The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา 286 พ่อสอนลูก

Now you are reading The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา Chapter 286 พ่อสอนลูก at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ความคิดนับร้อยปั่นป่วนอยู่ในหัวหลินมู่อวี่ เขารู้ดีว่าฉินจิ้นฉลาดและคงโกหกไม่ได้ จึงจำใจตอบตามจริงไป “ขอรับ ข้าเป็นคนก่อตั้งกลุ่มมังกรผงาด”

ฉินจิ้งนั่งลงพลางดันถ้วยชาไปด้านหน้าหลินมู่อวี่ “แล้วเหตุผลแรกเริ่มในการก่อตั้งคืออะไร? เจ้าบอกพ่อได้หรือไม่?”

“ความตั้งใจแรกเริ่มหรือ?”

หลินมู่อวี่เงียบไปครู่หนึ่ง “อาจเพื่อช่วยปกป้องอาณาเขตของจักรวรรดิกระมังขอรับ”

“ตอบข้ามาตามตรง” ฉินจิ้นกดเสียงหนักพลางใช้สายตาอันแหลมคมคาดคั้นหลินมู่อวี่

ฉินอินที่อยู่ด้านข้างเอ่ยขัด “เหตุใดเสด็จพ่อจึงถามท่านพี่เช่นนั้นเล่าเจ้าคะ?”

“เสี่ยวอินอย่าพูดขัด ให้ข้าคุยกับพี่ให้แล้วเสร็จเสียก่อน”

“เจ้าค่ะ…”

ฉินจิ้นมองหน้าหลินมู่อวี่ “อาอวี่ ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นคนซื่อสัตย์อยู่แล้ว ทว่าฉินจิ้นผู้นี่ก็อยากจะสอนสั่งเจ้าดั่งลูกแท้ๆ ดังนั้นเจ้าจะพูดความจริงกับข้าได้หรือไม่? จงตอบข้ามาเถิดว่าเหตุผลแท้จริงที่เจ้าก่อตั้งกลุ่มมังกรผงาดมาเพื่อการใดกันแน่? ไม่ว่าเจ้าจะตอบอย่างไร ข้าก็จะไม่โทษเจ้า”

หลินมู่อวี่ขมวดคิ้วและเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเงยหน้ามองฉินจิ้น “ข้าก่อตั้งกลุ่มมังกรผงาดเพียงเพื่อหยุดการกดขี่ข่มเหงขอรับ! ข้าหวังสร้างกองกำลังของตนเองเพื่อช่วยเหลือคนที่ข้าห่วงใย หากวันหนึ่งข้ามีความสามารถไม่เพียงพอปกป้องฉินอิน…ก็ยังมีมังกรผงาดอยู่ ใครก็ตามที่คิดจะทำร้ายข้าและคนคนของข้า มันผู้นั้นต้องข้ามศพทหารรับจ้างมังกรผงาดไปให้ได้ก่อน! เสด็จพ่อพอใจกับคำตอบของข้าหรือไม่ขอรับ?”

ฉินจิ้นตกตะลึงไปชั่วขณะ ก่อนจะเปลี่ยนท่าทีเป็นผ่อนคลาย “อาอวี่…จักรพรรดิผู้นี้เดาใจเจ้ายากนัก ทว่าคำตอบที่เจ้าให้มานี้บอกตามตรงว่าข้าพอใจมาก!”

ฉินจิ้นลุกขึ้นยืนพลางใช้มือแตะบ่าทั้งสองข้างของหลินมู่อวี่ไว้ “สมกับเป็นบุตรแห่งราชาผู้เที่ยงธรรม ใครก็ตามกล้ามาหยามเกียรติเจ้ากับเสี่ยวอิน จงใช้กลุ่มมังกรผงาดกำราบมันให้สิ้น!”

ความกังวลของหลินมู่อวี่เริ่มคลายลง “เสด็จพ่อสมกับเป็นราชาผู้เที่ยงธรรมขอรับ”

ฉินอินยิ้มพลางเอามือทาบหน้าอก “ข้ากลัวแทบแย่…คิดว่าพวกท่านจะทะเลาะกันเองเสียแล้ว!”

ฉินจิ้นหัวเราะ “หาได้เป็นเช่นนั้น…อาอวี่เป็นลูกข้าทั้งคน อีกทั้งข้ายังไม่ทันได้ทำอะไรอาอวี่ก็ชิงยอมแพ้ไปเสียก่อน แล้วข้าจะทำเขาได้อย่างไร?”

หลินมู่อวี่ยิ้ม “เสด็จพ่อช่างมีอารมณ์ขันเสียจริงนะขอรับ!”

ทว่าหลินมู่อวี่รู้ดีว่ามีองครักษ์อวี้หลินอย่างต่ำห้าสิบคนที่รอรับคำสั่งอยู่โดยรอบบริเวณ หากฉินจิ้นออกคำสั่งเมื่อใด ต่อให้เป็นจอมยุทธ์ขอบเขตนภาอย่างเขาก็คงไม่รอด เก่งกาจเพียงใดก็คงมิอาจสู้กำลังที่มากกว่า

ฉินจิ้นพลันเอ่ยถาม “อาอวี่ หากวันหนึ่งจักรวรรดิต้องการกองกำลังของเจ้า เจ้าจะทิ้งเราหรือไม่?”

หลินมู่อวี่ประสานกำปั้นคำนับ “ทหารรับจ้างมังกรผงาดนั้นเป็นกลุ่มที่ช่วยผดุงความยุติธรรม เหตุใดพวกเขาจึงจะไม่เข้าข้างฝั่งคุณธรรมเล่า?”

“อืม!”

ฉินจิ้นพยักหน้า “เจ้าพูดได้ดี…”

อันที่จริงฉินจิ้นยังคงกังวลใจอยู่ เพราะรับรู้ได้ว่าหลินมู่อวี่พยายามหลีกเลี่ยงบทสนทนา เขากล่าวว่าจะสู้เพื่อความยุติธรรมของโลก แต่ไม่ได้พูดว่าจะสู้เพื่อจักรวรรดินี้ นั่นหมายความว่าหลินมู่อวี่ไม่ได้ภักดีต่อจักรวรรดิ เขาภักดีต่อความคุณธรรมในใจเขา ถึงกระนั้นฉินจิ้นก็ไม่ได้ใส่ใจมากนัก เพราะเขามองเห็นความผูกพันที่หลินมู่อวี่มีต่อฉินอิน สายตาแห่งความรักนั้นปิดบังไม่ได้ เท่านั้นก็เพียงพอแล้ว…ภักดีต่อฉินอินก็เท่ากับภักดีต่อจักรวรรดิ

ในเวลาต่อมา

ณ ห้องโถงกลางตำหนัก งานเฉลิมฉลองเทศกาลหว่านพืชผลได้ฤกษ์เริ่มขึ้นเสียที

หลินมู่วอี่อยู่เคียงข้างฉินอินในฐานะองครักษ์อวี้หลิน คุ้มกันนางและฉินจิ้นออกจากตำหนักเจ๋อเทียนในตอนบ่าย กลองศึกกว่าร้อยใบส่งเสียงลั่นไปทั่วลานกว้างของตำหนักราวกับเสียงฟ้าร้อง เมื่อจักรพรรดิและองค์หญิงเสด็จออกมาจากตำหนัก ประชาชนต่างโบกไม้โบกมือส่งเสียงร้องอย่างตื่นเต้น

ฉินจิ้นขึ้นไปยืนบนแท่นสูงก่อนจะส่งสัญญาณ “พร้อมแล้ว” เฟิงจี้สิงถือม้วนกระดาษและก้าวมายืนด้านหน้าฉินจิ้น กดเสียงต่ำพลางประกาศเสียงดังก้องอย่างน่าเกรงขาม “แด่อาณาจักรฉินที่ยิ่งใหญ่และราชาผู้เที่ยงธรรม ตลอดปีที่ผ่านมา พวกเรายินดีเป็นอย่างยิ่งที่อาณาจักรของเรามั่งคั่งไปด้วยพืชพันธุ์ธัญญาหาร อากาศร่มรื่น แม่น้ำไม่แห้งขอด บ้านเมืองสงบสุข และประชาชนได้รับพร ตลอดจนฤดูกาลแห่งการหว่านพืชผลนี้เวียนกลับมา…”

ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนที่ยืนอยู่ข้างหลินมู่อวี่ยิ้ม “เฟิงจี้สิงช่างเสียงดังดีจริง องค์จักรพรรดิทรงเลือกคนอ่านพระราชดำรัสได้เหมาะสมยิ่ง ขนาดมีคนเป็นหมื่นในลานกว้างเสียงยังส่งไปถึงทุกซอกมุม…”

หลินมู่อวี่พยักหน้า “ไม่เพียงแต่เสียงใหญ่ กระเพาะก็ใหญ่ด้วย! ครั้งล่าสุดที่ข้าชวนไปทานอาหารค่ำด้วยกัน เขากินข้าวไปตั้งแปดชาม ข้ายังอดสงสัยไม่ได้ว่าเขาอดข้าวสี่วันก่อนจะได้กินกับข้าหรือเปล่า…”

“เป็นไปได้ เขาชอบทำเช่นนั้นอยู่บ่อยๆ!” ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนหัวเราะ

ทันใดนั้นเฟิงจี้สิงก็หยุดอ่านพระดำรัส พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด “หากไอ้ปากเหม็นสองคนนั้นยังใส่ร้ายข้าไม่เลิก ข้าจะบอกองค์จักรพรรดิลงโทษพวกเจ้าสักหนึ่งปี”

ฉินจิ้นถึงกับกระแอม “แม่ทัพเฟิงจี้สิงอ่านต่อเถิด และช่วยจริงจังด้วย…”

ฉินอินกับถังเสี่ยวซีที่อยู่ด้านข้างเผลอยิ้ม

เฟิงจี้สิงอ่านพระราชดำรัสต่อจนจบใช้เวลาเกือบสิบนาที ก่อนจะส่งต่อม้วนกระดาษให้ข้าราชบริพารและนำวัวมาเปิดพิธี “ฝ่าบาท งานเฉลิมฉลองเริ่มแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

“อืม”

ฉินจิ้นและฉินอินลงจากแท่นสูงไปยังลานหญ้าสีเขียวด้านล่าง ฉินจิ้นถือคันไถเหล็กสีขาว ขณะที่ฉินอินจูงวัวเดินนำหน้าไปโดยไม่สนว่าชุดคลุมขาวจะเปรอะขนาดไหน ทั้งคู่ทำท่าคล้ายชาวหน้ากำลังทำการเกษตร ถังเสี่ยวซีที่ถือเมล็ดดอกจื่อยินหว่านมันออกไปตามลานดิน

หลินมู่อวี่และฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนคอยคุ้มกันพื้นที่นี้ไว้ทั้งสองฝั่ง ขณะเดียวกันองครักษ์มังกรหลายสิบคนก็ทำหน้าที่อารักขาอย่างดี คอยกันฝูงชนไม่ให้เข้ามาในระยะร้อยเมตร หากเกินกว่านั้นจะอยู่ในระยะยิงของพลธนูซึ่งพร้อมยิงคนฝ่าฝืนทันที

“พรึ่บ!”

หลินมู่อวี่ใช้มือขวากระชับกระบี่ที่ห้อยอยู่ตรงเอว มือซ้ายซ่อนอยู่ใต้เสื้อคลุมคอยกระตุ้นวิญญาณยุทธ์น้ำเต้าอยู่ตลอด พร้อมเรียกมันออกมาคุ้มกันฉินจิ้น ฉินอินและถังเสี่ยวซีได้ทุกเมื่อ

โชคดีที่ทุกอย่างดำเนินไปได้อย่างราบรื่น หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วโมงพิธีเฉลิมฉลองก็เสร็จสิ้น จักรพรรดิและองค์หญิงเข้าพบปะกับประชาชนก่อนจะกลับตำหนักเจ๋อเทียนเพื่อเริ่มงานเลี้ยงภายใน!

“ในที่สุดก็ถึงเวลาอาหารค่ำ” เฟิงจี้สิงยิ้มแก่หลินมู่อวี่

หลินมู่อวี่ยิ้มตอบ “ท่านคงไม่ได้ยอมอดมื้อเช้าเพื่อมากินมื้อเย็นนี้หรอกใช่หรือไม่?”

“แล้วเจ้าล่ะ?”

“ข้าก็ไม่ได้กินเหมือนกัน!”

“เช่นนั้นจงกินให้เยอะ อาหารในงานเลี้ยงเทศกาลหว่านพืชผลนั้นมีเยอะจนกินไม่หมดเชียวล่ะ”

“อืม ข้ารู้” หลินมู่อวี่ทำหน้ามุ่ย “เพื่อที่จะเตรียมอาหารมื้อนี้ คนของหน่วยอินทรีต้องเข้าป่าล่าอาหารอยู่หลายครั้งจนได้รับบาดเจ็บถึงสองนาย”

เฟิงจี้สิงหัวเราะ “โอ้ ไม่ทราบว่าท่านหลินมู่อวี่สนใจการทำงานของลูกน้องตั้งแต่เมื่อไร?”

“อย่างน้อยข้าก็อ่านรายงานทุกวันนะท่าน…”

“ฮ่าๆๆ!”

เฟิงจี้สิงลูบจมูกพลางกล่าว “อาอวี่ เจ้าอยากลอกรายงานหรือไม่? ข้ามีอยู่สี่ฉบับในฐานใหญ่ของกององครักษ์ ข้าจะให้เจ้ายืมรายงานข้าไปคัดลอกเดือนละสองฉบับ คิดราคาเพียงเดือนละห้าหมื่นเหรียญทอง”

“ท่านเป็นโจรอย่างนั้นรึ…ไม่ต้อง ข้าจะเขียนเอง!”

“…”

ทันใดนั้นนกสื่อสารได้บินมาเกาะไหล่หลินมู่อวี่ เป็นนกที่ถูกส่งมาจากกลุ่มมังกรผงาด หลินมู่อวี่เปิดอ่านจดหมายในปล้องไม้ไผ่อย่างจดจ่อ มันคือสาส์นแห่งชัยชนะของหลัวอวี่! “ท่านผู้บัญชาการ การสู้รบยาวนานตั้งแต่ยาวเมื่อวานจนถึงวันนี้ ในที่สุดกลุ่มทหารรับจ้างมังกรผงาดของเราก็เอาชนะกลุ่มมีดสังหารและกลุ่มเพลิงศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างงดงาม เราจับเชลยได้กว่าแปดพันและสังหารไปอีกราวสี่พัน ในขณะที่คนของเราเสียไปสองพัน ทว่าเราจะใช้เชลยที่จับได้มาเติมเต็มส่วนที่ขาดไปขอรับ อีกไม่นานกลุ่มมังกรผงาดของเราต้องเป็นทหารรับจ้างที่แข็งแกร่งที่สุดในจักรวรรดิ!”

หลินมู่อวี่ปลื้มปีติอย่างมาก ก่อนจะรีบดึงปากกาเหล็กออกมาเขียนจดหมายตอบกลับ “ทำได้ดีมาก จงกลับไปพักผ่อนและฟื้นฟูร่างกายในทันทีแล้วค่อยจัดกระบวนทัพใหม่”

เมื่อเขียนเสร็จก็แนบจดหมายให้นกบินกลับไป

ไม่ไกลนัก เสินโหวเจิ้งอี้ฝาน ชางชู่หลิงและหลัวซิงเดินมาด้วยกัน เมื่อเจิ้งอี้ฝานเห็นหลินมู่อวี่ก็ทำหน้าไม่สบอารมณ์ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยท่าทีเย็นชา “ท่านหลินมู่อวี่คงกำลังภูมิใจกับชัยชนะต้นฤดูอยู่สิท่า ข้าได้ยินว่าเช้านี้กองกำลังลับมังกรผงาดของท่านเอาชนะทหารรับจ้างสองกลุ่มใหญ่แห่งหลิงเป่ยได้ ช่างน่ายินดีเสียจริง!”

หลินมู่อวี่โค้งคำนับ “ท่านเสินโหวอย่าล้อข้าเล่นเลยขอรับ ข้ายังไม่รู้จักชื่อมังกรผงาดนั่นด้วยซ้ำ ด้วยความสัตย์จริงข้าไม่ได้มีกองกำลังลับใดๆ ด้วยในจักรวรรดิแห่งนี้มีเพียงเชื้อพระวงศ์เท่านั้นที่สามารถตั้งกองกำลังส่วนพระองค์ได้ซึ่งเป็นสิ่งที่รู้กันดีอยู่แล้ว ข้าเองก็ไม่รู้วิธีแหกกฎพวกนั้นเสียด้วยสิ…”

เจิ้งอี้ฝานเลิกคิ้วขึ้น “เยี่ยมไปเลยท่าน”

เจิ้งอี้ฝานหันไปบอกฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนด้วยสีหน้าไม่พอใจ “ยินดีกับท่านฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนที่ได้ขึ้นเป็นผู้บัญชาการกองกำลังเขาเหินด้วย ช่วงนี้ข้าค่อนข้างยุ่งจึงไม่มีเวลามาแสดงความยินดีก่อนหน้านี้ อ้อ…เจิ้งเซียงน้องสาวข้าก็รู้เรื่องที่ท่านได้รับตำแหน่งแล้วเช่นกัน ข้าจึงถือโอกาสนี้กล่าวยินดีกับท่านในนามของนางอีกครั้ง!”

ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนมีสีหน้าตกใจเล็กน้อย พลันเดินไปขวางหน้าเจิ้งอี้ฝานก่อนจะคำนับ “ท่านเสินโหว เรื่องอันใดที่ท่านกับแม่นางเจิ้งเซียงกำลังบาดหมางกันอยู่ข้าเองก็มีส่วนผิด ขอโปรดอย่าได้กล่าวโทษนางเลย…มันเป็นความผิดของข้าเองที่ทำให้นางถูกขังอยู่จวนเสินโหว ข้าหวังว่าท่านจะยกโทษให้เจิ้งเซียงได้”

เจิ้งอี้ฝานแสยะยิ้ม “ท่านผู้บัญชาการฉู่เองก็ไม่ใช่เด็กแล้วและเจิ้งเซียงก็ถูกตามใจมาตั้งแต่ยังเด็ก ข้าคงจะปล่อยให้นางไปหาท่านที่จวนไม่ได้อีก ยอมแพ้และมาทำข้อตกลงกันดีหรือไม่?”

ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนขมวดคิ้วพลางคำนับและกล่าว “ตราบใดที่ท่านปล่อยแม่นางเจิ้งเซียง ข้าก็จะยอมแพ้และลืมนางเสียราวกับไม่เคยเจอกันมาก่อน”

“ข้าจะจำที่ท่านพูดไว้!”

เจิ้งอี้ฝานคำนับ “ขอขอบคุณความกรุณาของท่านผู้บัญชาการฉู่”

ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนยืนนิ่งอยู่ที่เดิมด้วยท่าทีผิดหวังระคนทุกข์จนผู้หญิงชนชั้นสูงหลายคนไม่สบายใจ พวกนางกรูกันเข้าหาทีละคนประหนึ่งอยากจะช่วยผ่อนคลาย ซึ่งแท้จริงแล้วเพียงแค่อยากอยู่ใกล้ชิดเท่านั้น ทว่าฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนหาได้สนใจพวกนางไม่…

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา 286 พ่อสอนลูก

Now you are reading The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา Chapter 286 พ่อสอนลูก at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ความคิดนับร้อยปั่นป่วนอยู่ในหัวหลินมู่อวี่ เขารู้ดีว่าฉินจิ้นฉลาดและคงโกหกไม่ได้ จึงจำใจตอบตามจริงไป “ขอรับ ข้าเป็นคนก่อตั้งกลุ่มมังกรผงาด”

ฉินจิ้งนั่งลงพลางดันถ้วยชาไปด้านหน้าหลินมู่อวี่ “แล้วเหตุผลแรกเริ่มในการก่อตั้งคืออะไร? เจ้าบอกพ่อได้หรือไม่?”

“ความตั้งใจแรกเริ่มหรือ?”

หลินมู่อวี่เงียบไปครู่หนึ่ง “อาจเพื่อช่วยปกป้องอาณาเขตของจักรวรรดิกระมังขอรับ”

“ตอบข้ามาตามตรง” ฉินจิ้นกดเสียงหนักพลางใช้สายตาอันแหลมคมคาดคั้นหลินมู่อวี่

ฉินอินที่อยู่ด้านข้างเอ่ยขัด “เหตุใดเสด็จพ่อจึงถามท่านพี่เช่นนั้นเล่าเจ้าคะ?”

“เสี่ยวอินอย่าพูดขัด ให้ข้าคุยกับพี่ให้แล้วเสร็จเสียก่อน”

“เจ้าค่ะ…”

ฉินจิ้นมองหน้าหลินมู่อวี่ “อาอวี่ ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นคนซื่อสัตย์อยู่แล้ว ทว่าฉินจิ้นผู้นี่ก็อยากจะสอนสั่งเจ้าดั่งลูกแท้ๆ ดังนั้นเจ้าจะพูดความจริงกับข้าได้หรือไม่? จงตอบข้ามาเถิดว่าเหตุผลแท้จริงที่เจ้าก่อตั้งกลุ่มมังกรผงาดมาเพื่อการใดกันแน่? ไม่ว่าเจ้าจะตอบอย่างไร ข้าก็จะไม่โทษเจ้า”

หลินมู่อวี่ขมวดคิ้วและเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเงยหน้ามองฉินจิ้น “ข้าก่อตั้งกลุ่มมังกรผงาดเพียงเพื่อหยุดการกดขี่ข่มเหงขอรับ! ข้าหวังสร้างกองกำลังของตนเองเพื่อช่วยเหลือคนที่ข้าห่วงใย หากวันหนึ่งข้ามีความสามารถไม่เพียงพอปกป้องฉินอิน…ก็ยังมีมังกรผงาดอยู่ ใครก็ตามที่คิดจะทำร้ายข้าและคนคนของข้า มันผู้นั้นต้องข้ามศพทหารรับจ้างมังกรผงาดไปให้ได้ก่อน! เสด็จพ่อพอใจกับคำตอบของข้าหรือไม่ขอรับ?”

ฉินจิ้นตกตะลึงไปชั่วขณะ ก่อนจะเปลี่ยนท่าทีเป็นผ่อนคลาย “อาอวี่…จักรพรรดิผู้นี้เดาใจเจ้ายากนัก ทว่าคำตอบที่เจ้าให้มานี้บอกตามตรงว่าข้าพอใจมาก!”

ฉินจิ้นลุกขึ้นยืนพลางใช้มือแตะบ่าทั้งสองข้างของหลินมู่อวี่ไว้ “สมกับเป็นบุตรแห่งราชาผู้เที่ยงธรรม ใครก็ตามกล้ามาหยามเกียรติเจ้ากับเสี่ยวอิน จงใช้กลุ่มมังกรผงาดกำราบมันให้สิ้น!”

ความกังวลของหลินมู่อวี่เริ่มคลายลง “เสด็จพ่อสมกับเป็นราชาผู้เที่ยงธรรมขอรับ”

ฉินอินยิ้มพลางเอามือทาบหน้าอก “ข้ากลัวแทบแย่…คิดว่าพวกท่านจะทะเลาะกันเองเสียแล้ว!”

ฉินจิ้นหัวเราะ “หาได้เป็นเช่นนั้น…อาอวี่เป็นลูกข้าทั้งคน อีกทั้งข้ายังไม่ทันได้ทำอะไรอาอวี่ก็ชิงยอมแพ้ไปเสียก่อน แล้วข้าจะทำเขาได้อย่างไร?”

หลินมู่อวี่ยิ้ม “เสด็จพ่อช่างมีอารมณ์ขันเสียจริงนะขอรับ!”

ทว่าหลินมู่อวี่รู้ดีว่ามีองครักษ์อวี้หลินอย่างต่ำห้าสิบคนที่รอรับคำสั่งอยู่โดยรอบบริเวณ หากฉินจิ้นออกคำสั่งเมื่อใด ต่อให้เป็นจอมยุทธ์ขอบเขตนภาอย่างเขาก็คงไม่รอด เก่งกาจเพียงใดก็คงมิอาจสู้กำลังที่มากกว่า

ฉินจิ้นพลันเอ่ยถาม “อาอวี่ หากวันหนึ่งจักรวรรดิต้องการกองกำลังของเจ้า เจ้าจะทิ้งเราหรือไม่?”

หลินมู่อวี่ประสานกำปั้นคำนับ “ทหารรับจ้างมังกรผงาดนั้นเป็นกลุ่มที่ช่วยผดุงความยุติธรรม เหตุใดพวกเขาจึงจะไม่เข้าข้างฝั่งคุณธรรมเล่า?”

“อืม!”

ฉินจิ้นพยักหน้า “เจ้าพูดได้ดี…”

อันที่จริงฉินจิ้นยังคงกังวลใจอยู่ เพราะรับรู้ได้ว่าหลินมู่อวี่พยายามหลีกเลี่ยงบทสนทนา เขากล่าวว่าจะสู้เพื่อความยุติธรรมของโลก แต่ไม่ได้พูดว่าจะสู้เพื่อจักรวรรดินี้ นั่นหมายความว่าหลินมู่อวี่ไม่ได้ภักดีต่อจักรวรรดิ เขาภักดีต่อความคุณธรรมในใจเขา ถึงกระนั้นฉินจิ้นก็ไม่ได้ใส่ใจมากนัก เพราะเขามองเห็นความผูกพันที่หลินมู่อวี่มีต่อฉินอิน สายตาแห่งความรักนั้นปิดบังไม่ได้ เท่านั้นก็เพียงพอแล้ว…ภักดีต่อฉินอินก็เท่ากับภักดีต่อจักรวรรดิ

ในเวลาต่อมา

ณ ห้องโถงกลางตำหนัก งานเฉลิมฉลองเทศกาลหว่านพืชผลได้ฤกษ์เริ่มขึ้นเสียที

หลินมู่วอี่อยู่เคียงข้างฉินอินในฐานะองครักษ์อวี้หลิน คุ้มกันนางและฉินจิ้นออกจากตำหนักเจ๋อเทียนในตอนบ่าย กลองศึกกว่าร้อยใบส่งเสียงลั่นไปทั่วลานกว้างของตำหนักราวกับเสียงฟ้าร้อง เมื่อจักรพรรดิและองค์หญิงเสด็จออกมาจากตำหนัก ประชาชนต่างโบกไม้โบกมือส่งเสียงร้องอย่างตื่นเต้น

ฉินจิ้นขึ้นไปยืนบนแท่นสูงก่อนจะส่งสัญญาณ “พร้อมแล้ว” เฟิงจี้สิงถือม้วนกระดาษและก้าวมายืนด้านหน้าฉินจิ้น กดเสียงต่ำพลางประกาศเสียงดังก้องอย่างน่าเกรงขาม “แด่อาณาจักรฉินที่ยิ่งใหญ่และราชาผู้เที่ยงธรรม ตลอดปีที่ผ่านมา พวกเรายินดีเป็นอย่างยิ่งที่อาณาจักรของเรามั่งคั่งไปด้วยพืชพันธุ์ธัญญาหาร อากาศร่มรื่น แม่น้ำไม่แห้งขอด บ้านเมืองสงบสุข และประชาชนได้รับพร ตลอดจนฤดูกาลแห่งการหว่านพืชผลนี้เวียนกลับมา…”

ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนที่ยืนอยู่ข้างหลินมู่อวี่ยิ้ม “เฟิงจี้สิงช่างเสียงดังดีจริง องค์จักรพรรดิทรงเลือกคนอ่านพระราชดำรัสได้เหมาะสมยิ่ง ขนาดมีคนเป็นหมื่นในลานกว้างเสียงยังส่งไปถึงทุกซอกมุม…”

หลินมู่อวี่พยักหน้า “ไม่เพียงแต่เสียงใหญ่ กระเพาะก็ใหญ่ด้วย! ครั้งล่าสุดที่ข้าชวนไปทานอาหารค่ำด้วยกัน เขากินข้าวไปตั้งแปดชาม ข้ายังอดสงสัยไม่ได้ว่าเขาอดข้าวสี่วันก่อนจะได้กินกับข้าหรือเปล่า…”

“เป็นไปได้ เขาชอบทำเช่นนั้นอยู่บ่อยๆ!” ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนหัวเราะ

ทันใดนั้นเฟิงจี้สิงก็หยุดอ่านพระดำรัส พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด “หากไอ้ปากเหม็นสองคนนั้นยังใส่ร้ายข้าไม่เลิก ข้าจะบอกองค์จักรพรรดิลงโทษพวกเจ้าสักหนึ่งปี”

ฉินจิ้นถึงกับกระแอม “แม่ทัพเฟิงจี้สิงอ่านต่อเถิด และช่วยจริงจังด้วย…”

ฉินอินกับถังเสี่ยวซีที่อยู่ด้านข้างเผลอยิ้ม

เฟิงจี้สิงอ่านพระราชดำรัสต่อจนจบใช้เวลาเกือบสิบนาที ก่อนจะส่งต่อม้วนกระดาษให้ข้าราชบริพารและนำวัวมาเปิดพิธี “ฝ่าบาท งานเฉลิมฉลองเริ่มแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

“อืม”

ฉินจิ้นและฉินอินลงจากแท่นสูงไปยังลานหญ้าสีเขียวด้านล่าง ฉินจิ้นถือคันไถเหล็กสีขาว ขณะที่ฉินอินจูงวัวเดินนำหน้าไปโดยไม่สนว่าชุดคลุมขาวจะเปรอะขนาดไหน ทั้งคู่ทำท่าคล้ายชาวหน้ากำลังทำการเกษตร ถังเสี่ยวซีที่ถือเมล็ดดอกจื่อยินหว่านมันออกไปตามลานดิน

หลินมู่อวี่และฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนคอยคุ้มกันพื้นที่นี้ไว้ทั้งสองฝั่ง ขณะเดียวกันองครักษ์มังกรหลายสิบคนก็ทำหน้าที่อารักขาอย่างดี คอยกันฝูงชนไม่ให้เข้ามาในระยะร้อยเมตร หากเกินกว่านั้นจะอยู่ในระยะยิงของพลธนูซึ่งพร้อมยิงคนฝ่าฝืนทันที

“พรึ่บ!”

หลินมู่อวี่ใช้มือขวากระชับกระบี่ที่ห้อยอยู่ตรงเอว มือซ้ายซ่อนอยู่ใต้เสื้อคลุมคอยกระตุ้นวิญญาณยุทธ์น้ำเต้าอยู่ตลอด พร้อมเรียกมันออกมาคุ้มกันฉินจิ้น ฉินอินและถังเสี่ยวซีได้ทุกเมื่อ

โชคดีที่ทุกอย่างดำเนินไปได้อย่างราบรื่น หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วโมงพิธีเฉลิมฉลองก็เสร็จสิ้น จักรพรรดิและองค์หญิงเข้าพบปะกับประชาชนก่อนจะกลับตำหนักเจ๋อเทียนเพื่อเริ่มงานเลี้ยงภายใน!

“ในที่สุดก็ถึงเวลาอาหารค่ำ” เฟิงจี้สิงยิ้มแก่หลินมู่อวี่

หลินมู่อวี่ยิ้มตอบ “ท่านคงไม่ได้ยอมอดมื้อเช้าเพื่อมากินมื้อเย็นนี้หรอกใช่หรือไม่?”

“แล้วเจ้าล่ะ?”

“ข้าก็ไม่ได้กินเหมือนกัน!”

“เช่นนั้นจงกินให้เยอะ อาหารในงานเลี้ยงเทศกาลหว่านพืชผลนั้นมีเยอะจนกินไม่หมดเชียวล่ะ”

“อืม ข้ารู้” หลินมู่อวี่ทำหน้ามุ่ย “เพื่อที่จะเตรียมอาหารมื้อนี้ คนของหน่วยอินทรีต้องเข้าป่าล่าอาหารอยู่หลายครั้งจนได้รับบาดเจ็บถึงสองนาย”

เฟิงจี้สิงหัวเราะ “โอ้ ไม่ทราบว่าท่านหลินมู่อวี่สนใจการทำงานของลูกน้องตั้งแต่เมื่อไร?”

“อย่างน้อยข้าก็อ่านรายงานทุกวันนะท่าน…”

“ฮ่าๆๆ!”

เฟิงจี้สิงลูบจมูกพลางกล่าว “อาอวี่ เจ้าอยากลอกรายงานหรือไม่? ข้ามีอยู่สี่ฉบับในฐานใหญ่ของกององครักษ์ ข้าจะให้เจ้ายืมรายงานข้าไปคัดลอกเดือนละสองฉบับ คิดราคาเพียงเดือนละห้าหมื่นเหรียญทอง”

“ท่านเป็นโจรอย่างนั้นรึ…ไม่ต้อง ข้าจะเขียนเอง!”

“…”

ทันใดนั้นนกสื่อสารได้บินมาเกาะไหล่หลินมู่อวี่ เป็นนกที่ถูกส่งมาจากกลุ่มมังกรผงาด หลินมู่อวี่เปิดอ่านจดหมายในปล้องไม้ไผ่อย่างจดจ่อ มันคือสาส์นแห่งชัยชนะของหลัวอวี่! “ท่านผู้บัญชาการ การสู้รบยาวนานตั้งแต่ยาวเมื่อวานจนถึงวันนี้ ในที่สุดกลุ่มทหารรับจ้างมังกรผงาดของเราก็เอาชนะกลุ่มมีดสังหารและกลุ่มเพลิงศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างงดงาม เราจับเชลยได้กว่าแปดพันและสังหารไปอีกราวสี่พัน ในขณะที่คนของเราเสียไปสองพัน ทว่าเราจะใช้เชลยที่จับได้มาเติมเต็มส่วนที่ขาดไปขอรับ อีกไม่นานกลุ่มมังกรผงาดของเราต้องเป็นทหารรับจ้างที่แข็งแกร่งที่สุดในจักรวรรดิ!”

หลินมู่อวี่ปลื้มปีติอย่างมาก ก่อนจะรีบดึงปากกาเหล็กออกมาเขียนจดหมายตอบกลับ “ทำได้ดีมาก จงกลับไปพักผ่อนและฟื้นฟูร่างกายในทันทีแล้วค่อยจัดกระบวนทัพใหม่”

เมื่อเขียนเสร็จก็แนบจดหมายให้นกบินกลับไป

ไม่ไกลนัก เสินโหวเจิ้งอี้ฝาน ชางชู่หลิงและหลัวซิงเดินมาด้วยกัน เมื่อเจิ้งอี้ฝานเห็นหลินมู่อวี่ก็ทำหน้าไม่สบอารมณ์ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยท่าทีเย็นชา “ท่านหลินมู่อวี่คงกำลังภูมิใจกับชัยชนะต้นฤดูอยู่สิท่า ข้าได้ยินว่าเช้านี้กองกำลังลับมังกรผงาดของท่านเอาชนะทหารรับจ้างสองกลุ่มใหญ่แห่งหลิงเป่ยได้ ช่างน่ายินดีเสียจริง!”

หลินมู่อวี่โค้งคำนับ “ท่านเสินโหวอย่าล้อข้าเล่นเลยขอรับ ข้ายังไม่รู้จักชื่อมังกรผงาดนั่นด้วยซ้ำ ด้วยความสัตย์จริงข้าไม่ได้มีกองกำลังลับใดๆ ด้วยในจักรวรรดิแห่งนี้มีเพียงเชื้อพระวงศ์เท่านั้นที่สามารถตั้งกองกำลังส่วนพระองค์ได้ซึ่งเป็นสิ่งที่รู้กันดีอยู่แล้ว ข้าเองก็ไม่รู้วิธีแหกกฎพวกนั้นเสียด้วยสิ…”

เจิ้งอี้ฝานเลิกคิ้วขึ้น “เยี่ยมไปเลยท่าน”

เจิ้งอี้ฝานหันไปบอกฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนด้วยสีหน้าไม่พอใจ “ยินดีกับท่านฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนที่ได้ขึ้นเป็นผู้บัญชาการกองกำลังเขาเหินด้วย ช่วงนี้ข้าค่อนข้างยุ่งจึงไม่มีเวลามาแสดงความยินดีก่อนหน้านี้ อ้อ…เจิ้งเซียงน้องสาวข้าก็รู้เรื่องที่ท่านได้รับตำแหน่งแล้วเช่นกัน ข้าจึงถือโอกาสนี้กล่าวยินดีกับท่านในนามของนางอีกครั้ง!”

ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนมีสีหน้าตกใจเล็กน้อย พลันเดินไปขวางหน้าเจิ้งอี้ฝานก่อนจะคำนับ “ท่านเสินโหว เรื่องอันใดที่ท่านกับแม่นางเจิ้งเซียงกำลังบาดหมางกันอยู่ข้าเองก็มีส่วนผิด ขอโปรดอย่าได้กล่าวโทษนางเลย…มันเป็นความผิดของข้าเองที่ทำให้นางถูกขังอยู่จวนเสินโหว ข้าหวังว่าท่านจะยกโทษให้เจิ้งเซียงได้”

เจิ้งอี้ฝานแสยะยิ้ม “ท่านผู้บัญชาการฉู่เองก็ไม่ใช่เด็กแล้วและเจิ้งเซียงก็ถูกตามใจมาตั้งแต่ยังเด็ก ข้าคงจะปล่อยให้นางไปหาท่านที่จวนไม่ได้อีก ยอมแพ้และมาทำข้อตกลงกันดีหรือไม่?”

ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนขมวดคิ้วพลางคำนับและกล่าว “ตราบใดที่ท่านปล่อยแม่นางเจิ้งเซียง ข้าก็จะยอมแพ้และลืมนางเสียราวกับไม่เคยเจอกันมาก่อน”

“ข้าจะจำที่ท่านพูดไว้!”

เจิ้งอี้ฝานคำนับ “ขอขอบคุณความกรุณาของท่านผู้บัญชาการฉู่”

ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนยืนนิ่งอยู่ที่เดิมด้วยท่าทีผิดหวังระคนทุกข์จนผู้หญิงชนชั้นสูงหลายคนไม่สบายใจ พวกนางกรูกันเข้าหาทีละคนประหนึ่งอยากจะช่วยผ่อนคลาย ซึ่งแท้จริงแล้วเพียงแค่อยากอยู่ใกล้ชิดเท่านั้น ทว่าฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนหาได้สนใจพวกนางไม่…

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+