ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้บทที่ 313 เขาควบคุมมากเหลือเกิน

Now you are reading ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้ Chapter บทที่ 313 เขาควบคุมมากเหลือเกิน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้ บทที่ 313 เขาควบคุมมากเหลือเกิน

หนานหว่านเยียนเห็นท่าทีกำลังคุกคามของเขา จึงได้ถอยหลังกลับไป แต่หลังของนางชนเข้ากับรถม้า นางมิอาจถอยได้

เมื่อได้ยินดังนั้น ใบหน้าอันงดงามของนางก็แดงเรื่อ นางจะกล่าวอะไรบางอย่างแต่ก็รู้สึกผิด แต่ตอนนี้เขาขยับเข้ามาใกล้เรื่อยๆ จนแทบจะสัมผัสริมฝีปากของนางอยู่แล้ว

หนานหว่านเยียนตกใจยื่นมือออกไปผลักเขา ดวงตางดงามคู่นั้นจับจ้องแล้วยิ้มออกมา

“เรื่องเมื่อคืนนี้ข้าจำมิได้ ข้าขอโทษเจ้าด้วย เรื่องเช่นเมื่อคืนนี้จะมิเกิดขึ้นอีก ข้าให้สัญญา”

ใบหน้าของกู้โม่หานดูเย็นชาแข็งกร้าว เมื่อเห็นท่าทีอันรู้สึกผิดของนาง เขาก็เลิกคิ้วขึ้นสูง

เดิมทีเขาคิดว่าหนานหว่านเยียนยังพอจำเรื่องราวได้บ้างเล็กน้อย คาดมิถึงวันนางจะจำอะไรมิได้เลย ดังนั้นเขาจึงจัดการทุกอย่างได้ตามอำเภอใจ

“ต่อจากนี้เจ้าอย่าดื่มสุราอีก เลิกไปเลยก็ยิ่งดี”

ถึงอย่างไรแล้วหนานหว่านเยียนก็เป็นคนผิด อีกอย่าง เดิมทีนางก็วางแผนจะเลิกดื่มสุราแล้ว ในขณะที่นางกำลังจะตกลงและสนทนากับเขาถึงเรื่องการหย่าร้าง ไม่ว่าอย่างไรเขาจะเข้ามายุ่งวุ่นวายมิได้ แต่กลับได้ยินกู้โม่หานกล่าวเพิ่มขึ้นประโยคหนึ่งว่า

“อีกอย่าง ที่เรือนของเจ้า นอกจากผู้คุ้มกันแล้ว อย่าได้มีชายอื่น”

“รอเมื่อไหร่ที่กลับจวนแล้ว ข้าจะสั่งให้โม่หวิ่นหมิงย้ายออกไป บัดนี้ข้าเห็นว่าขาของเขาดีขึ้นมาก สามารถอยู่เรือนแยกต่างหากได้แล้ว เพื่อมิให้เป็นขี้ปากใคร”

ชั่วพริบตา หนานหว่านเยียนกกลืนคำพูดของตนลงไป

นางเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย อารมณ์จมดิ่งลง

“ข้ากำลังจะหย่าร้างกับเจ้าแล้ว เมื่อไรที่ข้าได้หนังสือหย่าร้างมา ข้าก็จะพาพวกเขาออกไป มิเกี่ยวข้องอะไรกับเจ้า อีกอย่างนั้นคือท่านน้าของข้า เมื่อคืนนี้เป็นข้ากล่าววาจาดูถูกเจ้า เจ้าอย่าได้มาลงที่เขา”

ริมฝีปากของกู้โม่หานเผยอยิ้มขึ้นอย่างเย้ยหยัน “รอให้เจ้าได้หนังสือหย่าร้างก่อนเถิด ค่อยมาเจรจากับข้าเรื่องการย้ายออกไป บัดนี้ข้าเพียงอยากให้เขาตีตัวออกห่างจากเจ้า”

“มิได้ ก่อนหน้านี้เจ้าสัญญากับข้าแล้วว่าจะให้ข้ารับท่านน้ามารักษาอาการบาดเจ็บที่เรือน เหตุใดเจ้าจึงกลับคำเช่นนี้?”

หนานหว่านเยียนมองไปทางเขาด้วยความสับสน “อีกอย่างนั่นคือท่านน้าของข้า เป็นคนในครอบครัวของข้า พวกเรามิได้อาศัยห้องเดียวและนอนเตียงเดียวกันสักหน่อย จะเป็นเป้าหมายของการนินทาได้อย่างไร?”

ก็เพียงแค่อาศัยอยู่ในบริเวณลานบ้านเดียวกัน แต่ละคนต่างมีชีวิตเป็นของตนเอง กู้โม่หานยังมิสามารถเปิดใจรับได้ เจ้าหมอนี่ใจแคบไปหรือเปล่า?

หนานหว่านเยียนเห็นโม่หวิ่นหมิงเป็นคนในครอบครัว แต่โม่หวิ่นหมิงมิได้เห็นนางเป็นเหมือนหลานสาว

กู้โม่หานรู้สึกหงุดหงิดใจแต่ก็มิอาจบอกเรื่องนี้กับนางได้ เมื่อเห็นว่าหนานหว่านเยียนปกป้องโม่หวิ่นหมิง แววตาของเขาก็เย็นชาเป็นประกาย

“พวกเจ้ามิได้มีความสัมพันธ์กันทางสายเลือดสักหน่อย มิได้ก็คือมิได้ เมื่อกลับเรือนไปแล้วให้เขาย้ายออกไปเสีย”

หนานหว่านเยียนมิอยากสนทนาเรื่องนี้กับเขา ถึงอย่างไรนางก็จะจากไปแล้ว เดิมทีนางอารมณ์ดีมาก คิดมิถึงว่าเมื่อถูกเขาเข้ามาจัดการเรื่องราวต่างๆ กลับมาโหมากเพียงนี้

“กู้โม่หาน เจ้ายุ่งเรื่องราวของข้ามากเกินไปแล้ว ท่านน้าของข้าและลูกสาวของข้าอยู่ที่ใด ข้าก็อยู่ที่นั่น ก่อนหน้านี้เจ้าตกลงเอาไว้แล้ว บัดนี้เจ้าจะรื้อสะพานทิ้งเมื่อข้ามแม่น้ำไป เจ้าอย่าคิดว่าอาการบาดเจ็บของเจ้าจะหายดี!”

เรื่องการศึกษาของลูกๆ นางเขาก็เข้ามาวุ่นวาย บัดนี้เรื่องของท่านน้า เขาก็ยังเข้ามาจัดการอีก

เหตุใดกู้โม่หานจึงชอบควบคุมเรื่องราวของคนอื่นนักหนา?

หรือเขาอยากจะเป็นผู้ชายของนางจริงๆ

กู้โม่หานมองเข้าไปในดวงตาของนางด้วยแววตาอันลึกซึ้ง

“หนานหว่านเยียน ตอนนี้พวกเรายังมิได้หย่าร้างกัน เจ้าก็เป็นภรรยาของข้า การที่ข้าเข้าไปจัดการเรื่องเหล่านี้ของเจ้า เป็นเรื่องที่สมควร ข้ามิเพียงจะจัดการ แต่จะจัดการอย่างเคร่งครัดด้วย”

เขาตั้งใจทำเช่นนี้หรือ เขาเจตนาจะยั่วยุนาง?

หนานหว่านเยียนจ้องมองไปยังดวงตาของกู้โม่หานที่มืดมิดไร้แวววาว ดูเหมือนกำลังจะกล่าวอะไรออกมา แต่จู่ๆ รถม้าก็หยุดลง

นางมิทันได้คว้าอะไรไว้ จึงทำให้ร่างกายมิมั่นคงและล้มเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของกู้โม่หาน

กู้โม่หานโอบกอดนางอย่างแนบแน่น กลิ่นกายหอมหวนอบอุ่น

เอวของหนานหว่านเยียนทั้งบางและอ่อนโยน ร่างของนางส่งกลิ่นจางๆ ออกมาช่างหอมเหลือเกิน

จู่ๆ ร่างกายของเขาก็แข็งทื่อ ก้มหน้าบังเอิญเห็นรอยจูบที่ซ่อนอยู่บริเวณคอเสื้อของนาง

ฉากความบ้าคลั่งของเมื่อคืนนี้ท่วมท้นเข้ามาในสมอง รวมถึงการที่เขาบังคับให้นางจูบกับเขาอย่างไร

หัวใจของกู้โม่หานเต้นโครมครามแล้วผลักหนานหว่านเยียนออก ใบหูของเขาแดงเรื่อเล็กน้อย เปิดม่านเอ่ยถามคนขับรถว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”

หนานหว่านเยียนถูกผลักเสียจนแทบตกจากรถม้า โชคดีที่นางพยุงร่างของตนเองไว้ทัน นางมองไปทางกู้โม่หานแล้วด่าทอด้วยน้ำเสียงต่ำทุ้มว่า

“ผลักก็ผลักสิ จะใช้แรงมากขนาดนั้นทำไมกัน!”

“ท่านอ๋อง” หนานฉีซานกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงอันเคารพนอบน้อม “รถม้าของกระหม่อมเข้าไปขัดจังหวะ สร้างความตกใจรบกวนท่านอ๋องและพระชายา ขอทานทั้งสองอย่าได้ถือสา”

หนานเฉิงเซี่ยง?

แววตาของหนานหว่านเยียนเหลือบมองไปข้างนอก จากมุมของนางนี้แทบมองมิเห็นหนานฉีซานที่ยืนอยู่ตรงหน้ารถม้า

แววตาของกู้โม่หานเหลือบไปเห็นหนานฉีซานก็เย็นชาลงทันใด มันเต็มไปด้วยความรู้สึกเหน็บแนม

“ครั้งนี้ข้ามินำมาใส่ใจ แต่ครั้งหน้าเฉิงเซี่ยงควรระวังเข้าไว้ เพราะสุนัขที่ดีมิควรเข้ามาขวางทาง”

หนานฉีซานมิใช่เด็กอายุยี่สิบกว่าปี แม้ว่าเขาจะรู้สึกมิพึงพอใจที่ถูกเหยียดหยามต่อหน้า แต่ก็ทำได้เพียงกล่าวว่า “กระหม่อมจะจำไว้พ่ะย่ะค่ะ”

หนานหว่านเยียนมองไปทางกู้โม่หานที่ปล่อยม่านของรถม้าลง ใบหน้าหล่อเหลาของเขาเย็นชาแล้วกล่าวออกมาอย่างมิเกรงใจว่า “ไปได้”

“พ่ะย่ะค่ะท่านอ๋อง” คนขับรถม้าตอบรับแล้วรีบขับรถม้าตรงเข้าไปในพระราชวัง

หนานฉีซานมองดูรถม้าของทั้งสองขับแล่นออกไป รอยยิ้มบนใบหน้าก็หุบลง มืดมนมีความหมายลึกซึ้ง

เมื่อรถม้าขับเคลื่อนผ่านไป หนานฉีซานมองผ่านหน้าต่างจึงได้เห็นว่ากู้โม่หานและหนานหว่านเยียนใกล้ชิดสนิทสนม ค่อนข้างรักใคร่กัน

ดูเหมือนว่าบุตรสาวของเขาจะอยู่ในลู่ในทาง รับฟังคำของเขาไว้ในใจ

เพียงแค่นางกุมหัวใจของอ๋องอี้ได้ คุณค่าของนางก็จะสูงขึ้น และมีบทบาทมากขึ้น……

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *