ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้บทที่642 เจ้าอยู่ที่ใดกันแน่

Now you are reading ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้ Chapter บทที่642 เจ้าอยู่ที่ใดกันแน่ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ยากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้ นิยาย บท 642
กู้โม่หานหยุดอยู่ข้างกายของเกี๊ยวน้อยสักพัก แล้วจึงแบกร่างกายอันอ่อนล้าของเขา ไปที่ที่หนานหว่านเยียนเคยอาศัยอยู่

ทุกอย่างที่นี่ยังคงเหมือนเดิม เหมือนตอนที่หนานหว่านเยียนยังอยู่

เขานอนตะแคงอยู่บนเตียง ลำตัวนั้นได้โค้งงอเล็กน้อย ใบหน้าที่หล่อเหลาวางอยู่บนหมอนที่นุ่ม สองมือกอดผ้าปูที่นอนข้างตัวไว้แน่น

หลับตาลงช้าๆ กู้โม่หานหายใจเข้าลึกๆ ปลายจมูกของเขาดูเหมือนจะยังมีกลิ่นยาจางๆ จากร่างกายของหนานหว่านเยียนวนเวียนอยู่ ทุกคราที่เขาอยู่ที่นี่ เขาถึงจะรู้สึกว่าตนนั้นยังมีชีวิตอยู่

ทุกสิ่งที่อยู่รอบตัวเขายังเหลืออยู่บนกลิ่นอายของหนานหว่านเยียน ทำให้เขารู้สึกสบายใจ

หากมิใช่เช่นนี้ ปลายประสาทที่ตึงเครียดของเขาจะย้ำเตือนเขาเสมอว่า เขายังตามหานางกลับมามิได้ เขายังมิสามารถพักผ่อนได้…

สองเดือนมาแล้ว เขาเหมือนกับเป็นโรคที่นอนมิหลับ มีเพียงได้อยู่ที่นี่ เขาจึงจะรู้สึกปล่อยวาง และสามารถพักผ่อนได้บ้าง

แสงจันทร์จมลึกดั่งสายน้ำ กู้โม่หานปลดปล่อยความระแวดระวังรอบกายอย่างมิรู้ตัว แล้วจึงค่อยๆ หลับไป

ทุกสิ่งรอบตัวกลายเป็นเรื่องมิจริงแล้ว เขาขมวดคิ้วแน่น แต่กลับรู้สึกว่าคิ้วของเขาถูกคนทำให้ผ่อนคลายลง

ลืมตาขึ้นด้วยความงุนงง กู้โม่หานเห็นว่าในอ้อมกอดของเขา มีหนานหว่านเยียนกำลังยิ้มและมองเขาอยู่ในนั้น ยื่นมือออกมาเพื่อคลายความกังวลของเขา

“หว่านเยียน?”เขาทั้งประหลาดใจและดีใจ รีบสวมกอดความนุ่มนวลนี้ไว้ในอ้อมแขนอย่างตื่นเต้น

ทุกอย่างเหมือนจริงจนน่ากลัว เอวที่มิมีกระดูกของหญิงสาว กลิ่นสมุนไพรจางๆ จากผมของนาง และอุณหภูมิร่างกายของนาง

เขามิรู้จะอธิบายความรู้สึกของตนเองเยี่ยงไรดี นำหัวของตนกดจมลงไปที่ต้นคอของหนานหว่านเยียน ดวงตาที่ทั้งแคบและยาวซ่อนความตื่นเต้นไว้มิอยู่ ถึงกระทั่งสีของความเจ็บปวดด้วยก็ตาม

“หว่านเยียน หว่านเยียน เจ้าอย่าหนีไปอีกเลยได้หรือไม่”

“ข้าผิดไปแล้ว กลับมาอยู่ข้างกายข้าเถิด ข้าและลูกต่างก็คิดถึงเจ้า ชายในฝันที่เจ้าต้องการ ข้ากำลังพยายามที่จะเข้าใกล้ ขอร้องให้เจ้ากลับมาได้หรือไม่ แม้เจ้าเพียงแค่กลับมาดูข้าสักนิด ให้ข้ารู้ว่าเจ้าและลูกปลอดภัย…”

ครานี้ หนานหว่านเยียนนำแขนของนางโอบรอบคอของเขาไว้ จ้องมองมาที่เขาอย่างอ่อนโยน

“โม่หาน ข้ารับปากเจ้า จะไม่จากเจ้าไปไหนอีกแล้ว”

“เจ้าก็อย่าเอาแต่ขมวดคิ้วอยู่เลย น่าเกลียดมากนะ ถึงเวลาจะทำให้เด็กน้อยทั้งสองตกใจเอาได้”

การปลอบประโลมและสัมผัสของหนานหว่านเยียน ดูเหมือนจะกระตุ้นหัวใจของกู้โม่หานอีกครา

ความรู้สึกที่ถูกเก็บกดมานานได้หลั่งไหลออกมา เขาพลิกตัวและกดหนานหว่านเยียนไว้ใต้ร่างตน จ้องมองไปที่แก้มอันบอกบางของนาง

เขากำมือของหนานหว่านเยียนไว้แน่นด้วยฝ่ามือร้อนของเขา ก้มศีรษะลงจูบนาง เรียกชื่อนางซ้ำแล้วซ้ำเล่า ด้วยดวงตาสีแดงที่กระหายเลือด แสดงความรักใครและครอบงำ

“หว่านเยียน…”

“อืม ข้าอยู่นี่”หนานหว่านเยียนเอ่ยตอบกู้โม่หานครั้งแล้วครั้งเล่า สองมือโอบคอของเขาไว้แน่น เหมือนกับว่ามิอยากจะปล่อยมือ

ม่านเคลื่อนไหวเบาๆ เต็มไปด้วยกลิ่นอายของฤดูใบไม้ผลิ

หลังจากนั้นมินาน กู้โม่หานมองไปที่หนานหว่านเยียนอย่างพึงพอใจ หันไปกอดนางไว้ในอ้อมแขน

แต่เพียงพริบตา ทุกอย่างกลับมลายหายไป ราวกับมิมีอะไรเกิดขึ้น ในอ้อมกอดของเขา มีเพียงแค่ผ้าห่มอันหนาวเย็น

กู้โม่หานลืมตาขึ้นมาด้วยความงุนงง ดวงตาของเขามีความรู้สึกเหงาและสูญเสีย

กู้โม่หานนอนราบ ยกแขนขึ้นปิดตาของตน รอยแผลเป็นที่ซับซ้อนดูน่ากลัวขึ้นมากเป็นพิเศษเมื่ออยู่ใต้แสงจันทร์

“ที่แท้ก็แค่ฝัน”ฝันช่างงดงาม ความจริงช่างน่าเวทนา ในใจของกู้โม่หานว่างเปล่า รอบข้างเงียบเชียบมิมีเสียงใดและเยือกเย็นจนน่ากลัว

เขายิ้มออกมาอย่างขมขื่น ใบหน้าหล่อเหลาเต็มไปด้วยความเย้ยหยันตัวเอง“แต่เจ้าก็ยังทนมาอยู่ในความฝันของข้า นั่นหมายความว่า ในเร็วๆ นี้ พวกข้าจะได้พบกันอีกคราใช่หรือไม่?”

แสงจันทร์เยือกเย็นพลิ้วไหว เขาพึมพำกับตนเอง ราวกับถามสายลมยามเย็น

“หว่านเยียน ตอนนี้เจ้า อยู่ที่ใดกันแน่…”

……

หยุนเหิงพาหยุนอี่ว์โหรวเข้ามาที่ตำหนัก จงใจเดินวนอยู่ในตำหนักเป็นเวลานาน โดยมิคาดคิดว่าท้องฟ้าเกือบจะมืดแล้ว หยุนอี่ว์โหรวมิได้ถูกกู้โม่หานส่งออกจากวัง

เขาได้ไปสอบถามมาแล้ว ได้รู้ว่าหยุนอี่ว์โหรวถูกกู้โม่หานสั่งให้คนพานางมาอยู่ที่นี่ด้วยตนเอง ทำให้เขาโกรธจนเดือดเป็นฟืนเป็นไฟ

อย่างไรก็ตามเขาเป็นเพียงขุนนางธรรมดา บัดนี้ได้เข้ามาอยู่ในตำหนัก คำพูดได้ก็มิกล้าจะพูดมาก เขาจึงออกจากตำหนักมาในตอนมืด และกลับไปที่จวนของแม่ทัพน้อย

หยุนเหิงพึ่งกลับมาถึงเรือนของตน ก็ถูกกลุ่มคนชุดดำจับตัวไว้

ดวงตาของเขามืดลง มือทั้งสองอ้อมไปจับข้อมือของคนชุดดำที่อยู่ด้านหลัง และตวาดถามว่า“ใครกันที่กล้าบุกจวนแม่ทัพน้อยในยามวิกาลเช่นนี้?!”

แต่ใครจะรู้ว่าคนเหล่านั้นยังคงมิหวั่นไหว แต่ก็มิได้ตั้งตนเป็นศัตรูกับเขาต่อ

นัยน์ตาของหยุนเหิงเย็นชา เมื่อเขากำลังจะจริงจังนั้น จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงอันคุ้นเคย“อย่าเสียมารยาท รับปล่อยแม่ทัพน้อยเดี๋ยวนี้”

“พะยะค่ะ!”พวกองครักษ์รีบปล่อยทันที โค้งคำนับให้ผู้ที่อยู่ในเงามืดด้วยความเคารพ แล้วหายลับไปในยามราตรีมิเห็นตัว

ดวงตาของหยุนเหิงเบิกกว้างด้วยความมิเชื่อ มองตามเสียงนั้น เห็นเพียงในเงามืด มีร่างเพรียวบางและสง่างามเดินออกมาช้าๆ

นางสวมเสื้อมีปกสีเขียว มิได้ม้วนผมก็เพียงพอที่จะทำให้คนจมลง งดงามโดยมิต้องแต่งหน้า

“เจ้าเจ้าเจ้า…”หยุนเหิงตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง มองไปที่หนานหว่านเยียน ดวงตาของเขามีแต่ความตื่นตระหนกและตกใจ“เจ้า เจ้าคือ…พี่สาวเทพเซียน?!”

“มิถูก ท่านมิใช่ มิใช่ว่าเคย…ข้า ช่วงนี้ข้ามิเคยทำเรื่องมิดีมาก่อน แม้ว่าข้าจะคิดถึงท่านเสมอ แต่ข้า ข้าข้ายังใช้ชีวิตมิเพียงพอเลย…”

เขาเอ่ยออกมาจับความมิได้ ใบหน้าของเขาซีดด้วยความตื่นตระหนก

ด้านหนึ่งเขาต้องการที่จะมองหนานหว่านเยียนมากกว่านี้ แต่อีกด้านกลัวว่านี่คือผีหนานหว่านเยียนที่กลับมาหา

ยืนอยู่ข้างหนานหว่านเยียน เฟิงยางที่มักจะมิแสดงสีหน้าอันใด ก็ยังอดมิได้ที่จะขมวดคิ้ว

คนผู้นี้เกรงว่าจะเป็นบ้า แน่ใจว่าสามารถทำภารกิจที่ได้รับมอบหมายมาจากจวิ้นจู่ได้สำเร็จจริงหรือ?

หนานหว่านเยียนเห็นท่าทางทำสิ่งใดมิถูกของหยุนเหิง ก็อดหัวเราะออกมามิได้ ดวงตาที่มีเสน่ห์ของนางกลายเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว

“หยุนเหิง เจ้าดูดีดี ข้ายังมีชีวิตอยู่ มิใช่ผีที่มาหลอกพาเจ้าไปสักหน่อย”

หยุนเหิงจ้องมองใบหน้าที่งดงามของหนานหว่านเยียน จิตใจมิอยู่กับเนื้อกับตัวเป็นเวลานาน

เป็นเวลานานแล้วที่เขามิได้เห็นรอยยิ้มของหนานหว่านเยียน ตั้งแต่วันที่นางได้รับแต่งตั้ง ใบหน้าก็มิมีรอยยิ้มอีกเลย

ต่อมาตำหนักใหญ่เกิดไฟไหม้ เขาอยากที่จะพุ่งเข้าไปตามหาคน แต่เนื่องจากความวุ่นวายรอบตัวเขา ทำให้เขาต้องอยู่ในกฎระเบียบ

เขาเห็นนางตายไปด้วยตาตนเอง ตอนนี้กลับได้รู้ว่าหนานหว่านเยียนยังมีชีวิตอยู่ เขามิกล้าที่จะเชื่อด้วยซ้ำ รู้สึกเพียงว่าหางตามีความชื้น เขาอดมิได้ที่จะก้าวเข้าไปข้างหน้าเพื่อมองใบหน้าของหนานหว่านเยียนอย่างใกล้ชิด

“ฮองเฮาเหนียงเหนียง ท่าน ท่านยังมีชีวิตอยู่จริงๆ หรือ?”

“แต่ข้าได้ยินมาว่า ท่านได้ตายไปในกองเพลิงนั่นตั้งนานแล้วนี่…”

ความอ่อนโยนและลมหายใจที่ดูมีชีวิตชีวาของคนตรงหน้า ล้วนบ่งบอกเขาว่า หนานหว่านเยียนยังมีชีวิตอยู่จริงๆ

มิเพียงแค่มีชีวิตอยู่ แม้กระทั่งความสวยก็เพิ่มพูนมากกว่าแต่ก่อน แม้ว่าหุ่นจะดูอวบอ้วนขึ้นมาหน่อย

เขาร้องไห้ด้วยความปิติยินดี แต่ก็เกรงว่าจะเสียหน้าเมื่ออยู่ต่อหน้าหนานหว่านเยียน ใช้แขนเช็ดน้ำตาบนใบหน้าอย่างยุ่งเหยิง“พี่สาวเทพเซียน ท่านออกมาจากตำหนักได้เยี่ยงไรหรือ?”

หนานหว่านเยียนเห็นดวงตาที่เต็มไปด้วยความชื้นของเขา นัยน์ตาสั่นไหว“เรื่องที่ข้าออกจากวังได้นั้นเป็นความลับ ตอนนี้ยังมิสามารถบอกเจ้าได้ เจ้าก็มิต้องเสียใจไป ข้าสบายดี”

“ท่านไม่เป็นไรก็ดีมากแล้ว”หยุนเหิงพยักหน้าอย่างตื่นเต้น จู่ๆ ก็นึกได้ สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นเศร้าหมอง“แต่ว่า ฮองเฮาเหนียงเหนียง ฮ่องเต้ผู้นี่มิน่าเชื่อถือจริงๆ”

“เสียดายที่ตอนนั้นข้าคิดว่าฮ่องเต้กล้าหาญและเก่งกาจ และยังทำดีกับท่าน เป็นคนดีที่อยู่หนึ่งในล้านคน แต่มิคิดเลยว่าเขาจะ…”

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *