ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้บทที่ 125 หนานหว่านเยียนทำได้อย่างไร

Now you are reading ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้ Chapter บทที่ 125 หนานหว่านเยียนทำได้อย่างไร at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

กู้โม่หานไม่อยากให้รองแม่ทัพกวนตามมา เนื่องจากเขาเกรงว่าเลือดแห่งความโกรธจะพุ่งขึ้นหน้า และอาจจะมีการปะทะกับกู้โม่เฟิง

ฝ่ามืออันเบาบางของเขาจับไปยังด้ามกระบี่ แววตาของเขาเต็มไปด้วยความเฉยเมยและเย็นชา

เนื่องจากกู้โม่เฟิงทำร้ายเหล่าพี่น้องค่ายเสินเชื่อ และยังไปพูดบิดเบือนความจริง ดังนั้นเขามิมีทางปล่อยผ่านกู้โม่เฟิงเป็นแน่!

เมื่อสองชั่วโมงก่อนหน้านี้ กู้โม่เฟิงเข้าไปในพระราชวังเพื่อฟ้องร้อง แต่ฮ่องเต้ทรงประทับอยู่ตำหนักหลัง เขาจึงมิสามารถเข้าเฝ้าได้

หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วโมงเศษ เขาถึงได้เข้าเฝ้าฮ่องเต้

ทันทีที่ได้พบกับฮ่องเต้ กู้โม่เฟิงคุกเข่าพร้อมกับทำสีหน้าไม่สบายใจ กล่าวออกมาอย่างขุ่นเคือง

“เสด็จพ่อ! ได้โปรดให้ความเป็นธรรมกับลูกด้วย!”

กู้จิ่งซานขมวดคิ้ว กล่าวออกมามิมากแต่ดูสง่างาม “ว่ามา”

กู้โม่เฟิงกัดฟันด้วยความเกลียดชัง “วันนี้เจ้าหกเดินทางไปยังค่ายทหาร เดิมทีลูกเป็นคนรับผิดชอบเรื่องการฝึกฝนประจำวัน แต่เจ้าหกกลับกล่าวว่าคนของลูกไปทำร้ายทหารของเขาจนได้รับบาดเจ็บ”

“เขาใช้อำนาจในทางที่ผิด ทำร้ายรองแม่ทัพอวี๋และทหารคนอื่นของลูกอย่างโหดเหี้ยม เสด็จพ่อจะต้องลงโทษพวกเขาด้วยการโบยหนึ่งร้อยครั้ง!”

เขากล่าวออกมาอย่างฉะฉาน ทุบหน้าอกของตนเองอย่างต่อเนื่อง ราวกับโกรธจนหายใจมิออก

“อ๋องอี้?” กู้จิ่งซานหรี่ตาลงครึ่งหนึ่ง มีแสงแห่งความสนใจปรากฏออกมาให้เห็น

ลูกชายของเขาคนนั้น ซึ่งปกติแล้วจะอยู่แต่บ้าน ทำเรื่องเช่นนี้ขึ้นมาอย่างนั้นหรือ?

“ขอครับ! เขาก็คือกู้โม่หาน!” กู้โม่เฟิงกล่าวออกมาอีกครั้งด้วยความคับข้องใจ “เสด็จพ่อ! ลูกเตือนเขาตั้งหลายครั้ง แต่กู้โม่หานกลับเพิกเฉยต่อกฎหมายและโทษทางทหาร ลงโทษทหารของข้าโดยมิได้รับอนุญาต นี่เป็นการเพิกเฉยต่อคำสั่งของฮ่องเต้ ไม่ปฏิบัติตามกฎของค่ายเสินเชื่อ! เสด็จพ่อได้โปรดช่วยตรวจสอบ และทำเรื่องทุกอย่างให้ชัดเจน!”

สีหน้าของกู้จิ่งซานมืดมน เขาสั่งให้ขันทีซึ่งอยู่ด้านข้างของเขา เดินทางไปยังค่ายทหารเพื่อเรียกกู้โม่หานมาเข้าเฝ้าในพระราชวัง

หากสิ่งที่กู้โม่เฟิงกล่าวมาเป็นความจริง เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องร้ายแรงอย่างมาก

หลังจากผ่านไปสักพัก กู้โม่หานรีบเดินทางมา ในตอนที่เขาจะทำความเคารพ กู้จิ่งซานก็เอ่ยปากถามออกมาอย่างเยือกเย็นว่า “เจ้าหก! เจ้าไปทำผิดอะไรมา!”

ความโกรธของฮ่องเต้น่าหวาดกลัวเป็นอย่างมาก

เห็นได้ชัดว่าน้ำเสียงของกู้จิ่งซานมิได้รุนแรง แต่มันกลับเต็มไปด้วยความโกรธอันท่วมท้น ดวงตาที่เย็นชาของเขามีความรู้สึกและความหมายบางอย่างที่เหล่าพี่น้องกู้โม่หานมิสามารถเข้าใจได้

กู้โม่หานคุกเข่าลงไป พูดด้วยท่าทีที่มิถ่อมตัวหรือเอาแต่ใจว่า “เสด็จพ่อน่าจะพูดถึงเรื่องที่ข้าลงโทษทหารในค่าย แต่ลูกรู้สึกว่า ลูกมิได้ทำความผิดแต่อย่างใด!”

กู้โม่เฟิงหัวเราะอย่างเยือกเย็น “น้องหก มาถึงขั้นนี้แล้ว เจ้ายังจะปากแข็ง! หากเจ้ายินดีกลับใจ เสด็จพ่ออาจจะลดโทษให้เจ้าบ้าง!”

กู้โม่หานคิดจะพลิกสถานการณ์?

มันสายไปแล้ว! เขาเกรงว่าภาพลักษณ์ของสุภาพบุรุษผู้อ่อนน้อมถ่อมตนที่เขาฝึกฝนมาอย่างอุตสาหะจะหายไปในหัวใจของกู้จิ่งซานโดยสมบูรณ์

กู้จิ่งซานมิพูดอะไรมาก ในบนบัลลังก์มังกรและเฝ้ามองการเคลื่อนไหว

กู้โม่หานยิ้มและกล่าวออกมาด้วยแววตาอันเยือกเย็น “อ๋องเฉิง หากมิใช่คนของเจ้าจงใจทำร้ายรองแม่ทัพและเหล่าทหารของข้าก่อน และละเมิดกฎของค่ายเสินเชื่อ ข้าจะใช้กฎหมายทางทหารจัดการกับพวกเขาได้อย่างไร?”

กู้โม่เฟิงโต้กลับไปทันทีว่า “อะไรที่เรียกว่าจงใจ? กู้โม่หาน นั่นเป็นเพียงการฝึกซ้อมธรรมดา แม่ทัพของเจ้าขาดประสบการณ์ ละเลยระเบียบวินัยของทหารชั้นล่าง ทำให้พวกเขาขาดความเชี่ยวชาญทางด้านศิลปะการต่อสู้ แบบนั้นมีแต่ทำให้พบกับความพ่ายแพ้ ได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยเป็นเรื่องปกติ แต่เจ้ากลับร้อนรน บอกว่าข้าทำร้ายคนของเจ้า ข้ามองว่าเจ้าต่างหากที่เป็นคนทำร้ายคนของเจ้า!”

กู้จิ่งซานเฝ้ามองอย่างเยือกเย็น ความคิดมากมายผุดขึ้นมาในใจของเขา

กู้โม่หานสัมผัสได้ถึงความเยือกเย็น ต่างว่ากันว่าผู้เป็นพี่นั้นมีหน้าที่ดูแลรับผิดชอบน้อง ๆ แต่กู้โม่เฟิงกลับคิดทุกวิถีทางเพื่อวางแผนใส่ร้ายเขา

“กู้โม่เฟิง เจ้ากับข้าต่างรู้ดีว่าเสด็จพ่อมอบหมายให้พวกเราดูแลค่ายเสินเชื่อ ท่านหวังให้พวกเราทำงานร่วมกัน ก้าวผ่านทุกสิ่งอย่างไปได้อย่างไร้อุปสรรค”

“เจ้าพูดออกมาว่าเป็นเพียงการฝึกฝนธรรมดา แต่พวกเขาเป็นนักการทหาร การฝึกของเจ้ามันเกินขอบเขต เหตุผลง่าย ๆ แค่นี้ เจ้ามิเข้าใจอย่างนั้นหรือ?”

กู้จิ่งซานเอ่ยปากออกมาทันที “เจ้าสาม?”

น้ำเสียงของเขาช่างเยือกเย็น กู้โม่เฟิงพูดตะกุกตะกัก “กราบทูลเสด็จพ่อ ลูกมิได้ทำเกิดขอบเขต แค่……”

ดวงตาอันเฉียบคมราวกับใบมีด จับจ้องไปยังกู้โม่เฟิง “ไม่ทำเกินกว่าเหตุ? ลูกน้องของเจ้าเห็นอยู่ว่าทำลายเส้นเอ็นและกระดูกของเสิ่นจวิน ส่วนเฉินจวินก็ถูกคมกระบี่นับมิถ้วน ทักษะการต่อสู้ของเซียวลี่นั้นยอดเยี่ยมที่สุด แต่เขาก็มิอาจหลบหลีกได้จนหมด แบบนี้ไม่เรียกว่าไม่ทำเกินกว่าเหตุอย่างนั้นหรือ?!”

“พวกเขาทำงานหนักมาทั้งชีวิต พวกเขาต่อสู้เพื่อแผ่นดินซีเหย่ พวกเขาสามารถเอาชีวิตรอดมาจากสนามรบ พวกเขาเป็นวีรบุรุษผู้จัดการกับศัตรูอันชั่วร้าย แต่เมื่อกลับมาดินแดนของตนเองกลับถูกข่มเหง เกือบทำให้พวกเขามีอันตรายถึงชีวิต! เจ้าบอกว่าจิตใจของทหารเหล่านี้อ่อนแอ และเป็นความขายหน้าต่อประชาชนในใต้หล้าอย่างนั้นหรือ? !”

น้ำเสียงของกู้โม่หานเต็มไปด้วยความโกรธ กดดันกู้โม่เฟิงจนพูดไม่ออก

กู้โม่เฟิงโกรธจนอยากจะตะโกนออกไป อยากจะชักกระบี่ออกมาสังหารผู้ซึ่งไม่ถูกใจอ๋องเฉิงผู้นี้

แต่เมื่อเผชิญหน้ากับสายตาอันเยือกเย็นของกู้จิ่งซานซึ่งกำลังจ้องมองมาที่เขา ร่างกายของเขาสั่นเทา เขายังคงคุกเข่าอยู่เช่นนั้น ระงับความโกรธที่ดังสนั่นในใจของเขา

“เสด็จพ่อ ลูกมิได้มีเจตนาไม่ดีแต่อย่างใด!”

กู้โม่เฟิงเข้าตาจน กู้โม่หานอย่างออกมาได้อย่างไร้ข้อบกพร่อง เขาจึงทำได้แค่ก้าวเดินต่อไป “ข้าได้จัดหมอหลวงไว้ให้พวกของเสิ่นจวินทั้งสามคนแล้ว แต่เจ้าหกปฏิเสธ แต่กลับให้คนที่มิรู้เรื่องราวอย่างหนานหว่านเยียนผู้นั้นมาให้ความช่วยเหลือแทน”

“นางเป็นเพียงผู้หญิงคนหนึ่ง และก่อนที่จะแต่งงานกับเจ้าหก นางทำอะไรมิเป็นสักอย่าง แต่เจ้าหกกลับวางใจให้นางทำการรักษาอาการบาดเจ็บของทหาร เวลานี้คนพวกนั้นคง…… คงถูกนางรักษาจนเสียชีวิตไปแล้ว! หากเจ้าหกกล่าวหาว่าลูกไม่เข้าใจวิธีการปฏิบัติและทำร้ายทหารของเขา งั้นการที่เจ้าหากอนุญาตให้หนานหว่านเยียนทำการรักษาอาการบาดเจ็บของพวกเขา เรื่องนี้จะอธิบายออกมาเช่นไร? !”

เขาดูถูกหนานหว่านเยียนจากก้นบึ้งของหัวใจ เขามั่นใจว่านางมิสามารถรักษาอาการบาดเจ็บได้ มีแต่ทำให้อาการบาดเจ็บรุนแรงขึ้น

ตราบใดที่เหตุการณ์ทุกอย่างเป็นไปตามคำพูดอันชั่วร้ายของเขา ฮ่องเต้ก็มิมีทางสงสัยในตัวเขาอีก มากที่สุดก็แค่ตำหนิว่าเขาฝึกฝนทหารจนเลือดขึ้นหน้า ไม่รู้จักควบคุมตัวเอง

กู้โม่หานได้ยินคำพูดไร้สาระของอ๋องเฉิงด้วยความไม่ย่อท้อ ฉากที่เกิดขึ้นในค่ายทหารผุดขึ้นมาในหัวของเขามากมาย ฉากที่เขาต้องการช่วยใครสักคนอย่างสิ้นหวัง แต่ถูกกู้โม่เฟิงขัดขวางซ้ำแล้วซ้ำเล่า

บางทีอาจจะเป็นความรู้สึกเช่นเดียวกับตอนที่หนานหว่านเยียนช่วยเหลือเสิ่นอี่ว์และสวีหว่านหยิง

บัดนี้เขาพอจะเข้าใจนางขึ้นมาบ้าง

สมองของกู้โม่หานเต็มไปด้วยภาพของหนานหว่านเยียนซึ่งสลบไปเพราะความเหนื่อยล้า เขามองมายังกู้โม่เฟิงพร้อมกับหัวเราะอย่างเยือกเย็น

“เสด็จพี่เป็นคนช่างพูดเสียจริง แต่เกรงว่าข้าคงทำให้เสด็จพี่ผิดหวัง หนานหว่านเยียนมิเพียงแค่ช่วยเหลือพวกเขาทั้งสามคนไว้ แต่นางยังช่วยต่อกระดูกและเส้นเอ็นที่เสียหายของเสิ่นจวินให้อีกด้วย”

“ข้าก็มิรู้ว่าเจ้าเอาหน้าที่ไหนมาพูดจามิดีกับหนานหว่านเยียนลับหลัง หากมิใช่เพราะพระชายาของข้าออกมาจัดการกับเรื่องราวเหล่านี้ เกรงว่าความผิดในวันนี้ เสด็จพี่คงยากจะหลีกเลี่ยง!”

ยังมีชีวิตอยู่? !

เป็นไปได้อย่างไร?

ชิงชิงบอกเองมิใช่หรือว่าหนานหว่านเยียนไม่เข้าใจเกี่ยวกับวิธีการรักษา ครั้งล่าสุดคือการช่วยเหลือคนในพระราชวัง หรือว่าได้ประสบการณ์มาจากตอนนั้น? !

กู้โม่เฟิงมิอยากเชื่อ พูดออกมาด้วยอารมณ์โกรธ “พูดจาเหลวไหล! หนานหว่านเยียนจะมีความสามารถเช่นนั้นอยู่ได้อย่างไร? !”

แม้แต่หมอหลวงเองก็มิอาจทำได้ หนานหว่านเยียนจะทำสิ่งเหล่านั้นเพียงลำพังได้อย่างไร?

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *