The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา 353 กองกำลังศักดิ์สิทธิ์

Now you are reading The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา Chapter 353 กองกำลังศักดิ์สิทธิ์ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

Ep.353 กองกำลังศักดิ์สิทธิ์

ข้าราชบริพารคนหนึ่งเดินถือม้วนกระดาษสีทองซึ่งเป็นพระบรมราชโองการจากจักรพรรดิองค์ก่อนไปยังฉินอินด้วยความเคารพ

ฉินอินพยักหน้า “อ่านให้ทุกคนฟัง”

ข้าราชบริพารรับคำสั่งก่อนเริ่มเปล่งเสียงอ่าน “หากการเดินทางในครั้งนี้ข้าได้พบเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ขอทุกคนอย่าได้ตื่นตระหนก แม้จะไม่ได้กลับไป…ตำนานราชวงศ์ฉินกว่าพันปีต้องไม่ถูกทำลายโดยฝีมือของกบฏคนใด จงแต่งตั้งฉินอินขึ้นเป็นจักรพรรดินีปกครองจักรวรรดิฉิน และให้หลินมู่อวี่เป็นราชาแห่งเทียนชู่ คอยดูแลและควบคุมการทหารรวมไปถึงการเมืองทั้งหมดในมณฑล แม้เขาจะเป็นลูกบุญธรรม ถึงกระนั้นก็จงปฏิบัติต่อเขาราวกับเป็นบุตรคนหนึ่งของข้า ทุกคนจงฟังคำสั่งเขาอย่าได้ขัดขืนเป็นอันขาด”

หลินมู่อวี่ชะงักและมองหน้าฉินอินอย่างไม่เข้าใจในราชโองการที่เพิ่งประกาศ

ฉินอินหยิบพระบรมราชโองการมาจากข้าราชบริพารก่อนจะกางมันออกให้หลินมู่อวี่ด้วยสีหน้าเศร้าโศก “พี่อาอวี่คงจำลายมือของเสด็จพ่อได้ใช่หรือไม่เจ้าคะ?”

ลายมือที่สลักอยู่ในพระบรมราชโองการนั้นสวยงามและหนักแน่น รอยกดทับด้านหลังของกระดาษล้วนแสดงให้เห็นว่าเป็นลายมือของฉินจิ้น จากทั้งจักรวรรดิเขาเป็นหนึ่งในสิบสุดยอดผู้ประดิษฐ์อักษรที่ไม่สามารถลอกเลียนแบบได้

ดวงตาของฉินอินปริ่มน้ำ “พี่อาอวี่ เราได้พบกับทหารองครักษ์ของเสด็จพ่อที่หนีมาจากเทียนชู่ เขาเล่าว่าก่อนเสด็จพ่อตาย…เขาพูดประโยคหนึ่ง ‘เสียดายที่ก่อนหน้าข้าไม่เคยมองเจ้าเป็นลูก ความผิดครั้งนี้คงมิอาจให้อภัย ถึงกระนั้นข้าก็หวังว่าคำสั่งเสียที่เขียนไว้จะช่วยชดเชยเรื่องที่ผ่านมาได้…’”

หลินมู่อวี่พยักหน้าอันทุกข์ตรม “ข้าทราบแล้วเสด็จพ่อ…”

ทันใดนั้น ถังลู่จากตระกูลถังก็มองหน้าฉินอินอย่างจริงจังพลางประสานหมัดและเอ่ยขึ้น “ฝ่าบาท ตามกฎแล้วมิอาจให้คนที่ไม่มีเชื้อขุนนางขึ้นเป็นราชา องค์จักรพรรดิแซ่ฉินจะแต่งตั้งหลินมู่อวี่แซ่หลินได้อย่างไร? แม้ว่าเขาจะมีคุณความดีอันยิ่งใหญ่ก็มิเพียงพอให้เข้ารับตำแหน่งได้ กระหม่อมเชื่อว่าต้องมีข้อผิดพลาดเกี่ยวกับการแต่งตั้งเขาเป็นแน่พ่ะย่ะค่ะ”

ฉินอินมองหน้าถังลู่ก่อนกล่าวตอบอย่างใจเย็น “นอกจากข้อโต้แย้งนี้ท่านมีสิ่งใดอีกหรือไม่?”

ท่ามกลางบรรดาขุนนาง ทุกคนต่างจดจ้องไปยังซูมู่หยุนเขาจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ฝ่าบาท แม้ว่าจะเป็นพระบรมราชโองการจากจักรพรรดิองค์ก่อน ทว่าในตอนที่พระองค์ทรงอักษรหาได้รู้ไม่ว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอันใหญ่หลวงขึ้น ในตอนที่จักรวรรดิกำลังต้องการความรุ่งเรือง คงไม่เหมาะสมอย่างยิ่งที่จะก่อตั้งราชาองค์ใหม่ ประชาชนหลายคนคงไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจนี้”

ถังหลานที่อยู่ด้านข้างพลันประสานหมัดขึ้นพร้อมกล่าวหนักแน่น “ด้วยจักรวรรดิที่กำลังได้รับการบูรณะ กระหม่อมเองก็คิดว่าต้องมีข้อผิดพลาดกับคำประกาศนั้นแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ ตอนนี้มณฑลเทียนชู่เป็นอาณาเขตของท่านหยุนกง หากหลินมู่อวี่ได้รับตำแหน่ง เขาคงไม่พึงใจเป็นแน่พ่ะย่ะค่ะ!”

ซูมู่หยุนมองค้อนใส่ถังหลานทว่าไม่กล่าวสิ่งใด

หลินมู่อวี่สูดหายใจลึก

เป็นครั้งแรกที่หลินมู่อวี่ได้รู้ว่าการเป็นจักรพรรดินีของฉินอินนั้นยากลำบากเพียงใด เพราะมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่อยู่ข้างนางจริงๆ!

เฟิงจี้สิงขมวดคิ้วกล่าว “ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ หากเหล่าขุนนางเห็นพ้องต้องกันว่าพระราชโองการมีข้อผิดพลาดเช่นนี้ คงไม่เหมาะสมหากจะแต่งตั้งให้หลินมู่อวี่เป็นราชา เว้นเสียแต่จะให้ตำแหน่งแม่ทัพแทน ด้วยคุณความดีอันเป็นที่กล่าวขานเขาสมควรได้รับมันอย่างไม่ต้องสงสัยพ่ะย่ะค่ะ”

ถังเสี่ยวซีกล่าวเสริม “ข้าก็คิดเช่นเดียวกันว่ามู่มู่ควรได้รับการแต่งตั้งให้เป็นแม่ทัพ”

ท่ามกลางเหล่าขุนนาง ชายคนหนึ่งในชุดทหารติดดาวทองสามดวงตรงปกเสื้อประสานหมัดเอ่ยขึ้น “ฝ่าบาท กระหม่อมในฐานะแม่ทัพที่ทำงานร่วมกับกระทรวงกลาโหม ตั้งแต่ฝ่าบาทได้ทรงออกคำสั่งให้มีการจัดระบบกองทัพอวี้หลินเดือนกรกฎาคมปีที่แล้วว่า…ผู้ใดก็ตามที่จะได้รับการเลื่อนตำแหน่ง ต้องเป็นผู้ที่มีคุณงามความดีจากการทำภารกิจ แม้ท่านหลินมู่อวี่จะสร้างความสำเร็จไว้มากมายเมื่อสามปีที่แล้ว ทว่าในตอนนี้เป็นศักราชใหม่…ด้วยร่างพระกฤษฎีกาฉบับล่าสุดที่พระองค์ทรงประกาศ กระหม่อมเกรงว่าคงจะขัดต่อข้อกฎหมายหากทรงยืนกรานจะแต่งตั้งเขา โปรดพระองค์ทรงพิจารณาข้อคิดเห็นของกระหม่อมด้วยพ่ะย่ะค่ะ”

“ซือหลิง เจ้า…”

ฉินอินโกรธอย่างมากและต้องการริบตำแหน่งกระทรวงกลาโหมจากเขาทันที ทว่าซือหลิงเป็นคนของถังหลาน ฉินอินจึงพยายามข่มอารมณ์ไว้

สังเกตได้ชัดว่าถังหลานไม่ต้องการให้หลินมู่อวี่ได้ครอบครองอำนาจทางทหารแม้แต่ตำแหน่งผู้บัญชาการ

ฉินอินรู้สึกสับสนจึงหันไปขอความช่วยเหลือจากซูมู่หยุน “ท่านตาคิดว่าหลินมู่อวี่ไม่สมควรได้รับตำแหน่งทางทหาร…ไม่แม้แต่กลับไปรับตำแหน่งแม่ทัพพิทักษ์เมืองเลยหรือเจ้าคะ?”

ซูมู่หยุนประสานหมัดกล่าวตอบ “เสี่ยวอิน กฎหมายใหม่ได้ถูกบังคับใช้อย่างเป็นทางการ เราก็ควรปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ตราบที่จักรวรรดิอี้เหอยังพร้อมทำศึก อาอวี่ย่อมมีโอกาสสร้างผลงานและรับตำแหน่ง ไม่จำเป็นต้องรีบร้อน!”

เฟิงจี้สิงครุ่นคิดถึงวิธีแก้ปัญหา เพราะท่ามกลางขุนนางกว่าพันคน เก้าสิบเปอร์เซ็นต์อยู่ฝั่งซูมู่หยุนและถังหลาน ส่วนที่เหลือไม่กล้าออกเสียงใด

ถังเสี่ยวซีเริ่มฉุนเฉียวก่อนจะชี้มือไปยังเหล่าข้าราชบริพารเบื้องล่างพร้อมกล่าวเสียงดัง “พวกหน้าไม่อาย หึ! หลินมู่อวี่นำทัพมังกรผงาดหนึ่งหมื่นห้าพันคนเข้าปะทะกับกองทัพหลงเซียนหลินและสังหารศัตรูกว่าเจ็ดหมื่นคน ข้าอยากรู้นักว่ามีพวกเจ้าคนใดทำได้อย่างเขาหรือไม่? นอกจากนั้นหลินมู่อวี่ยังสั่งให้ทัพมังกรผงาดปกป้องจักรพรรดินีฉินอินทายาทสืบทอดบัลลังก์เพียงคนเดียวอีก แล้วพวกเจ้าทำสิ่งใดบ้าง? นอกจากใช้ตำแหน่งขุนนางในมือกีดกันเขาจากการได้รับตำแหน่ง ข้าจะถามอีกครั้ง พวกคนเห็นแก่ได้…ไม่ละลายใจกันบ้างเลยรึ?!”

“เยี่ยมยอด!” เฟิงจี้สิงก้มหัวยิ้ม “องค์หญิงซีทรงปราดเปรื่องยิ่งพ่ะย่ะค่ะ…”

ซือหลิงยิ้มให้ถังเสี่ยวซีด้วยความอ่อนน้อม “องค์หญิงซี กระหม่อมเพียงทำตามกฎเท่านั้น หาได้ต้องการล่วงเกินท่านหลินมู่อวี่แม้แต่น้อย โปรดประทานอภัยโทษให้กระหม่อมเถิด…”

“อย่างงั้นหรือ?”

ถังเสี่ยวซีจ้องซือหลิงอย่างเอาเรื่อง เพลิงจิ้งจอกเก้าหางโหมกระหน่ำรอบกายราวกับกับต้องการปลดปล่อยพลัง

หลินมู่อวี่เกรงว่าถังเสี่ยวซีจะระเบิดพลังกลางโถงประชุมจึงรีบกล่าวตัดบท “เสี่ยวซี…ข้าไม่เป็นไร ข้าไม่ได้สนใจว่าจะได้ตำแหน่งหรือไม่ และคงเป็นการดีกว่าหาก…”

ฉินอินมองหลินมู่อวี่ด้วยความสนใจ “พี่อาอวี่มีทางที่ดีกว่าหรือ?”

“อืม”

หลินมู่อวี่หันมองเหล่าขุนนางและยิ้ม “ตามกฎกระทรวงกลาโหมกล่าวไว้ว่า เมื่อใดก็ตามที่กฎหมายถูกบังคับใช้ จงปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ด้วยเหตุนี้…ข้าจะกลับไปวิหารศักดิ์สิทธิ์ เพราะท่านผู้นำเกอหยางตัดสินใจแล้วว่าจะส่งมอบตำแหน่งผู้นำแห่งวิหารให้แก่ข้า คงไม่มีผู้ใดคัดค้านใช่หรือไม่?”

ถังเทียนชะงัก “วิหารศักดิ์สิทธิ์เป็นเสาหลักของจักรวรรดิ ตำแหน่งผู้นำวิหารนั้นสำคัญยิ่งจะสามารถมอบมันให้แก่เจ้าได้อย่างไร?”

หลินมู่อวี่เลิกคิ้วขึ้นและกล่าว “ข้าได้อ่านพระกฤษฎีกาแล้ว การเลือกผู้นำวิหารศักดิ์สิทธิ์นั้นขึ้นอยู่กับการตัดสินพระทัยของจักรพรรดิแต่เพียงผู้เดียว หากเสี่ยวอินอนุญาตให้ข้าขึ้นรับตำแหน่งแล้ว ยังมีผู้ใดกล้าคัดค้านอีกหรือ?”

ขณะกล่าว หลินมู่อวี่พลางชักกระบี่จากฝักและปักมันลงบนพื้นพรมเบื้องหน้า “ฉึก!” แสงประกายจากคมกระบี่เปล่งออก หลินมู่อวี่ยิ้มโดยไร้ความโกรธใด “ในนามคนของจักรวรรดิขอกล่าวว่าแผ่นดินนี้เป็นของราชวงศ์ฉิน ผู้ที่มีอำนาจปกครองคือฉินอิน ในฐานะขุนนางควรสำเหนียกหน้าที่ของตนไว้ให้ดี ข้าคือบุตรแห่งจักรพรรดิฉินจิ้น พี่ชายของเสี่ยวอินผู้นี้จะคอยปกป้องนางจากความทุกข์ทั้งปวง หากพวกเจ้าคนใดข้องใจ ไม่ยอมรับในคำตัดสินนี้และอยากสัมผัสคมกระบี่ของข้า ก็เชิญไปที่วิหารศักดิ์สิทธิ์ได้เลย…ข้าพร้อมประมือทุกเมื่อ!”

ภายใต้แรงกดดันของหลินมู่อวี่ทำให้ถังเทียนพูดไม่ออกและชะงักไปชั่วครู่

ถังหลานและซูมู่หยุนขมวดคิ้วมองหน้ากันโดยไม่กล่าวคำใด เป็นการยากที่จะขัดคำของหลินมู่อวี่เพราะเขาทำตามพระกฤษฎีกาซึ่งแม้แต่ทั้งคู่ก็ไม่มีอำนาจต่อต้าน หยุนกงผู้อำนาจอยู่ทั่วเมืองหลันเยี่ยนทำได้เพียงจำนนต่อกฎของจักรวรรดิ หลินมู่อวี่ได้รับชัยชนะของการต่อสู้ครั้งแรกหลังฟื้นจากความตาย!

เฟิงจี้สิงที่ยืนอยู่กับจักรพรรดินีทำหน้าปีติพลางหัวเราะเบาๆ “เยี่ยมมากอาอวี่!”

เว่ยโฉวพยักหน้ายิ้ม “ผู้บัญชาการของข้ากลับมาแล้ว…”

ถังเสี่ยวซีทำได้เพียงยิ้มอย่างมีความสุขพลางมองหลินมู่อวี่ผู้ยืนหยัดราวกับราชา

ซูมู่หยุนก้าวออกมาพลางประสานหมัดกล่าว “ยินดีกับท่านหลินมู่อวี่ด้วยที่ได้รับการเลื่อนขั้นเป็นผู้นำแห่งวิหารศักดิ์สิทธิ์ ไม่มีผู้ใดเหมาะสมยิ่งกว่าท่านแล้ว!” ถังหลานและขุนนางคนอื่นๆ ก็ร่วมประสานหมัดยินดีกับหลินมู่อวี่เช่นกัน ช่างประจบสอพลอสิ้นดี!

อย่างไรก็ดี ตามกฎแล้ว…กองทัพมังกรผงาดและกองทัพองครักษ์ไม่สามารถเพิ่มกองกำลังทหารได้นอกจากถังหลานกับซู่มู่หยุนจะอนุญาต ฉินอินไม่มีอำนาจในเรื่องนี้

ถึงกระนั้น หลินมู่อวี่ที่ได้รับตำแหน่งผู้นำวิหารศักดิ์สิทธิ์เขาสามารถแสดงความสามารถของตนได้ทุกเมื่อ

บ่ายคล้อย ถังเสี่ยวซี เฟิงจี้สิง เว่ยโฉวและหลินมู่อวี่กลับไปวิหารศักดิ์สิทธิ์ด้วยกันเพื่อไปฉลองกับตำแหน่งผู้นำของหลินมู่อวี่

ในห้องโถง กลุ่มคนต่างนั่งรอบโต๊ะกลมมองหน้ากันไปมา

เฟิงจี้สิงหยิบแก้วชาขึ้นมาแกว่งก่อนกัดฟันกล่าว “ข้าโมโหนัก…สองขุนนางเฒ่านั่นคงไม่ยอมให้ขยายกองทัพองครักษ์และมังกรผงาดเป็นแน่ คิดจะให้เราใช้ทหารสองหมื่นหนึ่งพันนายแบบนี้ไปตลอดรึ? บอกตามตรง…กองกำลังเพียงเท่านี้จะไปทำอะไรได้!”

ถังเสี่ยวซีมองหลินมู่อวี่ “มู่มู่ เจ้าลักลอบรับสมัครทหารและซื้อม้าบนภูเขาหลงหยานเพื่อขยายกองทัพมังกรผงาดได้หรือไม่?”

“ข้าก็กำลังคิดอยู่…”

หลินมู่อวี่พยักหน้ายิ้ม “เพียงแต่ข้าเกรงว่าคนของหยุนกงและหลานกงปู่เจ้าจะมีหน่วยสอดแนมอยู่ทุกสารทิศ คงทำให้ลำบากอย่างมาก”

ถังเสี่ยวซียิ้มอย่างรู้สึกผิด “มู่มู่ อย่าโกรธท่านปู่เลย ข้าไม่รู้ว่าเขากลายเป็นคนหลงอำนาจแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไร”

“เขาอาจเป็นแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้วกระมัง” เว่ยโฉวหัวเราะเย้ยหยัน

หลินมู่อวี่ถอนหายใจมองเกอหยางพลางเอ่ยถาม “ท่านปู่เกอหยาง ข้าไปตรวจสอบแล้วพบว่ามีบ้านมากมายหลังวิหารที่ร้างไปแล้ว ข้าขอซื้อมันได้หรือไม่?”

“ผู้นำอยากได้ไปทำสิ่งใดหรือ?” เกอหยางถามด้วยความสงสัย

“ข้าตั้งใจจะเปลี่ยนบ้านเหล่านั้นให้เป็นค่ายทหาร สร้างลานฝึกและสถานที่สอนวิชายุทธ์” หลินมู่อวี่ยิ้มกล่าว “มันคงไม่ใช้เงินมากใช่หรือไม่? ทว่าถึงอย่างไรข้าก็มีเงินมากมายให้ใช้อยู่”

“มันไม่ใช้งบประมาณมากก็จริง ทว่าจุดประสงค์ที่แท้จริงคือสิ่งใดกันแน่อาอวี่?” เกอหยางถามอย่างไม่เข้าใจ

หลินมู่อวี่กล่าวต่อ “ในจักรวรรดิแห่งนี้มีวิหารศักดิ์สิทธิ์อยู่กี่สาขา?”

“หนึ่งพันสามร้อยยี่สิบสี่สาขา” เกอหยางกะประมาณ “แต่ละสาขามีสมาชิกอยู่ยี่สิบถึงห้าสิบคน”

หลินมู่อวี่พยักหน้า “คำสั่งแรกในฐานะผู้นำแห่งวิหารศักดิ์สิทธิ์คือให้ส่งสมาชิกผู้แข็งแกร่งจากวิหารทั้งประเทศ วิหารละแปดถึงสิบคนเพื่อมารับใช้จักรพรรดินี เพียงเท่านี้เราก็จะมีกองกำลังเป็นสมาชิกวิหารศักดิ์สิทธิ์ราวหนึ่งพันคน”

เกอหยางชะงัก “หืม?”

เฟิงจี้สิงยิ้มก่อนประสานหมัด “แผนของเจ้าช่างน่าอัศจรรย์ วิหารศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการปกครองของจักรพรรดินี อาอวี่จึงคิดจะใช้คนของวิหารตั้งเป็นกองทัพ!”

“ถูกต้อง! ในเมื่อหลานกงและหยุนกงไม่อนุญาตให้ข้าตั้งกองกำลังส่วนตัว ข้าก็จะสร้างกองกำลังวิหารศักดิ์สิทธิ์ในฐานะผู้นำวิหารเอง จากนั้นให้ส่งทหารจากกองทัพมังกรผงาดมาช่วยสอนการรบและจัดขบวนทัพ ข้าจะขยายกองกำลังมังกรผงาดโดยใช้วิหารบังหน้า ด้วยวิธีนี้เสี่ยวอินจะถือไพ่เหนือกว่า!”

“พี่เฟิงผู้นี้จะช่วยสนับสนุนเจ้า!” เฟิงจี้สิงประสานหมัดและยิ้มอย่างมีเลศนัย

………………………………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา 353 กองกำลังศักดิ์สิทธิ์

Now you are reading The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา Chapter 353 กองกำลังศักดิ์สิทธิ์ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

Ep.353 กองกำลังศักดิ์สิทธิ์

ข้าราชบริพารคนหนึ่งเดินถือม้วนกระดาษสีทองซึ่งเป็นพระบรมราชโองการจากจักรพรรดิองค์ก่อนไปยังฉินอินด้วยความเคารพ

ฉินอินพยักหน้า “อ่านให้ทุกคนฟัง”

ข้าราชบริพารรับคำสั่งก่อนเริ่มเปล่งเสียงอ่าน “หากการเดินทางในครั้งนี้ข้าได้พบเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ขอทุกคนอย่าได้ตื่นตระหนก แม้จะไม่ได้กลับไป…ตำนานราชวงศ์ฉินกว่าพันปีต้องไม่ถูกทำลายโดยฝีมือของกบฏคนใด จงแต่งตั้งฉินอินขึ้นเป็นจักรพรรดินีปกครองจักรวรรดิฉิน และให้หลินมู่อวี่เป็นราชาแห่งเทียนชู่ คอยดูแลและควบคุมการทหารรวมไปถึงการเมืองทั้งหมดในมณฑล แม้เขาจะเป็นลูกบุญธรรม ถึงกระนั้นก็จงปฏิบัติต่อเขาราวกับเป็นบุตรคนหนึ่งของข้า ทุกคนจงฟังคำสั่งเขาอย่าได้ขัดขืนเป็นอันขาด”

หลินมู่อวี่ชะงักและมองหน้าฉินอินอย่างไม่เข้าใจในราชโองการที่เพิ่งประกาศ

ฉินอินหยิบพระบรมราชโองการมาจากข้าราชบริพารก่อนจะกางมันออกให้หลินมู่อวี่ด้วยสีหน้าเศร้าโศก “พี่อาอวี่คงจำลายมือของเสด็จพ่อได้ใช่หรือไม่เจ้าคะ?”

ลายมือที่สลักอยู่ในพระบรมราชโองการนั้นสวยงามและหนักแน่น รอยกดทับด้านหลังของกระดาษล้วนแสดงให้เห็นว่าเป็นลายมือของฉินจิ้น จากทั้งจักรวรรดิเขาเป็นหนึ่งในสิบสุดยอดผู้ประดิษฐ์อักษรที่ไม่สามารถลอกเลียนแบบได้

ดวงตาของฉินอินปริ่มน้ำ “พี่อาอวี่ เราได้พบกับทหารองครักษ์ของเสด็จพ่อที่หนีมาจากเทียนชู่ เขาเล่าว่าก่อนเสด็จพ่อตาย…เขาพูดประโยคหนึ่ง ‘เสียดายที่ก่อนหน้าข้าไม่เคยมองเจ้าเป็นลูก ความผิดครั้งนี้คงมิอาจให้อภัย ถึงกระนั้นข้าก็หวังว่าคำสั่งเสียที่เขียนไว้จะช่วยชดเชยเรื่องที่ผ่านมาได้…’”

หลินมู่อวี่พยักหน้าอันทุกข์ตรม “ข้าทราบแล้วเสด็จพ่อ…”

ทันใดนั้น ถังลู่จากตระกูลถังก็มองหน้าฉินอินอย่างจริงจังพลางประสานหมัดและเอ่ยขึ้น “ฝ่าบาท ตามกฎแล้วมิอาจให้คนที่ไม่มีเชื้อขุนนางขึ้นเป็นราชา องค์จักรพรรดิแซ่ฉินจะแต่งตั้งหลินมู่อวี่แซ่หลินได้อย่างไร? แม้ว่าเขาจะมีคุณความดีอันยิ่งใหญ่ก็มิเพียงพอให้เข้ารับตำแหน่งได้ กระหม่อมเชื่อว่าต้องมีข้อผิดพลาดเกี่ยวกับการแต่งตั้งเขาเป็นแน่พ่ะย่ะค่ะ”

ฉินอินมองหน้าถังลู่ก่อนกล่าวตอบอย่างใจเย็น “นอกจากข้อโต้แย้งนี้ท่านมีสิ่งใดอีกหรือไม่?”

ท่ามกลางบรรดาขุนนาง ทุกคนต่างจดจ้องไปยังซูมู่หยุนเขาจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ฝ่าบาท แม้ว่าจะเป็นพระบรมราชโองการจากจักรพรรดิองค์ก่อน ทว่าในตอนที่พระองค์ทรงอักษรหาได้รู้ไม่ว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอันใหญ่หลวงขึ้น ในตอนที่จักรวรรดิกำลังต้องการความรุ่งเรือง คงไม่เหมาะสมอย่างยิ่งที่จะก่อตั้งราชาองค์ใหม่ ประชาชนหลายคนคงไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจนี้”

ถังหลานที่อยู่ด้านข้างพลันประสานหมัดขึ้นพร้อมกล่าวหนักแน่น “ด้วยจักรวรรดิที่กำลังได้รับการบูรณะ กระหม่อมเองก็คิดว่าต้องมีข้อผิดพลาดกับคำประกาศนั้นแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ ตอนนี้มณฑลเทียนชู่เป็นอาณาเขตของท่านหยุนกง หากหลินมู่อวี่ได้รับตำแหน่ง เขาคงไม่พึงใจเป็นแน่พ่ะย่ะค่ะ!”

ซูมู่หยุนมองค้อนใส่ถังหลานทว่าไม่กล่าวสิ่งใด

หลินมู่อวี่สูดหายใจลึก

เป็นครั้งแรกที่หลินมู่อวี่ได้รู้ว่าการเป็นจักรพรรดินีของฉินอินนั้นยากลำบากเพียงใด เพราะมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่อยู่ข้างนางจริงๆ!

เฟิงจี้สิงขมวดคิ้วกล่าว “ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ หากเหล่าขุนนางเห็นพ้องต้องกันว่าพระราชโองการมีข้อผิดพลาดเช่นนี้ คงไม่เหมาะสมหากจะแต่งตั้งให้หลินมู่อวี่เป็นราชา เว้นเสียแต่จะให้ตำแหน่งแม่ทัพแทน ด้วยคุณความดีอันเป็นที่กล่าวขานเขาสมควรได้รับมันอย่างไม่ต้องสงสัยพ่ะย่ะค่ะ”

ถังเสี่ยวซีกล่าวเสริม “ข้าก็คิดเช่นเดียวกันว่ามู่มู่ควรได้รับการแต่งตั้งให้เป็นแม่ทัพ”

ท่ามกลางเหล่าขุนนาง ชายคนหนึ่งในชุดทหารติดดาวทองสามดวงตรงปกเสื้อประสานหมัดเอ่ยขึ้น “ฝ่าบาท กระหม่อมในฐานะแม่ทัพที่ทำงานร่วมกับกระทรวงกลาโหม ตั้งแต่ฝ่าบาทได้ทรงออกคำสั่งให้มีการจัดระบบกองทัพอวี้หลินเดือนกรกฎาคมปีที่แล้วว่า…ผู้ใดก็ตามที่จะได้รับการเลื่อนตำแหน่ง ต้องเป็นผู้ที่มีคุณงามความดีจากการทำภารกิจ แม้ท่านหลินมู่อวี่จะสร้างความสำเร็จไว้มากมายเมื่อสามปีที่แล้ว ทว่าในตอนนี้เป็นศักราชใหม่…ด้วยร่างพระกฤษฎีกาฉบับล่าสุดที่พระองค์ทรงประกาศ กระหม่อมเกรงว่าคงจะขัดต่อข้อกฎหมายหากทรงยืนกรานจะแต่งตั้งเขา โปรดพระองค์ทรงพิจารณาข้อคิดเห็นของกระหม่อมด้วยพ่ะย่ะค่ะ”

“ซือหลิง เจ้า…”

ฉินอินโกรธอย่างมากและต้องการริบตำแหน่งกระทรวงกลาโหมจากเขาทันที ทว่าซือหลิงเป็นคนของถังหลาน ฉินอินจึงพยายามข่มอารมณ์ไว้

สังเกตได้ชัดว่าถังหลานไม่ต้องการให้หลินมู่อวี่ได้ครอบครองอำนาจทางทหารแม้แต่ตำแหน่งผู้บัญชาการ

ฉินอินรู้สึกสับสนจึงหันไปขอความช่วยเหลือจากซูมู่หยุน “ท่านตาคิดว่าหลินมู่อวี่ไม่สมควรได้รับตำแหน่งทางทหาร…ไม่แม้แต่กลับไปรับตำแหน่งแม่ทัพพิทักษ์เมืองเลยหรือเจ้าคะ?”

ซูมู่หยุนประสานหมัดกล่าวตอบ “เสี่ยวอิน กฎหมายใหม่ได้ถูกบังคับใช้อย่างเป็นทางการ เราก็ควรปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ตราบที่จักรวรรดิอี้เหอยังพร้อมทำศึก อาอวี่ย่อมมีโอกาสสร้างผลงานและรับตำแหน่ง ไม่จำเป็นต้องรีบร้อน!”

เฟิงจี้สิงครุ่นคิดถึงวิธีแก้ปัญหา เพราะท่ามกลางขุนนางกว่าพันคน เก้าสิบเปอร์เซ็นต์อยู่ฝั่งซูมู่หยุนและถังหลาน ส่วนที่เหลือไม่กล้าออกเสียงใด

ถังเสี่ยวซีเริ่มฉุนเฉียวก่อนจะชี้มือไปยังเหล่าข้าราชบริพารเบื้องล่างพร้อมกล่าวเสียงดัง “พวกหน้าไม่อาย หึ! หลินมู่อวี่นำทัพมังกรผงาดหนึ่งหมื่นห้าพันคนเข้าปะทะกับกองทัพหลงเซียนหลินและสังหารศัตรูกว่าเจ็ดหมื่นคน ข้าอยากรู้นักว่ามีพวกเจ้าคนใดทำได้อย่างเขาหรือไม่? นอกจากนั้นหลินมู่อวี่ยังสั่งให้ทัพมังกรผงาดปกป้องจักรพรรดินีฉินอินทายาทสืบทอดบัลลังก์เพียงคนเดียวอีก แล้วพวกเจ้าทำสิ่งใดบ้าง? นอกจากใช้ตำแหน่งขุนนางในมือกีดกันเขาจากการได้รับตำแหน่ง ข้าจะถามอีกครั้ง พวกคนเห็นแก่ได้…ไม่ละลายใจกันบ้างเลยรึ?!”

“เยี่ยมยอด!” เฟิงจี้สิงก้มหัวยิ้ม “องค์หญิงซีทรงปราดเปรื่องยิ่งพ่ะย่ะค่ะ…”

ซือหลิงยิ้มให้ถังเสี่ยวซีด้วยความอ่อนน้อม “องค์หญิงซี กระหม่อมเพียงทำตามกฎเท่านั้น หาได้ต้องการล่วงเกินท่านหลินมู่อวี่แม้แต่น้อย โปรดประทานอภัยโทษให้กระหม่อมเถิด…”

“อย่างงั้นหรือ?”

ถังเสี่ยวซีจ้องซือหลิงอย่างเอาเรื่อง เพลิงจิ้งจอกเก้าหางโหมกระหน่ำรอบกายราวกับกับต้องการปลดปล่อยพลัง

หลินมู่อวี่เกรงว่าถังเสี่ยวซีจะระเบิดพลังกลางโถงประชุมจึงรีบกล่าวตัดบท “เสี่ยวซี…ข้าไม่เป็นไร ข้าไม่ได้สนใจว่าจะได้ตำแหน่งหรือไม่ และคงเป็นการดีกว่าหาก…”

ฉินอินมองหลินมู่อวี่ด้วยความสนใจ “พี่อาอวี่มีทางที่ดีกว่าหรือ?”

“อืม”

หลินมู่อวี่หันมองเหล่าขุนนางและยิ้ม “ตามกฎกระทรวงกลาโหมกล่าวไว้ว่า เมื่อใดก็ตามที่กฎหมายถูกบังคับใช้ จงปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ด้วยเหตุนี้…ข้าจะกลับไปวิหารศักดิ์สิทธิ์ เพราะท่านผู้นำเกอหยางตัดสินใจแล้วว่าจะส่งมอบตำแหน่งผู้นำแห่งวิหารให้แก่ข้า คงไม่มีผู้ใดคัดค้านใช่หรือไม่?”

ถังเทียนชะงัก “วิหารศักดิ์สิทธิ์เป็นเสาหลักของจักรวรรดิ ตำแหน่งผู้นำวิหารนั้นสำคัญยิ่งจะสามารถมอบมันให้แก่เจ้าได้อย่างไร?”

หลินมู่อวี่เลิกคิ้วขึ้นและกล่าว “ข้าได้อ่านพระกฤษฎีกาแล้ว การเลือกผู้นำวิหารศักดิ์สิทธิ์นั้นขึ้นอยู่กับการตัดสินพระทัยของจักรพรรดิแต่เพียงผู้เดียว หากเสี่ยวอินอนุญาตให้ข้าขึ้นรับตำแหน่งแล้ว ยังมีผู้ใดกล้าคัดค้านอีกหรือ?”

ขณะกล่าว หลินมู่อวี่พลางชักกระบี่จากฝักและปักมันลงบนพื้นพรมเบื้องหน้า “ฉึก!” แสงประกายจากคมกระบี่เปล่งออก หลินมู่อวี่ยิ้มโดยไร้ความโกรธใด “ในนามคนของจักรวรรดิขอกล่าวว่าแผ่นดินนี้เป็นของราชวงศ์ฉิน ผู้ที่มีอำนาจปกครองคือฉินอิน ในฐานะขุนนางควรสำเหนียกหน้าที่ของตนไว้ให้ดี ข้าคือบุตรแห่งจักรพรรดิฉินจิ้น พี่ชายของเสี่ยวอินผู้นี้จะคอยปกป้องนางจากความทุกข์ทั้งปวง หากพวกเจ้าคนใดข้องใจ ไม่ยอมรับในคำตัดสินนี้และอยากสัมผัสคมกระบี่ของข้า ก็เชิญไปที่วิหารศักดิ์สิทธิ์ได้เลย…ข้าพร้อมประมือทุกเมื่อ!”

ภายใต้แรงกดดันของหลินมู่อวี่ทำให้ถังเทียนพูดไม่ออกและชะงักไปชั่วครู่

ถังหลานและซูมู่หยุนขมวดคิ้วมองหน้ากันโดยไม่กล่าวคำใด เป็นการยากที่จะขัดคำของหลินมู่อวี่เพราะเขาทำตามพระกฤษฎีกาซึ่งแม้แต่ทั้งคู่ก็ไม่มีอำนาจต่อต้าน หยุนกงผู้อำนาจอยู่ทั่วเมืองหลันเยี่ยนทำได้เพียงจำนนต่อกฎของจักรวรรดิ หลินมู่อวี่ได้รับชัยชนะของการต่อสู้ครั้งแรกหลังฟื้นจากความตาย!

เฟิงจี้สิงที่ยืนอยู่กับจักรพรรดินีทำหน้าปีติพลางหัวเราะเบาๆ “เยี่ยมมากอาอวี่!”

เว่ยโฉวพยักหน้ายิ้ม “ผู้บัญชาการของข้ากลับมาแล้ว…”

ถังเสี่ยวซีทำได้เพียงยิ้มอย่างมีความสุขพลางมองหลินมู่อวี่ผู้ยืนหยัดราวกับราชา

ซูมู่หยุนก้าวออกมาพลางประสานหมัดกล่าว “ยินดีกับท่านหลินมู่อวี่ด้วยที่ได้รับการเลื่อนขั้นเป็นผู้นำแห่งวิหารศักดิ์สิทธิ์ ไม่มีผู้ใดเหมาะสมยิ่งกว่าท่านแล้ว!” ถังหลานและขุนนางคนอื่นๆ ก็ร่วมประสานหมัดยินดีกับหลินมู่อวี่เช่นกัน ช่างประจบสอพลอสิ้นดี!

อย่างไรก็ดี ตามกฎแล้ว…กองทัพมังกรผงาดและกองทัพองครักษ์ไม่สามารถเพิ่มกองกำลังทหารได้นอกจากถังหลานกับซู่มู่หยุนจะอนุญาต ฉินอินไม่มีอำนาจในเรื่องนี้

ถึงกระนั้น หลินมู่อวี่ที่ได้รับตำแหน่งผู้นำวิหารศักดิ์สิทธิ์เขาสามารถแสดงความสามารถของตนได้ทุกเมื่อ

บ่ายคล้อย ถังเสี่ยวซี เฟิงจี้สิง เว่ยโฉวและหลินมู่อวี่กลับไปวิหารศักดิ์สิทธิ์ด้วยกันเพื่อไปฉลองกับตำแหน่งผู้นำของหลินมู่อวี่

ในห้องโถง กลุ่มคนต่างนั่งรอบโต๊ะกลมมองหน้ากันไปมา

เฟิงจี้สิงหยิบแก้วชาขึ้นมาแกว่งก่อนกัดฟันกล่าว “ข้าโมโหนัก…สองขุนนางเฒ่านั่นคงไม่ยอมให้ขยายกองทัพองครักษ์และมังกรผงาดเป็นแน่ คิดจะให้เราใช้ทหารสองหมื่นหนึ่งพันนายแบบนี้ไปตลอดรึ? บอกตามตรง…กองกำลังเพียงเท่านี้จะไปทำอะไรได้!”

ถังเสี่ยวซีมองหลินมู่อวี่ “มู่มู่ เจ้าลักลอบรับสมัครทหารและซื้อม้าบนภูเขาหลงหยานเพื่อขยายกองทัพมังกรผงาดได้หรือไม่?”

“ข้าก็กำลังคิดอยู่…”

หลินมู่อวี่พยักหน้ายิ้ม “เพียงแต่ข้าเกรงว่าคนของหยุนกงและหลานกงปู่เจ้าจะมีหน่วยสอดแนมอยู่ทุกสารทิศ คงทำให้ลำบากอย่างมาก”

ถังเสี่ยวซียิ้มอย่างรู้สึกผิด “มู่มู่ อย่าโกรธท่านปู่เลย ข้าไม่รู้ว่าเขากลายเป็นคนหลงอำนาจแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไร”

“เขาอาจเป็นแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้วกระมัง” เว่ยโฉวหัวเราะเย้ยหยัน

หลินมู่อวี่ถอนหายใจมองเกอหยางพลางเอ่ยถาม “ท่านปู่เกอหยาง ข้าไปตรวจสอบแล้วพบว่ามีบ้านมากมายหลังวิหารที่ร้างไปแล้ว ข้าขอซื้อมันได้หรือไม่?”

“ผู้นำอยากได้ไปทำสิ่งใดหรือ?” เกอหยางถามด้วยความสงสัย

“ข้าตั้งใจจะเปลี่ยนบ้านเหล่านั้นให้เป็นค่ายทหาร สร้างลานฝึกและสถานที่สอนวิชายุทธ์” หลินมู่อวี่ยิ้มกล่าว “มันคงไม่ใช้เงินมากใช่หรือไม่? ทว่าถึงอย่างไรข้าก็มีเงินมากมายให้ใช้อยู่”

“มันไม่ใช้งบประมาณมากก็จริง ทว่าจุดประสงค์ที่แท้จริงคือสิ่งใดกันแน่อาอวี่?” เกอหยางถามอย่างไม่เข้าใจ

หลินมู่อวี่กล่าวต่อ “ในจักรวรรดิแห่งนี้มีวิหารศักดิ์สิทธิ์อยู่กี่สาขา?”

“หนึ่งพันสามร้อยยี่สิบสี่สาขา” เกอหยางกะประมาณ “แต่ละสาขามีสมาชิกอยู่ยี่สิบถึงห้าสิบคน”

หลินมู่อวี่พยักหน้า “คำสั่งแรกในฐานะผู้นำแห่งวิหารศักดิ์สิทธิ์คือให้ส่งสมาชิกผู้แข็งแกร่งจากวิหารทั้งประเทศ วิหารละแปดถึงสิบคนเพื่อมารับใช้จักรพรรดินี เพียงเท่านี้เราก็จะมีกองกำลังเป็นสมาชิกวิหารศักดิ์สิทธิ์ราวหนึ่งพันคน”

เกอหยางชะงัก “หืม?”

เฟิงจี้สิงยิ้มก่อนประสานหมัด “แผนของเจ้าช่างน่าอัศจรรย์ วิหารศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการปกครองของจักรพรรดินี อาอวี่จึงคิดจะใช้คนของวิหารตั้งเป็นกองทัพ!”

“ถูกต้อง! ในเมื่อหลานกงและหยุนกงไม่อนุญาตให้ข้าตั้งกองกำลังส่วนตัว ข้าก็จะสร้างกองกำลังวิหารศักดิ์สิทธิ์ในฐานะผู้นำวิหารเอง จากนั้นให้ส่งทหารจากกองทัพมังกรผงาดมาช่วยสอนการรบและจัดขบวนทัพ ข้าจะขยายกองกำลังมังกรผงาดโดยใช้วิหารบังหน้า ด้วยวิธีนี้เสี่ยวอินจะถือไพ่เหนือกว่า!”

“พี่เฟิงผู้นี้จะช่วยสนับสนุนเจ้า!” เฟิงจี้สิงประสานหมัดและยิ้มอย่างมีเลศนัย

………………………………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+