การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~ 161 ราตรีคำราม
ตอนที่ 161 ราตรีคำราม
「จงกลืนกิน โซลอีทเตอร์」
วินาทีที่ผมชักดาบออกมา ทั่วถนนของเบลก้าก็ถูกปกคลุมไว้ด้วยความมืดมิด
การเคลื่อนไหวของเทพปีศาจที่มีหัวเป็นสัตว์ร้ายซึ่งหัวเราะออกมาอย่างสุขสมก็หยุดลง ดวงตาสีแดงเป็นประกายของมันจ้องมองมายังผม
ความรู้สึกเย็นยะเยือกได้ไหลผ่านมาตามสันหลังของผมทันที เมื่อถูกสายตานั้นจับจ้อง จนทำให้คิดว่าอาจจะเป็นเวทมนตร์ชนิดหนึ่งหรือเปล่า――ไม่สิ อาจจะเป็นลักษณะพิเศษของดวงตานั่นก็ได้ เพราะยังไงมันก็เป็นถึงเผ่าพันธุ์ในตำนาน ถ้าจะมีของแบบนั้นบ้างคงไม่แปลก
ผมทำการสะบัดอาภรณ์วิญญาณเบาๆ เพื่อปัดเป่ามนตร์นี้ออกไป แล้วจ้องมองไปยังปีศาจตรงหน้า
ตอนนี้แทบจะไม่เหลือร่องรอยของเอลฟ์ก่อนหน้านี้อีกแล้ว จะเหลือก็เพียงใบหน้าคล้ายกับสิงโต พลังเวทภายในร่างเอ่อล้นออกมาราวกับภูเขาไฟปะทุ วิญญาณของเธอก็เดือดพล่านราวกับพายุคลั่ง
คือถ้าผมไม่ได้เห็นการกลายร่างของเธอกับตา ผมคงคิดว่าเธอคือเผ่าพันธุ์ในตำนานมาตั้งแต่แรกแน่
ทว่าในกรณีนี้คือเหมือนกับเทพปีศาจพยายามจะขโมยร่างของเอลฟ์ ชักอยากรู้ความเป็นมาแล้วสิ
พวกเผ่าพันธุ์ในตำนานจะปรากฏขึ้นมาได้ก็ต่อเมื่อมีมานาจำนวนมหาศาลที่ไหลออกมาจากของอย่างรังมังกรในการหล่อเลี้ยงพวกมัน ดังนั้นเงื่อนไขของเธอก็ควรจะต้องมีอะไรใกล้เคียงกับไฮดราที่ผมสู้ไปก่อนหน้านี้
ทว่าหากเทียบมานาหรือพลังเวทอันไร้ที่สิ้นสุดของรังมังกรแล้ว พลังของมนุษย์หรือเอลฟ์ก็คงไม่มีทางจะเทียบได้แน่ ดังนั้นมันไม่มีความจำเป็นเลยสักนิดที่พวกเผ่าพันธุ์ในตำนานจะต้องมาพยายามขโมยร่างของเอลฟ์เพื่อจุติออกมา ก็แปลว่าตัวตนที่แท้จริงของสิ่งที่อยู่ตรงหน้าผม ไม่ใช่เผ่าพันธุ์ในตำนานของจริง――
「อนิม่า งั้นเหรอ? 」
ผมพึมพำออกมา เพราะบางครั้งอนิม่าก็พยายามจะกลืนกินเจ้าของร่างเพื่อให้ตัวเองได้ปรากฏตัวออกมาเหมือนกัน――อาการของเธอก็ดูเข้าเค้าพอสมควร
ก็ต้องขอบคุณโซลอีทเตอร์เหมือนกัน เพราะมันเป็นอนิม่าที่ไม่เคยคิดจะกลืนกินผม แถมยังเกื้อหนุนด้วยซ้ำ
แต่ก็นั่นแหละ ไม่ใช่อนิม่าทุกตัวจะร่วมมือกับเจ้าของร่าง การจะสยบมันได้ก็แตกต่างกันเป็นในแต่ละคนอีก หากอ้างอิงจากประวัติศาสตร์ของตระกูลมิตสึรุกิ จะพบได้ว่ายังมีคนอีกนับไม่ถ้วนที่ไม่สามารถรับมือกับอนิม่าได้จนสร้างความเสียหายให้พวกเขาทั้งทางร่างกายและจิตใจ
เอลฟ์คนนี้ก็น่าจะโดนมันกลืนกินเหมือนกัน
คำถามก็เลยมาตกที่ ทำไมถึงมีคนที่มีอนิม่าอยู่ที่เบลก้าได้กัน ทั้งที่มันห่างไกลจากเกาะอสูรยักษ์
――เห้อ ผมถอนหายใจออกมา
จะฆ่าเธอทิ้งตรงนี้เลยมันก็ได้แหละ แต่เทพปีศาจที่อยู่ตรงหน้าผมมันไม่ใช่มอนสเตอร์หรือเผ่าพันธุ์ในตำนาน มันเป็นเพียงอนิม่าที่หลุดการควบคุมจะฆ่าไปเฉยๆ ก็คิดว่าเสียเปล่าไปสักหน่อย
หากทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยดี ผมอาจจะสามารถหาแหล่งกินวิญญาณจากคนที่มีอนิม่าด้วย นอกจากนี้ผมยังสามารถเข้าถึงข้อมูลของอนิม่าเหมือนกับที่ตระกูลรู้ด้วย และถึงจะล้มเหลวอย่างน้อยผมก็สามารถกินวิญญาณของคนที่มีอนิม่าได้ จะทางไหนผมก็กำไร
นอกจากนี้ ผมก็จะได้รู้ด้วยว่าคนที่มีอนิม่าถ้าถูกกินวิญญาณไป วิญญาณของคนคนนั้นจะฟื้นฟูขึ้นมาได้ไหม
ผมนึกถึงเรื่องที่คุยกับซูซูเมะก่อนจะมาเบลก้า ตัวเธอที่เป็นคิจินสามารถเชื่อมโยงกับเทพปีศาจได้ด้วยเขาของเธอ――สัญญาณก็ปรากฏขึ้นมาภายในความฝันของเธอแล้วด้วย
ถึงตอนนี้เธอจะยังไม่ถูกเทพปีศาจนั่นควบคุม แต่ในอนาคตก็ไม่แน่ ดังนั้นผมควรจะหางรับมือกับมันไว้เผื่อด้วยก็ดี
ระหว่างที่คิด ผมก็เริ่มก้าวเท้าเข้าไปหาเทพปีศาจ
「ฮ่า!!」
ผมถ่ายพลังคิไปยังเท้าทั้งสองก่อนจะพุ่งไปข้างหน้าด้วยพลังทั้งหมด ทางเท้าหินตรงหน้าของผมได้ระเบิดกระจายไปทั่ว ระยะห่างของผมกับเทพปีศาจลดลงเหลือศูนย์
ได้ตัวแล้ว จากนั้นผมก็เหวี่ยงดาบอย่างไม่ลังเล
ทันใดนั้นเอง ร่างของเทพปีศาจก็ถูกห่อหุ้มไว้ด้วยแสงสีเขียว
บาเรียป้องกันที่ถูกห่อหุ้มเอาไว้ด้วยเวทมนตร์อันหนาแน่น บาเรียเทพปีศาจที่ปัดป้องได้แม้กระทั่งอาวุธเวท ดังนั้นแค่ดาบธรรมดาคงไม่สามารถแตะต้องมันได้แน่ ตราบใดที่บาเรียนี้ยังคงอยู่การจะสร้างบาดแผลให้กับมันคงยาก
ราวกับจะยืนยันความแข็งแกร่งของบาเรีย เทพปีศาจไม่ได้แสดงท่าทีว่าจะหลบการโจมตีที่รุนแรงของผมเลย เพราะมันไม่ได้สงสัยในความแข็งแกร่งของบาเรียตน มันมองว่ามนุษย์อย่างผมไม่สามารถทำร้ายมันได้แน่
ื――ทว่าคมดาบของโซลอีทเตอร์กลับฟันทะลวงเข้าไปอย่างง่ายดาย
「โฮ้กกกก!? 」
เสียงคำรามแห่งความประหลาดใจและเจ็บปวดดังออกมาจากร่างของเทพปีศาจที่ถูกฟัน
เสียงกรีดร้องที่รุนแรงได้ดังไปทั่วทิศเหมือนก่อนหน้านี้ ผู้คนรอบๆ ต่างก็พยายามปิดหูและนอนคร่ำครวญอยู่ที่พื้น
ก็จริงว่ามันอาจจะเป็นแค่การระบายความโกรธเกรี้ยวของเทำปีศาจ ทว่าผลของมันก็เหมือนกับมังกรคำราม แต่นั่นมันไม่ได้ผลกับผมหรอกนะ
สำหรับพวกปีศาจแล้ว เวทมนตร์ไม่ใช่สิ่งที่ต้องร่ายออกมา แต่เป็นสิ่งที่จะออกมาในทุกการเคลื่อนไหวและการกระทำของมัน เหมือนกับก่อนหน้านี้ที่รู้สึกเหมือนถูกสาปจากดวงตาของมัน
อย่างที่คิดเลย พลังของมันใกล้เคียงกับเผ่าพันธุ์ในตำนานจริงๆ แต่สำหรับผมมันก็ไม่ต่างอะไรไปมากกว่าเสียงที่น่ารำคาญ หากการต่อสู้เกิดขึ้นที่นี่ความเสียหายคงได้เกิดเป็นวงกว้างแน่ ก็จริงว่าไม่ได้อยากจะช่วยพวกคนที่มามุงกันหรอก แต่ปล่อยไว้เดี๋ยวจะยุ่งยากอีก
หากพลังของมันเป็นเหมือนในตำนานของเทพปีศาจ ก็เป็นไปได้ว่ามันจะสามารถสร้างโรคภัยขึ้นมาได้ อย่างที่คิดปล่อยทิ้งไว้ในเบลก้าอาจจะไม่ใช่ตัวเลือกที่ดี
คงต้องพามันออกไปนอกเบลก้าก่อน
หลังจากตัดสินใจได้แล้ว ผมก็พุ่งเข้าไปหาเทพปีศาจที่เหมือนจะถอยเพื่อรักษาระยะห่างและระวังอาภรณ์วิญญาณของผมมากขึ้น
「โก้วววว!」
หางทั้งสองของมันเหมือนจะไม่ต้องการให้ผมเข้าไปใกล้มันได้อีก มันจึงพุ่งออกมาจากร่างของเทพปีศาจราวกับหอกแหลม โดยที่ปลายของมันมีของเหลวซึ่งน่าจะเคลือบพิษเอาไว้อยู่ด้วย
ผมจึงทำการหลบการโจมตีของมันไปหนึ่งจังหวะ ก่อนจะพุ่งเข้าไปอีกครั้งแล้วเล็งบริเวณอกของมัน
จากนั้น
「ฮ้า!!」
ผมกำหมัดซ้ายเอาไว้แน่นแล้วรวบรวมพลังให้ได้มากที่สุด ก่อนจะชกเข้าไปอย่างเต็มแรง จนแม้แต่เกราะป้องกันของเทพปีศาจก็ไม่อาจจะรับไหว หมัดของผมกระแทกเข้ากับมันอย่างจังๆ
ตู้มมมม!! เสียงดังกึกก้องราวกับหมัดชนกำแพงเหล็ก ร่างของเทพปีศาจได้ปลิวขึ้นไปบนฟ้าราวกับลูกบอล
ร่างของมันปลิวขึ้นไปสูงจากพื้นมาก ราวกับยืนยันพลังของหมัดที่ผมปล่อยออกไป จากนั้นผมก็พุ่งตามขึ้นไป
ทว่าก่อนที่ผมจะได้ทำเช่นนั้น จู่ๆ ร่างของเทพปีศาจก็จัดท่าทางใหม่แล้วลอยตัวอยู่ในอากาศ
หากดูให้ดีๆ ก็จะเห็นว่า ปีกทั้ง 4 ของมันที่งอกออกมาส่งเสียงกระพือปีกอันดังลั่น เห็นได้ชัดว่ามันพยายามจะหนีผมแล้ว และมองว่าหากเป็นท้องฟ้ามนุษย์อย่างผมไม่น่าจะตามมาถึงได้
เทพปีศาจที่กางปีกอยู่ข้างบนนั้น กำลังโกรธจัดเลยแฮะ สายตาที่มันมองมาเต็มไปด้วยความเกลียดชัง
「อ้ากกกกกก!!」
จากนั้นมันก็คำรามออกมา ขณะที่ดวงตาของมันลุกโชนไปด้วยความโกรธแค้น
ปีกทั้ง 4 บนหลังของมันก็ถูกห่อหุ้มเอาไว้ด้วยแสงสีแดง เป็นสัญญาณของการโจมตีไม่ผิดแน่ จากนั้นแสงสีแดงจำนวนนับไม่ถ้วนก็พุ่งออกมาจากปีกของเทพปีศาจแล้วโปรยปรายลงสู่พื้น
มันคือการโจมตีระยะไกลที่ใช้พลังเวทปลดปล่อยออกมาจากปีก แสงสีแดงแต่ละอันก็ไม่ต่างอะไรกับอาวุธทรงอานุภาพที่เจาะได้แม้กระทั่งเหล็กกล้า
ถึงจะบอกว่าเป็นการโจมตีระยะไกล แต่ระยะของมันก็ไม่ได้ครอบคลุมทั่วทั้งเมือง ดังนั้นจะหลบก็ไม่ใช่เรื่องยาก
อย่างไรก็ตาม หากผมเลือกที่จะหลบ ความเสียหายก็จะเกิดขึ้นรอบๆ เมืองแทน เหนือสิ่งอื่นใด กะอีแค่การโจมตีนี่ผมไม่เห็นจะต้องหลบมันเลยด้วยซ้ำ
ผมได้ชี้ปลายดาบไปด้านหน้า ก่อนจะทำการปล่อยการโจมตีออกไปเพื่อหักล้าง แสงสีแดงพวกนั้น
「มายาสังหาร ลมกรด!」
มันเป็นเทคนิคใหม่ที่ผมได้แรงบันดาลใจมาจาก 「วายุหมุน」ของไคลอา ซึ่งเป็นการปลดปล่อยใบมีดแห่งสายลมจำนวนมากพร้อมกัน โดยอาศัยพลังคิ
การโจมตีของผมได้พุ่งขึ้นไปในอากาศและปะทะกับห่าฝนการโจมตีสีแดงของเทพปีศาจ
เสียงระเบิดอันรุนแรงได้ดังขึ้นกระแทกมาที่หูของผม มันคือเสียงของการหักล้างกันระหว่างพลังของผมกับเทพปีศาจ
ไม่รู้เหมือนกันว่ามันผ่านไปหนึ่งหรือสองวินาทีแล้ว
แต่เพียงแค่ช่วงสั้นๆ การโจมตีที่รุนแรงของผมก็ได้หักล้างและทะลวงการโจมตีของเทพปีศาจไปจนหมดสิ้น
「โฮ่กกกกกกก!? 」
เท่านั้นยังไม่พอ ลมพายุนั้นได้ทะลวงเข้าไปโจมตีร่างของมัน เทพปีศาจใช้มือทั้งสองปิดปกป้องร่างของตนเอาไว้ก่อนจะคำราม――ไม่สิกรีดร้องออกมา ปีกทั้ง 4 ที่เหมือนนกอินทรีของมันบัดนี้ได้ขาดวิ่นเพราะสายลมของผม ขนนกได้ร่วงหล่นกระจายไปทั่วราวกับกลีบดอกไม้ที่เริงระบำยามค่ำคืน
แน่นอนว่าทางผมย่อมไม่พลาดโอกาสนี้อยู่แล้ว หลังจากการฝึกฝนกับไคลอา ผมเลยพอจะต่อสู้ในอากาศได้ระดับหนึ่ง ผมเตะพื้นสามครั้งเหมือนเป็นการวอมก่อนจะพุ่งขึ้นไปบนฟ้า
นอกจากนี้ก็ถือว่าเป็นเรื่องโชคดีเหมือนกับที่เทพปีศาจมันเลือกจะบินหนีขึ้นไปบนอากาศแทน เพราะผมจะได้ไม่ต้องมากังวลว่าเทคนิคของผมมันจะไปสร้างความเสียหายให้กับอาคารบ้านเรือนไหม
เทพปีศาจก็คงเห็นเหมือนผมวิ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าด้วยบันไดที่มองไม่เห็น ดวงตาของมันจึงเบิกกว้างจนแทบทะลุออกมาจากเบ้า
จากนั้นผมก็เตะร่างของมันให้ออกไปข้างนอกกำแพงเมืองด้วยแรงทั้งหมดที่มี
ในค่ำคืนนี้เอง เมืองเบลก้าก็ได้เกิดความวุ่นวายขึ้น
เพราะแรงสั่นสะเทือนราวกับแผ่นดินไหว เสียงคำรามที่ชวนให้นึกถึงสายฟ้าฟาด
มันไม่ใช่เสียงของมนุษย์หรือสัตว์ นอกจากนี้ก็มีสายลมที่พัดโหมกระหน่ำจนทำให้บ้านเรือนสั่นสะเทือนด้วย
หลายคนจึงได้รีบหนีออกมาจากบ้าน แม้จะหลับกันไปแล้ว พวกเขาคิดว่ามันคือการโจมตีของพวกมอนสเตอร์ พวกทหารและนักผจญภัยที่เจนสนามรบก็ต่างสัมผัสได้ถึงความอันตรายที่เกิดจากเสียงคำรามนั้น
แต่ก็ไม่มีใครคาดเดาได้เลยว่ามันเกิดอะไรขึ้นในเมืองกันแน่
ก็แน่อยู่แล้วเพราะใครมันจะไปคิดล่ะว่าดราก้อนสเลเยอร์กับเทพปีศาจกำลังสู้กันอยู่
จริงว่าบางคนอาจจะรับรู้ถึงตัวตนของดราก้อนสเลเยอร์บ้างแล้ว แต่ก็ไม่อาจจะตามสถานการณ์ได้ทันอยู่ดี และไม่รู้ว่าทำไมเสียงแห่งการต่อสู้ที่ดังขึ้นอย่างต่อเนื่องถึงค่อยๆ เคลื่อนที่ไปทางทิศตะวันออก――ซึ่งมันคือทิศที่ตรงข้ามกับทะเลทราย
———
Note 1 : นิ่มจัด
Note 2 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ ผมแปะไว้ใต้เม้นของเพจนะครับ และสามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code
Comments
การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~ 161 ราตรีคำราม
ตอนที่ 161 ราตรีคำราม
「จงกลืนกิน โซลอีทเตอร์」
วินาทีที่ผมชักดาบออกมา ทั่วถนนของเบลก้าก็ถูกปกคลุมไว้ด้วยความมืดมิด
การเคลื่อนไหวของเทพปีศาจที่มีหัวเป็นสัตว์ร้ายซึ่งหัวเราะออกมาอย่างสุขสมก็หยุดลง ดวงตาสีแดงเป็นประกายของมันจ้องมองมายังผม
ความรู้สึกเย็นยะเยือกได้ไหลผ่านมาตามสันหลังของผมทันที เมื่อถูกสายตานั้นจับจ้อง จนทำให้คิดว่าอาจจะเป็นเวทมนตร์ชนิดหนึ่งหรือเปล่า――ไม่สิ อาจจะเป็นลักษณะพิเศษของดวงตานั่นก็ได้ เพราะยังไงมันก็เป็นถึงเผ่าพันธุ์ในตำนาน ถ้าจะมีของแบบนั้นบ้างคงไม่แปลก
ผมทำการสะบัดอาภรณ์วิญญาณเบาๆ เพื่อปัดเป่ามนตร์นี้ออกไป แล้วจ้องมองไปยังปีศาจตรงหน้า
ตอนนี้แทบจะไม่เหลือร่องรอยของเอลฟ์ก่อนหน้านี้อีกแล้ว จะเหลือก็เพียงใบหน้าคล้ายกับสิงโต พลังเวทภายในร่างเอ่อล้นออกมาราวกับภูเขาไฟปะทุ วิญญาณของเธอก็เดือดพล่านราวกับพายุคลั่ง
คือถ้าผมไม่ได้เห็นการกลายร่างของเธอกับตา ผมคงคิดว่าเธอคือเผ่าพันธุ์ในตำนานมาตั้งแต่แรกแน่
ทว่าในกรณีนี้คือเหมือนกับเทพปีศาจพยายามจะขโมยร่างของเอลฟ์ ชักอยากรู้ความเป็นมาแล้วสิ
พวกเผ่าพันธุ์ในตำนานจะปรากฏขึ้นมาได้ก็ต่อเมื่อมีมานาจำนวนมหาศาลที่ไหลออกมาจากของอย่างรังมังกรในการหล่อเลี้ยงพวกมัน ดังนั้นเงื่อนไขของเธอก็ควรจะต้องมีอะไรใกล้เคียงกับไฮดราที่ผมสู้ไปก่อนหน้านี้
ทว่าหากเทียบมานาหรือพลังเวทอันไร้ที่สิ้นสุดของรังมังกรแล้ว พลังของมนุษย์หรือเอลฟ์ก็คงไม่มีทางจะเทียบได้แน่ ดังนั้นมันไม่มีความจำเป็นเลยสักนิดที่พวกเผ่าพันธุ์ในตำนานจะต้องมาพยายามขโมยร่างของเอลฟ์เพื่อจุติออกมา ก็แปลว่าตัวตนที่แท้จริงของสิ่งที่อยู่ตรงหน้าผม ไม่ใช่เผ่าพันธุ์ในตำนานของจริง――
「อนิม่า งั้นเหรอ? 」
ผมพึมพำออกมา เพราะบางครั้งอนิม่าก็พยายามจะกลืนกินเจ้าของร่างเพื่อให้ตัวเองได้ปรากฏตัวออกมาเหมือนกัน――อาการของเธอก็ดูเข้าเค้าพอสมควร
ก็ต้องขอบคุณโซลอีทเตอร์เหมือนกัน เพราะมันเป็นอนิม่าที่ไม่เคยคิดจะกลืนกินผม แถมยังเกื้อหนุนด้วยซ้ำ
แต่ก็นั่นแหละ ไม่ใช่อนิม่าทุกตัวจะร่วมมือกับเจ้าของร่าง การจะสยบมันได้ก็แตกต่างกันเป็นในแต่ละคนอีก หากอ้างอิงจากประวัติศาสตร์ของตระกูลมิตสึรุกิ จะพบได้ว่ายังมีคนอีกนับไม่ถ้วนที่ไม่สามารถรับมือกับอนิม่าได้จนสร้างความเสียหายให้พวกเขาทั้งทางร่างกายและจิตใจ
เอลฟ์คนนี้ก็น่าจะโดนมันกลืนกินเหมือนกัน
คำถามก็เลยมาตกที่ ทำไมถึงมีคนที่มีอนิม่าอยู่ที่เบลก้าได้กัน ทั้งที่มันห่างไกลจากเกาะอสูรยักษ์
――เห้อ ผมถอนหายใจออกมา
จะฆ่าเธอทิ้งตรงนี้เลยมันก็ได้แหละ แต่เทพปีศาจที่อยู่ตรงหน้าผมมันไม่ใช่มอนสเตอร์หรือเผ่าพันธุ์ในตำนาน มันเป็นเพียงอนิม่าที่หลุดการควบคุมจะฆ่าไปเฉยๆ ก็คิดว่าเสียเปล่าไปสักหน่อย
หากทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยดี ผมอาจจะสามารถหาแหล่งกินวิญญาณจากคนที่มีอนิม่าด้วย นอกจากนี้ผมยังสามารถเข้าถึงข้อมูลของอนิม่าเหมือนกับที่ตระกูลรู้ด้วย และถึงจะล้มเหลวอย่างน้อยผมก็สามารถกินวิญญาณของคนที่มีอนิม่าได้ จะทางไหนผมก็กำไร
นอกจากนี้ ผมก็จะได้รู้ด้วยว่าคนที่มีอนิม่าถ้าถูกกินวิญญาณไป วิญญาณของคนคนนั้นจะฟื้นฟูขึ้นมาได้ไหม
ผมนึกถึงเรื่องที่คุยกับซูซูเมะก่อนจะมาเบลก้า ตัวเธอที่เป็นคิจินสามารถเชื่อมโยงกับเทพปีศาจได้ด้วยเขาของเธอ――สัญญาณก็ปรากฏขึ้นมาภายในความฝันของเธอแล้วด้วย
ถึงตอนนี้เธอจะยังไม่ถูกเทพปีศาจนั่นควบคุม แต่ในอนาคตก็ไม่แน่ ดังนั้นผมควรจะหางรับมือกับมันไว้เผื่อด้วยก็ดี
ระหว่างที่คิด ผมก็เริ่มก้าวเท้าเข้าไปหาเทพปีศาจ
「ฮ่า!!」
ผมถ่ายพลังคิไปยังเท้าทั้งสองก่อนจะพุ่งไปข้างหน้าด้วยพลังทั้งหมด ทางเท้าหินตรงหน้าของผมได้ระเบิดกระจายไปทั่ว ระยะห่างของผมกับเทพปีศาจลดลงเหลือศูนย์
ได้ตัวแล้ว จากนั้นผมก็เหวี่ยงดาบอย่างไม่ลังเล
ทันใดนั้นเอง ร่างของเทพปีศาจก็ถูกห่อหุ้มไว้ด้วยแสงสีเขียว
บาเรียป้องกันที่ถูกห่อหุ้มเอาไว้ด้วยเวทมนตร์อันหนาแน่น บาเรียเทพปีศาจที่ปัดป้องได้แม้กระทั่งอาวุธเวท ดังนั้นแค่ดาบธรรมดาคงไม่สามารถแตะต้องมันได้แน่ ตราบใดที่บาเรียนี้ยังคงอยู่การจะสร้างบาดแผลให้กับมันคงยาก
ราวกับจะยืนยันความแข็งแกร่งของบาเรีย เทพปีศาจไม่ได้แสดงท่าทีว่าจะหลบการโจมตีที่รุนแรงของผมเลย เพราะมันไม่ได้สงสัยในความแข็งแกร่งของบาเรียตน มันมองว่ามนุษย์อย่างผมไม่สามารถทำร้ายมันได้แน่
ื――ทว่าคมดาบของโซลอีทเตอร์กลับฟันทะลวงเข้าไปอย่างง่ายดาย
「โฮ้กกกก!? 」
เสียงคำรามแห่งความประหลาดใจและเจ็บปวดดังออกมาจากร่างของเทพปีศาจที่ถูกฟัน
เสียงกรีดร้องที่รุนแรงได้ดังไปทั่วทิศเหมือนก่อนหน้านี้ ผู้คนรอบๆ ต่างก็พยายามปิดหูและนอนคร่ำครวญอยู่ที่พื้น
ก็จริงว่ามันอาจจะเป็นแค่การระบายความโกรธเกรี้ยวของเทำปีศาจ ทว่าผลของมันก็เหมือนกับมังกรคำราม แต่นั่นมันไม่ได้ผลกับผมหรอกนะ
สำหรับพวกปีศาจแล้ว เวทมนตร์ไม่ใช่สิ่งที่ต้องร่ายออกมา แต่เป็นสิ่งที่จะออกมาในทุกการเคลื่อนไหวและการกระทำของมัน เหมือนกับก่อนหน้านี้ที่รู้สึกเหมือนถูกสาปจากดวงตาของมัน
อย่างที่คิดเลย พลังของมันใกล้เคียงกับเผ่าพันธุ์ในตำนานจริงๆ แต่สำหรับผมมันก็ไม่ต่างอะไรไปมากกว่าเสียงที่น่ารำคาญ หากการต่อสู้เกิดขึ้นที่นี่ความเสียหายคงได้เกิดเป็นวงกว้างแน่ ก็จริงว่าไม่ได้อยากจะช่วยพวกคนที่มามุงกันหรอก แต่ปล่อยไว้เดี๋ยวจะยุ่งยากอีก
หากพลังของมันเป็นเหมือนในตำนานของเทพปีศาจ ก็เป็นไปได้ว่ามันจะสามารถสร้างโรคภัยขึ้นมาได้ อย่างที่คิดปล่อยทิ้งไว้ในเบลก้าอาจจะไม่ใช่ตัวเลือกที่ดี
คงต้องพามันออกไปนอกเบลก้าก่อน
หลังจากตัดสินใจได้แล้ว ผมก็พุ่งเข้าไปหาเทพปีศาจที่เหมือนจะถอยเพื่อรักษาระยะห่างและระวังอาภรณ์วิญญาณของผมมากขึ้น
「โก้วววว!」
หางทั้งสองของมันเหมือนจะไม่ต้องการให้ผมเข้าไปใกล้มันได้อีก มันจึงพุ่งออกมาจากร่างของเทพปีศาจราวกับหอกแหลม โดยที่ปลายของมันมีของเหลวซึ่งน่าจะเคลือบพิษเอาไว้อยู่ด้วย
ผมจึงทำการหลบการโจมตีของมันไปหนึ่งจังหวะ ก่อนจะพุ่งเข้าไปอีกครั้งแล้วเล็งบริเวณอกของมัน
จากนั้น
「ฮ้า!!」
ผมกำหมัดซ้ายเอาไว้แน่นแล้วรวบรวมพลังให้ได้มากที่สุด ก่อนจะชกเข้าไปอย่างเต็มแรง จนแม้แต่เกราะป้องกันของเทพปีศาจก็ไม่อาจจะรับไหว หมัดของผมกระแทกเข้ากับมันอย่างจังๆ
ตู้มมมม!! เสียงดังกึกก้องราวกับหมัดชนกำแพงเหล็ก ร่างของเทพปีศาจได้ปลิวขึ้นไปบนฟ้าราวกับลูกบอล
ร่างของมันปลิวขึ้นไปสูงจากพื้นมาก ราวกับยืนยันพลังของหมัดที่ผมปล่อยออกไป จากนั้นผมก็พุ่งตามขึ้นไป
ทว่าก่อนที่ผมจะได้ทำเช่นนั้น จู่ๆ ร่างของเทพปีศาจก็จัดท่าทางใหม่แล้วลอยตัวอยู่ในอากาศ
หากดูให้ดีๆ ก็จะเห็นว่า ปีกทั้ง 4 ของมันที่งอกออกมาส่งเสียงกระพือปีกอันดังลั่น เห็นได้ชัดว่ามันพยายามจะหนีผมแล้ว และมองว่าหากเป็นท้องฟ้ามนุษย์อย่างผมไม่น่าจะตามมาถึงได้
เทพปีศาจที่กางปีกอยู่ข้างบนนั้น กำลังโกรธจัดเลยแฮะ สายตาที่มันมองมาเต็มไปด้วยความเกลียดชัง
「อ้ากกกกกก!!」
จากนั้นมันก็คำรามออกมา ขณะที่ดวงตาของมันลุกโชนไปด้วยความโกรธแค้น
ปีกทั้ง 4 บนหลังของมันก็ถูกห่อหุ้มเอาไว้ด้วยแสงสีแดง เป็นสัญญาณของการโจมตีไม่ผิดแน่ จากนั้นแสงสีแดงจำนวนนับไม่ถ้วนก็พุ่งออกมาจากปีกของเทพปีศาจแล้วโปรยปรายลงสู่พื้น
มันคือการโจมตีระยะไกลที่ใช้พลังเวทปลดปล่อยออกมาจากปีก แสงสีแดงแต่ละอันก็ไม่ต่างอะไรกับอาวุธทรงอานุภาพที่เจาะได้แม้กระทั่งเหล็กกล้า
ถึงจะบอกว่าเป็นการโจมตีระยะไกล แต่ระยะของมันก็ไม่ได้ครอบคลุมทั่วทั้งเมือง ดังนั้นจะหลบก็ไม่ใช่เรื่องยาก
อย่างไรก็ตาม หากผมเลือกที่จะหลบ ความเสียหายก็จะเกิดขึ้นรอบๆ เมืองแทน เหนือสิ่งอื่นใด กะอีแค่การโจมตีนี่ผมไม่เห็นจะต้องหลบมันเลยด้วยซ้ำ
ผมได้ชี้ปลายดาบไปด้านหน้า ก่อนจะทำการปล่อยการโจมตีออกไปเพื่อหักล้าง แสงสีแดงพวกนั้น
「มายาสังหาร ลมกรด!」
มันเป็นเทคนิคใหม่ที่ผมได้แรงบันดาลใจมาจาก 「วายุหมุน」ของไคลอา ซึ่งเป็นการปลดปล่อยใบมีดแห่งสายลมจำนวนมากพร้อมกัน โดยอาศัยพลังคิ
การโจมตีของผมได้พุ่งขึ้นไปในอากาศและปะทะกับห่าฝนการโจมตีสีแดงของเทพปีศาจ
เสียงระเบิดอันรุนแรงได้ดังขึ้นกระแทกมาที่หูของผม มันคือเสียงของการหักล้างกันระหว่างพลังของผมกับเทพปีศาจ
ไม่รู้เหมือนกันว่ามันผ่านไปหนึ่งหรือสองวินาทีแล้ว
แต่เพียงแค่ช่วงสั้นๆ การโจมตีที่รุนแรงของผมก็ได้หักล้างและทะลวงการโจมตีของเทพปีศาจไปจนหมดสิ้น
「โฮ่กกกกกกก!? 」
เท่านั้นยังไม่พอ ลมพายุนั้นได้ทะลวงเข้าไปโจมตีร่างของมัน เทพปีศาจใช้มือทั้งสองปิดปกป้องร่างของตนเอาไว้ก่อนจะคำราม――ไม่สิกรีดร้องออกมา ปีกทั้ง 4 ที่เหมือนนกอินทรีของมันบัดนี้ได้ขาดวิ่นเพราะสายลมของผม ขนนกได้ร่วงหล่นกระจายไปทั่วราวกับกลีบดอกไม้ที่เริงระบำยามค่ำคืน
แน่นอนว่าทางผมย่อมไม่พลาดโอกาสนี้อยู่แล้ว หลังจากการฝึกฝนกับไคลอา ผมเลยพอจะต่อสู้ในอากาศได้ระดับหนึ่ง ผมเตะพื้นสามครั้งเหมือนเป็นการวอมก่อนจะพุ่งขึ้นไปบนฟ้า
นอกจากนี้ก็ถือว่าเป็นเรื่องโชคดีเหมือนกับที่เทพปีศาจมันเลือกจะบินหนีขึ้นไปบนอากาศแทน เพราะผมจะได้ไม่ต้องมากังวลว่าเทคนิคของผมมันจะไปสร้างความเสียหายให้กับอาคารบ้านเรือนไหม
เทพปีศาจก็คงเห็นเหมือนผมวิ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าด้วยบันไดที่มองไม่เห็น ดวงตาของมันจึงเบิกกว้างจนแทบทะลุออกมาจากเบ้า
จากนั้นผมก็เตะร่างของมันให้ออกไปข้างนอกกำแพงเมืองด้วยแรงทั้งหมดที่มี
ในค่ำคืนนี้เอง เมืองเบลก้าก็ได้เกิดความวุ่นวายขึ้น
เพราะแรงสั่นสะเทือนราวกับแผ่นดินไหว เสียงคำรามที่ชวนให้นึกถึงสายฟ้าฟาด
มันไม่ใช่เสียงของมนุษย์หรือสัตว์ นอกจากนี้ก็มีสายลมที่พัดโหมกระหน่ำจนทำให้บ้านเรือนสั่นสะเทือนด้วย
หลายคนจึงได้รีบหนีออกมาจากบ้าน แม้จะหลับกันไปแล้ว พวกเขาคิดว่ามันคือการโจมตีของพวกมอนสเตอร์ พวกทหารและนักผจญภัยที่เจนสนามรบก็ต่างสัมผัสได้ถึงความอันตรายที่เกิดจากเสียงคำรามนั้น
แต่ก็ไม่มีใครคาดเดาได้เลยว่ามันเกิดอะไรขึ้นในเมืองกันแน่
ก็แน่อยู่แล้วเพราะใครมันจะไปคิดล่ะว่าดราก้อนสเลเยอร์กับเทพปีศาจกำลังสู้กันอยู่
จริงว่าบางคนอาจจะรับรู้ถึงตัวตนของดราก้อนสเลเยอร์บ้างแล้ว แต่ก็ไม่อาจจะตามสถานการณ์ได้ทันอยู่ดี และไม่รู้ว่าทำไมเสียงแห่งการต่อสู้ที่ดังขึ้นอย่างต่อเนื่องถึงค่อยๆ เคลื่อนที่ไปทางทิศตะวันออก――ซึ่งมันคือทิศที่ตรงข้ามกับทะเลทราย
———
Note 1 : นิ่มจัด
Note 2 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ ผมแปะไว้ใต้เม้นของเพจนะครับ และสามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code
Comments