การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~ 257 เพียงคนเดียว

Now you are reading การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~ Chapter 257 เพียงคนเดียว at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 257 เพียงคนเดียว

 

「อย่าได้เสียเวลาเลยท่านผู้นำ! หมอนี่มันเสียสติไปแล้ว หากท่านยังพูดจากับมันอีกก็มีแต่เสียเวลา ในฐานะผู้นำตระกูลแล้วการที่ท่านจะต้องมาลงมือด้วยตัวเองคงจะไม่ใช่เรื่องที่เหมาะสม!」

 

กิลมอร์ได้พูดขึ้นมาขัดในขณะที่คนทั้งโถงประชุมกำลังเงียบกัน

 

ก็ไม่ใช่ว่ากิลมอร์อยากจะเป็นคนลงมือเองอะไรหรอก เพียงแต่เขาคงมองว่าการที่จะให้พ่อของผมลงมือด้วยตัวเองมันเกินไปหน่อย

 

 

 

เขาไม่ได้กลัวว่าพ่อของผมจะมาแพ้อยู่แล้ว――หากอิงตามความคิดของกิลมอร์การจะให้นักบุญดาบชักดาบมาฟันยอดหญ้ามันก็ยังไงอยู่นี่เนอะ ยิ่งเป็นคนแบบผมเขาคงยอมรับไม่ไหว

 

 

 

ทว่าผมก็เป็นถึงคนที่เอาชนะเซน่อนผู้อยู่ลำดับ 4 และโกซุที่อยู่ลำดับ 3 แห่งตระกูลมิตสึรุกิลงได้ ก็คงพูดว่าเป็นพวกกระจอกไม่ได้หรอก แต่ในฐานะข้ารับใช้แห่งตระกูลแล้วเขาคงทำใจยอมรับไม่ได้จริงๆ แถมตอนนี้ข้างๆนักบุญดาบก็มีไดรอาท เบิร์ชอยู่ด้วยให้ทางนั้นลงมือเองคงดีกว่า

 

 

ยิ่งไปกว่านั้น หมอนี่อาจจะวางแผนให้ลูกชายตัวเองทำความดีความชอบเพื่อเพิ่มฐานอำนาจภายในตระกูลด้วยก็ได้

 

เอาล่ะ ทีนี้ก็มาดูพ่อของผมหน่อยแล้วกันว่าจะเอายังไง

 

 

ไอ้ผมก็ไม่ได้ติดอะไรหรอกนะหากจะวัดกับสองสุดยอดก่อนสู้กับพ่อของตัวเอง อย่างไรก็ตามผมก็ไม่ได้มั่นหน้าขนาดที่ว่าไปวัดกับสองสุดยอดแล้วจะมีแรงเหลือไปสู้กับพ่อของผมต่อ ดังนั้นคงต้องหาทางออกสำหรับจุดนี้ไว้ด้วยสิ

 

ระหว่างที่ผมกำลังคิดแผน พ่อของผมก็เปิดปากพูด

 

 

「กิลมอร์ ในฐานะที่ข้าเป็นผู้นำตระกูลข้าจำเป็นต้องแบกรับหน้าที่ในการกำจัดพวกที่ฝักใฝ่ในคิจิน ยิ่งไปกว่านั้นคนที่ว่ายังเป็นสายเลือดเดียวกันกับข้า」

 

 

 

「แต่ว่า……!」

 

 

 

「ไม่จำเป็นต้องให้ใครมายุ่ง คนอื่นในที่นี้ก็ฟังไว้ด้วย」

 

 

 

 

พอพ่อของผมเปิดไปแบบนั้น กิลมอร์และข้ารับใช้คนอื่นๆก็เลยไม่สามารถทำอะไรต่อได้อีก

 

 

จากนั้นพ่อของผมก็จัดเสื้อผ้าแล้วลุกขึ้นก่อนออกเดิน โดยทิ้งท้ายไว้กับผมว่าให้ผมตามเขาไป เหล่าธงแห่งผืนป่าก็ได้แค่ทำสีหน้าตกตะลง ทางผมก็ไม่คิดอะไรมากแล้วเดินตามพ่อไป

 

ขณะที่ผมเดินตามพ่อของผมไปตามทางเดิน ผมก็หวนนึกถึงวัยเด็กของตัวเอง ในตอนนั้นจิตใจของผมเต็มเปี่ยมไปด้วยความชื่นชมพ่อตัวเองและอิจฉา ปรารถนาอยากจะเป็นเหมือนกับเขาให้ได้ในสักวันหนึ่ง แต่ก็แอบหงุดหงิดตัวเองที่ไม่ว่าจะพยายามสักแค่ไหนก็เป็นแบบเขาไม่ได้

 

 

 

 

ให้ตายสิจะให้เรียกว่าความทรงจำที่น่าคิดถึงก็คงไม่ได้แฮะ

 

 

 

แล้วพอผมเดินตามไปได้สักพัก ก็มาถึงยังจุดที่ผมทำพิธีทดสอบและยังเป็นสถานที่เดียวกันกับตอนที่ผมสู้แมงมุมดินคราวก่อน

 

 

ที่แห่งนี้ไม่มีกำแพง ไม่มีรั้วกั้น ไม่มีวงเวทอะไรใดๆ หากต้องต่อสู้กันอย่างสุดกกำลัง ความเสียหายพื้นที่โดยรอบคงควบคุมไว้ไม่อยู่ แต่พ่อของผมก็ยังเลือกที่จะมาตรงนี้ไม่รู้ว่าเพราะเขาไม่สนใจว่าจะเกิดความเสียหายหนักขนาดไหน หรือเขามั่นใจว่าตัวเองสามารถจัดการผมได้โดยไม่ก่อให้เกิดความเสียหายโดยรอบกันแน่

 

 

ผมทำได้แค่ยิ้มออกมาระหว่างคิด

 

 

 ――เดี่ยวพอได้สู้ก็รู้เองแหละ

 

 

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าพ่อของผมตั้งใจจะมาสู้กับผมอยู่แล้ว มากังวลอะไรเอาตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์อะไรอีก

 

แต่ถึงจะรู้ตัวดีอยู่แล้วจิตใจของผมมันก็ไม่ยอมสงบสักทีนี่สิ

 

 

มันเป็นการต่อสู้ที่ผมรอคอยมานานแสนนาน แน่นอนว่าผมไม่ได้รู้สึกเกรงกลัว แต่ถ้าถามว่าจะสู้ได้เหมือนตอนปกติไหมก็คงตอบว่าไม่

 

ในระหว่างที่รอให้การต่อสู้เริ่มขึ้น จิตใจบางส่วนของผมก็เกิดเสียใจขึ้นมาก่อนจะได้สู้

 

 

ผมรู้แหละว่ามันแปลกที่จะมาบอกว่าเสียใจเอาตอนนี้ แต่นั่นคือความรู้สึกจริงๆของผม

 

 

หากผมแพ้ผมก็จะถูกพ่อของผมฆ่า แต่ถ้าผมเอาชนะเขาได้ ผมก็จะสูญเสียเป้าหมายที่มีทั้งหมดในชีวิตไป ไม่ว่าจะอย่างไหนเส้นทางการต่อสู้ของผมในฐานะโซระที่เริ่มต้นตั้งแต่วันที่ถูกเนรเทศจากเกาะ ไม่สิตลอดระยะเวลา 18 ปีก็จะหยุดลงภายในวันนี้ 

 

แต่สิ่งที่วนเวียนในหัวผมมากที่สุดก็คงจะเป็น 5 ปีที่ผ่านมานี้

 

บอกตามตรงว่าสมัยนั้นเรียกว่าล้มลุกคลุกคลานจนสภาพดูไม่ได้จริง

 

 

ทว่ามันก็ดูสมกับเป็นธรรมชาติของมนุษย์ดีนี่เนอะ ที่จะมาคิดถึงสิ่งที่ผ่านมาก่อนทุกอย่างจะจบลง

 

จากนั้นผมก็เดินเข้าสู่ลานประลานเพื่อเผชิญหน้ากับพ่อตัวเอง

 

บริเวณโดยรอบเต็มไปด้วยนักรบธงแห่งผืนป่าที่ตามมาจากโถงประชุม

 

5 ปีที่แล้วผมก็ยืนอยู่จุดนี้ ในที่แห่งนี้ สิ่งที่มุ่งมายังผมมีเพียงคำเยาะเย้ย การดูถูก และความสงสาร หลายคนไม่ได้แยแสผมราวกับว่าไม่มีค่าให้นึกถึง

 

 

แต่บัดนี้ สิ่งที่มุ่งมายังผมกลับเป็นความอาฆาต ความเกลียดชัง และความระมัดระวัง แน่นอนว่ายังมีเสียงเย้ยหยันอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้มีความสงสารเจือปนหรือเมินห่างอีกต่อไป

 

ผมไม่สนหรอกว่าตระกูลมิตสึรุกิจะคิดกับผมยังไง แต่พอได้รู้ว่า 5 ปีที่ผ่านมานี้ผมได้หลุดพ้นจากความสมเพชและถูกเมินเฉย ผมก็อดยิ้มออกมาไม่ได้จริงๆ

 

ในระหว่างนั้นเองโกซุ ชิมะก็ก้าวออกมาจากบรรดากลุ่มธงแห่งผืนป่า

 

 

 

「นายท่าน ท่านโซระ การต่อสู้ในคราวนี้ขอให้ข้าได้เป็นสักขีพยานด้วยเถิด」

 

 

โกซุตั้งใจจะเข้ามาแทรกแซงในฐานะผู้ตัดสินเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดขึ้น

 

อย่างไรก็ตามผมไม่ได้ต้องการพยานหรือกรรมการอะไรมาคอยคุมหรอกนะ พ่อของผมก็คงคิดเหมือนกัน

 

 

『ไม่จำเป็น』

 

 

พวกผมทั้งสองคนพูดออกมาพร้อมกัน แต่สิ่งที่ต่างกันก็คือผมขมวดคิ้วให้กับคำพูดของพ่อผม ในขณะที่พ่อของผมทำสีหน้าเรียบเฉย

 

 

เมื่อเห็นสองพ่อลูกเป็นแบบนี้ โกซุก็เลยต้องเพิ่มความพยายามเข้าไปอีก

 

「นายท่าน! ข้าไม่ได้หมายจะหยุดพวกท่านทั้งสอง แต่การที่คนเป็นพ่อต้องมาจัดการกับลูกของตัวเองนั้นเป็นเรื่องที่น่าเศร้าใจ ข้าจึงอยากจะให้ท่านอนุญาตให้ข้าได้เป็นพยานในการต่อสู้คราวนี้!」

 

 

 

โกซุอ้อนวอนกับพ่อของผมครั้งแล้วครั้งเล่าด้วยสีหน้าที่จริงจัง เขาไม่ได้สนใจความรู้สึกทางผมเลยสักนิดวุ้ย

 

 

แต่จากมุมของโกซุ คงปกติมั้งที่จะมองว่าผมจะถูกพ่อตบอยู่ฝ่ายเดียว แล้วพอผมแพ้เขาก็จะเข้ามาช่วยหยุดพ่อของผม โดยอ้างว่าเป็นเพียงการประลองอย่าให้ถึงชีวิตกันเลย

 

 

 

ทำตัวเป็นพ่อพระเสียจริงเลยน้อ แต่ตอนนี้ผมไม่ได้คาดหวังอะไรในตัวหมอนี่อยู่แล้ว เลยไม่รู้สึกอะไรกับท่าทางของเขา นอกจากนี้พอมองไปรอบๆ ดูเหมือนจะไม่ใช่แค่โกซุคนเดียวที่คิดว่าผมจะถูกนักบุญดาบตบคว่ำ

 

 

ระหว่างที่ผมกำลังคิดอะไรอยู่ พ่อของผมก็พูดขึ้น

 

 

「หยุดเสียโกซุ ข้าบอกแล้วใช่ไหมว่าไม่ต้องการให้ใครมาแทรกแซง」

 

 

 

「แต่ว่า……!」

 

「ข้าจะยกโทษให้กับเจ้าที่ทำให้ข้าต้องพูดคำเดิมถึง 2 หน แต่ความภักดีในอดีตของเจ้าที่มีมามันไม่ได้เพียงพอสำหรับครั้งที่ 3 หรอกหนา」

 

พ่อของผมพูดด้วยสีหน้าที่เย็นชา โกซุก็เลยไม่สามารถทำอะไรต่อได้อีกแล้ว

 

 

ผมคิดว่าคงไม่น่ามีใครมาขัดอีก จากนั้นพ่อของผมก็พูดต่อ

 

 

 

「นอกจากนี้ ผู้ที่ไม่เห็นความเหมาะสมของโซระในปัจจุบัน ไม่คู่ควรกับการเป็นพยานได้หรอก」

 

 

 

「……นายท่าน?」

 

 

โกซุมองไปยังนายของตนด้วยความประหลาดใจและสับสน แต่พ่อของผมก็ไม่ได้พูดอะไรอีก

 

โกซุก็เลยจ้องมาทางผมแทน แต่ผมก็ไม่ได้แยแสเขาอยู่แล้วจึงทำเมินไป

 

 

เมื่อพยานที่ไม่ได้รับเชิญถูกบังคับให้ออกจากสถานที่แห่งนี้ไป

 

ก็เหลือเพียงแต่ผมกับพ่อ

 

 

พ่อของผมเริ่มตั้งท่าเอามือจับดาบที่อยู่ตรงเอว ใช้แล้วมันคือซาซาโนะยูกิ ดาบที่สืบทอดมารุ่นสู่รุ่นภายในตระกูลมิตสึรุกิ

 

 

 

กลับกันผมไม่ได้หยิบดาบอย่างซาซาโนะซึยุที่เป็นดาบคู่ของซาซาโนะยูกิออกมาหรอกนะเออ――เพราะผมมอบมันให้กับชูยะ คุมอนไปก่อนเจรจาเรียบร้อยแล้ว นอกจากนี้ผมก็ไม่อยากจะใช้ดาบที่ไม่คุ้นมือด้วยแหละ

 

 

แน่นอนว่าดาบสีดำตรงเอวของผมก็ไม่เช่นกัน ผมไม่ได้ผยองเสียจนจะออมมือกับนักบุญดาบได้ ดังนั้นผมต้องจัดเต็มตั้งแต่เริ่มใส่ทุกอย่างที่ผมมีเพื่อจัดการอีกฝ่ายแล้วรอดูผลลัพธ์เท่านั้นเอง

 

 

นอกจากนี้คำพูดของพ่อผมเมื่อกี้…

 

 

 

 

『นอกจากนี้ ผู้ที่ไม่เห็นความเหมาะสมของโซระในปัจจุบัน ไม่คู่ควรกับการเป็นพยานได้หรอก』

 

 

มันหมายความว่าไม่มีใครคนอื่นนอกจากพ่อของผมเลยที่คิดว่าผมจะเอาชนะเขาได้ ก็หมายความว่าพ่อของผมเห็นศักยภาพของผมที่มีมากพอจนเขาตัดสินใจลงมือเองสินะ

 

ให้ตายสิทั้งที่คิดว่าไม่มีใครตรงนี้มองว่าผมจะเอาชนะได้แท้ๆน้า

 

คงต้องพยายามไม่ทำให้อีกฝ่ายผิดหวังแล้วสิ

 

 

 

 

 

「เสริมแกร่ง อาภรณ์วิญญาณ」

 

 

 

อาภรณ์วิญญาณค่อยๆปรากฏร่างขึ้นบนมือขวาของผม

 

 

ผมจะเริ่มบรรเลงทุกสิ่งอย่างตลอดช่วงเวลา 5 ปีที่ผมเผชิญให้กับพ่อของผมได้ฟังตอนนี้แหละ――

 

 

 

「จงกลืนกิน โซลอีทเตอร์!」

 

ผมคำรามราวกับปลดเปลื้องพลังทั้งหมดที่มีออกมา

 

—-

Note : สู้กันสักที

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด