ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้บทที่ 462 เจ้ากล้าท้าทายข้า

Now you are reading ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้ Chapter บทที่ 462 เจ้ากล้าท้าทายข้า at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้ บทที่ 462 เจ้ากล้าท้าทายข้า

ขณะที่กู้โม่หานกำลังจะดุด่าเขาอย่างรุนแรง ก็นึกถึงสิ่งที่ฮองเฮาพูดกับเขาในวังวันนั้น

หวังว่ากู้โม่เฟิงจะซ่อนตัวจากโลกภายนอก และหยุดมีส่วนร่วมในข้อพิพาทเหล่านี้

เขาระงับความโกรธลงและมองไปยังกู้โม่เฟิง ในดวงตาสีเข้มเต็มไปด้วยคำเตือน

“โง่สิ้นดี ถ้าเจ้าคิดว่าข้าเป็นคนทำ แล้วคนสุดท้ายที่เสด็จแม่จะเห็นจะเป็นข้าและพระชายาของข้าได้อย่างไร?”

กู้โม่เฟิงยังคงโกรธกู้โม่หานที่มักจะเยาะเย้ยเขาต่างๆนาๆ แต่จู่ ๆ เขาก็กลับมาคิดได้และขมวดคิ้วแน่น

ใช่แล้ว ทำไมคนสุดท้ายที่เสด็จแม่อยากจะเจอถึงเป็นกู้โม่หานละ?

เขาค่อยๆ ลดดาบในมือลง

หากกู้โม่หานเป็นคนทำจริงเสด็จแม่ก็น่าจะบอกเขาทันที เพื่อให้เขาแก้แค้นและคืนความบริสุทธิ์ให้กับพระองค์

แต่ทว่า…

กู้โม่เฟิงมองไปยังกู้โม่หานอีกครั้ง และหอบหายใจถาม

“แม้ว่าเรื่องของเสด็จแม่จะไม่เกี่ยวข้องกับเจ้า แต่เจ้าจะอธิบายอย่างไรเรื่องที่ทหารของข้าในค่ายเสินเชื่อถูกไล่ออกคนแล้วคนเล่า? นี่ไม่ใช่เพราะเจ้าจงใจท้าทายข้ารึ!”

กู้โม่หานเลิกคิ้วดวงตาของเขาเข้มขึ้น “ค่ายเสินเชื่อไม่เคยเก็บคนไร้ประโยชน์ไว้ คนที่ข้าไล่ออกล้วนแต่เป็นผู้ที่มีประวัติอาชญากรรมหรือไม่ก็มือเท้าสกปรก”

“เจ้าทำผิดพลาดในการใช้คน ข้ายังไม่ได้เรียกร้องการรับผิดใด แต่เจ้ากลับมาพูดกัดข้าว่าข้าท้าทายเจ้างั้นรึ?”

คราวนี้ทำกู้โม่เฟิงพูดไม่ออก แต่เขาก็ยังไม่เต็มใจที่จะยอมรับและกำหมัดแน่น

“ข้ายอมรับ ว่าพวกเขาทั้งหมดมีท่าทีที่ไม่ค่อยดีในตอนแรก แต่หลังจากผ่านไปหลายปี พวกเขาต่างก็มีความภักดีต่อข้าและก็เปลี่ยนท่าทีไปในทางที่ดีแล้ว ทำไมถึงจะใช้การไม่ได้?”

“เปลี่ยนไปในทางที่ดี?” กู้โม่หานหัวเราะอย่างเย็นชา จากนั้นหยิบจดหมายออกมาจากแขนของเขาและยัดเข้าไปในแขนของกู้โม่เฟิง

“พวกเขาดีขึ้นแล้วหรือไม่ เจ้าก็ลืมตาดูเองให้ชัดเจนแล้วกัน”

กู้โม่เฟิงหยิบจดหมายขึ้นมาอย่างลังเลและมองไปที่มัน จากนั้นเขาก็ตกใจเล็กน้อย

บนนั้นบันทึกความผิดทั้งหมดของคนที่เขาคิดว่าเป็นดั่งพี่น้องได้ทำในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา

ทุกอย่าชัดเจนอยู่ตรงหน้าของเขา

ชั่วขณะหนึ่ง ดวงตาของกู้โม่เฟิงเต็มไปด้วยความสับสนและความผิดหวัง

เขาไม่เข้าใจ ว่าทำไมทุกเรื่องที่เขาพยายามทำอย่างเต็มที่เต็มความสามารถ จึงมักจะล้มเหลวไม่เป็นท่าทุกครั้งไป

เหตุใดกู้โม่หานที่ซ่อนความสามารถมาเป็นเวลาห้าปี ตอนนี้กลับยังทำได้ดีกว่าเขาอย่างง่ายดาย…

เขาตกอยู่ในภวังค์ลึกแห่งความคิด ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและยากที่จะยอมรับ

กู้โม่หานมองที่เขาเพียงครู่ ริมฝีปากบางของเขาก็เอ่ยขึ้น “หยุดคิดได้แล้ว เป็นเพราะเจ้าเจอคนไม่ดีก็เท่านั้น แต่จากนี้ไปข้าจะไม่คอยจัดการแทนเจ้าอีก ”

กู้โม่เฟิงกำจดหมายเหล่านั้นไว้แน่น และจ้องมองไปยังกู้โม่หานจากนั้นเข้ามาใกล้เขาและพูดกดเสียงต่ำ “ข้าไม่ต้องการให้เจ้ามาสั่งสอนข้า”

“กู้โม่หาน ต่อให้เรื่องนี้ข้าจะมีความผิด แต่ทุกวันนี้พวกเจ้าหน้าที่ทางการที่เสียชีวิตอย่างไร้สาเหตุ เจ้าจะบอกว่าเจ้าไม่ได้สังหารหรอกรึ? เจ้ารู้หรือไม่ว่าถ้าเจ้าทำเช่นนี้ คนผู้นั้นจะคิดเช่นไร? ”

ตอนนี้เขารู้แล้วว่ากู้โม่หานฆ่าคนไม่ใช่เพื่อพุ่งมาที่เขา อีกทั้งไม่ได้ยอมรับว่าเจ้าหน้าที่ทางการที่เสียชีวิตเป็นคนของเขา เดาว่าคนเหล่านั้นน่าจะมีความผิดอะไรอยู่ และก็ถูกกู้โม่หานจับได้

แต่กู้โม่หานทำเรื่องให้วุ่นวายใหญ่โตถึงเพียงนี้ เพียงแค่ไม่นานในราชสำนักก็มีเจ้าหน้าที่ทางการเสียชีวิตลงมากมายหลายคนเป็นไปไม่ได้ที่เสด็จพ่อจะเพิกเฉย

ดวงตาของกู้โม่หานไม่แปรเปลี่ยนแม้แต่น้อย

“ข้าไม่รู้ว่าเจ้าหน้าที่ทางการเหล่านั้นเสียชีวิตได้อย่างไร แต่ข่าวที่แพร่กระจายในช่วงไม่กี่วันที่นี้ ล้วนพูดกันว่าคนเหล่านั้นสมควรได้รับโทษ”

ดวงตาของกู้โม่เฟิงเย็นชาและจริงจังขึ้นมาในทันที และก็ค่อย ๆ กลับมาสงบอย่างเดิม เขาขมวดคิ้วและจ้องมองไปยังกู้โม่หาน เสียงของเขาเบามากจนมีเพียงแค่พวกเขาสองคนเท่านั้นที่ได้ยิน

“เจ้าไม่กลัวตายเหรอ?”

แม้ว่ากู้โม่หานจะไม่ยอมรับ แต่ในใจกู้โม่เฟิงรู้ดีว่านอกจากเขาแล้วจะเป็นใครไปได้อีก

กู้โม่หานมองไปยังกู้โม่เฟิงอย่างเย็นชา

“ตัวเองยังดูแลไม่ได้ จะมาธุระกงการอะไรเรื่องของคนอื่น กู้โม่เฟิงเจ้าอย่าคิดว่าคนรอบข้างเจ้าจะสะอาดบริสุทธิ์อยู่เสมอ บางครั้งคนที่ยิ่งใกล้ชิดมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งชอบแทงข้างหลัง”

“อย่าลืมเรื่องของเจ้ากับข้าสองพี่น้องที่ส่งคนมาฆ่ากันเอง เรื่องนี้ยังจัดการไม่เสร็จ เจ้ายังกล้ามาหาข้า เพื่อที่จะสู้แทนพี่น้องของเจ้า เจ้ากลับไปคิดดูให้ดีเสียดีกว่า หากเราสองพี่น้องต่อสู้กันเองใครกันที่จะได้ประโยชน์สูงสุด”

“แล้วก็ไอ้พวกคนสกปรกเหล่านั้น ที่จริงแล้วเป็นเพราะเจ้าตาบอดที่เรียกมาใช้งานสำคัญ หรือมีคนยุยงวางแผนให้เจ้านึกถึงและใช้พวกเขากันแน่ ใช้สมองคิดสักหน่อยเถอะ”

พูดจบ เขาก็สวมเสื้อคลุมแล้วหมุนตัวกลับเข้าไปยังในห้อง

ที่เขาสามารถพูดได้มีเพียงเท่านั้น ส่วนที่เหลือขึ้นอยู่กับว่ากู้โม่เฟิงจะเข้าใจหรือไม่

กู้โม่เฟิงค้างอยู่กับที่ เพียงแค่ครู่เดียวก็มีหลายสิ่งหลายอย่างท่วมท้นเข้ามาในความคิดของเขาอย่างวุ่นวาย ทำให้เขาอึดอัดมาก

คนยิ่งใกล้ยิ่งอันตราย?

คำพูดสุดท้ายของกู้โม่หานมีความหมายอย่างอื่นอยู่อย่างชัดเจน

ถ้าจะบอกว่าใครได้ประโยชน์สูงสุดระหว่างพวกเขาล่ะก็ งั้นก็เหลือเพียง…

เขานึกถึงการลอบสังหารครั้งก่อนและเรื่องที่หยีเฟยโดนวางยาพิษ ในวันที่ลูกสาวของกู้โม่หานถูกเปิดเผย จู่ ๆ ทหารของเขาก็สร้างปัญหา…

แล้วเหตุการณ์แต่ละเรื่องก็โดนเชื่อมต่อเข้าด้วยกัน

ทันใดนั้นดวงตาของกู้โม่เฟิงก็มืดมนลง

คนในค่ายทหารของเขา นอกจากเขาแล้วยังมีหนานชิงชิงที่สามารถระดมพลได้ ไหน ๆก็เป็นคู่สามีภรรยากัน การที่ได้เห็นเขากับกู้โม่หานต่อสู้กันอย่างเลือดสาด เขาก็จะได้รับประโยชน์…

เขาเดินออกมาจากจวนอ๋องอี้ด้วยอาการหดหู่ รู้สึกราวกับว่าเขาได้เข้าใจอะไรบางอย่าง แต่ก็ไม่อยากที่จะเชื่อ

แต่คำพูดของกู้โม่หานทำให้เขากลับมาคิดอย่างจริงจังอีกครั้ง เหมือนได้ปลูกเมล็ดพันธุ์แห่งความสงสัยไว้ในใจ และค่อยๆป้องกันระแวดระวังตัวจากหนานชิงชิงและคนผู้นั้นมากยิ่งขึ้น…

ตั้งแต่กู้โม่เฟิงไปสร้างปัญหากับกู้โม่หาน เมื่อกลับมายังจวนอ๋องเฉิงเขาก็ปิดประตูและไม่พบกับใครอีก ไม่แม้แต่สนใจพระชายาเฉิงด้วยซ้ำ

จากนั้นอีกวันก็ผ่านไป

ในตอนเช้า กู้โม่เฟิงก็เปิดประตูออกและปรากฏตัวด้วยการแต่งกายชุดศาลอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยต่อหน้าทุกคน

“เตรียมรถม้า เข้าพระราชวังและขึ้นประชมเช้า” เขาเดินก้าวยาวออกไปนอกจวน เข้าไปนั่งในรถม้าของจวนอ๋อง และมุ่งตรงไปยังพระราชวัง

ปลายทางที่รถม้าขับไปคือพระราชวัง ยิ่งไปกว่านั้นทางไปเต็มไปด้วยลมกรรโชกและฝน

ด้านนอกท้องพระโรงใหญ่ เสนาบดีและเจ้าหน้าที่พลเรือนกำลังรออยู่

เนื่องจากเหตุการณ์ก่อนหน้านี้หนานฉีซานรู้ว่าเขาถูกสงสัยโดยฮ่องเต้ ช่วงนี้เขาเลยลาป่วยและไม่ได้มาขึ้นประชมเช้าในวันนี้

ขุนนางพูดคุยกันด้วยเสียงกระซิบต่ำ หรือไม่ก็มองไปรอบ ๆ แล้วกระซิบกระซาบ

ในเวลานี้ กู้โม่เฟิงเดินเข้าไป เพียงพริบตาเดียวก็เห็นกู้โม่หานยืนอยู่ตามลำพังท่ามกลางฝูงชน

มีหลายคนอยากจะเดินเข้าไปพูดคุยกับเขา แต่เขาไม่พูดเจรจากับใคร ยืนเอามือไพล่หลังไว้และใบหน้าก็เต็มไปด้วยความเยือกเย็นแน่วแน่ บางครั้งก็พยักหน้าเล็กน้อยให้แก่ข้าราชการไม่กี่คนที่อยู่ไกลออกไปด้วยรอยยิ้ม

เขาเป็นคนที่มีความสูงส่งสง่างามออกมาจากภายใน ที่คนไม่อาจหวังเอื้อมถึงได้ กู้โม่เฟิงรู้สึกไม่พออยู่บ่อยครั้ง แต่เขาก็ทำอะไรไม่ได้

“ฝ่าบาทเสด็จ ขึ้นราชบัลลังก์—” ทันใดนั้น เสียงของเฟิ่งจงฉวนก็ดังขึ้นจากด้านหน้าท้องพระโรง

ทุกคนเงียบลงในทันที เข้าแถวเดินเข้าไปในท้องพระโรงโดยไม่รอช้า ขุนนางฝ่ายบุ๋นอยู่ด้านซ้าย ขุนนางฝ่ายบู๊อยู่ด้านขวา ทุกคนคุกเข่าและหมอบกราบไปทางเก้าอี้มังกรสามครั้ง แล้วตะโกนพร้อมกันว่า “เกล้ากระหม่อม ถวายบังคมฝ่าบาท!”

กู้จิ่งซานเดินไปนั่งบนเก้าอี้มังกรท่ามกลางเสียงตะโกนคำนับจากทุกคน

แววตาของเขาดูมืดมนอยู่เสมอ และดวงตาคู่นั้นก็ส่องประกายแวววาวเมื่อเหลือบมองเห็นกู้โม่หานโดยไม่ได้ตั้งใจ และในไม่ช้าสายตาก็หยุดอยู่ตรงหน้าเขา

“ข้าได้ยินมาว่าข้าราชบริพารคนสำคัญเสียชีวิตลงเป็นจำนวนมาก แม้แต่ฮู่ปู้ช่างชู (กระทรวงครัวเรือน รับผิดชอบสำมะโนครัวเรือน รวมถึงเก็บภาษีและบริหารรายจ่ายแผ่นดิน) ก็เสียชีวิตลงอย่างอนาถเมื่อวานนี้ ลี่ปู้(กระทรวงขุนนาง รับผิดชอบการแต่งตั้ง อวยยศ เลื่อนยศ ลดยศ และถอดยศข้าราชการพลเรือน)พวกเจ้าจัดการกันอย่างไร!”

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *