ผมได้สืบทอดมรดกร้อยพันล้านบทที่ 5818 เป็นภาพลวงตา (1)

Now you are reading ผมได้สืบทอดมรดกร้อยพันล้าน Chapter บทที่ 5818 เป็นภาพลวงตา (1) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ด้สืบทอดมรดกร้อยพันล้าน นิยาย บท 5818
คำร้องขอของหลินหว่านเอ๋อร์ทำให้เย่เฉินหาเหตุผลที่จะปฏิเสธไม่ได้

สำหรับภูเขาแสนลี้นั้นถือว่ายากลำบากและอันตรายต่อผู้หญิงบอบบางอย่างหลินหว่านเอ๋อร์มาก แต่มีตัวเขาอยู่ ความยากลำบากและอันตรายแค่นั้นก็ถือว่าเล็กน้อยมาก

คิดถึงตรงนี้ เย่เฉินก็ตอบตกลงว่า: “ในเมื่อเป็นแบบนี้ งั้นถึงตอนนั้นพวกเราก็ค่อยไปด้วยกัน”

หลินหว่านเอ๋อร์รีบพยักหน้าตกลงด้วยความดีใจ และพูดอย่างตื่นเต้นว่า: “ขอบคุณคุณชายมากค่ะ! ข้าน้อยรับรองว่าจะไม่พยายามสร้างปัญหาให้กับคุณชายอย่างแน่นอนค่ะ!”

เย่เฉินยิ้มเบาๆ แล้วก็นั่งลงด้านข้างของมารดาผูเอ่อร์ และเอ่ยปากพูดว่า: “พวกเรารออยู่ที่นี่สักพักเถอะ รอจนรุ่งสางแล้วค่อยขุดต้นอ่อนนี้ออกแล้วเดินทางไปสนามบิน”

หลินหว่านเอ๋อร์พยักหน้า แล้วก็นั่งกอดเข่าลงอีกด้านของมารดาแผ่งผูเอ่อร์ นั่งมองดูผิวน้ำที่ส่องประกายระยิบระยับและเงียบสงบของสระสวรรค์ และเอ่ยปากถามขึ้นเบาๆ ว่า: “คุณชายคิดว่า ฝนตกหนักเมื่อสักครู่นั้นเป็นภาพลวงตาหรือเป็นเรื่องจริง?”

เย่เฉินคิดอยู่ครู่หนึ่ง: “คงจะเป็นภาพลวงตา? คุณคิดว่าไงล่ะ?”

หลินหว่านเอ๋อร์ครุ่นคิดสักพักหนึ่ง พูดว่า: “ข้าน้อยคิดว่า เหมือนจะอยู่ระหว่างความจริงกับภาพลวงตาค่ะ”

เย่เฉินขมวดคิ้ว: “ควรจะเลือกมาหนึ่งในสองข้อนี้ไม่ใช่เหรอ?”

หลินหว่านเอ๋อร์ส่ายหน้าพูดว่า: “มักจะรู้สึกเหมือนจริงครึ่งไม่จริงครึ่ง จริงไม่จริง ไม่จริงจริง”

เย่เฉินหัวเราะและพูดว่า: “พรุ่งนี้สามารถลองถามชาวบ้านแถวนี้ดูก็ได้ว่าเมื่อคืนได้ยินเสียงฟ้าผ่าฝนตกไหม ความเคลื่อนไหวเมื่อสักครู่ดังขนาดนั้น ถ้าเป็นเรื่องจริง ก็เป็นไปไม่ได้ที่ชาวบ้านรอบๆ แถวนี้จะไม่รู้สึก”

หลินหว่านเอ๋อร์พยักหน้าเบาๆ และพูดพึมพำว่า: “เหมือนว่ามันจะไม่ง่ายอย่างนั้นน่ะสิ…….”

พูดจบ เธอหันมองเย่เฉิน แล้วยิ้มและพูดว่า: “บางทีข้าน้อยอาจจะคิดมากเกกินไปก็เป็นได้ค่ะ”

เย่เฉินพยักหน้าโดยไม่คิดอะไรมาก มองดูอุปกรณ์แคมป์ปิ้งที่นำติดตัวมาตอนลงจากรถ ถามเธอว่า: “คุณหลินวิ่งเต้นมานานมากขนาดนี้โดยไม่คิดจะหยุดพักผ่อนเลย งั้นเดี๋ยวผมตั้งเต็นท์ขึ้นแล้วคุณนอนสักพักหน่อยดีไหม?”

หลินหว่านเอ๋อร์ตอบเย่เฉินว่า: “คุณชายเหนื่อยหรือยังคะ?”

เย่เฉินตอบไปว่า: “ผมไม่นอนหนึ่งเดือนก็ไม่รู้สึกเหนื่อยหรอก จะว่าไปผมจะต้องเฝ้าดูมารดาแห่งผูเอ่อร์อย่างไม่คลาดสายตา หากมีคนมาขุดไปก็จะเสียใจไปจนวันตาย”

หลินหว่านเอ๋อร์ตอบอย่างเขินอายว่า: “ข้าน้อยก็ไม่รู้สึกเหนื่อย เมื่อสักครู่ที่กินใบชานั้นไป รู้สึกว่ามีชีวิตชีวามากเลยทีเดียว มีความรู้สึกผ่อนคลายอย่างบอกไม่ถูก ไม่รู้สักเหนื่อยล้าเลยสักนิดค่ะ”

เย่เฉินพยักหน้า ถึงแม้หลินหว่านเอ๋อร์ไม่เข้าถึงปราณทิพย์ได้ แต่พลังอันบริสุทธิ์ของปราณทิพย์สิ่งนี้ล้วนมีผลดีอย่างยิ่งต่อทุกคน

เมื่อดูจากปราณทิพย์ที่มีอยู่ในใบชาของมารดาแห่งผูเอ่อร์ใบนั้น สรรพคุณของมันแทบจะเทียบเท่ากับหนึ่งในสี่ของยาสลายเลือดและยารักษาหัวใจ คนธรรมดาทั่วไปกินไปหนึ่งใบก็สามารถอายุยืนขึ้นหนึ่งปีครึ่งได้สบายๆ อีกทั้งสมรรถภาพร่างกายก็เพิ่มสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ไม่ว่าจะเป็นอาการเจ็บป่วยใดๆ ก็สามารถมีอาการดีขึ้นได้ค่อนข้างมากเลยทีเดียว

ยายั้งอายุที่หลินหว่านเอ๋อร์ใช้อยู่มันก็คือฝ้าเพดานของชีวิตเธอในตอนนี้ เมื่อห้าร้อยปีก่อน เธออาจจะไม่เคยล้มป่วย ดังนั้นในกรณีแบบนี้ ใบของมารดาผูเอ่อร์ไม่สามารถยืดอายุของเธอให้ยืนยาวได้ และก็ไม่สามารถช่วยรักษาอาการเจ็บป่วยของเธอได้ แต่กลับสามารถทำให้ร่างกายของเธอราวกับลานส่งคลื่นวิทยุอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ทำให้เธอไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยเลยสักนิด

ในเมื่อทั้งสองคนต่างก็ไม่รู้สึกง่วงกันเลย เย่เฉินก็ไม่ได้ตั้งเต็นท์ เขากับหลินหว่านเอ๋อร์ก็เลยนั่งกันอยู่ที่ริมสระสวรรค์ เพลิดเพลินไปกับการนั่งชมดูดวงดาวบนฟ้า และพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องราวในอดีตของพวกเขาสองคน

เย่เฉินรู้สึกเพลิดเพลินมีความสุขกับช่วงเวลาที่ได้คุยกับหลินหว่านเอ๋อร์มาก นับตั้งแต่พ่อแม่จากไป เขาก็เว้นระยะห่างกับทุกคน กับภรรยาเซียวชูหรันเขาก็ปกปิดทั้งสถานะตัวตนและความแข็งแกร่งของตัวเอง และสำหรับคนที่ติดตามข้างกายของตัวเอง รวมทั้งเพื่อนสนิทอีกหลายคนด้วย ถึงแม้ว่าเย่เฉินค่อยๆ เปิดเผยสถานะตัวตนและความแข็งแกร่งของตัวเองให้พวกเขารู้ แต่ก็ไม่เคยบอกกับใครมาก่อนถึงเรื่องความบังเอิญในสมัยนั้นที่ตัวเองได้รับตำราเก้าเสวียนเทียนมา

มีเพียงหลินหว่านเอ๋อร์แค่คนเดียวเท่านั้นที่รู้ความลับทั้งหมดของเย่เฉิน

หลินหว่านเอ๋อร์ก็เหมือนกัน

ตลอดสามร้อยกว่าปีที่ผ่านมา เธอรับเลี้ยงดูเด็กกำพร้ามานับไม่ถ้วน แต่ก็ได้สารภาพของความลับการเป็นอมตะของตนให้แก่คนไม่กี่คนที่เธอไว้ใจมากที่สุดเท่านั้น นอกจากเด็กเหล่านั้นที่เธอเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เธอก็ไม่ได้นำความลับของตัวเองไปบอกแก่ใครอีกเลย เย่เฉินเป็นคนแรก

ดังนั้นในใจเบื้องลึกของทั้งสองคนต่างเห็นว่าอีกฝ่ายคือเพื่อนสนิทอย่างแท้จริงของตัวเอง อีกทั้งเป็นเพื่อนสนิทแค่เพียงคนเดียวเท่านั้น เนื่องจากสิบสองปันนาตั้งอยู่ทางภาคตะวันตกเฉียงใต้ เวลาที่ฟ้าสางจริงๆ จะช้ากว่าทางเขตภาคตะวันออกอยู่หนึ่งชั่วโมง ดังนั้นทั้งสองคนจึงคุยกันยาวมาจนถึงเจ็ดโมงเช้า จนในที่สุดท้องฟ้าก็ค่อยๆ ส่องแสงสว่างออกมา

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด