ผมได้สืบทอดมรดกร้อยพันล้านบทที่ 5779 โอกาสสุดท้าย(2)
ผมได้สืบทอดมรดกร้อยพันล้าน นิยาย บท 5779
เจมส์ สมิธส่ายหน้า พูดว่า:“ผมจะไปรับลูกชายผม แล้วค่อยไปลองดูที่บริษัทผลิตยาเก้าเสวียน ดูว่ามีโอกาสไหม”
คนนั้นพยักหน้าพูดว่า:“ถ้ามีอะไรให้ช่วย โทรหาพวกเราเลย”
“โอเค”เจมส์ สมิธตอบตกลง แล้วรีบออกจากโบสถ์ นั่งแท็กซี่ไปโรงพยาบาลชุมชน
ตั้งแต่มาจินหลิง พวกเขาก็พาลูก ไปทำประวัติที่โรงพยาบาลชุมชนจินหลิงก่อน จากนั้นจึงเริ่มใช้ยาเคมีบำบัดแบบเดียวกับสหรัฐอเมริกา ตอนแรกเขาอาศัยอยู่โรงแรมใกล้โรงพยาบาล เมื่อเจนนี่ภรรยาของเขาจัดการทุกอย่างในอเมริกาแล้ว ก็พาลูกสาวไปจินหลิง แล้วพวกเขาก็เช่าบ้านหลังหนึ่งใกล้โรงพยาบาล
เจมส์ สมิธทำตามคำแนะนำของเย่เฉิน ทุกวันเขายุ่งอยู่กับการทำการกุศลตามที่เขาจะทำได้ในจินหลิง ภรรยาของเขาเจนนี่ ก็ทำตามข้อกำหนดของโรงพยาบาล เมื่อมีบำบัด ตรวจเช็ก ก็จะพาลูกไปโรงพยาบาล และพาลูกกลับบ้านพักผ่อนในเวลากลางคืน
มะเร็งของเสี่ยวจี๋หมี่ โดยพื้นฐานแล้ว ได้เข้าสู่ระยะสุดท้าย ยาเคมีบำบัดที่ใช้อยู่ในปัจจุบันเป็นยาที่ดีที่สุดและใหม่ล่าสุดในตลาด แต่ก็รักษามะเร็งไม่ได้ สิ่งที่ทำได้คือชะลอการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็งให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
สำหรับผู้ป่วยโรคมะเร็งแล้ว ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดคือการค้นพบมะเร็งระยะต้น ซึ่งสามารถรักษาให้หายขาดได้ ถ้ามะเร็งแพร่กระจายออกไปแล้ว งั้นผลลัพธ์ที่ดีที่สุด คือการหายาที่ตรงจุด
แต่คนเราก็มียีนที่แตกต่างกันไป บางคนโชคดี สามารถหายาที่ตรงกับยีนได้ ก็สามารถพึ่งพายานั้นมารับผลการรักษาที่ดีได้
บางคนโชคไม่ดี และหายาที่ตรงกับยีนไม่ได้ จึงไม่สามารถรักษาด้วยยาที่ตรงเป้าได้
หากไม่มียาที่ตรงเป้า ก็เหลือแค่เคมีบำบัดแบบดั้งเดิมและรังสีบำบัดเท่านั้น
สถานการณ์ปัจจุบันของเสี่ยวจี๋หมี่ เคมีบำบัดคืออุปสรรคสุดท้าย แต่เจมส์ สมิธรู้ดีว่า อุปสรรคสุดท้ายในตอนนี้ตกอยู่ในอันตรายแล้ว ระยะเวลาที่มันเอาอยู่ เกรงว่าจะอยู่ไม่กี่เดือนเท่านั้น
เจมส์ สมิธมาถึงหอผู้ป่วยรายวันในโรงพยาบาลอย่างคุ้นเคย เวลานี้ทุกเตียงในหอผู้ป่วย ต่างเป็นผู้ป่วยมะเร็งที่ได้รับเคมีบำบัด
บรรดาผู้ป่วยโรคมะเร็งเหล่านี้ อายุของเสี่ยวจี๋หมี่น้อยที่สุด
เดิมทีมีเด็กอายุห้าขวบเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวระยะสุดท้าย ก่อนหน้านี้เด็กคนนี้ได้ผ่านการอนุมัติจากบริษัทผลิตยาเก้าเสวียน ได้รับโควตาการทดลองทางคลินิก ย้ายไปรักษาอยู่ที่ห้องทดลองภายในบริษัทผลิตยาเก้าเสวียน
เจมส์ สมิธในตอนนั้นอิจฉามาก แต่อิจฉาไปก็ทำอะไรไม่ได้ ตามระบบคะแนนของบริษัทผลิตยาเก้าเสวียน เด็กที่อายุยังน้อย อาการรุนแรงและครอบครัวลำบาก มักได้รับการคัดเลือกเป็นอันดับแรก
เวลานี้ จิมมี่กำลังนอนอยู่บนเตียงคนไข้ ตอนนี้ร่างกายผอมแห้ง ผมก็ร่วงหมด ดูบอบบางมาก และตอนนี้ดวงตาเขาปิดลงเล็กน้อย ดูเหมือนว่าจะหลับไปแล้ว
เจนนี่ภรรยาของเจมส์ สมิธ เวลานี้กำลังนั่งเหนื่อยอยู่บนเก้าอี้ข้างเตียง
เห็นสามีเข้ามา เจนนี่จึงถามด้วยความประหลาดใจว่า:“เจมส์ คุณมาได้ไง?ช่วงบ่ายต้องช่วยเหลือคนไร้บ้านที่โบสถ์ไม่ใช่เหรอ?”
เจมส์ สมิธไม่ตอบคำถาม แต่มองดูเด็กที่อยู่บนเตียง แล้วถามเธอว่า:“จิมมี่หลับแล้วเหรอ?”
เจนนี่พยักหน้าเล็กน้อย พูดอย่างลำบากใจ:“เขาอาเจียนหนักขึ้นเรื่อย ๆ หมอเพิ่มยาแก้อาเจียนเข้าไปในยาเคมีบำบัดของเธอแล้ว แต่ยาที่เพิ่มเข้ามาใหม่ทำให้เธอง่วงนอน”
พูดไป เจนนี่ก็ตาแดง พูดเสียงเบาว่า:“สมิธ ผล CT เมื่อสองวันก่อนออกมาแล้ว เซลล์มะเร็งในตัวจิมมี่ยังแพร่กระจาย การให้เคมีบำบัดในสัปดาห์นี้ยังไม่ดีขึ้น หมอบอกว่า ตอนนี้ร่างกายเขาเริ่มทรุดลงอย่างรวดเร็ว เหมือนลิฟต์ที่ตกจากที่สูงจนควบคุมไม่ได้ ยาเคมีบำบัดแทบจะไม่สามารถชะลออาการทรุดเธอได้เลย
แต่อย่างมากที่สุดก็จะขยายออกไปจากสองเดือนเป็นสองเดือนครึ่ง ยากที่จะถึงสามเดือน ……”
พูดถึงตรงนี้ เจนนี่ก็ปิดหน้าสะอึกสะอื้น
เจมส์ สมิธรีบก้าวเข้ามาโอบกอดเธอไว้ แล้วปลอบเสียงบา:“ไม่ต้องร้องไห้นะ ไม่แน่อาจจะมีโอกาสอื่น”
เจนนี่ส่ายหน้าพูดว่า:“ฉันไม่อยากมีความหวังลม ๆ แล้ง ๆ อีกต่อไปแล้ว ตอนนี้ฉันกำลังคิดว่า หรือจะหยุดรักษาจิมมี่ ไม่กี่เดือนที่เหลือนี้ พาเขากลับไปสหรัฐอเมริกา ปู่ยา ตายาย ต่างรอพบเขาทั้งนั้น กลับสหรัฐอเมริกา อย่างน้อยก็ให้ช่วงชีวิตสุดท้ายของเขาได้อยู่กับครอบครัว”
เจมส์ สมิธพูดว่า:“ตอนนี้มีโอกาสสุดท้ายแล้ว แม้ผมจะไม่รู้ความสำเร็จโอกาสนี้ว่าจะมากแค่ไหน แต่ตราบใดที่ยังมีโอกาส ก็ต้องดีกว่าไม่มีโอกาสอยู่แล้ว”
พูดไป เขาก็พูดกับเจนนี่ว่า:“ให้พยาบาลมาถอดสายน้ำเกลือจิมมี่เถอะ ผมจะพาเขาออกไปหน่อย!”
เจนนี่ถามอย่างแปลกใจว่า:“คุณจะพาเขาไปไหน?”
เจมส์ สมิธจำได้ว่าหูเล่อฉีกำชับว่าอย่าบอกให้ใครรู้ ดังนั้นจึงพูดว่า:“คุณอย่าเพิ่งถามอะไร รับปากอีกฝ่ายแล้วว่าพูดมากไม่ได้ แต่คุณไม่ต้องห่วง ถ้าได้ผลยังไง ผมจะบอกคุณทันที!”
Comments