญาณมาแล้วก็จริง แต่เรื่องที่เขาจะเกี่ยวข้องกับการตายของจินโบนี่เขาไม่ได้คิดถึงมันเลย

 

ในฐานะอดีตผู้สืบทอดของตระกูลมิตสึรุกิแล้ว โซระไม่มีทางจะคิดฆ่านักรบของธงแห่งผืนป่าแน่ๆ นั่นคือสิ่งที่โกซุมอง

 

 

ทว่านี่มันก็ผ่านมาตั้ง 5 ปีแล้วตั้งแต่เขาออกมาจากเกาะ บางทีนิสัยของเขาอาจจะเปลี่ยนไปแล้วก็ได้

 

 

 

แต่ก็จริงหากมองว่าจินโบถูกโซระคนนั้นที่สามารถใช้อาภรณ์วิญญาณได้เช่นกันฆ่าตาย หากเป็นไปตามนี้ทุกอย่างมันก็น่าเชื่อถือมากกว่าดยุกดรากูนอทเป็นไหนๆ

 

 

 

「นอกจากนี้ หากเรายอมรับข้อเสนอที่จะอยู่ภายใต้การควบคุมของกิลด์นักผจญภัยยังไงเราก็ต้องเดินทางไปเมืองอิชกะเพื่อพบกิลด์มาสเตอร์เอลการ์ดในการคลายข้อสงสัยที่พวกเขาคิดกับพวกเราอยู่ แต่หากเราเคลื่อนไหวไปทั้งหมดพร้อมกันแนวป้องกันก็คงจะพังเอาจริงๆ ดังนั้นฉันฝากชิบะเป็นตัวแทนในการเดินทางไปก็แล้วกัน」

 

 

หากทำแบบนั้นก็คงจะไม่มีปัญหาด้วยหากจะทำการตรวจสอบเรื่องของโซระต่อ ไคลอากล่าว

 

 

 

「ใช่ไหมล่ะ หืม…คลิม? 」

 

 

คลิมสัมผัสได้ถึงบางอย่างที่อยู่ภายใต้รอยยิ้มของไคลอา

 

 

เธอไม่สามารถมองข้ามพฤติกรรมที่หยาบคายต่อโกซุที่มีตำแหน่งสูงกว่าพวกเธอได้ คลิมรู้สึกตัวสั่นขึ้นมาในทันที เพราะเขารู้ดีว่าหากพี่สาวของเขาโกรธมันจะเกิดเรื่องน่ากลัวขนาดไหนขึ้น

 

 

นอกจากนี้ ก็ยังมีเรื่องที่น้องชายของเขาฝากไปยังเอลการ์ดอย่าง “อย่ามาออกคำสั่งอะไรกับเขา” นั่นอีก พอพี่สาวของเขาเอาเรื่องนี้มาพูดด้วย คลิมก็เลยไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากพยักหน้ายอมไป

 

 

 

「…ถ้าเป็นงั้น ฉันก็ไม่มีอะไรจะบ่นแล้ว」

 

 

 

「แต่ก็ยังเหลือเรื่องที่นายต้องพูดอยู่ไม่ใช่หรือไงกัน? 」

 

 

 

「….ขอโทษนะชิบะ ที่ล้ำเส้นไปหน่อย」

 

 

 

「ฉันก็ต้องขออภัยด้วยเหมือนกันค่ะที่น้องชายของฉันหยาบคายกับคุณ」

 

 

ไคลอาพูดเสร็จก็โค้งคำนับให้กับโกซุ ทางคลิมที่เห็นแบบนั้นก็ทำตามแม้จะไม่เต็มใจนัก

 

 

 

โกซุก็ทำได้เพียงแค่ยิ้มให้กับภาพที่มักจะเห็นได้เป็นปกติของสองพี่น้องเบิร์ช

 

———
Note 1 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ ผมแปะไว้ใต้เม้นของเพจนะครับ และสามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+