The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา 183 งูมังกรทะลวงดิน

Now you are reading The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา Chapter 183 งูมังกรทะลวงดิน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“ก๊อกๆๆ”

มีคนเคาะประตูเรียกหลินมู่อวี่จากด้านนอกอยู่นาน “ท่านราชทูตหลินหยาน ท่านมีภารกิจพิเศษช่วงบ่าย โปรดเตรียมตัวให้พร้อมด้วยนะขอรับ!”

หลินมู่อวี่ลืมตาตื่นมองออกไปนอกหน้าต่าง ก่อนจะพบว่านี่มันเวลาเที่ยงวันแล้ว เขาลุกไปล้างหน้าล้างตา

ทหารฝึกหัดหลายคนเตรียมม้าและชุดเกราะพร้อม ตั้งแต่หลินมู่อวี่ถูกแต่งตั้งเป็นราชทูตเขาได้รับสวัสดิการเพิ่มขึ้นอย่างมาก แม้เขาจะได้ชุดเกราะสีแดงใหม่ที่ถูกสร้างมาอย่างพิถีพิถัน ทว่ามันกลับหนักเกินไปทำให้หลินมู่อวี่นึกถึงเกราะดาวทองศักดิ์สิทธิ์ที่ถูกสร้างด้วยอัญมณีทะยานนภาช่วยให้น้ำหนักเบา.

หลังทานอาหารเที่ยงเสร็จหลินมู่อวี่ได้ยินเสียงปืนใหญ่เรียกรวมพลดังมาจากทางภูเขา

ราชทูตใหญ่จีหยาง ราชทูตหลี่เฉียนซุน และทหารระดับสูงมาเข้าร่วมอย่างพร้อมหน้า ยิ่งไปกว่านั้นดูเหมือนทหารชำนาญการบนเขาทั้งหมดกว่าสองพันคนก็ถูกเรียกรวมพลด้วย ธงสำนักอัศวินผืนใหญ่โบกสะบัดบดบังดวงอาทิตย์อย่างยิ่งใหญ่

หลินมู่อวี่ควบม้าเข้าไปหาจีหยางและทำการคำนับ “ท่านจีหยาง ไม่ทราบว่าเราจะทำสิ่งใดกันถึงต้องเรียกกำลังคนมากมายขนาดนี้ขอรับ?”

จีหยางลูบเคราอย่างอารมณ์ดี “อย่าถามให้มากความท่านหลินหยาน ตราบที่ท่านทำภารกิจสำเร็จก็จะรู้ได้เอง ข้าขอรับรองเลยว่าท่านจะได้กลายเป็นผู้บัญชาการกองพันอย่างแน่นอน!”

“ผู้บัญชาการกองพันหรือ?”

หลินมู่อวี่ขมวดคิ้วสงสัยทว่าไม่ได้ถามสิ่งใดต่อ ในเมื่อในสำนักอัศวินไม่เคยมีตำแหน่งนี้มาก่อน แล้วเขาจะได้เลื่อนขั้นได้อย่างไร?

กองทหารเคลื่อนพลลงจากภูเขาโดยใช้ทางอ้อมผ่านป่าล่ามังกรแทนที่จะใช้ถนนเส้นหลักเหมือนเช่นเคย จีหยางและคนอื่นๆ คุ้นเคยเส้นทางเป็นอย่างดี ใช้เวลาเพียงครึ่งวันก็มาถึงที่ๆ หลินมู่อวี่ไม่รู้จัก

หลินมู่อวี่เริ่มกระวนกระวาย นึกถึงคำพูดสองคำที่ได้จากการอ่านใจจีหยางเมื่อวาน ตำหนักกวางโศกาและชางไป๋เฮ่อ…หมายความว่าอย่างไรกันแน่? ชางไป๋เฮ่อกลับที่เมืองหลวงแล้วรึ?

แล้วตำหนักกวางโศกาคือที่ใดกัน?

ใกล้จะมืดเต็มที หลินมู่อวี่จึงถอยร่นไปป้องกันปีกหลัง โดยมีทหารเหรียญเงินสองสามคนทำทีตามไปเหมือนคุ้มกัน แต่หลินมู่อวี่คิดว่าคงคอยจับตาดูเขาเสียมากกว่า

“พรึบ…พรึบ…”

หลินมู่อวี่เงยหน้าขึ้นมาพบนกสีขาวตัวหนึ่งที่กำลังกระพือปีกบินลงมาลงมาเกาะที่ไหล่ของตน ก่อนจะพบว่าเป็นเสี่ยวไป๋…นกส่งสารที่นำจดหมายจากฉู่เหยามาส่ง

หลินมู่อวี่หันมองโดยรอบ…เมื่อพบว่าทหารเหรียญเงินกำลังพูดคุยอยู่และไม่ได้สนใจตน จึงเปิดอ่านจดหมายที่ฉู่เหยาเขียนมา “อาอวี่…เจ้าอยู่ที่ใด? ทำไมถึงออกจากเมืองหลวงนานนัก? วันนี้พี่ใหญ่ออกล่าสัตว์กับองค์จักรพรรดิที่ตำหนักกวางโศกา ข้าคิดถึงเจ้ามาก! หากเจ้าได้รับสารนี้ได้โปรดแจ้งข่าวให้ข้ารู้ด้วยเถิด”

นี่มันฉู่เหยา!

หลินมู่อวี่หัวใจพองโต ทว่าเมื่อเห็นชื่อ ‘ตำหนักกวางโศกา’ เขาก็หวั่นใจลึกๆ เป็นไปได้หรือไม่ว่าจะเป็นชื่อของวังหลังแห่งหนึ่ง? หากเป็นเช่นนั้นจริง…สิ่งที่จีหยางหมายตาไว้คือวังหลังกวางโศกา!”

จีหยางต้องการปลงพระชนม์องค์จักรพรรดิ!

หลินมู่อวี่หัวใจแทบหยุดเต้น เขาเข้าใจได้ในทันทีว่าเหตุใดจีหยางจึงปิดเป็นความลับและเหตุใดจึงนึกถึงชางไป๋เฮ่อ..ซึ่งแน่นอนว่าชายคนนั้นต้องเข้าร่วมกับแผนลอบสังหารนี้อย่างแน่นอน!

นี่หาใช่เรื่องล้อเล่นไม่…หากไม่มีชวีฉูคอยอารักขา องค์จักรพรรดิต้องตกอยู่ในอันตรายเป็นแน่

ที่สำคัญที่สุดการล่าสัตว์ครานี้ฉินอินคงตามฉินจิ้นมาด้วย ฉะนั้นนางก็ตกอยู่ในอันตรายเช่นกัน!

แม้ว่าฉินเหลย เฟิ้งจี้สิง และคนอื่นๆ จะคอยอารักขาอยู่ก็ตาม ทว่าพวกเขายังไม่รู้ถึงแผนการของสำนักอัศวิน ต่อเมื่อถูกโจมตีลำพังปกป้องฉินอินกับตัวเองก็เต็มกลืนแล้ว ไม่ต้องพูดถึงจักรพรรดิฉินจิ้น…

เมื่อคิดได้ดังนั้นภายในใจหลินมู่อวี่ก็ลุกโชนด้วยไฟแค้น เขาจะมีส่วนร่วมในภารกิจนี้ไปได้ ฉะนั้นต้องหนี…ทว่าหนีอย่างไรเล่า? นอกเสียจาก…แกล้งไปเข้าห้องน้ำ!

“ข้าขอตัวไปเข้าห้องน้ำสักเดี๋ยว” หลินมู่อวี่กล่าวพลันหมุนตัวไปอีกทาง

ทหารเหรียญเงินเอ่ยขึ้น “ให้ข้าตามไปด้วยหรือไม่ขอรับ?”

“ไม่จำเป็น ข้าไม่ชอบให้ใครมาตามดู”

“เช่นนั้นข้าจะรอท่านราชทูตอยู่ตรงนี้นะขอรับ”

“ไม่ต้อง ตามกองทัพไปเถิด มิเช่นนั้นหากมีอสูรวิญญาณโผล่มาจับเจ้ากินจะหาว่าข้าไม่เตือน”

“ข้าไปก็ได้ขอรับ…”

หลินมู่อวี่ควบม้าเข้าไปในป่าลึกและดึงกระบี่เหลียวหยวนออก อาศัยแสงสะท้อนจากคมกระบี่ช่วยในการเขียนจดหมายตอบกลับให้ฉู่เหยา “ท่านพี่ฉู่เหยา…สำนักอัศวินจะทำการลอบปลงพระชนม์องค์จักรพรรดิคืนนี้ที่ตำหนักกวางโศกา โปรดหาทางติดต่อท่านฉินเหลยและเฟิ้งจี้สิงโดยด่วนที่สุด…จากอาอวี่”

“ไป!…”

นกเสี่ยวไป๋บินไปยังเมืองหลันเยี่ยนตามที่หลินมู่อวี่สั่งไว้ก่อนตนจะเร่งม้าควบตามไป

ม้าศึกเริ่มหอบเหนื่อยจากการวิ่งต่อเนื่องมาหลายวันจนแทบไม่มีแรงเหลือ ถึงกระนั้นนี่ก็เป็นเรื่องเร่งด่วน หลินมู่อวี่ต้องไปให้ไวที่สุด

หลายชั่วโมงผ่านไป ม้าศึกล้มลงน้ำลายฟูมปากวิ่งต่อไปไม่ได้อีก

หลินมู่อวี่กัดฟันกรอด ชักกระบี่เหลียวหยวนออกมาและใช้ฝีเท้าดาวตกที่มีความไวพอๆ กับม้าศึกเดินทางต่อ แม้จะสิ้นเปลืองปราณยุทธ์อย่างมหาศาลก็ตาม

ภายในครึ่งชั่วโมง…หลินมู่อวี่ที่ข้ามเขามาก็เห็นเมืองหลันเยี่ยนอยู่ตรงหน้า

อย่างไรก็ตามหลินมู่อวี่ไม่มีเวลามากพอจะเข้าเมืองหลวงเพื่อเรียกกำลังเสริม เขาจึงตรงไปยังรังอินทรีแทน ในหน่วยองครักษ์อินทรีมีทหารชั้นยอดอยู่หนึ่งร้อยสิบคน ทว่าตอนนี้ไม่สำคัญว่ามีเท่าใด เขาต้องการกำลังคนมากที่สุดเท่าที่จะมากได้

ณ ภูเขารังอินทรี มีแสงไฟริบหรี่เนื่องจากมีทหารกลุ่มหนึ่งกำลังดื่มเหล้ากันอยู่ เหล่าทหารเมื่อเห็นหลินมู่อวี่ที่สวมชุดราชทูตของสำนักอัศวิน ต่างพากันหยิบอาวุธพร้อมตะโกนลั่น “นี่เจ้ากล้าย่างเท้าเข้ามาถึงรังอินทรีเชียวรึ?!”

หลินมู่อวี่ค่อยๆ ถอดผ้าคลุมหน้าออกเผยให้เห็นใบหน้าอันเด็ดเดี่ยว “ข้าคือทหารองครักษ์อวี้หลินนามว่าหลินมู่อวี่ เปิดทางให้ข้าเข้าไป”

“ท่านหลินมู่อวี่เองหรือ?…จะเปิดให้เดี๋ยวนี้ขอรับ!”

ประตูค่ายค่อยๆ เปิดออก เมื่อหลินมู่อวี่เข้าไปด้านใน เว่ยโฉวและทหารคนอื่นๆ ก็ออกมาต้อนรับอย่างยินดี “ในที่สุดท่านก็กลับมา!”

หลินมู่อวี่กล่าวด้วยความร้อนใจ “ไปเตรียมม้าและชุดศึกขององครักษ์อวี้หลินมาให้ข้า! เว่ยโฉว…สั่งระดมพลและพร้อมออกเดินทางทันที!”

“รับทราบขอรับ!”

เว่ยโฉวผู้จงรักภักดีไม่เอ่ยถามสิ่งใดต่อนอกจากทำตามที่นายของตนสั่งไว้

ทันใดนั้นผู้บัญชาการเมิ่งฟางก็ตะโกนขึ้นมา “หลินมู่อวี่ เจ้าไม่มีสิทธิสั่งเคลื่อนพลหน่วยองครักษ์อินทรีหากไม่ได้รับการอนุญาตเสียก่อน!”

หลินมู่อวี่เผยใบหน้าจริง “ขณะนี้มีกลุ่มคนกำลังมุ่งไปยังตำหนักกวางโศกาเพื่อปลงพระชนม์องค์จักรพรรดิ! ข้าจะออกเดินทางเดี๋ยวนี้ มิเช่นนั้นอาจไม่ทันการ!”

เมิ่งฟางตกตะลึง “เจ้า…หมายความว่าอย่างไร?”

หลินมู่อวี่กำมือแน่น “หากพวกเจ้าอยากปกป้ององค์จักรพรรดิจงตามข้ามา!”

ในบรรดากลุ่มผู้บัญชาการทหารมีเพียงเซี้ยโหวซางที่ชูดาบขึ้นและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ท่านหลินมู่อวี่…ข้าเซี้ยโหวซางขอติดตามท่านไปด้วยขอรับ!”

“เยี่ยมมาก!”

เมื่อเปลี่ยนเป็นชุดเกราะขององครักษ์อวี้หลินแล้ว หลินมู่อวี่จึงได้รวบรวมกองทหารได้กว่าร้อยคน ก่อนจะขึ้นควบม้าและเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง “เว่ยโฉว…นำทัพตรงไปยังตำหนักกวางโศกา!”

“ขอรับ!”

เสียงกีบเท้าของกองทัพม้ากระทบพื้นทำลายความสงัดยามค่ำคืน ทหารองครักษ์อวี้หลินกว่าร้อยนายมุ่งขึ้นเขาไปยังตำหนักกวางโศกาทางตอนเหนือของเมือง

ณ ตำหนักกวางโศกา วังหลังที่อยู่ติดกับป่าล่ามังกรที่องค์จักรพรรดิชอบไปล่าสัตว์ เหมือนเช่นเคยเขาพาฉินอินและเสนาบดีไปด้วยสองสามคน กลางโถงใหญ่ขณะนี้ยังคงมีแสงไฟสว่าง เนื่องจากองค์จักรพรรดิและเหล่าเสนาบดีกำลังสังสรรค์กันอยู่

ด้านนอกวัง เฟิ้งจี้สิงยืนหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่ในชุดศึกสีขาว ในมือถือดาบสะบั้นวาโยขณะพูดคุยกับหลัวเลี่ย “กะกลางคืนได้ลาดตระเวนบ้างหรือไม่?”

หลัวเลี่ยประสานกำปั้นคำนับ “วางใจได้ขอรับ! เรามีองครักษ์อวี้หลินหลายพันนายและทหารอีกสี่พันนายประจำการอยู่ทั้งสี่ทิศและค่ายหน้าด่านอีกสิบสองค่าย ต่อให้มีปีกก็บุกเข้ามาไม่ได้ขอรับ ทั้งยังมีท่านผู้บัญชาการฉินเหลยที่เป็นถึงผู้นำองครักษ์มังกรทำการอารักขาทั้งสองพระองค์อยู่ ฉะนั้นพักผ่อนเถิดขอรับ ขึ้นนี้ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นแน่นอน”

“อืม…ทำได้ดีมาก”

ทว่าเฟิ้งจี้สิงยังคงไม่สบายใจ “ข้ารู้สึกว่าเราขาดใครไป…ท่านชวีฉูกลับมาหรือยัง?”

หลัวเลี่ยยิ้มจางๆ “ท่านชวีฉูกำลังเพลิดเพลินกับสมุนไพรบนภูเขาทมิฬอยู่ คงไม่กลับจนกว่าจะเก็บสมุนไพรได้หมดขอรับ ทว่าการป้องกันตำหนักกวางโศกาก็แน่นหนามาก ต่อให้ท่านชวีฉูกลับช้าก็คงไม่เป็นปัญหาขอรับ”

เฟิ้งจี้สิงนิ่งคิด “ไม่เป็นไร…พวกเจ้าคอยจับตาดูกันไว้อย่าให้คลาดสายตาเป็นอันขาด”

“ขอรับ!”

กลางดึก ณ ป่าล่ามังกร เกิดเสียงคล้ายฟ้าร้องใต้ผืนดิน “ตู้ม!” ทันใดนั้นก็มีงูยักษ์โผล่ออกมา! บนหัวมีเกล็ดคล้ายใบมีดคมนี่มัน…งูมังกรทะลวงดิน! เส้นสีทองสิบสองเส้นและสีเงินสามเส้นแสดงว่าอายุหนึ่งหมื่นสองพันสามร้อยปี ไม่แน่ว่าคงใกล้เป็นมังกรเต็มตัวในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า

เกล็ดส่วนหนึ่งบริเวณลำคอแยกออกคล้ายมีบางอย่างติดอยู่บนนั้น เมื่อเพ่งมองจึงเห็นว่าเป็นผู้เฒ่าคนหนึ่งที่ขาทั้งสองเสียบติดอยู่กับเนื้องู ผู้เฒ่าผมขาวท่าทีหยิ่งผยองเอ่ยขึ้นพร้อมกับใช้ไม้เท้าในมือสะกิดต้นคอของงูมังกร “เจ้าสัตว์เลี้ยง เดินหน้าต่อไปอย่าได้หยุด เราจะสังหารเจ้าราชาไร้ประโยชน์นั่นได้หรือไม่ขึ้นอยู่กับเจ้าแล้ว!”

“ฟ่อ…”

งูมังกรเงยหน้าขึ้นและส่งเสียงขู่ฟ่ออย่างเคียดแค้น

ภายใต้แสงจันทร์ผมของผู้เฒ่าปลิวไสวไปตามสายลม ชายคนนั้นคือ…ชางไป๋เฮ่อ!

“ไปได้!”

งูมังกรเงยหน้าขึ้นและดำลงพื้นอีกครั้ง เกล็ดบนหัวของมันทำหน้าที่คล้ายใบมีดหมุนและเจาะทะลวงพื้นหิน ชางไป๋เฮ่อก้มตัวลงขนานไปกับลำตัวของงูมังกรเหมือนเกล็ดงู เขากลั้นหายใจขณะที่งูมังกรดำดินลงไป ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ชางไป๋เฮ่อเดินทางไปกับงูมังกรได้และไม่โดนหินทับจนตายอีกด้วย

กลางดึกเสื้อคลุมยาวขององครักษ์ชุดขาวปลิวตามลม ฉินเหลยจิบเหล้าจากโหลน้ำเต้าในมือ ร่างกายอันร้อนรุ่มตะโกนขึ้น “เพิ่มการอารักขา!”

อีกด้าน…ฉู๋ฮว๋ายเหมี่ยนกระชับดาบในมือและเงี่ยหูฟังก่อนจะเอ่ยถาม “ท่านแม่ทัพ…ได้ยินเสียงบางอย่างหรือไม่?”

“เสียงอะไรรึ?” ฉินเหลยประหลาดใจ

“ราวกับว่า…เสียงมาจากใต้ดิน…” แววตาของฉู๋ฮว๋ายเหมี่ยนเปลี่ยนเป็นจริงจังเมื่อรู้ที่มาของเสียง “มันดังมาจากใต้ดินจริงๆ ขอรับ! มีบางอย่างกำลังมา! ระวัง!”

…………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา 183 งูมังกรทะลวงดิน

Now you are reading The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา Chapter 183 งูมังกรทะลวงดิน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“ก๊อกๆๆ”

มีคนเคาะประตูเรียกหลินมู่อวี่จากด้านนอกอยู่นาน “ท่านราชทูตหลินหยาน ท่านมีภารกิจพิเศษช่วงบ่าย โปรดเตรียมตัวให้พร้อมด้วยนะขอรับ!”

หลินมู่อวี่ลืมตาตื่นมองออกไปนอกหน้าต่าง ก่อนจะพบว่านี่มันเวลาเที่ยงวันแล้ว เขาลุกไปล้างหน้าล้างตา

ทหารฝึกหัดหลายคนเตรียมม้าและชุดเกราะพร้อม ตั้งแต่หลินมู่อวี่ถูกแต่งตั้งเป็นราชทูตเขาได้รับสวัสดิการเพิ่มขึ้นอย่างมาก แม้เขาจะได้ชุดเกราะสีแดงใหม่ที่ถูกสร้างมาอย่างพิถีพิถัน ทว่ามันกลับหนักเกินไปทำให้หลินมู่อวี่นึกถึงเกราะดาวทองศักดิ์สิทธิ์ที่ถูกสร้างด้วยอัญมณีทะยานนภาช่วยให้น้ำหนักเบา.

หลังทานอาหารเที่ยงเสร็จหลินมู่อวี่ได้ยินเสียงปืนใหญ่เรียกรวมพลดังมาจากทางภูเขา

ราชทูตใหญ่จีหยาง ราชทูตหลี่เฉียนซุน และทหารระดับสูงมาเข้าร่วมอย่างพร้อมหน้า ยิ่งไปกว่านั้นดูเหมือนทหารชำนาญการบนเขาทั้งหมดกว่าสองพันคนก็ถูกเรียกรวมพลด้วย ธงสำนักอัศวินผืนใหญ่โบกสะบัดบดบังดวงอาทิตย์อย่างยิ่งใหญ่

หลินมู่อวี่ควบม้าเข้าไปหาจีหยางและทำการคำนับ “ท่านจีหยาง ไม่ทราบว่าเราจะทำสิ่งใดกันถึงต้องเรียกกำลังคนมากมายขนาดนี้ขอรับ?”

จีหยางลูบเคราอย่างอารมณ์ดี “อย่าถามให้มากความท่านหลินหยาน ตราบที่ท่านทำภารกิจสำเร็จก็จะรู้ได้เอง ข้าขอรับรองเลยว่าท่านจะได้กลายเป็นผู้บัญชาการกองพันอย่างแน่นอน!”

“ผู้บัญชาการกองพันหรือ?”

หลินมู่อวี่ขมวดคิ้วสงสัยทว่าไม่ได้ถามสิ่งใดต่อ ในเมื่อในสำนักอัศวินไม่เคยมีตำแหน่งนี้มาก่อน แล้วเขาจะได้เลื่อนขั้นได้อย่างไร?

กองทหารเคลื่อนพลลงจากภูเขาโดยใช้ทางอ้อมผ่านป่าล่ามังกรแทนที่จะใช้ถนนเส้นหลักเหมือนเช่นเคย จีหยางและคนอื่นๆ คุ้นเคยเส้นทางเป็นอย่างดี ใช้เวลาเพียงครึ่งวันก็มาถึงที่ๆ หลินมู่อวี่ไม่รู้จัก

หลินมู่อวี่เริ่มกระวนกระวาย นึกถึงคำพูดสองคำที่ได้จากการอ่านใจจีหยางเมื่อวาน ตำหนักกวางโศกาและชางไป๋เฮ่อ…หมายความว่าอย่างไรกันแน่? ชางไป๋เฮ่อกลับที่เมืองหลวงแล้วรึ?

แล้วตำหนักกวางโศกาคือที่ใดกัน?

ใกล้จะมืดเต็มที หลินมู่อวี่จึงถอยร่นไปป้องกันปีกหลัง โดยมีทหารเหรียญเงินสองสามคนทำทีตามไปเหมือนคุ้มกัน แต่หลินมู่อวี่คิดว่าคงคอยจับตาดูเขาเสียมากกว่า

“พรึบ…พรึบ…”

หลินมู่อวี่เงยหน้าขึ้นมาพบนกสีขาวตัวหนึ่งที่กำลังกระพือปีกบินลงมาลงมาเกาะที่ไหล่ของตน ก่อนจะพบว่าเป็นเสี่ยวไป๋…นกส่งสารที่นำจดหมายจากฉู่เหยามาส่ง

หลินมู่อวี่หันมองโดยรอบ…เมื่อพบว่าทหารเหรียญเงินกำลังพูดคุยอยู่และไม่ได้สนใจตน จึงเปิดอ่านจดหมายที่ฉู่เหยาเขียนมา “อาอวี่…เจ้าอยู่ที่ใด? ทำไมถึงออกจากเมืองหลวงนานนัก? วันนี้พี่ใหญ่ออกล่าสัตว์กับองค์จักรพรรดิที่ตำหนักกวางโศกา ข้าคิดถึงเจ้ามาก! หากเจ้าได้รับสารนี้ได้โปรดแจ้งข่าวให้ข้ารู้ด้วยเถิด”

นี่มันฉู่เหยา!

หลินมู่อวี่หัวใจพองโต ทว่าเมื่อเห็นชื่อ ‘ตำหนักกวางโศกา’ เขาก็หวั่นใจลึกๆ เป็นไปได้หรือไม่ว่าจะเป็นชื่อของวังหลังแห่งหนึ่ง? หากเป็นเช่นนั้นจริง…สิ่งที่จีหยางหมายตาไว้คือวังหลังกวางโศกา!”

จีหยางต้องการปลงพระชนม์องค์จักรพรรดิ!

หลินมู่อวี่หัวใจแทบหยุดเต้น เขาเข้าใจได้ในทันทีว่าเหตุใดจีหยางจึงปิดเป็นความลับและเหตุใดจึงนึกถึงชางไป๋เฮ่อ..ซึ่งแน่นอนว่าชายคนนั้นต้องเข้าร่วมกับแผนลอบสังหารนี้อย่างแน่นอน!

นี่หาใช่เรื่องล้อเล่นไม่…หากไม่มีชวีฉูคอยอารักขา องค์จักรพรรดิต้องตกอยู่ในอันตรายเป็นแน่

ที่สำคัญที่สุดการล่าสัตว์ครานี้ฉินอินคงตามฉินจิ้นมาด้วย ฉะนั้นนางก็ตกอยู่ในอันตรายเช่นกัน!

แม้ว่าฉินเหลย เฟิ้งจี้สิง และคนอื่นๆ จะคอยอารักขาอยู่ก็ตาม ทว่าพวกเขายังไม่รู้ถึงแผนการของสำนักอัศวิน ต่อเมื่อถูกโจมตีลำพังปกป้องฉินอินกับตัวเองก็เต็มกลืนแล้ว ไม่ต้องพูดถึงจักรพรรดิฉินจิ้น…

เมื่อคิดได้ดังนั้นภายในใจหลินมู่อวี่ก็ลุกโชนด้วยไฟแค้น เขาจะมีส่วนร่วมในภารกิจนี้ไปได้ ฉะนั้นต้องหนี…ทว่าหนีอย่างไรเล่า? นอกเสียจาก…แกล้งไปเข้าห้องน้ำ!

“ข้าขอตัวไปเข้าห้องน้ำสักเดี๋ยว” หลินมู่อวี่กล่าวพลันหมุนตัวไปอีกทาง

ทหารเหรียญเงินเอ่ยขึ้น “ให้ข้าตามไปด้วยหรือไม่ขอรับ?”

“ไม่จำเป็น ข้าไม่ชอบให้ใครมาตามดู”

“เช่นนั้นข้าจะรอท่านราชทูตอยู่ตรงนี้นะขอรับ”

“ไม่ต้อง ตามกองทัพไปเถิด มิเช่นนั้นหากมีอสูรวิญญาณโผล่มาจับเจ้ากินจะหาว่าข้าไม่เตือน”

“ข้าไปก็ได้ขอรับ…”

หลินมู่อวี่ควบม้าเข้าไปในป่าลึกและดึงกระบี่เหลียวหยวนออก อาศัยแสงสะท้อนจากคมกระบี่ช่วยในการเขียนจดหมายตอบกลับให้ฉู่เหยา “ท่านพี่ฉู่เหยา…สำนักอัศวินจะทำการลอบปลงพระชนม์องค์จักรพรรดิคืนนี้ที่ตำหนักกวางโศกา โปรดหาทางติดต่อท่านฉินเหลยและเฟิ้งจี้สิงโดยด่วนที่สุด…จากอาอวี่”

“ไป!…”

นกเสี่ยวไป๋บินไปยังเมืองหลันเยี่ยนตามที่หลินมู่อวี่สั่งไว้ก่อนตนจะเร่งม้าควบตามไป

ม้าศึกเริ่มหอบเหนื่อยจากการวิ่งต่อเนื่องมาหลายวันจนแทบไม่มีแรงเหลือ ถึงกระนั้นนี่ก็เป็นเรื่องเร่งด่วน หลินมู่อวี่ต้องไปให้ไวที่สุด

หลายชั่วโมงผ่านไป ม้าศึกล้มลงน้ำลายฟูมปากวิ่งต่อไปไม่ได้อีก

หลินมู่อวี่กัดฟันกรอด ชักกระบี่เหลียวหยวนออกมาและใช้ฝีเท้าดาวตกที่มีความไวพอๆ กับม้าศึกเดินทางต่อ แม้จะสิ้นเปลืองปราณยุทธ์อย่างมหาศาลก็ตาม

ภายในครึ่งชั่วโมง…หลินมู่อวี่ที่ข้ามเขามาก็เห็นเมืองหลันเยี่ยนอยู่ตรงหน้า

อย่างไรก็ตามหลินมู่อวี่ไม่มีเวลามากพอจะเข้าเมืองหลวงเพื่อเรียกกำลังเสริม เขาจึงตรงไปยังรังอินทรีแทน ในหน่วยองครักษ์อินทรีมีทหารชั้นยอดอยู่หนึ่งร้อยสิบคน ทว่าตอนนี้ไม่สำคัญว่ามีเท่าใด เขาต้องการกำลังคนมากที่สุดเท่าที่จะมากได้

ณ ภูเขารังอินทรี มีแสงไฟริบหรี่เนื่องจากมีทหารกลุ่มหนึ่งกำลังดื่มเหล้ากันอยู่ เหล่าทหารเมื่อเห็นหลินมู่อวี่ที่สวมชุดราชทูตของสำนักอัศวิน ต่างพากันหยิบอาวุธพร้อมตะโกนลั่น “นี่เจ้ากล้าย่างเท้าเข้ามาถึงรังอินทรีเชียวรึ?!”

หลินมู่อวี่ค่อยๆ ถอดผ้าคลุมหน้าออกเผยให้เห็นใบหน้าอันเด็ดเดี่ยว “ข้าคือทหารองครักษ์อวี้หลินนามว่าหลินมู่อวี่ เปิดทางให้ข้าเข้าไป”

“ท่านหลินมู่อวี่เองหรือ?…จะเปิดให้เดี๋ยวนี้ขอรับ!”

ประตูค่ายค่อยๆ เปิดออก เมื่อหลินมู่อวี่เข้าไปด้านใน เว่ยโฉวและทหารคนอื่นๆ ก็ออกมาต้อนรับอย่างยินดี “ในที่สุดท่านก็กลับมา!”

หลินมู่อวี่กล่าวด้วยความร้อนใจ “ไปเตรียมม้าและชุดศึกขององครักษ์อวี้หลินมาให้ข้า! เว่ยโฉว…สั่งระดมพลและพร้อมออกเดินทางทันที!”

“รับทราบขอรับ!”

เว่ยโฉวผู้จงรักภักดีไม่เอ่ยถามสิ่งใดต่อนอกจากทำตามที่นายของตนสั่งไว้

ทันใดนั้นผู้บัญชาการเมิ่งฟางก็ตะโกนขึ้นมา “หลินมู่อวี่ เจ้าไม่มีสิทธิสั่งเคลื่อนพลหน่วยองครักษ์อินทรีหากไม่ได้รับการอนุญาตเสียก่อน!”

หลินมู่อวี่เผยใบหน้าจริง “ขณะนี้มีกลุ่มคนกำลังมุ่งไปยังตำหนักกวางโศกาเพื่อปลงพระชนม์องค์จักรพรรดิ! ข้าจะออกเดินทางเดี๋ยวนี้ มิเช่นนั้นอาจไม่ทันการ!”

เมิ่งฟางตกตะลึง “เจ้า…หมายความว่าอย่างไร?”

หลินมู่อวี่กำมือแน่น “หากพวกเจ้าอยากปกป้ององค์จักรพรรดิจงตามข้ามา!”

ในบรรดากลุ่มผู้บัญชาการทหารมีเพียงเซี้ยโหวซางที่ชูดาบขึ้นและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ท่านหลินมู่อวี่…ข้าเซี้ยโหวซางขอติดตามท่านไปด้วยขอรับ!”

“เยี่ยมมาก!”

เมื่อเปลี่ยนเป็นชุดเกราะขององครักษ์อวี้หลินแล้ว หลินมู่อวี่จึงได้รวบรวมกองทหารได้กว่าร้อยคน ก่อนจะขึ้นควบม้าและเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง “เว่ยโฉว…นำทัพตรงไปยังตำหนักกวางโศกา!”

“ขอรับ!”

เสียงกีบเท้าของกองทัพม้ากระทบพื้นทำลายความสงัดยามค่ำคืน ทหารองครักษ์อวี้หลินกว่าร้อยนายมุ่งขึ้นเขาไปยังตำหนักกวางโศกาทางตอนเหนือของเมือง

ณ ตำหนักกวางโศกา วังหลังที่อยู่ติดกับป่าล่ามังกรที่องค์จักรพรรดิชอบไปล่าสัตว์ เหมือนเช่นเคยเขาพาฉินอินและเสนาบดีไปด้วยสองสามคน กลางโถงใหญ่ขณะนี้ยังคงมีแสงไฟสว่าง เนื่องจากองค์จักรพรรดิและเหล่าเสนาบดีกำลังสังสรรค์กันอยู่

ด้านนอกวัง เฟิ้งจี้สิงยืนหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่ในชุดศึกสีขาว ในมือถือดาบสะบั้นวาโยขณะพูดคุยกับหลัวเลี่ย “กะกลางคืนได้ลาดตระเวนบ้างหรือไม่?”

หลัวเลี่ยประสานกำปั้นคำนับ “วางใจได้ขอรับ! เรามีองครักษ์อวี้หลินหลายพันนายและทหารอีกสี่พันนายประจำการอยู่ทั้งสี่ทิศและค่ายหน้าด่านอีกสิบสองค่าย ต่อให้มีปีกก็บุกเข้ามาไม่ได้ขอรับ ทั้งยังมีท่านผู้บัญชาการฉินเหลยที่เป็นถึงผู้นำองครักษ์มังกรทำการอารักขาทั้งสองพระองค์อยู่ ฉะนั้นพักผ่อนเถิดขอรับ ขึ้นนี้ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นแน่นอน”

“อืม…ทำได้ดีมาก”

ทว่าเฟิ้งจี้สิงยังคงไม่สบายใจ “ข้ารู้สึกว่าเราขาดใครไป…ท่านชวีฉูกลับมาหรือยัง?”

หลัวเลี่ยยิ้มจางๆ “ท่านชวีฉูกำลังเพลิดเพลินกับสมุนไพรบนภูเขาทมิฬอยู่ คงไม่กลับจนกว่าจะเก็บสมุนไพรได้หมดขอรับ ทว่าการป้องกันตำหนักกวางโศกาก็แน่นหนามาก ต่อให้ท่านชวีฉูกลับช้าก็คงไม่เป็นปัญหาขอรับ”

เฟิ้งจี้สิงนิ่งคิด “ไม่เป็นไร…พวกเจ้าคอยจับตาดูกันไว้อย่าให้คลาดสายตาเป็นอันขาด”

“ขอรับ!”

กลางดึก ณ ป่าล่ามังกร เกิดเสียงคล้ายฟ้าร้องใต้ผืนดิน “ตู้ม!” ทันใดนั้นก็มีงูยักษ์โผล่ออกมา! บนหัวมีเกล็ดคล้ายใบมีดคมนี่มัน…งูมังกรทะลวงดิน! เส้นสีทองสิบสองเส้นและสีเงินสามเส้นแสดงว่าอายุหนึ่งหมื่นสองพันสามร้อยปี ไม่แน่ว่าคงใกล้เป็นมังกรเต็มตัวในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า

เกล็ดส่วนหนึ่งบริเวณลำคอแยกออกคล้ายมีบางอย่างติดอยู่บนนั้น เมื่อเพ่งมองจึงเห็นว่าเป็นผู้เฒ่าคนหนึ่งที่ขาทั้งสองเสียบติดอยู่กับเนื้องู ผู้เฒ่าผมขาวท่าทีหยิ่งผยองเอ่ยขึ้นพร้อมกับใช้ไม้เท้าในมือสะกิดต้นคอของงูมังกร “เจ้าสัตว์เลี้ยง เดินหน้าต่อไปอย่าได้หยุด เราจะสังหารเจ้าราชาไร้ประโยชน์นั่นได้หรือไม่ขึ้นอยู่กับเจ้าแล้ว!”

“ฟ่อ…”

งูมังกรเงยหน้าขึ้นและส่งเสียงขู่ฟ่ออย่างเคียดแค้น

ภายใต้แสงจันทร์ผมของผู้เฒ่าปลิวไสวไปตามสายลม ชายคนนั้นคือ…ชางไป๋เฮ่อ!

“ไปได้!”

งูมังกรเงยหน้าขึ้นและดำลงพื้นอีกครั้ง เกล็ดบนหัวของมันทำหน้าที่คล้ายใบมีดหมุนและเจาะทะลวงพื้นหิน ชางไป๋เฮ่อก้มตัวลงขนานไปกับลำตัวของงูมังกรเหมือนเกล็ดงู เขากลั้นหายใจขณะที่งูมังกรดำดินลงไป ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ชางไป๋เฮ่อเดินทางไปกับงูมังกรได้และไม่โดนหินทับจนตายอีกด้วย

กลางดึกเสื้อคลุมยาวขององครักษ์ชุดขาวปลิวตามลม ฉินเหลยจิบเหล้าจากโหลน้ำเต้าในมือ ร่างกายอันร้อนรุ่มตะโกนขึ้น “เพิ่มการอารักขา!”

อีกด้าน…ฉู๋ฮว๋ายเหมี่ยนกระชับดาบในมือและเงี่ยหูฟังก่อนจะเอ่ยถาม “ท่านแม่ทัพ…ได้ยินเสียงบางอย่างหรือไม่?”

“เสียงอะไรรึ?” ฉินเหลยประหลาดใจ

“ราวกับว่า…เสียงมาจากใต้ดิน…” แววตาของฉู๋ฮว๋ายเหมี่ยนเปลี่ยนเป็นจริงจังเมื่อรู้ที่มาของเสียง “มันดังมาจากใต้ดินจริงๆ ขอรับ! มีบางอย่างกำลังมา! ระวัง!”

…………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+