การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~ 279 สัญญาณแห่งความโกลาหล

Now you are reading การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~ Chapter 279 สัญญาณแห่งความโกลาหล at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 279 สัญญาณแห่งความโกลาหล

 

ในยามที่ดวงอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้าไปทางทิศตะวันออก ผมกำลังเดินเล่นอยู่ภายในสวนพร้อมกับดาบไม้ในมือ

 

อากาศอันเย็นยะเยือกได้ปกคลุมร่างกายผม ก็เห็นชีลบ่นๆว่าหนาวอยู่หรอก แต่พอเจอกับตัวก็เรียกว่าใช้ได้เลย

 

 

ทว่าหากให้เทียบกับความหนาวของเกาะแล้วเมืองอิชกะก็นับว่าเป็นรอง ผมก็เลยยังอยู่ข้างนอกได้สบายๆ ไม่สิอาจจะเพราะเป็นมนุษย์สัตว์ สัมผัสอะไรพวกนี้เลยรับรู้ได้รุนแรงกว่าผมมั้ง

 

 

เผ่าของชีลคือมนุษย์สัตว์แมวป่า ซึ่งมักอาศัยกันอยู่ในเขตร้อน พอเจออะไรหนาวๆก็อาจจะไม่ถูกโรคนัก

 

ผมคิดไปมาระหว่างฝึกซ้อม

 

เสียงดาบไม้ตัดผ่านอากาศไปมาท่ามกลางอากาศที่หนาวเหน็บ ระหว่างที่กำลังเคลื่อนไหวที่เดิมซ้ำๆไปมา ก็สัมผัสได้ว่าเลือดภายในเริ่มสูบฉีด

 

 

ร่างกายเริ่มมีสีแดงของเลือดชัดขึ้น ประสาทสัมผัสก็ตื่นตัวขึ้น

 

 

 

ช่างเป็นความรู้สึกที่ดีจริงๆ แม้ก่อนหน้านี้จะมีอารมณ์อะไรบางอย่างทำให้ไม่สบายใจนิดหน่อย แต่นอนนี้มันหายไปหมดสิ้น

 

 

 

 

「จะว่าไปก็หลังจากเอาชนะพ่อได้สินะ」

 

 

 

 

ผมยกดาบไม้เหวี่ยงต่อขณะพูดกับตัวเอง

 

 

ความรู้สึกที่สดชื่นราวกับล่องลอยอยู่ภายในอากาศ

 

 

ตอนแรกผมคิดว่ามันเป็นความสุขที่สามารถเอาชนะพ่อตัวเองได้ แต่ตอนนี้ผมมองว่ามันคงจะเป็นความรู้สึกแห่งอิสรภาพที่หลุดพ้นจากคำสาปคนอ่อนแอไร้ค่าที่พ่อสลักเอาไว้เมื่อ 5 ปีก่อน

 

 

มันคือความรู้สึกที่ผมไม่ได้เอามาพิจารณาจริงๆจังๆสักครั้งจนถึงตอนนี้ ก็นะมีเรื่องการอพยพของพวกคิจินอยู่ด้วย มันก็เลยยุ่งๆ แต่หลังจากกลับมาเมืองอิชกะได้สักพัก ก็เริ่มมีเวลาคิดหน่อยๆ

 

 

ถึงงั้นผมก็ไม่มีทางจะลดการป้องกันลงหรอกนะ ก็จริงว่าหากเป็นเรื่องพลังผมไม่เกี่ยงจะงัด แต่หลังจากนี้ผมต้องไปติดต่อกับพวกมนุษย์หาใช่มอนสเตอร์หรือพวกเผ่าแฟนท่อม หากจะให้เจาะจงชัดก็คือพวกขุนนางกับราชวงศ์ มีอะไรรออยู่ใครจะรู้เนอะ

 

นอกจากนี้ก็มีเรื่องที่โชคดีหรือจะบอกว่าเป็นตามที่คิดดีล่ะ พอคาการิเห็นป่าทีทิส เขาก็อดประหลาดใจไม่ได้และคิดในทันทีว่าที่แห่งนี้แหละเหมาะสำหรับคนของพวกเขา

 

 

เขาตัดสินใจว่าปีนี้รองรับคนของพวกเขาได้แม้จะมีพิษของไฮดราอยู่ แถมยังมองผมด้วยความประหลาดใจว่าทำไมพวกมนุษย์ถึงมามาเหยียบกันทั้งที่มันอุดมสมบูรณ์ขนาดนี้

 

เอาเป็นว่าก็ผ่านไปอีกด่าน ต่อไปก็คือการคุยกับคานาเรียว่าจะยอมให้พวกคิจินอพยพมาไหม ลำดับถัดไปก็มีจักรวรรดิที่จะยอมให้คิจินเดินทางผ่านอาณาเขตไหม

 

 

 

 

「งานนี้คงไม่ได้หมูแน่ๆ」

 

ผมยิ้มแห้งออกมา แต่ก็ไม่ได้เสียใจที่เลือกเส้นทางดังกล่าว

 

 

ไม่รู้สิ อาจจะเป็นเพราะความรู้สึกแปลกใหม่ที่ผมได้รับมาก่อนหน้านี้ก็ได้ มันทำให้ผมไม่รู้สึกว่าการเจรจากับทั้งสองประเทศจะสร้างปัญหาให้ผมหนักใจจนหัวหมุน คือมันก็ไม่ได้จะง่ายดายเหมือนกระดิกนิ้วแต่มันก็ให้อารมณ์ประมาณว่า หากจะทำก็น่าจะทำได้

 

 

ถึงจะเป็นเพียงจินตนาการที่มองโลกในแง่ดีอย่างไร้เหตุผลหรือจิตมันผ่านการวิเคราะห์มาแล้วว่าไหว แต่การเจรจาก็รอผมอยู่ตรงหน้าแล้ว

 

 

ว่าแล้วผมก็เหวี่ยงดาบไม้ต่อไปเรื่อยๆระหว่างคิด

 

 

กาแต่งงานของรัชทายาทเอซ่ากับเจ้าหญิงซากุยะก็ดึงดูดคนมากหน้าหลายตามายังโฮรัสเมืองหลวงของคานาเรียได้พอตัว

 

น่าเสียดายที่ผมไม่ได้ไปเห็นด้วยตาตัวเอง แต่คนก็คงจะเยอะตามที่ว่า

 

 

พอคนมารวมตัวกัน เงิน สินค้าอะไรมันก็หลั่งไหลเข้ามาด้วย

 

 

 

สภาพของคานาเรียที่ตกต่ำจากหลายๆเหตุการณ์ก็เริ่มฟื้นฟูด้วยเรื่องงานแต่งนี่แหละ พวกชาวบ้านก็เหมือนจะโกยเงินเข้ากระเป๋าได้เป็นกอบเป็นกำ

 

 

อันที่จริงระหว่างที่เดินทางกลับมา ระหว่างที่ผ่านเมืองหลวงจักรวรรดิพร้อมไคลอา ก็เห็นว่ามีผู้คนที่สัญจรผ่านเส้นทางไปยังคานาเรียเยอะพอตัว หากไปถึงเมืองหลวงคานาเรียผมก็พอนึกออกว่ามันจะเฟื่องฟูขนาดไหน

 

แต่ที่ใดมีแสงที่นั่นย่อมมีเงา

 

งานแต่งงานครั้งนี้ใช่ว่าจะเกิดขึ้นแค่เรื่องดี

 

 

เหล่าผู้คนที่แห่กันไปเมืองหลวงจะทำอะไรต่อล่ะหลังจบพิธีแต่งงาน

 

แน่นอนว่าส่วนใหญ่ก็กลับไปยังที่ที่ตัวเองมา

 

อย่างไรก็ตามใช่ว่าทั้งหมดจะกลับไปเสียหน่อย

 

หากดีหน่อยก็จะเป็นพวกคนเร่ร่อนที่ไปนอนแถวตรอกของเมืองหลวง ไม่ก็พวกอาชญากรหรือถูกขับไล่จากบ้านเกิดอะไรบ้าง แล้วกลายมาเป็นโจรลักเล็กขโมยน้อย แต่ไอ้ที่หนักกว่านั้นและมีแน่ๆก็คือพวกสายลับของแต่ละประเทศที่อยู่ต่อเพื่อตรวจสอบคานาเรีย

 

ปกติแล้วคานาเรียก็คงจะพอกันพวกเขาได้จากการข้ามชายแดน แต่พอเป็นพิธีแต่งงานที่ต้องการกำลังคนจำนวนมากในการดูแล ความปลอดภัยในแต่ละจุดจึงไม่อาจจะทำได้ทั่วถึง

 

 

ผลก็คือมีคนตกค้างในเมืองหลวงเยอะพอสมควร ส่วนใหญ่ก็จะไปก่อปัญหาแถวสลัมในเมืองหลวง

 

 

เห็นว่าหลังพิธีแต่งงาน ก็มีกลุ่มโจรที่ลอบโจมตีคาราวานอยู่บ่อยครั้ง ถนนหลายเส้นที่ไม่ได้ติดกับเมืองอิชกะเหมืนอจะมีกองกำลังของกลุ่มโจรเต็มไปหมด เห็นว่านอกจากนี้ก็มีอย่างหมู่บ้านโดนบุกปล้นด้วยสิ

 

 

มันเลยกลายเป็นปัญหายุ่งยากให้พวกคนใหญ่คนโตของคานาเรีย แน่นอนว่าที่ผมรู้ก็เพราะคลอเดียที่กลับมายังอิชกะเล่าให้ฟัง ช่วงบ่ายก่อนหน้านี้แหละ

 

ส่วนสาเหตุที่เธอกลับมายังอิชกะก็ไม่ใช่เพราะคิดถึงผม แต่เป็นเพราะมีคำขอให้ดาบควันโลหิต

 

 

ส่วนเนื้อหาก็คือ――

 

 

 

 

 

「ทำการปราบปรามพวกกลุ่มโจรที่โผล่ในเขตดรากูนอทเหรอ」

 

 

 

「ใช่ค่ะ」

 

 

 

คลอเดียพยักหน้ารับด้วยสีหน้าจริงจัง

 

หากได้เจอผมเร็วกว่านี้ใบหน้าของเธอก็คงจะยิ้มแย้มพร้อมต้อนรับการกลับมาหรอก แต่สีหน้าของเธอตอนนี้ไม่ได้เป็นแบบนั้นเพราะปัญหาที่เกิดขึ้น

 

พูดถึงดยุกดรากูนอท เขาก็เป็นขุนนางที่มีอำนาจไม่เป็นสองรองใครในประเทศนี้ ถึงขนาดว่าได้ฉายา ไรโค มาครอง มันเลยแอบตกใจนิดหน่อยที่ดันมีกลุ่มโจรไปวิ่งเล่นในเขตของเขา

 

ก็เป็นไปได้อยู่หรอกว่าพวกนั้นมาจากประเทศอื่นเลยไม่รู้ถึงความน่ากลัวของดยุก แต่ในกรณีนี้กองกำลังส่วนตัวของดยุกก็น่าจะจัดการได้ไม่ยากสิ แล้วทำไมเขาถึงต้องส่งคำขอมายังดาบควันโลหิตด้วยล่ะ

 

 

เมื่อสัมผัสได้ถึงความสงสัยจากผม คลอเดียก็พูดต่อ

 

 

 

「ในฐานะขุนนางและหัวหน้ากองอัศวินมังกร ท่านพ่อต้องคอยรักษาความสงบทั่วราชอาณาจักรค่ะ ดังนั้นก็เลยเป็นหน้าที่ของท่านพี่ที่ไปปราบพวกมันทว่า….พอพวกมันเห็นท่านพี่ขี่ไวเวิร์นบินไปมา พวกมันก็หนีไวเหลือเกิน ถึงจะวางกองกำลังไว้ล้อมจับแล้วก็ดันได้แค่ตัวเล็กตัวน้อย เห็นว่าพอมันหลุดไปได้ก็จะรวมกลุ่มกันใหญ่กว่าเดิมเพื่อปล้นในครั้งถัดไป」

 

 

「หื้ม ยิ่งฟังฉันคิดยิ่งว่าพวกมันเคลื่อนไหวมีแบบแผนมากเสียจนเกินกว่าจะเป็นกองโจรนะ」

 

「ท่านพี่ก็คิดแบบนั้นค่ะ อย่างน้อยก็ไม่ใช่พวกไร้หัวนอนปลายเท้าแน่ แม้จะไม่รู้ว่าเป้าหมายของมันคืออะไร แต่หากปล่อยไว้ความเสียหายของคนในเขตคงสูงขึ้น ท่านพี่ก็เลยอยากจะยืมมือคนที่มีพลังพอจะจัดการเรื่องทั้งหมดได้ในคราวเดียวค่ะ」

 

 

พอผมได้ยินก็พยักหน้าตาม

 

 

ดาบควันโลหิตก็มีชื่อมาจากการเป็นอัศวินมังกร ต่อมาก็ดราก้อนสเลเยอร์ แม้ว่าผมที่ครองฉายาดราก้อนสเลเยอร์หายไป แต่มิโรสลาฟกับลูนามาเรียก็พยายามอย่างหนักในการลุยกับมอนสเตอร์ในป่าทีทิส ผมจึงมองว่าพวกเธอมีฝีมือลำดับบนๆของคานาเรียแล้วแน่ๆ

 

 

แอสทริดพี่ของคลอเดียก็น่าจะตระหนักได้

 

 

ส่วนเหตุผลจริงๆที่เธอส่งคำขอมาก็น่าจะอยากให้ดาบควันโลหิตทำการคุ้มกันคลอเดียมากกว่า

 

คลอเดียที่อยู่ตรงหน้าผมตอนนี้ได้มัดผมสีบลอนด์ยาวให้เป็นมวยเอาไว้ โดยสวมชุดเกราะอัศวินมังกรที่ดูสง่างามด้วย ชวนให้นึกถึงอัศวินหนุ่มรูปงามนิดหน่อย

 

ดวงตาสีม่วงที่จ้องมองมาก็เต็มไปด้วยความคับข้องใจจากพวกโจรร้ายที่ทำร้ายคนในเขตเธอ มองยังไงก็รู้ว่าถึงพวกผมจะรับหรือไม่รับคำขอ เธอก็ตั้งใจจะมุ่งกลับไปยังเขตแล้วช่วยเหลือคนของเธอ

 

 

เห็นแบบนี้แล้วผมจะไปปฏิเสธลงได้ยังไงกันเล่า

 

แอสทริดก็คงรู้สึกแย่กับคนของตัวเองแหละ แต่เธอก็คงกังวลจริงๆว่าแค่คนของเธอไม่น่าจะช่วยปกป้องคลอเดียได้

 

แม้คนเป็นพี่จะห้ามยังไง แต่น้องสาวทอมบอยของเธอก็คงไม่ยอมอยู่เฉยๆหรอก ดังนั้นแอสทริดก็เลยเลือกแคลนผมในการปกป้องน้องสาวเธอ

 

 

 

นอกจากนี้ปัญหาเรื่องการอพยพของพวกคิจินก็อาจจะติดขัดเอาได้หากดยุกดรากูนอทต้องมาหัวปั่นกับพวกโจรที่วิ่งไปทั่วคานาเรีย ดังนั้นผมจึงต้องแก้ปัญหาให้เขาเสียก่อนคงดี

 

 

แถมความสำเร็จในคราวนี้อาจจะต่อรองเรื่องการเป็นลอร์ดทีทิสได้ง่ายขึ้นด้วย

 

 

 

เดิมที่ราชาก็ตั้งใจจะยัดตำแหน่งให้ผมอยู่แล้วนี่ เรื่องคงไหลลื่นพอตัว ทีเหลือก็แค่ต้องสร้างบุญคุณความชอบให้มากพอในการขอเรื่องที่ใหญ่โต

 

เอาเป็นว่าสุดท้ายผมก็รับคำขอจากทางดยุกดรากูนอท

 

 

——-

Note 1 : ขอออกไปแตะหญ้าที่ญี่ปุ่นก่อนนะครับ อีก 2 ทิตเจอกันใหม่

Note 2 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ ผมแปะไว้ใต้เม้นของเพจนะครับ และสามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด