ผมได้สืบทอดมรดกร้อยพันล้านบทที่ 5563 เหลวไหล เหลวไหลให้พอ!(1)
ผมได้สืบทอดมรดกร้อยพันล้าน บทที่ 5563 เหลวไหล เหลวไหลให้พอ!(1)
ทันทีที่คลอเดียเปิดบานประตูห้องออก เย่เฉินก็เห็นหลินหว่านเอ๋อร์ที่มีใบหน้าซีดเซียว นั่งหน้ามุ่ยอยู่ตรงเก้าอี้เขียนหนังสือ
เห็นเย่เฉินเดินเข้ามา เธอก็รีบลุกขึ้นยืน แล้วพูดอย่างเคอะเขินและอิดโรยว่า“คุณเย่ ต้องขอโทษแล้วจริงๆ ดึกป่านนี้แล้วยังตามคุณมาอีก……”
เย่เฉินมองดูหลินหว่านเอ๋อร์ แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม“คุณหลินไม่ต้องเกรงใจไป คุณเป็นเพื่อนร่วมห้องของคลอเดีย ผมแวะมาดูก็สมควรอยู่ ”
คลอเดียรีบพูดขึ้นว่า“พี่เย่เฉิน พี่ไม่ต้องเรียกเสี่ยวหว่านว่าคุณหลินก็ได้ เรียกเธอเสี่ยวหว่านเหมือนฉันนี่แหละ”
พูดจบ เธอก็พูดกับหลินหว่านเอ๋อร์ว่า“เสี่ยวหว่าน พี่เย่เฉินอายุมากกว่าฉันสิบปี และมากกว่าเธอเกือบสิบเอ็ดปี เธอก็เรียกเหมือนฉัน ว่าพี่เย่เฉินนี่แหละ”
หลินหว่านเอ๋อร์ผงะเล็กน้อย ลังเลอยู่ชั่วครู่ ก็พูดกับเย่เฉินอย่างระแวดระวังว่า“พี่เย่เฉิน……”
เมื่อเย่เฉินเห็น ก็ยกยิ้มหน้าบานแล้วพูดว่า“ในเมื่อเรียกฉันว่าพี่แล้ว งั้นฉันก็ไม่เกรงใจแล้วนะ เสี่ยวหว่าน คลอเดียบอกว่าเธอปวดหัวมาก นี่มันเกิดอะไรขึ้น ช่วยบอกเล่าให้ฉันฟังทีได้ไหม ?”
เมื่อหลินหว่านเอ๋อร์ได้ยินคำนี้ ภายในใจก็อดไม่ได้ที่จะต่อว่า“เย่เฉินนายมันร้าย ที่ฉันต้องปวดหัวขนาดนี้ก็เพราะฝีมือของนาย แต่นายกลับยังมาย้อนถามฉันอย่างไม่รู้สึกรู้สาว่าเกิดอะไรขึ้น นี่นายไม่รู้ตัวเองเลยหรือยังไง ?”
แม้ในใจจะรู้สึกหนักใจ แต่ใบหน้าของหลินหว่านเอ๋อร์ก็ไม่กล้าให้เย่เฉินสังเกตเห็นถึงความผิดปรกติใดๆเลยแม้แต่น้อย จากนั้นมือข้างหนึ่งของเธอก็เท้าไปที่ขมับ แล้วพูดด้วยใบหน้าที่เซื่องซึมว่า“ฉันเองก็ไม่รู้ว่าเป็นอะไร อยู่ดีๆมาตลอด จนวันที่มารายงานตัวที่มหาลัย ก็รู้สึกปวดหัวขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ และความปวดแบบนี้ก็เจ็บเจียนจะขาดใจ ราวกับมีเข็มนับไม่ถ้วนทิ่มแทงเข้ามา และเข็มเหล่านั้นก็ยังร้อยไปกับเส้นด้าย และเส้นด้ายนี้ก็ชักดึงกันไปมาไม่หยุด ตามชีพจรของฉัน เจ็บปวดจนเหมือนมันจะระเบิดออกมาให้ได้……”
พูดจบ หลินหว่านเอ๋อร์ก็พูดต่อ“นอกจากนี้ สองวันมานี้ฉันก็กินยาแก้ปวดไปไม่น้อย แต่ก็ไม่เป็นผลอะไรเลย ในตอนที่กลับบ้าน ก็ยังเคยเป็นลมหมดสติไปด้วย……”
เย่เฉินรู้สึกตกใจเมื่อได้ยิน เขาไม่คิดเหมือนกัน ว่าการใช้จุดสังเกตทางจิตวิทยาที่หนักหน่วงของตัวเองเมื่อคราวที่แล้ว จะส่งผลที่รุนแรงเช่นนี้กับหลินหว่านเอ๋อร์ได้
และภายในใจของหลินหว่านเอ๋อร์ก็แอบคิด“หากฉันไม่พูด เย่เฉินก็คงไม่มีทางรู้ ว่าฉันถูกเขาทรมานอย่างเจ็บปวดแค่ไหน หวังว่าจิตใต้สำนึกของเขาจะเป็นทุกข์กับเรื่องนี้ด้วยเหมือนกันนะ!”
เย่เฉินในตอนนี้ ภายในใจก็รู้สึกผิดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ นึกไปถึงเด็กสาวที่อายุสิบเจ็ดปีคนหนึ่ง เกือบจะต้องมาตายด้วยน้ำมือขององค์กรพั่วชิงแล้ว นี่หลบหนีมาเรียนหนังสือที่หัวเซี่ย ก็ยังจะมาถูกปราณทิพย์ของตัวเองเล่นงานจนแทบจะเอาชีวิตอีก ช่างไม่ง่ายเลยเสียจริง
ดังนั้น เขาก็ไม่รอช้า พูดกับหลินหว่านเอ๋อร์ว่า“เสี่ยวหว่าน ขอฉันจับชีพจรเราก่อนแล้วกัน”
“ได้……”หลินหว่านเอ๋อร์รับคำ แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าจับชีพจรนั้นจะต้องแตะเนื้อต้องตัวกัน ในใจก็แอบรู้สึกอายเล็กน้อย ก็จึงเอ่ยถามเขาอย่างตะกุกตะกักว่า“พี่เย่เฉิน……จะ……จะจับชีพจรยังไงเหรอ?”
เย่เฉินไม่ได้คิดมากอะไร หยิบเอาเก้าอี้อีกตัวหนึ่งมา แล้วนั่งลงที่ตรงหน้าหลินหว่านเอ๋อร์ ตบไปที่หน้าขาด้านขวาของตัวเอง แล้วพูดว่า“มา เอามือขวาของเรามาวางลงบนตักของฉัน”
“ห๊า?”หลินหว่านเอ๋อร์ถามอย่างไม่รู้ตัว“การจับชีพจรไม่ใช่ว่าต้องวางข้อมือไปที่โต๊ะหรอกเหรอ ……”
เย่เฉินชี้ไปที่โต๊ะข้างหลังของเธอ แล้วพูดว่า“โต๊ะอยู่ข้างหลังของเรา แบบนี้ไม่สะดวกเท่าไร ไม่เป็นไร การจับชีพจรของฉันไม่ต้องพิถีพิถันขนาดนั้น แค่ให้ฉันได้ลองแตะดู ฉันก็พอจะรู้แล้ว ”
“ก็ได้……”หลินหว่านเอ๋อร์รู้ว่าตัวเองไม่สามารถที่จะปฏิเสธได้ ดังนั้นก็จึงยื่นมือออกไปอย่างระมัดระวัง แล้ววางลงที่บนตักของเย่เฉินอย่างประหม่า
เธอโตมาจนป่านนี้ ไม่เคยต้องสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ชายคนไหนแบบนี้มาก่อน ดังนั้นทันทีที่หลังมือแตะไปที่หน้าขาของเย่เฉิน หัวใจก็เต้นโครมคราม ที่ใบหน้าเองก็เห่อร้อนขึ้นในทันที
Comments