การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~ 196 อีกฟากของประตูปีศาจ

Now you are reading การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~ Chapter 196 อีกฟากของประตูปีศาจ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 196 อีกฟากของประตูปีศาจ

 

โทริอิ (ซุ้มประตูศาลเจ้า) ขนาดใหญ่ซึ่งถูกย้อมด้วยสีแดงสด

 

มันคือสัญลักษณ์ปากทางเข้าของประตูปีศาจที่ตระกูลมิตสึรุกิปกป้องมาตลอด 300 ปี

 

 

 

คงจะเป็นการโกหกหากบอกว่าตอนที่ผมเห็นประตูปีศาจแล้วหัวใจของผมมันสงบนิ่ง ในอดีตผมอยากจะผ่านพิธีทดสอบและกลายเป็นนักรบแห่งผืนป่าจนเนื้อเต้นเพื่อจะปกป้องประตูแห่งนี้ ไม่คิดเลยจริงๆ ว่าจะได้มาที่นี่ในสถานการณ์นี้แทน

 

 

อย่างไรก็ตาม ยิ่งผมเข้าใกล้ประตูปีศาจมากเท่าใด อารมณ์ต่างๆ ก็เริ่มละลายหายไปราวกับหิมะ เหลือแต่เพียงความกดดันจากพลังที่แผ่ออกมาอย่างน่าสยดสยอง

 

 

มันคืบคลานเข้ามาที่เท้าของผมราวกับอากาศอันเย็นเยือก ก่อนจะค่อยๆ ไต่ไปตามผิวหนังบนร่าง ความรู้สึกมันคล้ายกับพลังที่เทพปีศาจแผ่ออกมาตอนผมสู้กับมันคราวก่อน ทว่านอกจากพลังจากเทพปีศาจ ประตูแห่งนี้มันสร้างความกดดันที่ดูลึกลับและน่ากลัวกว่าเยอะ

 

 

มันเป็นพลังที่ดูผิดแปลก จะว่าคล้ายมานาก็ไม่ใช่ พลังคิก็ไม่เชิง มันมีความแตกต่างที่สัญชาตญาณของผมสามารถรู้ได้ทันที แม้จะบอกไม่ได้ว่าคืออะไรก็ตาม ก่อนที่ผมจะรู้ตัว รูขุมขนทุกส่วนของร่างกายก็ลุกไปหมดแล้ว เหงื่อเย็นก็ไหลไปตามกระดูกสันหลัง

 

 

ความรู้สึกแบบนี้ผมจำมันได้ดี มันช่างใกล้เคียงกับสิ่งนั้นจริงๆ หลุมขนาดใหญ่ที่ไร้ก้นซึ่งผมเจอในส่วนลึกของป่าทีทิส――รังมังกร

 

ไม่แปลกใจเลยที่ทำไมตอนนั้นไคลอาถึงบอกว่ามันคือประตูปีศาจ

 

 

ตอนที่พวกเราเจอรังมังกรครั้งแรก ก่อนไคลอาจะหมดสติไปเธอได้พูดถึงประตูปีศาจออกมา ผมมั่นใจเลยว่าเธอคิดถูกแล้ว

 

 

รังมังกรและประตูปีศาจมีลักษณะคล้ายกัน คือก็ไม่อยากจะบอกว่าเป็นแบบเดียวกันหรอกนะ แต่สัมผัสที่ได้มันเหมือนกันจริงๆ

 

 

 

 

「…คุณโซระ เป็นอะไรไปหรือเปล่าคะ? 」

 

 

 

ไคลอาที่เดินตามหลังผมมาถาม บางทีเธออาจจะเห็นความกังวลเล็กๆ จากตัวผมก็ได้มั้ง

 

แต่เสียงนั่นมันก็ช่วยดึงสติผมกลับมา จากนั้นผมจึงตอบกลับเธอไปด้วยน้ำเสียงที่สงบนิ่ง

 

 

 

 

「อ้อ ก็แค่รู้สึกว่ามันน่าขนลุกดีน่ะ พอเห็นประตูที่ผนึกหายนะของโลกอยู่ตรงหน้า――เออซูร่า เธอคงไม่ว่าอะไรใช่ไหมถ้าฉันจะผ่านเข้าไปเลย? 」

 

 

 

「โอ้ ไม่มีปัญหาหรอก ผมได้รับอนุญาตจากหัวหน้าหน่วยแล้วด้วย」

 

 

 

แล้วก็เป็นเหมือนที่เธอพูด พวกคนที่เฝ้าประตูอยู่ไม่ได้เข้ามาหยุดผม ทว่าสายตาที่เฉียบคมของพวกเขานั้นจ้องมองมายังผม นั่นสิยังไงไคลอาก็เป็นถึงอาชญากรที่หลบหนีออกจากเกาะไป ส่วนผมก็เป็นอดีตผู้สืบทอดตระกูลที่โดยเนรเทศไปแล้ว

 

 

ส่วนที่น่าแปลกก็คงจะเป็นมันไม่ใช่สายตาที่เหยียดหยามหรืออะไรทำนองนั้นเลย ว่ากันตามตรงมันเหมือนเป็นสายตาที่รู้สึกสนใจและอยากสังเกตท่าทีมากกว่า

 

 

 

ไม่รู้คิดไปเองไหม แต่ผมสัมผัสได้ถึงสายตาที่ดูจะเคารพผมแปลกๆ ด้วย พอไปกระซิบถามเออซูร่าดูเธอก็บอกว่าสำหรับพวกนักรบแห่งผืนป่าที่มีนิสัยแปลกๆ อยู่มากมาย พวกเขาก็มักจะแสดงความเคารพต่อผู้ที่แข็งแกร่งอยู่แล้ว ขนาดตัวเธอเองถึงจะอายุยังน้อยแต่ก็ติดอันดับท็อป 10 ของหน่วยที่ 1 ผู้คนก็ยอมรับและชื่นชมในตัวเธออย่างไม่กังขาอะไร

 

 

บางทีการต่อสู้ภายในประตูปีศาจที่แสนโหดร้ายคงจะสร้างรากฐานแนวคิดสำหรับพวกเขาไปทางนี้พอสมควร

 

หลังจากคิดเรื่องพวกนี้เสร็จ ผมก็เดินเข้าไปภายในประตูปีศาจ

 

ทันทีที่ผมผ่านเข้าไป ความรู้สึกเหมือนมีอะไรเข้ามากระแทกอย่างรุนแรงก็พุ่งตรงมายังหัวของผม จนทำให้ผมหยุดเดิน

 

 

ถ้าจะให้อธิบายความรู้สึกมันก็ประมาณผมขี่บนหลังคราว โซราสแล้วทะยานไปบนฟ้า ก่อนจะทิ้งดิ่งลงมาจากหลังของมันในจุดที่สูงมากๆ แล้วกระแทกกับพื้น

 

 

 

มันเป็นความรู้สึกที่ไม่ลงรอยกันและไม่สบายใจซึ่งอธิบายได้ยากเสียเหลือเกิน ความรู้สึกที่น่าสะอิดสะเอียนมันทำให้ภาพตรงหน้าของผมพร่ามัว จนเกือบจะล้มลง

 

ผมพยายามกัดฟันเพื่อไม่ให้ร่างของผมล้มลงไปตรงนี้ จะมาแสดงท่าทางน่าสมเพชต่อหน้าไคลอาและเออซูร่าไม่ได้เด็ดขาด ผมพยายามประคองร่างของตัวเองไว้

 

 

ก็ไม่รู้หรอกนะว่าผ่านไปนานแค่ไหน แต่ถึงจะเป็นเพียงไม่กี่วินาที ผมก็คงรู้สึกว่ามันนานแสนนาน

 

พอรู้สึกตัว ภาพตรงหน้าของผมตอนนี้ก็เปลี่ยนไปเสียแล้ว

 

สิ่งแรกที่สะดุดสายตาผมมากที่สุดคงจะเป็นท้องฟ้าสีแดงสนิม

 

 

ผมมารู้ทีหลังว่า มันไม่ใช่แสงของอาทิตย์ขึ้นหรือตก มันไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงของท้องฟ้าตามกาลเวลา แต่สีแดงสนิมนี้คือสภาวะปกติภายในประตูปีศาจ

 

 

แม้ที่นี่จะมีดวงอาทิตย์ แต่มันก็เป็นเพียงกลุ่มก้อนความร้อนที่ลอยตัวอยู่บนฟ้า มันไม่ได้สาดแสงส่องลงมาเพื่อสร้างชีวิต จะให้พูดมันคงคล้ายกับพระจันทร์มากกว่าเพราะผมสามารถใช้ดวงตาจ้องมองมันได้ตรงๆ

 

 

 

ขณะที่คิดว่าหากผมตากผ้าไว้ที่นี่คงไม่มีวันแห้งแน่ ผมก็มองไปยังพื้นดินด้านล่างบ้าง

 

 

ภาพตรงหน้าที่เห็นคือป้อมปราการที่ตระกูลมิตสึรุกิสร้างขึ้นมาเพื่อป้องกันประตูปีศาจ แม้จะมีขนาดเล็กกว่าชูโตะ แต่มันก็คือปราการของเหล่านักรบแห่งผืนป่า แถมมันไม่ใช่ที่อยู่อาศัยหลักด้วย วัตถุประสงค์หลักในการใช้งานก็เพื่อการทหาร

 

ผมได้เห็นของสำหรับการป้องกันที่ดูเหมือนจะไม่จำเป็นสำหรับผู้ใช้อาภรณ์วิญญาณจำนวนมากติดตั้งเอาไว้ แต่มันก็พอจะสันนิษฐานได้ว่าอาจจะมีสถานการณ์ที่พวกเขาไม่สามารถใช้อาภรณ์วิญญาณได้ด้วย นอกจากนี้หากผู้ใช้อาภรณ์วิญญาณถูกจัดการจนหมด คนที่เหลือซึ่งยังใช้ไม่ได้ก็จำเป็นต้องออกมาต้านการบุกรุกด้วย ของพวกนี้คงจะมีไว้เผื่อสถานการณ์ฉุกเฉินแหละ

 

 

 

 

 

「งั้นตอนนี้ก็ไปห้องของผมก่อนละกัน จะได้ไปคุยเรื่องต่างๆ กันที่นั่นด้วย」

 

 

 

 

ไคลอาพยักหน้ารับและเดินตามเออซูร่าไป

 

 

นี่คือประสบการณ์ครั้งแรกที่ผมผ่านเข้ามาในประตูปีศาจ

 

 

 

 

 

 

◆◆

 

 

 

เออซูร่าได้รับห้องพักค่อนข้างใหญ่ ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะเธอคือคนระดับสูงของหน่วยที่ 1

 

 

หลังจากมาถึงห้องของเธอ พวกผมก็ได้พูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับแนวทางต่อจากนี้ จุดประสงค์หลักก็คือค้นหาคลิมที่หายตัวไปอันนี้ไม่เปลี่ยน แต่ปัญหาคือจะเริ่มจากตรงไหน

 

 

ผมไม่ได้รู้ทิศรู้ทางในคิไคซะด้วย――ส่วนคิไคที่ว่าก็เป็นคำที่เออซูร่ากับคนอื่นๆ ใช้เรียกอีกฟากของประตูปีศาจ ดังนั้นคงต้องมาค่อยๆ คิดแล้วว่าจะทำยังไงเพื่อค้นหาตัวคลิมดี

 

 

 

เดิมทีคิไคก็ไม่ใช่สถานที่ที่มนุษย์ธรรมดาจะเดินไปไหนมาไหนโดยไม่มีการเตรียมตัวให้ดี พลังแปลกๆ ที่ผมรู้สึกได้ตอนผ่านประตูปีศาจเข้ามา ตอนนี้มันหนักกว่าเดิมเสียอีก ตัวผมเองก็ยังต้องเสริมความแข็งแกร่งเพื่อป้องกันร่างกายของตัวเองเลย

 

 

ทางไคลอากับเออซูร่าเองก็ไม่ต่างกัน

 

 

นี่อาจจะเป็นหนึ่งในเหตุผลที่พวกตัวหลักๆ ต้องเป็นผู้ใช้อาภรณ์วิญญาณเท่านั้นก็ได้มั้ง คงงานหยาบแน่หากมาสู้ในที่แบบนี้โดยไม่สามารถใช้อาภรณ์วิญญาณได้

 

 

นอกจากนี้ การอยู่ภายในคิไคทุกคนจำเป็นต้องเสริมพลังคิให้กับบาเรียของตัวเองตลอดเวลาแม้จะในเวลานอน ว่ากันว่าพวกนักรบแห่งผืนป่ามักจะผลัดเวรกันกลับมาที่เมืองชูโตะบ่อยๆ ก็เพื่อฟื้นฟูพลังของตัวเอง

 

 

 

นี่เลยเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้มนุษย์ไม่สามารถอยู่ภายในคิไคได้นาน นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ตั้งแต่อดีต ตระกูลมิตสึรุกิจึงไม่คิดจะยึดครองดินแดนภายในคิไค เพราะถึงพวกเขาจะยึดมันมาได้สำเร็จ พวกเขาก็ไม่มีทางรักษามันไว้ได้

 

 

ยิ่งไปกว่านั้นจากที่เออซูร่าบอก อิทธิพลจากพลังของเทพปีศาจพักนี้มันรุนแรงขึ้นมา สภาพอากาศและผืนดินก็เต็มไปด้วยไอพิษ ในสถานการณ์แบบนี้เป็นไปไม่ได้เลยที่จะสุ่มค้นหาคลิมไปทั่วและจะพบตัวเขา

 

งั้นจะทำยังไงดีล่ะ

 

 

อันที่จริงผมก็แอบคิดแผนไว้บ้างแล้ว ตั้งแต่ตอนได้ยินไคลอาบอกเกี่ยวกับคิไคก่อนจะมีถึงเกาะ

 

อย่างแรกเลยคือหากจำเป็นต้องใช้พลังคิตลอดเวลาที่อยู่ภายในคิไค การจะหาโพชั่นสำหรับฟื้นฟูพลังคิไว้ก็เป็นตัวเลือกที่ถูกต้อง เหมือนจะเคยบอกไปหลายครั้งแล้วว่า พลังคิในตัวแต่ละคนนั้นจะมีปริมาณที่แตกต่างกันออกไปจะอยู่ได้สั้นหรือนานก็ขึ้นอยู่กับคนคนนั้น

 

แล้วทางผมเองก็ดันมียาที่มีโรสลาฟสร้างขึ้นมาโดยใช้เลือดของผม สิ่งนี้น่าจะช่วยทำให้พวกผมอยู่ในคิไคได้นานขึ้น แน่นอนว่าผมพกมาเยอะพอสมควร อันที่จริงถึงไม่มียาตัวนี้ ผมก็สามารถใช้เลือดของผมในการแก้ปัญหาได้

 

 

 

แต่บอกไว้ก่อนนะว่าที่พกมาน่ะไม่ใช่สำหรับผมหรอก มันไม่จำเป็นเลยสักนิดเพราะพลังของโซลอีทเตอร์นั้นแทบจะเรียกว่าไร้ขีดจำกัด เวลาที่ผมสามารถต่อสู้ได้นั้นเหลือเฟือ ขนาดตอนสู้กับไฮดรา 3 วัน 3 คืน มันยังไม่มีทีท่าว่าจะหมดเลย นอกจากนี้หากผมทำการฆ่าพวกมอนสเตอร์ในคิไคการฟื้นฟูพลังในตัวก็คงกลับมาเร็วกว่าเดิมอีก

 

 

 

ดังนั้นคงตัดปัญหาเรื่องเวลาที่จะอยู่ในคิไคไปได้

 

ส่วนต่อมาก็คือเรื่องวิธีตามหาตัวคลิม อันนี้ผมแอบคิดมาเหมือนกัน

 

 

ตามที่ไคลอาบอกผม คลิมเข้ามาในคิไคเพื่อจัดการกับอาซึมะกษัตริย์ของเหล่าคิจิน ดังนั้นการตรงไปถามอาซึมะเลยน่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด

 

 

 

ผมจะได้รู้ไปเลยว่าคลิมเอาชนะอาซึมะได้ไหม หรือบุกไปถึงตรงนั้นหรือยัง สำเร็จหรือล้มเหลว หากมีข้อมูลพวกนี้มาช่วย งานหลังจากนี้ก็น่าจะง่ายขึ้นด้วย

 

 

แต่สำหรับผมที่เป็นมนุษย์คงไม่มีทางจะเดินไปเคาะประตูวังอีกฝ่ายแล้วบอกว่า ขอเข้าไปหน่อยครับได้หรอก นอกจากนี้ตระกูลมิตสึรุกิก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเมืองของพวกคิจินอยู่ตรงไหน นี่คงจะเป็นข้อจำกัดสำหรับแผนนี้

 

 

ดังนั้นเพื่อจะหาที่ตั้งของเมืองได้ ผมจึงต้องได้รับความช่วยเหลือสักหน่อย

 

 

คงต้องพยายามจับคิจินมาเป็นตัวประกันเพื่อรีดข้อมูลสักหน่อย นอกจากนี้น่าจะพอใช้ต่อรองในการแลกตัวประกันได้ด้วย

 

 

อาจจะดูไม่ดีไปบ้างแต่ผมก็มองว่ามันเป็นแผนที่เข้าท่าพอสมควร

 

การโจมตีของพวกคิจินคราวก่อนคือการวัดระดับฝีมือของตระกูลมิตสึรุกิ คราวหน้าคงเป็นการรุกแบบเต็มขั้น ดังนั้นหากผมจับตัวพวกระดับสูงของทางนั้นได้ ก็น่าจะพอได้พูดคุยอะไรกันบ้างแหละ…ใกล้ๆ นี้ก็มีค่ายของพวกมันด้วยนี่นะ

——–

Note 1 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ ผมแปะไว้ใต้เม้นของเพจนะครับ และสามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด