การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~ 108 สมมติฐานของนักปราชญ์

Now you are reading การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~ Chapter 108 สมมติฐานของนักปราชญ์ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 108 สมมติฐานของนักปราชญ์

 

 

ดราก้อนสเลเยอร์

 

นั่นคือฉายาที่ผมได้รับมาหลังกลับเข้าเมืองอิชกะ การที่มนุษย์สามารถสังหารมังกรลงได้ถือว่าเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ไม่แพ้เหล่าวีรบุรุษในเทพนิยายเลย ทั้งในฐานะนักผจญภัยและนักรบ ผมสามารถรับเกียรติที่สูงสุดเกินกว่าใครจะจินตนาการเอาไว้ได้สำเร็จ

 

แต่ความสำเร็จที่ว่าไม่ใช่การ “โซโล่” รางวัลจริงๆ ที่ผมควรจะได้นั้นลดลงเหลือเพียง 1 ใน 4 จากที่ควร

 

เอาง่ายๆ ก็คือการปราบไฮดราในครั้งนี้ถูกยอมรับว่าเป็นผลงานของปาร์ตี้ 4 คน นั่นคือผมกับอีก 3 คนจากเกาะอสูรยักษ์

 

 

เอาเถอะ ก็ไม่แปลกอะไรมั้งที่จะสงสัยคนที่เคยถูกเรียกว่า ปรสิต ไม่กี่เดือนก่อน นอกจากนี้ ชื่อเสียงของผมก็เพิ่งจะสร้างมาได้ไม่นาน ถึงผมจะพยายามบอกว่าผมจัดการมันได้ด้วยตัวคนเดียวสุดท้ายพวกเขาก็จะเชื่อว่าเป็นเพราะผมคืออัศวินมังกร คราว โซราสก็ย่อมมีส่วนในผลงานดังกล่าวด้วย บทบาทของมันน่าจะมีมากกว่าตัวผมเปล่าๆ ความน่าเชื่อถืออะไร

 

 

กลับกัน 3 คนจากเกาะที่แสดงความสามารถในการป้องกันมอนสเตอร์ที่แนวป้องกัน ก่อนจะเกิดเหตุการณ์มังกรคำรามขึ้น ทั้งนักผจญภัยและเหล่าทหารก็ได้เห็นถึงความสามารถอันท่วมท้นของพวกเขาและได้รับการนับถือเป็นอย่างมาก ก็ไม่แปลกอะไรหากพวกเขาจะคิดว่า”หากเป็น 3 คนนี้ ต้องสังหารมังกรลงได้แน่นอน”

 

ผลก็เลยออกมาตามที่บอก การปราบไฮดราครั้งนี้คือการทำงานร่วมกัน 4 คน

 

อันที่จริงทางไคลอาก็ปฏิเสธเสียงแข็งเหมือนกันในเรื่องนี้ เธอบอกว่าพวกเธอไม่ได้มีส่วนร่วมในการปราบไฮดราครั้งนี้อยู่เลยและเธอไม่คู่ควรกับรางวัลที่จะได้

 

ทว่ามันก็มีไม่กี่คนหรอกที่ยอมรับคำพูดของเธอ โดยเฉพาะทางกิลด์นักผจญภัยที่รู้ว่าทั้ง 3 เข้าโจมตีซูซูเมะที่บ้านของผมก่อนหน้านี้ พวกที่ยังรู้จักผมในฐานะปรสิต ก็เอาแต่คิดว่าไคลอากับปาร์ตี้ของเธอเอาชนะไฮดราลงได้ และแบ่งปันความสำเร็จให้กับผมเพื่อเป็นการขอโทษกับเรื่องที่เกิดขึ้น

 

อันที่จริงถ้าพวกเขารู้รายละเอียดของการต่อสู้นั้นจริงๆ พวกเขาก็ต้องรู้สิว่าผมจัดการทั้ง 3 คนไปแล้ว แต่ลิดเดลคงไม่ได้บอกพวกเขาในเรื่องนี้ หรือไม่ก็บอกไปแล้วแต่มันน่าเหลือเชื่อเกินไปละมั้ง เอาเป็นว่าบางคนยังคิดอยู่ว่าเกียรติยศที่ผมได้ในการสังหารมังกรเกิดจากบนโต๊ะ ไม่ใช่จากสนามรบ

 

ลงเอยที่พวกนั้นเรียกผมว่า ดราก้อนสเลเยอร์จอมปลอม พวกตัวปลอมที่ไม่ได้เข้าร่วมการต่อสู้กับไฮดรา แต่กลับได้รับผลบุญในตอนจบ

 

คิดแล้วก็น่ารำคาญจังเลยน้อ ถึงผมจะสามารถจัดการเรื่องนี้ได้ในทันทีก็เถอะ แต่นั่นก็หมายความว่าผมต้องเอาอาภรณ์วิญญาณของผมออกมาให้ทุกคนได้ดูเพื่อแสดงความแข็งแกร่งของผม

 

 

 

ไม่ก็ต้องกระทืบไคลอาหรือเอลการ์ดต่อหน้าพวกเขา จากนั้นค่อยใช้เวทน้ำแข็งเอาไปยัดปากพวกที่ล้อเลียนผมน่าจะดี

 

แต่สุดท้ายผมก็ไม่ได้ทำแบบนั้นหรอกนะ

 

หรือก็คือผมไม่ลดตัวไปสนใจเรื่องไร้สาระพวกนั้น หากจะให้เทียบกับวิญญาณที่ผมกลืนกินมาได้จากไฮดราแล้ว ชื่อเสียงที่ผมมีในเมืองอิชกะก็เป็นได้แค่เหรียญทองแดง มันจะไปเทียบอะไรได้กับวิญญาณที่เหมือนเหรียญทอง นอกจากนี้ในอนาคตถ้าผมต้องการ แค่ชื่อเสียงมันไม่ได้สร้างยากขนาดนั้นหรอก

 

นอกเหนือจากนี้ผมยังเหลือเรื่องที่ต้องทำอีกเยอะด้วย ผมไม่สนหรอกว่าจะได้ฉายาว่า ดราก้อนสเลเยอร์ หรือ ดราก้อนสเลเยอร์จอมปลอม

 

แต่ถ้าให้บอกกันตามตรงผมแอบจดไว้แล้วนะว่าใครบ้างที่มันดูถูกผมและแคลนของผม เดี๋ยวไว้สักวันหนึ่งค่อยตามไปตอบแทนแล้วกัน

 

ก็นั่นแหละนะ นี่คือภาพรวมคร่าวๆ ของชื่อเสียงและชื่อเสียที่ผมได้รับมาตอนกลับมายังอิชกะ

 

 

ส่วนเรื่องที่ต้องทำจากนี้ไปก็มีทั้งการสำรวจรังมังกร การติดตามการเกิดขึ้นของสิ่งมีชีวิตในตำนานตัวใหม่ แล้วก็การจัดการกับพิษของไฮดราที่อยู่ในป่าทีทิส

 

ก็ไม่คิดหรอกนะว่ามังกรมันจะเกิดขึ้นมาใหม่ในอีก 1-2 วันนี้ แต่หากความเป็นไปได้มันไม่ใช่ 0 ผมก็ต้องระวังไว้ก่อน

 

ดังนั้นผมก็เลยตัดสินใจย้ายไปอยู่ที่รังของราชาแมลงวันพร้อมกับไคลอา แต่ถึงจะบอกว่าย้ายไปอยู่ ผมก็ยังเดินทางไปมาระหว่างป่ากับเมืองอิชกะด้วยคราว โซราสอยู่นะเออ เวลาที่อยู่ของทั้ง 2 ที่ก็แบ่งกันอย่างละครึ่งวัน

 

ส่วนเหตุผลที่ผมเลือกให้ไคลอาอาศัยอยู่ในถ้ำของราชาแมลงวันก็มีด้วยกัน 3 อย่าง

 

อย่างแรกเลยคือหากคิดถึงความรู้สึกของซูซูเมะ ชีล มิโรสลาฟ ที่ถูกไคลอาโจมตีเมื่อไม่กี่วันก่อน สองคนแรกถูกฟันจนบาดเจ็บ ส่วนทางมิโรสลาฟก็เกือบระเบิดตัวตายเพื่อปกป้องพวกเธอ ผมไม่มีทางปล่อยให้พวกเธออาศัยอยู่ใต้ชายคาเดียวกันได้หรอกนะ

 

ต่อมาก็คือเหตุผลด้านพลังรบ ในกรณีที่สิ่งมีชีวิตในตำนานเกิดขึ้นมาคนเดียวที่สามารถสู้เคียงข้างผมได้ก็มีแค่ไคลอา แถมเธอยังสามารถซื้อเวลาให้ผมระหว่างที่กลับเมืองได้ด้วย ผมเลยให้เธออยู่ที่นี่

 

เหตุผลสุดท้ายก็เรื่องส่วนตัวของผมเอง ไม่ได้เกี่ยวข้องกับรังมังกรหรือสิ่งมีชีวิตในตำนาน ก็อย่างที่รู้ผมกับไคลอาเป็นคนดังประจำเมืองอิชกะ ไม่ว่าจะทำอะไร ไปที่ไหน สายตาก็จะจับจ้องพวกเราเสมอ ถึงพวกผมจะหมกตัวอยู่แต่ในบ้าน แต่ไม่นานเดี๋ยวก็มีคนเข้ามาเยี่ยมเยือนเสมอ

 

 

พอพิจารณาจากเรื่องนี้ ถ้ำราชาแมลงวันนี่แหละเหมาะสมในการปลีกตัวสุดๆ แถมคงไม่ต้องบอกนะว่าพอไคลอาอยู่ที่นี่ เธอจะต้องโดนอะไรบ้าง ผมเริ่มทำการทรมานไคลอาด้วยพลังทั้งหมดที่มี ตั้งแต่เช้ายันค่ำ――อะแฮ่ม ไอ้ที่ว่ามาผมล้อเล่นนะ ถึงมันจะเป็นไปได้ก็เถอะ แต่ตราบใดที่ไคลอายังเชื่อฟังคำสั่งของและคนของเกาะไม่เข้ามารบกวนผม ผมก็ไม่มีเจตนาจะแตะต้องแม้แต่เส้นผมสีขาวของเพื่อนร่วมรุ่นผมหรอกนะ

 

แล้วถ้าถามว่าผมทำอะไรกับเธอล่ะถ้าไม่ใช่เรื่องนั้น ก็ไม่มีอะไรมากหรอก ผมทำการจับคู่ซ้อมกับเธอด้วยดาบจริง จะว่าไงดีล่ะการฝึกเดธแมตซ์ก็คงได้มั้ง

 

ไคลอาไม่ได้เหมือนกับผม เธอเป็นศิษย์สำนักมายาดาบเดียวตัวจริงที่ผ่านพิธีทดสอบมาได้ ดังนั้นการได้ต่อสู้กับเธออย่างจริงจังมันก็จะช่วยขัดเกลาฝีมือของผมที่คอยเรียนรู้ด้วยตัวเองมาตลอดได้เป็นอย่างดี

 

แต่ดาบจริงที่ผมบอกไปมันก็ไม่ใช่อาภรณ์วิญญาณหรอกนะ หากคิดจะใช้ขึ้นมาจริงๆ การต่อสู้คงจบโดยใช้เวลาไม่นานแน่

 

ดังนั้นพวกผมเลยฝึกกันโดยไม่ใช้อาภรณ์วิญญาณหรือเทคนิคคิ การต่อสู้ของพวกผมคือวิชาดาบล้วนๆ นอกจากนี้ก็ยังมีการฝึกต่อสู้ด้วยมือเปล่าที่ไม่พึ่งพาพลังคิในการเสริมแกร่ง พอเริ่มชินกันแล้วพวกผมก็เริ่มต่อสู้กันโดยให้ไคลอามีแต้มต่อ อย่างการที่ผมจะไม่ใช้อาภรณ์วิญญาณและคิเพียงฝ่ายเดียว

 

 

และเพราะผมกับไคลอาเป็นผู้ที่สามารถใช้คิได้กันทั้งคู่ การต่อสู้ของพวกผมก็เลยกินเวลานานจนลืมวันลืมคืนไป อย่างวันนี้ก็เหมือนกัน พวกผมฝึกกันจนร่างกายของไคลอาถึงขีดจำกัด โดยตอนนี้เธอได้นอนลงกับพื้นในสภาพที่หลังชุ่มไปด้วยเหงื่อ

 

◆◆◆

 

“ยินดีต้อนรับกลับค่ะ มาสเตอร์”

 

คนที่ทักทายผมหลังจากกลับผมมาคงถ้ำราชาแมลงวันพร้อมกับไคลอาก็คือลูนามาเรีย ตอนนี้คนที่อยู่ในถ้ำก็จะมีผม ไคลอา และลูนามาเรีย

 

ที่ผมพาลูนามาเรียมาด้วยก็เป็นเพราะเธอคือคนเดียวที่ไม่ได้ต่อสู้กับไคลอาโดยตรง ทางลูนามาเรียเป็นคนที่รับมือกับคลิม ก็ไม่ใช่ว่าเธอจะไม่สนใจอะไรไคลอาเลยหรอกนะ แต่อย่างน้อยผมคิดว่าเธอก็คงเผชิญหน้ากับไคลอาได้ดีกว่าทั้ง 3 คนที่เหลือในด้านความรู้สึก

 

นอกจากนี้ ผมก็อยากฟังความเห็นของลูนามาเรียเกี่ยวกับเรื่องในป่าส่วนลึกที่ถูกพิษของไฮดรากลืนกินและเรื่องรังมังกรด้วย ทั้งในฐานะเอลฟ์ที่อาศัยอยู่ในป่าและปราชญ์

 

ลูนามาเรียก็เหมือนจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในทันทีที่เห็นผมแบกไคลอาเอาไว้ด้านหลัง ก่อนจะเอียงศีรษะเล็กน้อยเหมือนไม่พอใจอะไรสักอย่าง

 

 

ก็นั่นแหละนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอเห็นผมแบกไคลอากลับมาด้วย ทุกครั้งที่เจอแบบนี้ ผมก็จะขอให้เธอช่วยเปลี่ยนเสื้อผ้าและทำความสะอาดร่างกายให้กับไคลอา ดูเหมือนทางลูนามาเรียก็อยากจะพูดอะไรสักอย่างกับเรื่องนี้เหมือนกัน

 

สุดท้ายลูนามาเรียก็ไม่ได้บ่นหรือต่อว่าผมสักคำ แต่ถึงผมจะโดนบ่นประมาณว่า “ได้โปรดคำนึงถึงสภาพของเธอให้มากกว่านี้หน่อยเถอะค่ะ” ผมก็ไม่คิดจะฟังหรอกนะเออ

 

 

ผมเป็นพวกเด็กดื้อซะด้วยสิ เธอก็น่าจะรู้ดี ผมไม่มีทางจะยอมปล่อยเรื่องที่ทั้ง 3 คนทำไปง่ายๆ หรอกนะ แถมที่เธอโดนยังไม่หนักเท่าของโกซุกับคลิมที่โดนผมกระทืบไปด้วย นั่นก็เพราะเธอเป็นคนเดียวที่คุกเข่าขอร้องผมด้วยตัวเอง แต่ก็นั่นแหละพอเห็นแบบนี้ ผมก็เลยตั้งใจจะให้เธอเป็นคู่ซ้อมกับผมไปอีกสักพัก

 

หลังจากจบเรื่องนี้ ผมก็จะกลับไปเมืองอิชกะพร้อมกับลูนามาเรีย นั่นก็หมายความว่าไคลอาจะอยู่ที่นี่เพียงคำเดียว ก็จริงว่าช่วงเวลาดังกล่าวเธอสามารถหลบหนีออกไปได้ แต่ถ้าเกิดเป็นงั้นจริงเธอคงต้องได้รับบทบาทใหม่เข้ามาด้วยซะแล้วสิ บทบาทของเสบียงวิญญาณ

 

ว่ากันตามตรงนะ ผมก็อยากจะลองกินวิญญาณของมนุษย์ที่มีอนิม่าอยู่เหมือนกัน ดังนั้นไม่ปฏิเสธหรอกนะว่าผมตั้งใจสร้างสภาพแวดล้อมให้ง่ายต่อการหลบหนีไว้

 

ขณะที่ผมกำลังคิดเรื่องนี้อยู่ ลูนามาเรียที่จัดการเรื่องของไคลอาเสร็จก็เดินมาหาผมและพูดด้วยสีหน้าที่จริงจัง

 

 

“มาสเตอร์ ฉันมีเรื่องอยากจะคุยด้วยหน่อยค่ะ”

 

“คุยเหรอ?”

 

ตอนแรกผมคิดว่าคงเป็นเรื่องของไคลอา แต่พอได้ยินประโยคถัดไปผมก็ต้องคิดผิด

 

 

“เกี่ยวกับรังมังกรที่ท่านพาฉันไปดูเมื่อวันก่อนค่ะ นอกจากนี้ก็เรื่องของประตูปีศาจที่อยู่บนเกาะอสูรยักษ์ด้วย”

 

“หือ”

 

ก็ตามที่เธอบอก ผมเคยพาเธอไปดูที่รังมังกรมาแล้วรอบหนึ่ง

 

ไคลอาก็เดินทางไปกับพวกผมด้วย และได้รู้ถึงเรื่องที่ไคลอาพูดเอาไว้ตอนไปรังมังกรครั้งแรก ตอนที่ไคลอาเรียกรังมังกรว่าประตูปีศาจ

 

จากที่ไคลอาบอก ข้อมูลมันก็ค่อนข้างคลุมเครืออยู่นะ เพราะเธอบอกว่าเธอจำอะไรไม่ค่อยได้เกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้น เพราะหมดสติไปตอนที่ถึงรังมังกร

 

แต่สิ่งเดียวที่ไคลอาจำได้คือความรู้สึก เธอสัมผัสได้ว่าความรู้สึกที่เจอตอนอยู่หน้ารังมังกรมันเป็นความรู้สึกเดียวกันกับตอนที่เธอผ่านเข้าไปยังประตูปีศาจ ตอนนั้นเธอก็เลยพูดขึ้นมาว่า “ประตูปีศาจ…”

 

ส่วนทางผมที่พิธีทดสอบยังไม่ผ่าน ก็คงไม่มีโอกาสเข้าประตูปีศาจหรอก ดังนั้นผมก็ไม่รู้หรอกนะว่าสิ่งที่ไคลอาพูดจริงหรือเปล่า

 

แต่จุดร่วมที่รังมังกรกับประตูปีศาจมีเหมือนกันก็คงจะเป็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นรอบๆ มัน ทั้งระบบนิเวศน์และสิ่งมีชีวิตบริเวณนั้น

 

ผมได้บอกลูนามาเรียก่อนจะพาเธอไปยังรังมังกร โดยหวังว่าเอลฟ์ผู้รอบรู้ที่สังเกตเห็นถึงอนิม่าของผมได้ก่อนใครจะสัมผัสสิ่งที่ผมพลาดไปได้

 

 

แล้วก็เป็นไปตามที่คาด ลูนามาเรียตอบรับคำคาดหวังของผมได้อย่างดี

 

 

“สิ่งที่ฉันจะบอกท่านต่อจากนี้คือเรื่องที่ฉันอนุมานขึ้นมาเอง ได้โปรดฟังโดยคำนึงถึงเรื่องนี้ก่อนนะคะ”

 

“เข้าใจแล้ว”

 

“อย่างแรกเลยคือ รังมังกรมันคือจุดที่แหล่งพลังงานจากโลกถูกปลดปล่อยออกมา สิ่งที่ไหลเวียนอยู่รอบๆ นั่นจึงเป็นพลังที่มีความบริสุทธิ์สูงมาก หากคิดง่ายๆ มันก็เป็นเหมือนลาวาที่ไหลออกมาจากภูเขาไฟที่ระเบิด หรือน้ำหลากที่ทะลักออกมา มันไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์จะสัมผัสได้ด้วยมือเปล่าค่ะ”

 

“งั้นเหรอ ทางฉันคิดว่าหากเป็นไปได้เราอาจจะใช้พลังนั้นในการจัดการกับพิษของไฮดราในส่วนลึกของป่าได้ซะอีก…”

 

พอลูนามาเรียได้ยินที่ผมบอกเธอก็ส่ายหน้าไปมา

 

 

“หากเราแตะต้องมันเข้าไปตรงๆ ฉันมองว่ามันจะเกิดหายนะที่หนักกว่าพิษของไฮดราค่ะ พลังที่ออกมาจากรังมังกรนั้นมันคือสิ่งที่สร้างความผิดปกติให้ทั้งพืชและสิ่งมีชีวิตอื่นอย่างไม่ต้องสงสัย ภาพที่ท่านแสดงให้เห็นในส่วนลึกของป่ามันก็บอกได้ชัดแล้วว่ามันคือสิ่งที่รุนแรงยิ่งกว่าพิษเป็นไหนๆ”

 

จากนั้นลูนามาเรียก็เริ่มอ้างอิงถึงที่มาในการอนุมานของเธอ

 

 

 

“ถึงฉันจะไม่เคยเห็นมันมาก่อน แต่ประตูปีศาจที่อยู่บนเกาะอสูรยักษ์คงจะมีคุณลักษณะเหมือนกับรังมังกร ซึ่งส่งผลทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งพืชและสัตว์ใช่ไหมคะ”

 

“อื้อ ฉันได้ยินมาว่าพวกพืชบนเกาะเปลี่ยนไปตั้งแต่มีประตูปีศาจเกิดขึ้น ความแข็งแกร่งของมอนสเตอร์รอบๆ ก็ผิดปกติจนทวีปหลักเทียบไม่ติด สาเหตุก็เพราะประตูนั่นแหละ”

 

 

“ถ้างั้นมาสเตอร์ ท่านไม่คิดบ้างเหรอคะว่าประตูดังกล่าวมันก็ส่งผลกับผู้คนที่อาศัยอยู่รอบๆ มันด้วย?”

 

ผมขมวดคิ้วกับคำถามของลูนามาเรีย

 

มันไม่ใช่เพราะคำพูดของเธอผิดหรอกนะ แต่ผมตกใจว่าทำไมตัวเองถึงไม่สังเกตถึงเรื่องนี้ได้กัน

 

ก็นั่นสินะ พอมาคิดดูดีๆ คำตอบมันก็ชัดอยู่แล้วนี่ เพราะผมเป็นคนอาศัยอยู่บนเกาะมาตั้งแต่แรก ดังนั้นผมก็คงไม่รู้หรอกว่ามันมีอะไรแตกต่างจากคนอื่นเพราะทุกคนที่ผมรู้จักก็เป็นคนบนเกาะ

 

ยกตัวอย่างง่ายๆ ก็คือ ผมไม่เคยได้ยินเลยว่ามนุษย์กลายร่างเป็นมอนสเตอร์ หรือเด็กทารกเกิดมามีเขา ในเกาะมาก่อนเลยสักนิด

 

คนที่อาศัยอยู่บนเกาะก็สามารถใช้ชีวิตประจำวันกันได้ตามปกติและพวกเขาก็อยู่กันมานานพอจนมั่นใจแล้วว่าประตูปีศาจไม่ส่งผลกระทบต่อพวกเขา

 

พอเห็นท่าทางของผม ลูนามาเรียก็พูดต่อด้วยสายตาที่เฉียบคม

 

“มาสเตอร์ ถึงฉันจะรู้จักคนที่มาจากเกาะเพียงแค่ 4 คน แต่ทั้ง 4 คนรวมถึงท่านก็ต่างมีพลังที่มนุษย์ธรรมดาไม่สามารถเทียบได้เลย นอกจากนี้ก็มีมังกรในตัวท่านอีก….สิ่งที่ท่านเรียกกันว่าอนิม่า…ฉันมองว่านั่นคือสิ่งที่ผิดปกติค่ะ ก็จริงอยู่ว่าหากฉันฝึกฝนการยิงธนูมากพอ ฉันก็อาจจะบรรลุศาสตร์ระดับสูงได้เหมือนกัน แต่ว่าก็ยังเทียบกับพลังของท่านไม่ได้ ไม่คิดบ้างเหรอคะว่าพลังที่ท่านมีมันไม่ใช่สิ่งที่เผ่าพันธุ์มนุษย์จะมีได้เลย?”

——–

Note 1 : เหมือนลูน่าอยากจะบอกว่ามีเพียงปีศาจเท่านั้นที่สังหารปีศาจได้เลยแฮะ พวกบนเกาะก็อาจจะไม่ใช่มนุษย์ 100% ก็ได้

Note 2 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ ผมแปะไว้ใต้เม้นของเพจนะครับ และสามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~ 108 สมมติฐานของนักปราชญ์

Now you are reading การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~ Chapter 108 สมมติฐานของนักปราชญ์ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 108 สมมติฐานของนักปราชญ์

 

 

ดราก้อนสเลเยอร์

 

นั่นคือฉายาที่ผมได้รับมาหลังกลับเข้าเมืองอิชกะ การที่มนุษย์สามารถสังหารมังกรลงได้ถือว่าเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ไม่แพ้เหล่าวีรบุรุษในเทพนิยายเลย ทั้งในฐานะนักผจญภัยและนักรบ ผมสามารถรับเกียรติที่สูงสุดเกินกว่าใครจะจินตนาการเอาไว้ได้สำเร็จ

 

แต่ความสำเร็จที่ว่าไม่ใช่การ “โซโล่” รางวัลจริงๆ ที่ผมควรจะได้นั้นลดลงเหลือเพียง 1 ใน 4 จากที่ควร

 

เอาง่ายๆ ก็คือการปราบไฮดราในครั้งนี้ถูกยอมรับว่าเป็นผลงานของปาร์ตี้ 4 คน นั่นคือผมกับอีก 3 คนจากเกาะอสูรยักษ์

 

 

เอาเถอะ ก็ไม่แปลกอะไรมั้งที่จะสงสัยคนที่เคยถูกเรียกว่า ปรสิต ไม่กี่เดือนก่อน นอกจากนี้ ชื่อเสียงของผมก็เพิ่งจะสร้างมาได้ไม่นาน ถึงผมจะพยายามบอกว่าผมจัดการมันได้ด้วยตัวคนเดียวสุดท้ายพวกเขาก็จะเชื่อว่าเป็นเพราะผมคืออัศวินมังกร คราว โซราสก็ย่อมมีส่วนในผลงานดังกล่าวด้วย บทบาทของมันน่าจะมีมากกว่าตัวผมเปล่าๆ ความน่าเชื่อถืออะไร

 

 

กลับกัน 3 คนจากเกาะที่แสดงความสามารถในการป้องกันมอนสเตอร์ที่แนวป้องกัน ก่อนจะเกิดเหตุการณ์มังกรคำรามขึ้น ทั้งนักผจญภัยและเหล่าทหารก็ได้เห็นถึงความสามารถอันท่วมท้นของพวกเขาและได้รับการนับถือเป็นอย่างมาก ก็ไม่แปลกอะไรหากพวกเขาจะคิดว่า”หากเป็น 3 คนนี้ ต้องสังหารมังกรลงได้แน่นอน”

 

ผลก็เลยออกมาตามที่บอก การปราบไฮดราครั้งนี้คือการทำงานร่วมกัน 4 คน

 

อันที่จริงทางไคลอาก็ปฏิเสธเสียงแข็งเหมือนกันในเรื่องนี้ เธอบอกว่าพวกเธอไม่ได้มีส่วนร่วมในการปราบไฮดราครั้งนี้อยู่เลยและเธอไม่คู่ควรกับรางวัลที่จะได้

 

ทว่ามันก็มีไม่กี่คนหรอกที่ยอมรับคำพูดของเธอ โดยเฉพาะทางกิลด์นักผจญภัยที่รู้ว่าทั้ง 3 เข้าโจมตีซูซูเมะที่บ้านของผมก่อนหน้านี้ พวกที่ยังรู้จักผมในฐานะปรสิต ก็เอาแต่คิดว่าไคลอากับปาร์ตี้ของเธอเอาชนะไฮดราลงได้ และแบ่งปันความสำเร็จให้กับผมเพื่อเป็นการขอโทษกับเรื่องที่เกิดขึ้น

 

อันที่จริงถ้าพวกเขารู้รายละเอียดของการต่อสู้นั้นจริงๆ พวกเขาก็ต้องรู้สิว่าผมจัดการทั้ง 3 คนไปแล้ว แต่ลิดเดลคงไม่ได้บอกพวกเขาในเรื่องนี้ หรือไม่ก็บอกไปแล้วแต่มันน่าเหลือเชื่อเกินไปละมั้ง เอาเป็นว่าบางคนยังคิดอยู่ว่าเกียรติยศที่ผมได้ในการสังหารมังกรเกิดจากบนโต๊ะ ไม่ใช่จากสนามรบ

 

ลงเอยที่พวกนั้นเรียกผมว่า ดราก้อนสเลเยอร์จอมปลอม พวกตัวปลอมที่ไม่ได้เข้าร่วมการต่อสู้กับไฮดรา แต่กลับได้รับผลบุญในตอนจบ

 

คิดแล้วก็น่ารำคาญจังเลยน้อ ถึงผมจะสามารถจัดการเรื่องนี้ได้ในทันทีก็เถอะ แต่นั่นก็หมายความว่าผมต้องเอาอาภรณ์วิญญาณของผมออกมาให้ทุกคนได้ดูเพื่อแสดงความแข็งแกร่งของผม

 

 

 

ไม่ก็ต้องกระทืบไคลอาหรือเอลการ์ดต่อหน้าพวกเขา จากนั้นค่อยใช้เวทน้ำแข็งเอาไปยัดปากพวกที่ล้อเลียนผมน่าจะดี

 

แต่สุดท้ายผมก็ไม่ได้ทำแบบนั้นหรอกนะ

 

หรือก็คือผมไม่ลดตัวไปสนใจเรื่องไร้สาระพวกนั้น หากจะให้เทียบกับวิญญาณที่ผมกลืนกินมาได้จากไฮดราแล้ว ชื่อเสียงที่ผมมีในเมืองอิชกะก็เป็นได้แค่เหรียญทองแดง มันจะไปเทียบอะไรได้กับวิญญาณที่เหมือนเหรียญทอง นอกจากนี้ในอนาคตถ้าผมต้องการ แค่ชื่อเสียงมันไม่ได้สร้างยากขนาดนั้นหรอก

 

นอกเหนือจากนี้ผมยังเหลือเรื่องที่ต้องทำอีกเยอะด้วย ผมไม่สนหรอกว่าจะได้ฉายาว่า ดราก้อนสเลเยอร์ หรือ ดราก้อนสเลเยอร์จอมปลอม

 

แต่ถ้าให้บอกกันตามตรงผมแอบจดไว้แล้วนะว่าใครบ้างที่มันดูถูกผมและแคลนของผม เดี๋ยวไว้สักวันหนึ่งค่อยตามไปตอบแทนแล้วกัน

 

ก็นั่นแหละนะ นี่คือภาพรวมคร่าวๆ ของชื่อเสียงและชื่อเสียที่ผมได้รับมาตอนกลับมายังอิชกะ

 

 

ส่วนเรื่องที่ต้องทำจากนี้ไปก็มีทั้งการสำรวจรังมังกร การติดตามการเกิดขึ้นของสิ่งมีชีวิตในตำนานตัวใหม่ แล้วก็การจัดการกับพิษของไฮดราที่อยู่ในป่าทีทิส

 

ก็ไม่คิดหรอกนะว่ามังกรมันจะเกิดขึ้นมาใหม่ในอีก 1-2 วันนี้ แต่หากความเป็นไปได้มันไม่ใช่ 0 ผมก็ต้องระวังไว้ก่อน

 

ดังนั้นผมก็เลยตัดสินใจย้ายไปอยู่ที่รังของราชาแมลงวันพร้อมกับไคลอา แต่ถึงจะบอกว่าย้ายไปอยู่ ผมก็ยังเดินทางไปมาระหว่างป่ากับเมืองอิชกะด้วยคราว โซราสอยู่นะเออ เวลาที่อยู่ของทั้ง 2 ที่ก็แบ่งกันอย่างละครึ่งวัน

 

ส่วนเหตุผลที่ผมเลือกให้ไคลอาอาศัยอยู่ในถ้ำของราชาแมลงวันก็มีด้วยกัน 3 อย่าง

 

อย่างแรกเลยคือหากคิดถึงความรู้สึกของซูซูเมะ ชีล มิโรสลาฟ ที่ถูกไคลอาโจมตีเมื่อไม่กี่วันก่อน สองคนแรกถูกฟันจนบาดเจ็บ ส่วนทางมิโรสลาฟก็เกือบระเบิดตัวตายเพื่อปกป้องพวกเธอ ผมไม่มีทางปล่อยให้พวกเธออาศัยอยู่ใต้ชายคาเดียวกันได้หรอกนะ

 

ต่อมาก็คือเหตุผลด้านพลังรบ ในกรณีที่สิ่งมีชีวิตในตำนานเกิดขึ้นมาคนเดียวที่สามารถสู้เคียงข้างผมได้ก็มีแค่ไคลอา แถมเธอยังสามารถซื้อเวลาให้ผมระหว่างที่กลับเมืองได้ด้วย ผมเลยให้เธออยู่ที่นี่

 

เหตุผลสุดท้ายก็เรื่องส่วนตัวของผมเอง ไม่ได้เกี่ยวข้องกับรังมังกรหรือสิ่งมีชีวิตในตำนาน ก็อย่างที่รู้ผมกับไคลอาเป็นคนดังประจำเมืองอิชกะ ไม่ว่าจะทำอะไร ไปที่ไหน สายตาก็จะจับจ้องพวกเราเสมอ ถึงพวกผมจะหมกตัวอยู่แต่ในบ้าน แต่ไม่นานเดี๋ยวก็มีคนเข้ามาเยี่ยมเยือนเสมอ

 

 

พอพิจารณาจากเรื่องนี้ ถ้ำราชาแมลงวันนี่แหละเหมาะสมในการปลีกตัวสุดๆ แถมคงไม่ต้องบอกนะว่าพอไคลอาอยู่ที่นี่ เธอจะต้องโดนอะไรบ้าง ผมเริ่มทำการทรมานไคลอาด้วยพลังทั้งหมดที่มี ตั้งแต่เช้ายันค่ำ――อะแฮ่ม ไอ้ที่ว่ามาผมล้อเล่นนะ ถึงมันจะเป็นไปได้ก็เถอะ แต่ตราบใดที่ไคลอายังเชื่อฟังคำสั่งของและคนของเกาะไม่เข้ามารบกวนผม ผมก็ไม่มีเจตนาจะแตะต้องแม้แต่เส้นผมสีขาวของเพื่อนร่วมรุ่นผมหรอกนะ

 

แล้วถ้าถามว่าผมทำอะไรกับเธอล่ะถ้าไม่ใช่เรื่องนั้น ก็ไม่มีอะไรมากหรอก ผมทำการจับคู่ซ้อมกับเธอด้วยดาบจริง จะว่าไงดีล่ะการฝึกเดธแมตซ์ก็คงได้มั้ง

 

ไคลอาไม่ได้เหมือนกับผม เธอเป็นศิษย์สำนักมายาดาบเดียวตัวจริงที่ผ่านพิธีทดสอบมาได้ ดังนั้นการได้ต่อสู้กับเธออย่างจริงจังมันก็จะช่วยขัดเกลาฝีมือของผมที่คอยเรียนรู้ด้วยตัวเองมาตลอดได้เป็นอย่างดี

 

แต่ดาบจริงที่ผมบอกไปมันก็ไม่ใช่อาภรณ์วิญญาณหรอกนะ หากคิดจะใช้ขึ้นมาจริงๆ การต่อสู้คงจบโดยใช้เวลาไม่นานแน่

 

ดังนั้นพวกผมเลยฝึกกันโดยไม่ใช้อาภรณ์วิญญาณหรือเทคนิคคิ การต่อสู้ของพวกผมคือวิชาดาบล้วนๆ นอกจากนี้ก็ยังมีการฝึกต่อสู้ด้วยมือเปล่าที่ไม่พึ่งพาพลังคิในการเสริมแกร่ง พอเริ่มชินกันแล้วพวกผมก็เริ่มต่อสู้กันโดยให้ไคลอามีแต้มต่อ อย่างการที่ผมจะไม่ใช้อาภรณ์วิญญาณและคิเพียงฝ่ายเดียว

 

 

และเพราะผมกับไคลอาเป็นผู้ที่สามารถใช้คิได้กันทั้งคู่ การต่อสู้ของพวกผมก็เลยกินเวลานานจนลืมวันลืมคืนไป อย่างวันนี้ก็เหมือนกัน พวกผมฝึกกันจนร่างกายของไคลอาถึงขีดจำกัด โดยตอนนี้เธอได้นอนลงกับพื้นในสภาพที่หลังชุ่มไปด้วยเหงื่อ

 

◆◆◆

 

“ยินดีต้อนรับกลับค่ะ มาสเตอร์”

 

คนที่ทักทายผมหลังจากกลับผมมาคงถ้ำราชาแมลงวันพร้อมกับไคลอาก็คือลูนามาเรีย ตอนนี้คนที่อยู่ในถ้ำก็จะมีผม ไคลอา และลูนามาเรีย

 

ที่ผมพาลูนามาเรียมาด้วยก็เป็นเพราะเธอคือคนเดียวที่ไม่ได้ต่อสู้กับไคลอาโดยตรง ทางลูนามาเรียเป็นคนที่รับมือกับคลิม ก็ไม่ใช่ว่าเธอจะไม่สนใจอะไรไคลอาเลยหรอกนะ แต่อย่างน้อยผมคิดว่าเธอก็คงเผชิญหน้ากับไคลอาได้ดีกว่าทั้ง 3 คนที่เหลือในด้านความรู้สึก

 

นอกจากนี้ ผมก็อยากฟังความเห็นของลูนามาเรียเกี่ยวกับเรื่องในป่าส่วนลึกที่ถูกพิษของไฮดรากลืนกินและเรื่องรังมังกรด้วย ทั้งในฐานะเอลฟ์ที่อาศัยอยู่ในป่าและปราชญ์

 

ลูนามาเรียก็เหมือนจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในทันทีที่เห็นผมแบกไคลอาเอาไว้ด้านหลัง ก่อนจะเอียงศีรษะเล็กน้อยเหมือนไม่พอใจอะไรสักอย่าง

 

 

ก็นั่นแหละนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอเห็นผมแบกไคลอากลับมาด้วย ทุกครั้งที่เจอแบบนี้ ผมก็จะขอให้เธอช่วยเปลี่ยนเสื้อผ้าและทำความสะอาดร่างกายให้กับไคลอา ดูเหมือนทางลูนามาเรียก็อยากจะพูดอะไรสักอย่างกับเรื่องนี้เหมือนกัน

 

สุดท้ายลูนามาเรียก็ไม่ได้บ่นหรือต่อว่าผมสักคำ แต่ถึงผมจะโดนบ่นประมาณว่า “ได้โปรดคำนึงถึงสภาพของเธอให้มากกว่านี้หน่อยเถอะค่ะ” ผมก็ไม่คิดจะฟังหรอกนะเออ

 

 

ผมเป็นพวกเด็กดื้อซะด้วยสิ เธอก็น่าจะรู้ดี ผมไม่มีทางจะยอมปล่อยเรื่องที่ทั้ง 3 คนทำไปง่ายๆ หรอกนะ แถมที่เธอโดนยังไม่หนักเท่าของโกซุกับคลิมที่โดนผมกระทืบไปด้วย นั่นก็เพราะเธอเป็นคนเดียวที่คุกเข่าขอร้องผมด้วยตัวเอง แต่ก็นั่นแหละพอเห็นแบบนี้ ผมก็เลยตั้งใจจะให้เธอเป็นคู่ซ้อมกับผมไปอีกสักพัก

 

หลังจากจบเรื่องนี้ ผมก็จะกลับไปเมืองอิชกะพร้อมกับลูนามาเรีย นั่นก็หมายความว่าไคลอาจะอยู่ที่นี่เพียงคำเดียว ก็จริงว่าช่วงเวลาดังกล่าวเธอสามารถหลบหนีออกไปได้ แต่ถ้าเกิดเป็นงั้นจริงเธอคงต้องได้รับบทบาทใหม่เข้ามาด้วยซะแล้วสิ บทบาทของเสบียงวิญญาณ

 

ว่ากันตามตรงนะ ผมก็อยากจะลองกินวิญญาณของมนุษย์ที่มีอนิม่าอยู่เหมือนกัน ดังนั้นไม่ปฏิเสธหรอกนะว่าผมตั้งใจสร้างสภาพแวดล้อมให้ง่ายต่อการหลบหนีไว้

 

ขณะที่ผมกำลังคิดเรื่องนี้อยู่ ลูนามาเรียที่จัดการเรื่องของไคลอาเสร็จก็เดินมาหาผมและพูดด้วยสีหน้าที่จริงจัง

 

 

“มาสเตอร์ ฉันมีเรื่องอยากจะคุยด้วยหน่อยค่ะ”

 

“คุยเหรอ?”

 

ตอนแรกผมคิดว่าคงเป็นเรื่องของไคลอา แต่พอได้ยินประโยคถัดไปผมก็ต้องคิดผิด

 

 

“เกี่ยวกับรังมังกรที่ท่านพาฉันไปดูเมื่อวันก่อนค่ะ นอกจากนี้ก็เรื่องของประตูปีศาจที่อยู่บนเกาะอสูรยักษ์ด้วย”

 

“หือ”

 

ก็ตามที่เธอบอก ผมเคยพาเธอไปดูที่รังมังกรมาแล้วรอบหนึ่ง

 

ไคลอาก็เดินทางไปกับพวกผมด้วย และได้รู้ถึงเรื่องที่ไคลอาพูดเอาไว้ตอนไปรังมังกรครั้งแรก ตอนที่ไคลอาเรียกรังมังกรว่าประตูปีศาจ

 

จากที่ไคลอาบอก ข้อมูลมันก็ค่อนข้างคลุมเครืออยู่นะ เพราะเธอบอกว่าเธอจำอะไรไม่ค่อยได้เกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้น เพราะหมดสติไปตอนที่ถึงรังมังกร

 

แต่สิ่งเดียวที่ไคลอาจำได้คือความรู้สึก เธอสัมผัสได้ว่าความรู้สึกที่เจอตอนอยู่หน้ารังมังกรมันเป็นความรู้สึกเดียวกันกับตอนที่เธอผ่านเข้าไปยังประตูปีศาจ ตอนนั้นเธอก็เลยพูดขึ้นมาว่า “ประตูปีศาจ…”

 

ส่วนทางผมที่พิธีทดสอบยังไม่ผ่าน ก็คงไม่มีโอกาสเข้าประตูปีศาจหรอก ดังนั้นผมก็ไม่รู้หรอกนะว่าสิ่งที่ไคลอาพูดจริงหรือเปล่า

 

แต่จุดร่วมที่รังมังกรกับประตูปีศาจมีเหมือนกันก็คงจะเป็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นรอบๆ มัน ทั้งระบบนิเวศน์และสิ่งมีชีวิตบริเวณนั้น

 

ผมได้บอกลูนามาเรียก่อนจะพาเธอไปยังรังมังกร โดยหวังว่าเอลฟ์ผู้รอบรู้ที่สังเกตเห็นถึงอนิม่าของผมได้ก่อนใครจะสัมผัสสิ่งที่ผมพลาดไปได้

 

 

แล้วก็เป็นไปตามที่คาด ลูนามาเรียตอบรับคำคาดหวังของผมได้อย่างดี

 

 

“สิ่งที่ฉันจะบอกท่านต่อจากนี้คือเรื่องที่ฉันอนุมานขึ้นมาเอง ได้โปรดฟังโดยคำนึงถึงเรื่องนี้ก่อนนะคะ”

 

“เข้าใจแล้ว”

 

“อย่างแรกเลยคือ รังมังกรมันคือจุดที่แหล่งพลังงานจากโลกถูกปลดปล่อยออกมา สิ่งที่ไหลเวียนอยู่รอบๆ นั่นจึงเป็นพลังที่มีความบริสุทธิ์สูงมาก หากคิดง่ายๆ มันก็เป็นเหมือนลาวาที่ไหลออกมาจากภูเขาไฟที่ระเบิด หรือน้ำหลากที่ทะลักออกมา มันไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์จะสัมผัสได้ด้วยมือเปล่าค่ะ”

 

“งั้นเหรอ ทางฉันคิดว่าหากเป็นไปได้เราอาจจะใช้พลังนั้นในการจัดการกับพิษของไฮดราในส่วนลึกของป่าได้ซะอีก…”

 

พอลูนามาเรียได้ยินที่ผมบอกเธอก็ส่ายหน้าไปมา

 

 

“หากเราแตะต้องมันเข้าไปตรงๆ ฉันมองว่ามันจะเกิดหายนะที่หนักกว่าพิษของไฮดราค่ะ พลังที่ออกมาจากรังมังกรนั้นมันคือสิ่งที่สร้างความผิดปกติให้ทั้งพืชและสิ่งมีชีวิตอื่นอย่างไม่ต้องสงสัย ภาพที่ท่านแสดงให้เห็นในส่วนลึกของป่ามันก็บอกได้ชัดแล้วว่ามันคือสิ่งที่รุนแรงยิ่งกว่าพิษเป็นไหนๆ”

 

จากนั้นลูนามาเรียก็เริ่มอ้างอิงถึงที่มาในการอนุมานของเธอ

 

 

 

“ถึงฉันจะไม่เคยเห็นมันมาก่อน แต่ประตูปีศาจที่อยู่บนเกาะอสูรยักษ์คงจะมีคุณลักษณะเหมือนกับรังมังกร ซึ่งส่งผลทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งพืชและสัตว์ใช่ไหมคะ”

 

“อื้อ ฉันได้ยินมาว่าพวกพืชบนเกาะเปลี่ยนไปตั้งแต่มีประตูปีศาจเกิดขึ้น ความแข็งแกร่งของมอนสเตอร์รอบๆ ก็ผิดปกติจนทวีปหลักเทียบไม่ติด สาเหตุก็เพราะประตูนั่นแหละ”

 

 

“ถ้างั้นมาสเตอร์ ท่านไม่คิดบ้างเหรอคะว่าประตูดังกล่าวมันก็ส่งผลกับผู้คนที่อาศัยอยู่รอบๆ มันด้วย?”

 

ผมขมวดคิ้วกับคำถามของลูนามาเรีย

 

มันไม่ใช่เพราะคำพูดของเธอผิดหรอกนะ แต่ผมตกใจว่าทำไมตัวเองถึงไม่สังเกตถึงเรื่องนี้ได้กัน

 

ก็นั่นสินะ พอมาคิดดูดีๆ คำตอบมันก็ชัดอยู่แล้วนี่ เพราะผมเป็นคนอาศัยอยู่บนเกาะมาตั้งแต่แรก ดังนั้นผมก็คงไม่รู้หรอกว่ามันมีอะไรแตกต่างจากคนอื่นเพราะทุกคนที่ผมรู้จักก็เป็นคนบนเกาะ

 

ยกตัวอย่างง่ายๆ ก็คือ ผมไม่เคยได้ยินเลยว่ามนุษย์กลายร่างเป็นมอนสเตอร์ หรือเด็กทารกเกิดมามีเขา ในเกาะมาก่อนเลยสักนิด

 

คนที่อาศัยอยู่บนเกาะก็สามารถใช้ชีวิตประจำวันกันได้ตามปกติและพวกเขาก็อยู่กันมานานพอจนมั่นใจแล้วว่าประตูปีศาจไม่ส่งผลกระทบต่อพวกเขา

 

พอเห็นท่าทางของผม ลูนามาเรียก็พูดต่อด้วยสายตาที่เฉียบคม

 

“มาสเตอร์ ถึงฉันจะรู้จักคนที่มาจากเกาะเพียงแค่ 4 คน แต่ทั้ง 4 คนรวมถึงท่านก็ต่างมีพลังที่มนุษย์ธรรมดาไม่สามารถเทียบได้เลย นอกจากนี้ก็มีมังกรในตัวท่านอีก….สิ่งที่ท่านเรียกกันว่าอนิม่า…ฉันมองว่านั่นคือสิ่งที่ผิดปกติค่ะ ก็จริงอยู่ว่าหากฉันฝึกฝนการยิงธนูมากพอ ฉันก็อาจจะบรรลุศาสตร์ระดับสูงได้เหมือนกัน แต่ว่าก็ยังเทียบกับพลังของท่านไม่ได้ ไม่คิดบ้างเหรอคะว่าพลังที่ท่านมีมันไม่ใช่สิ่งที่เผ่าพันธุ์มนุษย์จะมีได้เลย?”

——–

Note 1 : เหมือนลูน่าอยากจะบอกว่ามีเพียงปีศาจเท่านั้นที่สังหารปีศาจได้เลยแฮะ พวกบนเกาะก็อาจจะไม่ใช่มนุษย์ 100% ก็ได้

Note 2 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ ผมแปะไว้ใต้เม้นของเพจนะครับ และสามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+