The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา 325 เจ้าคือความภาคภูมิใจของจักรวรรดิ

Now you are reading The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา Chapter 325 เจ้าคือความภาคภูมิใจของจักรวรรดิ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

Ep.325 เจ้าคือความภาคภูมิใจของจักรวรรดิ

นอกเมืองหลันเยี่ยน กองทัพองครักษ์องครักษ์สามหมื่นนายเริ่มการสู้รบด้วยทหารม้า เฟิงจี้สิงควบม้าอยู่แนวหน้าพร้อมกับดาวยาว วิญญาณยุทธ์หมาป่าเปลวอัสนีม่วงที่ไม่เหมือนใครปรากฏขึ้นรอบกาย หลินมู่อวี่นำเว่ยโฉว เซี่ยโหวซางและทหารจากหน่วยองครักษ์อินทรีคนอื่นๆ บุกทะลวงตามกองทัพองครักษ์ไป เมื่อฝ่าแนวป้องกันไปได้แปดชั้น…แนวหน้าของศัตรูก็พ่ายยับ กองทัพจากจักรวรรดิอี้เหอต่างแหวกแถวให้เป็นสองฝั่งด้วยความหวาดหวั่นราวกับไม่อยากเสี่ยงชีวิต

“เกิดอะไรขึ้น?” เฟิงจี้สิงกัดฟันกล่าว “หลงเซียนหลินจงใจเปิดทางให้กองทัพองครักษ์อย่างนั้นหรือ?” หลินมู่อวี่เก็บกระบี่และดึงสายบังเหียนเจ๋อดี่ให้วิ่งไปก่อนจะหันมากล่าวกับเฟิงจี้สิงด้วยสีหน้าไม่สู้ดี “ท่านพี่เฟิง ข้าว่ามันผิดปกติ…พวกอี้เหอไม่มีทางปล่อยเราไปง่ายๆ เช่นนี้แน่ พวกมันคงมีแผนการบางอย่าง”

เฟิงจี้สิงพยักหน้า “ข้ารู้ ทว่า…เราต้องไปภูเขาเทียนชู่”

“ท่านอย่าประมาทไป!”

หลินมู่อวี่ขมวดคิ้ว “ภูเขาเทียนชู่ต้องเต็มไปด้วยกับดักเป็นแน่ ท่านต้องระวังให้มาก พวกจักรวรรดิอี้เหอนั้นเจ้าเล่ห์นัก หากไม่จำเป็นข้าไม่อยากให้ท่านพี่ขึ้นไปเลย”

“อืม ข้ารู้” เฟิงจี้สิงพยักหน้ายิ้ม “อาอวี่ เจ้าเองก็ต้องระวังตัว หลงเซียนหลินจะจับตาดูภูเขาหลงหยานอยู่ ตอนนี้น่าจะถูกปิดล้อมเกือบหมดแล้ว”

“อืม เราแยกกันตรงนี้เถิด”

“ได้!”

หลินมู่อวี่ดึงบังเหียนเจี๋ยดี่มุ่งไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ เว่ยโฉว เซี่ยโหวซางและทหารองครักษ์อินทรีรุดตามไป ส่วนเฟิงจี้สิงตะโกนสั่งกองทัพองครักษ์ให้ไปทางตะวันออกมุ่งสู่ภูเขาเทียนชู่

ทหารหน่วยองครักษ์อินทรีเคลื่อนทัพอย่างรวดเร็ว ไม่ถึงสองชั่วโมงก็มองเห็นภูเขาหลงหยานอยู่ไม่ไกล อย่างที่เฟิงจี้สิงคาด…ธงของจักรวรรดิอี้เหอโบกสะบัดล้อมรอบอยู่บริเวณตีนเขา กองกำลังฝั่งศัตรูมีไม่มากราวสองหมื่นคน กลุ่มมังกรผงาดมีอยู่หนึ่งหมื่นห้าพัน จึงไม่ใช่เรื่องยากหากจะฝ่าออกมา

“เอานกส่งสารมา!” หลินมู่อวี่ให้ไปบอก

เว่ยโฉวคว้ากรงนกส่งให้หลินมู่อวี่ขณะที่เขาเร่งขีดจดหมาย “หลัวอวี่ ข้านำหน่วยองครักษ์อินทรีมาช่วยจากทางตะวันตกเฉียงใต้ของภูเขาหลงหยาน เจ้าจงนำกลุ่มมังกรผงาดทั้งหมดลงจากเขาและฝ่ากองทัพกลับเข้าเมืองกับข้า…หลินมู่อวี่”

“พรึ่บ…”

นกส่งสารสยายปีกบินราวกับลูกธนูสีขาวที่ถูกยิงไปที่ภูเขาหลงหยาน ไม่นานนักมีเสียงรัวกลองศึกดังมาจากทางภูเขา ธงของกลุ่มมังกรผงาดโบกสะบัดไปมาพร้อมกับธงดอกจื่อยินสีม่วง หลัวอวี่นพกองทัพมังกรผงาดลงจากเขามาในฐานะหนึ่งในกองทัพของจักรวรรดิ

“พวกเขากำลังฝ่าลงมาจากภูเขา!” เซี่ยโหวซางยิ้มอย่างตื่นเต้น

หลินมู่อวี่พยักหน้า “ไป! บุกทะลวงจากด้านหลังศัตรูเข้าไปรับทุกคนลงมา!”

“ขอรับ!”

หลินมู่อวี่เก็บกระบี่วิญญาณมังกรเข้าฝักก่อนจะเปลี่ยนมาใช้ทวนหลีฮวาสังหารศัตรูด้วยมือเดียว มุ่งสู่สนามรบด้วยกลยุทธ์สงคราม ทวนยาวหนึ่งเมตรบวกกับพลังเยือกแข็งอันแข็งแกร่งเหมาะแก่การบุกโจมตีด้วยเร็วอย่างมาก กองทหารองครักษ์อินทรีที่นำโดยหลินมู่อวี่ฝ่าวงล้อมข้าศึกราวเสือกระโจนใส่ฝูงแกะจากด้านหลัง กระทั่งไปจนถึงค่ายของทหารจักรวรรดิอี้เหอ

“ฉวัะ!”

ดาบยาวของเซี่ยโหวซางฟันของศัตรูจนขาดกระเด็น เขากวาดสายตามองโดยรอบก่อนจะตะโกน “ทหารที่ล้อมภูเขาอยู่เป็นคนของเมืองสายัณห์ มณฑลชุนไป๋! ผู้เฒ่าแห่งเมืองสายัณห์ตกต่ำถึงขั้นต้องมาหลิงเป่ยเพื่อเข้าร่วมกับศัตรูแล้วรึ…ไอ้พวกชั่วช้า สังหารมันให้หมด!”

หลินมู่อวี่ขมวดคิ้วก่อนจะพบว่าทหารอาสาตรงหน้านั้นอ่อนแอเกินไป พวกมันดูถนัดการต่อสู้ระยะไกลมากกว่า เมื่อต้องเผชิญหน้ากับการบุกสังหารขององครักษ์อวี้หลินเช่นนี้ พวกมันจึงไม่สามารถโต้กลับได้เลยแม้แต่น้อย ทำได้เพียงถอยร่นไปยังฐาน และเมื่อเว่ยโฉวใช้ธนูสังหารแม่ทัพแนวหน้าของพวกมันได้ กองทัพไร้ผู้นำของทหารอาสาเหล่านี้ก็ไม่ต่างอะไรจากเหยื่อไร้ทางสู้

บนภูเขา กลุ่มทหารมังกรผงาดนำโดยหลัวอวี่และเฟิงสี่ เคลื่อนทัพลงมาเผชิญกับศัตรูที่รายล้อมอยู่เบื้องล่าง ทหารเมืองสายัณห์มิอาจทานความแข็งแกร่งของพวกเขาได้ กองทัพที่ล้อมภูเขาอยู่จึงถูกถล่มในพริบตา สนามรบที่เต็มไปด้วยกองทัพอี้เหอแตกพ่าย ธงรบโบกเป็นสัญญาณให้ถอย พวกมันยอมแพ้โดยไม่มีโอกาสได้สู้กลับ!

เมื่อเห็นว่ากองทัพอี้เหอถอนกำลังออกไปแล้ว หลัวอวี่จึงควบม้าไปพบกับหลินมู่อวี่พลางประสานกำปั้นคำนับ “เราจะไล่ตามพวกมันไปหรือไม่ขอรับท่านผู้บัญชาการ?”

“ไม่ต้อง” หลินมู่อวี่ส่ายหัว “ทหารอาสาพวกนี้ไม่คู่ควรให้เปลืองแรง สิ่งที่เราต้องทำคือกลับไปเมืองหลันเยี่ยนให้ไวที่สุด”

“ขอรับ!”

กองทหารมังกรผงาดนำโดยหลินมู่อวี่และหลัวอวี่หันหัวขบวนมุ่งตรงไปเมืองหลันเยี่ยน เสียงฝีเท้าของกองทัพม้าสนั่นไปทั้งแผ่นดินราวกับพวกเขาเป็นความหวังเดียวของเมืองหลวง

ขณะเดียวกันหลินมู่อวี่หารู้ไม่ว่าเมืองหลันเยี่ยนได้เข้าสู่วิกฤตเรียบร้อยแล้ว

“ตูม!”

กำแพงเมืองยาวกว่ายี่สิบเมตรพังทลายลง จางเหว่ยตกตะลึงเมื่อเห็นเหล่าทหารกองทัพองครักษ์ร่วงลงไปและถูกซากหินทับเป็นเศษเนื้อ มือหนากระชับดาบสั่นด้วยความโกรธ “เร่งซ่อมกำแพงเมืองทันที! พลธนูระดมยิงอย่าได้หยุด มิเช่นนั้นพวกอี้เหอต้องบุกเข้ามาเป็นแน่!”

“ขอรับ!”

“ป้องกันประตูเมืองไว้ให้ได้! พลโล่ตั้งแถวเป็นกำแพง!”

“ขอรับ!”

หนึ่งในผู้บัญชาการกองทัพองครักษ์มองจางเหว่ยด้วยสีหน้าไม่สู้ดี “ท่านแม่ทัพจาง กองทัพองครักษ์ของเราเสียกำลังพลไปมากแล้ว เราไม่มีคนมากพอจะสร้างเป็นกำแพงโล่ป้องกันประตูเมืองได้ขอรับ”

“ข้าไม่สน!” จางเหว่ยตะคอก “แม้ต้องเกณฑ์หญิงโสเภณีจากในเมืองมาก็ต้องสร้างกำแพงโล่หนึ่งร้อยชั้นป้องกันประตูไว้ให้ได้! แล้วส่งคนไปตำหนักเจ๋อเทียนเพื่อขอกำลังเสริมจากฉินเหลยมาช่วยที่ประตูเมืองฝั่งเหนือ มิเช่นนั้นเราคงสู้การโจมตีอันบ้าคลั่งของพวกสวะนี้ไม่ได้…”

“ขอรับท่านแม่ทัพ!”

บนถนนทงเทียนเต็มไปด้วยประชาชน ราวกับรู้ว่าวันแห่งการล่มสลายได้มาถึงแล้ว ทุกคนต่างขนสัมภาระเตรียมอพยพออกจากเมืองทันทีที่ประตูพัง เพราะการอยู่รอความตายเฉยๆ นั้นจะทำให้บรรดาทหารทำหน้าที่ได้ลำบากขึ้น ทันใดนั้นกองทัพประดับธงจื่อยินสีม่วงทองก็แหวกฝูงชนมา

“หลีกทาง!”

เสียงคำรามลั่นราวอสุนีบาตลงกลางฝูงชนเป็นของฉินเหลย ผู้บัญชาการทหารองครักษ์อวี้หลินสวมเกราะสีทองปรากฏตัวพร้อมกับดาบอัสนีทลาย เดินนำทัพหน่วยองครักษ์มังกรและหน่วยองครักษ์พยัคฆ์มุ่งสู่สนามรบ โดยมีฉินอินที่สวมมงกุฎกษัตริย์เดินอยู่ตรงกลางเพื่อไปป้องกันเมืองด้วยตนเอง

จางเหว่ยกระโดดลงมาจากกำแพงเพื่อถวายบังคม “องค์หญิงมิจำเป็นเสด็จมาด้วยตนเองเลยพ่ะย่ะค่ะ…ที่นี่อันตรายเกินไป เนื่องด้วยศัตรูจากกองทัพอี้เหอนั้นกระหน่ำโจมตีอย่างหนักทำให้ประตูเมืองทางเหนือกำลังจะทนไม่ไหวและพังทลายในอีกไม่ช้า”

“ไม่ อย่าได้ยอมแพ้!”

ฉินอินชักกระบี่จื่อยินพลางตะโกนลั่น “เมืองของเราต้องไม่แพ้!”

เพราะการปรากฏตัวขององค์หญิงส่งเสริมแรงใจให้ทหารอย่างมาก ทุกคนต่างโห่ร้องกรูไปยังกำแพงเมืองอย่างรวดเร็ว “ส่งดาบมา ข้าจะสู้เพื่อจักรวรรดิ!”

กลุ่มทหารผู้บัญชาการและข้าราชบริพารด้านหลังฉินอินพากันกู่ร้อง “องค์หญิงโปรดระวังตัวเองด้วย พระองค์ทรงเป็นทายาทผู้สืบทอด…มิบังควรอยู่ในที่อันตรายเยี่ยงนี้ รีบกลับตำหนักกับขุนนางเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”

ฉินอินไม่สนใจเสียงเตือนข้างหลังและขึ้นไปยังกำแพงเมือง เป็นเวลาเดียวกับที่บันไดลอยฟ้าถูกยกพาดกับกำแพง ทหารอาสาที่ไต่ขึ้นมาเมื่อเห็นฉินอินที่สวมชุดราชวงศ์ก็พากันยกธนูขึ้นมาเตรียมยิง

“หึ!” กระบี่จื่อยินถูกยกตั้งท่าไว้ที่อก ฉินอินฟาดกระบี่ออกไปจนเกิดเป็นคลื่นดาบโจมตีสังหารศัตรูเบื้องหน้า ทหารสามนายร้องครวญครางร่วงลงจากบันได ฉินอินกระแทกเท้ากับพื้น ทันใดนั้นวิญญาณยุทธ์โซ่เทวะสีทองระดับหกก็ปรากฏขึ้นรอบตัวเพื่อปกป้องนาง ฉินอินกระหน่ำฟาดกระบี่แสงโจมตีจนศัตรูตกจากบันไดตายไปอีกสี่คน

เมื่อนางหันหน้ากลับเข้ากำแพงเมือง ใจสั่นระรัวเมื่อลูกธนูพุ่งปักกำแพงจากทางด้านหลังของนาง นี่เป็นสงครามไม่ใช่การละเล่นของเด็ก นางสามารถตายได้ทุกเมื่อ…

ด้านล่าง กลุ่มทหารอาสาจำหญิงงามผู้นี้ได้ ต่างตะโกนออกมาด้วยความโกรธแค้น “นางคือฉินอิน…หญิงน่ารังเกียจนางนี้คือผู้มีอำนาจปกครองจักรวรรดิ ยิงนางให้ตาย!”

“ฟิ้ว…ฟิ้ว”

ลูกธนูมหาศาลกระหน่ำโจมตี จางเหว่ยรีบยกโล่ขึ้นมาปกป้องฉินอิน ทันใดนั้นก็เกิดความร้อนระอุขึ้น ติ่งหลอมเพลิงยักษ์ปรากฏขึ้นเหนือกำแพงเมือง ชวีฉูมาแล้ว!

ชวีฉูแห่งติ่งหลอมเพลิงขึ้นมาบนกำแพงเมืองพลางยกฝ่ามือขึ้น “ตูม!” ฝ่ามือยักษ์ทุ่มลงบนสนามรบนอกกำแพง เผาทหารฝ่ายตรงข้ามหลายร้อยคนจนเป็นเถ้าถ่าน

ชวีฉูหันมองหาฉินอิน “องค์หญิง ความเป็นความตายของท่านคือความเป็นไปของอาณาจักรนี้ ได้โปรตามกระหม่อมกลับตำหนักเจ๋อเทียนด้วยพ่ะย่ะค่ะ”

ฉินอินที่หอบเหนื่อยพยักหน้า “เจ้าค่ะ ท่านชวีฉู”

ทันใดนั้นทหารกององครักษ์คนหนึ่งก็รุดเข้าหาอย่างรวดเร็วด้วยสีหน้าซีดเผือด “ท่าไม่ดีแล้วขอรับ…ประตูเมืองฝั่งตะวันออกแตกแล้ว!”

“เกิดอะไรขึ้น?” จางเหว่ยถามอย่างฉุนเฉียว “ประตูเมืองฝั่งตะวันออกแข็งแกร่งมาก จะแตกพ่ายได้อย่างไร?”

ทหารองครักษ์หน้าซีด “เทพ…มีเทพจุติ เขาพังประตูเมืองได้ด้วยฝ่ามือเดียว”

“เทพหรือ?” จางเหวว่ยเริ่มรู้สึกไม่ค่อยดี

ชวีฉูเองก็ใจเสีย “ฉินเหลย คุ้มกันองค์หญิงไปตามถนนหรือครอกซอย เตรียมตัวหนีไปทางประตูเมืองตะวันออก ตราบใดที่องค์หญิงยังอยู่ อาณาจักรนี้ยังมีหวัง”

ฉินเหลยคำนับ “ขอรับ ใต้เท้าชวีฉู!”

ชวีฉูหันมองโดยรอบก่อนเอ่ยขึ้น “ผู้บัญชาการฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนจงนำกองทัพค่ายเขาเหินออกไปปะทะกับหลงเซียนหลิน ล่อให้มันออกห่างจากฝั่งเหนือ องค์หญิงจะได้มีโอกาสฝ่าออกไปอีกทางได้”

“ขอรับ!”

ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนโค้งคำนับด้วยแววตาเด็ดเดี่ยว “หากต้องตายก็ต้องลากพวกมันไปด้วยให้ได้!”

ชวีฉูมองฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนด้วยความขมขื่นก่อนจะกล่าวบางอย่าง “เจ้า…เจ้าคือความภาคภูมิใจแห่งจักรวรรดิ…”

…………………………………..

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา 325 เจ้าคือความภาคภูมิใจของจักรวรรดิ

Now you are reading The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา Chapter 325 เจ้าคือความภาคภูมิใจของจักรวรรดิ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

Ep.325 เจ้าคือความภาคภูมิใจของจักรวรรดิ

นอกเมืองหลันเยี่ยน กองทัพองครักษ์องครักษ์สามหมื่นนายเริ่มการสู้รบด้วยทหารม้า เฟิงจี้สิงควบม้าอยู่แนวหน้าพร้อมกับดาวยาว วิญญาณยุทธ์หมาป่าเปลวอัสนีม่วงที่ไม่เหมือนใครปรากฏขึ้นรอบกาย หลินมู่อวี่นำเว่ยโฉว เซี่ยโหวซางและทหารจากหน่วยองครักษ์อินทรีคนอื่นๆ บุกทะลวงตามกองทัพองครักษ์ไป เมื่อฝ่าแนวป้องกันไปได้แปดชั้น…แนวหน้าของศัตรูก็พ่ายยับ กองทัพจากจักรวรรดิอี้เหอต่างแหวกแถวให้เป็นสองฝั่งด้วยความหวาดหวั่นราวกับไม่อยากเสี่ยงชีวิต

“เกิดอะไรขึ้น?” เฟิงจี้สิงกัดฟันกล่าว “หลงเซียนหลินจงใจเปิดทางให้กองทัพองครักษ์อย่างนั้นหรือ?” หลินมู่อวี่เก็บกระบี่และดึงสายบังเหียนเจ๋อดี่ให้วิ่งไปก่อนจะหันมากล่าวกับเฟิงจี้สิงด้วยสีหน้าไม่สู้ดี “ท่านพี่เฟิง ข้าว่ามันผิดปกติ…พวกอี้เหอไม่มีทางปล่อยเราไปง่ายๆ เช่นนี้แน่ พวกมันคงมีแผนการบางอย่าง”

เฟิงจี้สิงพยักหน้า “ข้ารู้ ทว่า…เราต้องไปภูเขาเทียนชู่”

“ท่านอย่าประมาทไป!”

หลินมู่อวี่ขมวดคิ้ว “ภูเขาเทียนชู่ต้องเต็มไปด้วยกับดักเป็นแน่ ท่านต้องระวังให้มาก พวกจักรวรรดิอี้เหอนั้นเจ้าเล่ห์นัก หากไม่จำเป็นข้าไม่อยากให้ท่านพี่ขึ้นไปเลย”

“อืม ข้ารู้” เฟิงจี้สิงพยักหน้ายิ้ม “อาอวี่ เจ้าเองก็ต้องระวังตัว หลงเซียนหลินจะจับตาดูภูเขาหลงหยานอยู่ ตอนนี้น่าจะถูกปิดล้อมเกือบหมดแล้ว”

“อืม เราแยกกันตรงนี้เถิด”

“ได้!”

หลินมู่อวี่ดึงบังเหียนเจี๋ยดี่มุ่งไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ เว่ยโฉว เซี่ยโหวซางและทหารองครักษ์อินทรีรุดตามไป ส่วนเฟิงจี้สิงตะโกนสั่งกองทัพองครักษ์ให้ไปทางตะวันออกมุ่งสู่ภูเขาเทียนชู่

ทหารหน่วยองครักษ์อินทรีเคลื่อนทัพอย่างรวดเร็ว ไม่ถึงสองชั่วโมงก็มองเห็นภูเขาหลงหยานอยู่ไม่ไกล อย่างที่เฟิงจี้สิงคาด…ธงของจักรวรรดิอี้เหอโบกสะบัดล้อมรอบอยู่บริเวณตีนเขา กองกำลังฝั่งศัตรูมีไม่มากราวสองหมื่นคน กลุ่มมังกรผงาดมีอยู่หนึ่งหมื่นห้าพัน จึงไม่ใช่เรื่องยากหากจะฝ่าออกมา

“เอานกส่งสารมา!” หลินมู่อวี่ให้ไปบอก

เว่ยโฉวคว้ากรงนกส่งให้หลินมู่อวี่ขณะที่เขาเร่งขีดจดหมาย “หลัวอวี่ ข้านำหน่วยองครักษ์อินทรีมาช่วยจากทางตะวันตกเฉียงใต้ของภูเขาหลงหยาน เจ้าจงนำกลุ่มมังกรผงาดทั้งหมดลงจากเขาและฝ่ากองทัพกลับเข้าเมืองกับข้า…หลินมู่อวี่”

“พรึ่บ…”

นกส่งสารสยายปีกบินราวกับลูกธนูสีขาวที่ถูกยิงไปที่ภูเขาหลงหยาน ไม่นานนักมีเสียงรัวกลองศึกดังมาจากทางภูเขา ธงของกลุ่มมังกรผงาดโบกสะบัดไปมาพร้อมกับธงดอกจื่อยินสีม่วง หลัวอวี่นพกองทัพมังกรผงาดลงจากเขามาในฐานะหนึ่งในกองทัพของจักรวรรดิ

“พวกเขากำลังฝ่าลงมาจากภูเขา!” เซี่ยโหวซางยิ้มอย่างตื่นเต้น

หลินมู่อวี่พยักหน้า “ไป! บุกทะลวงจากด้านหลังศัตรูเข้าไปรับทุกคนลงมา!”

“ขอรับ!”

หลินมู่อวี่เก็บกระบี่วิญญาณมังกรเข้าฝักก่อนจะเปลี่ยนมาใช้ทวนหลีฮวาสังหารศัตรูด้วยมือเดียว มุ่งสู่สนามรบด้วยกลยุทธ์สงคราม ทวนยาวหนึ่งเมตรบวกกับพลังเยือกแข็งอันแข็งแกร่งเหมาะแก่การบุกโจมตีด้วยเร็วอย่างมาก กองทหารองครักษ์อินทรีที่นำโดยหลินมู่อวี่ฝ่าวงล้อมข้าศึกราวเสือกระโจนใส่ฝูงแกะจากด้านหลัง กระทั่งไปจนถึงค่ายของทหารจักรวรรดิอี้เหอ

“ฉวัะ!”

ดาบยาวของเซี่ยโหวซางฟันของศัตรูจนขาดกระเด็น เขากวาดสายตามองโดยรอบก่อนจะตะโกน “ทหารที่ล้อมภูเขาอยู่เป็นคนของเมืองสายัณห์ มณฑลชุนไป๋! ผู้เฒ่าแห่งเมืองสายัณห์ตกต่ำถึงขั้นต้องมาหลิงเป่ยเพื่อเข้าร่วมกับศัตรูแล้วรึ…ไอ้พวกชั่วช้า สังหารมันให้หมด!”

หลินมู่อวี่ขมวดคิ้วก่อนจะพบว่าทหารอาสาตรงหน้านั้นอ่อนแอเกินไป พวกมันดูถนัดการต่อสู้ระยะไกลมากกว่า เมื่อต้องเผชิญหน้ากับการบุกสังหารขององครักษ์อวี้หลินเช่นนี้ พวกมันจึงไม่สามารถโต้กลับได้เลยแม้แต่น้อย ทำได้เพียงถอยร่นไปยังฐาน และเมื่อเว่ยโฉวใช้ธนูสังหารแม่ทัพแนวหน้าของพวกมันได้ กองทัพไร้ผู้นำของทหารอาสาเหล่านี้ก็ไม่ต่างอะไรจากเหยื่อไร้ทางสู้

บนภูเขา กลุ่มทหารมังกรผงาดนำโดยหลัวอวี่และเฟิงสี่ เคลื่อนทัพลงมาเผชิญกับศัตรูที่รายล้อมอยู่เบื้องล่าง ทหารเมืองสายัณห์มิอาจทานความแข็งแกร่งของพวกเขาได้ กองทัพที่ล้อมภูเขาอยู่จึงถูกถล่มในพริบตา สนามรบที่เต็มไปด้วยกองทัพอี้เหอแตกพ่าย ธงรบโบกเป็นสัญญาณให้ถอย พวกมันยอมแพ้โดยไม่มีโอกาสได้สู้กลับ!

เมื่อเห็นว่ากองทัพอี้เหอถอนกำลังออกไปแล้ว หลัวอวี่จึงควบม้าไปพบกับหลินมู่อวี่พลางประสานกำปั้นคำนับ “เราจะไล่ตามพวกมันไปหรือไม่ขอรับท่านผู้บัญชาการ?”

“ไม่ต้อง” หลินมู่อวี่ส่ายหัว “ทหารอาสาพวกนี้ไม่คู่ควรให้เปลืองแรง สิ่งที่เราต้องทำคือกลับไปเมืองหลันเยี่ยนให้ไวที่สุด”

“ขอรับ!”

กองทหารมังกรผงาดนำโดยหลินมู่อวี่และหลัวอวี่หันหัวขบวนมุ่งตรงไปเมืองหลันเยี่ยน เสียงฝีเท้าของกองทัพม้าสนั่นไปทั้งแผ่นดินราวกับพวกเขาเป็นความหวังเดียวของเมืองหลวง

ขณะเดียวกันหลินมู่อวี่หารู้ไม่ว่าเมืองหลันเยี่ยนได้เข้าสู่วิกฤตเรียบร้อยแล้ว

“ตูม!”

กำแพงเมืองยาวกว่ายี่สิบเมตรพังทลายลง จางเหว่ยตกตะลึงเมื่อเห็นเหล่าทหารกองทัพองครักษ์ร่วงลงไปและถูกซากหินทับเป็นเศษเนื้อ มือหนากระชับดาบสั่นด้วยความโกรธ “เร่งซ่อมกำแพงเมืองทันที! พลธนูระดมยิงอย่าได้หยุด มิเช่นนั้นพวกอี้เหอต้องบุกเข้ามาเป็นแน่!”

“ขอรับ!”

“ป้องกันประตูเมืองไว้ให้ได้! พลโล่ตั้งแถวเป็นกำแพง!”

“ขอรับ!”

หนึ่งในผู้บัญชาการกองทัพองครักษ์มองจางเหว่ยด้วยสีหน้าไม่สู้ดี “ท่านแม่ทัพจาง กองทัพองครักษ์ของเราเสียกำลังพลไปมากแล้ว เราไม่มีคนมากพอจะสร้างเป็นกำแพงโล่ป้องกันประตูเมืองได้ขอรับ”

“ข้าไม่สน!” จางเหว่ยตะคอก “แม้ต้องเกณฑ์หญิงโสเภณีจากในเมืองมาก็ต้องสร้างกำแพงโล่หนึ่งร้อยชั้นป้องกันประตูไว้ให้ได้! แล้วส่งคนไปตำหนักเจ๋อเทียนเพื่อขอกำลังเสริมจากฉินเหลยมาช่วยที่ประตูเมืองฝั่งเหนือ มิเช่นนั้นเราคงสู้การโจมตีอันบ้าคลั่งของพวกสวะนี้ไม่ได้…”

“ขอรับท่านแม่ทัพ!”

บนถนนทงเทียนเต็มไปด้วยประชาชน ราวกับรู้ว่าวันแห่งการล่มสลายได้มาถึงแล้ว ทุกคนต่างขนสัมภาระเตรียมอพยพออกจากเมืองทันทีที่ประตูพัง เพราะการอยู่รอความตายเฉยๆ นั้นจะทำให้บรรดาทหารทำหน้าที่ได้ลำบากขึ้น ทันใดนั้นกองทัพประดับธงจื่อยินสีม่วงทองก็แหวกฝูงชนมา

“หลีกทาง!”

เสียงคำรามลั่นราวอสุนีบาตลงกลางฝูงชนเป็นของฉินเหลย ผู้บัญชาการทหารองครักษ์อวี้หลินสวมเกราะสีทองปรากฏตัวพร้อมกับดาบอัสนีทลาย เดินนำทัพหน่วยองครักษ์มังกรและหน่วยองครักษ์พยัคฆ์มุ่งสู่สนามรบ โดยมีฉินอินที่สวมมงกุฎกษัตริย์เดินอยู่ตรงกลางเพื่อไปป้องกันเมืองด้วยตนเอง

จางเหว่ยกระโดดลงมาจากกำแพงเพื่อถวายบังคม “องค์หญิงมิจำเป็นเสด็จมาด้วยตนเองเลยพ่ะย่ะค่ะ…ที่นี่อันตรายเกินไป เนื่องด้วยศัตรูจากกองทัพอี้เหอนั้นกระหน่ำโจมตีอย่างหนักทำให้ประตูเมืองทางเหนือกำลังจะทนไม่ไหวและพังทลายในอีกไม่ช้า”

“ไม่ อย่าได้ยอมแพ้!”

ฉินอินชักกระบี่จื่อยินพลางตะโกนลั่น “เมืองของเราต้องไม่แพ้!”

เพราะการปรากฏตัวขององค์หญิงส่งเสริมแรงใจให้ทหารอย่างมาก ทุกคนต่างโห่ร้องกรูไปยังกำแพงเมืองอย่างรวดเร็ว “ส่งดาบมา ข้าจะสู้เพื่อจักรวรรดิ!”

กลุ่มทหารผู้บัญชาการและข้าราชบริพารด้านหลังฉินอินพากันกู่ร้อง “องค์หญิงโปรดระวังตัวเองด้วย พระองค์ทรงเป็นทายาทผู้สืบทอด…มิบังควรอยู่ในที่อันตรายเยี่ยงนี้ รีบกลับตำหนักกับขุนนางเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”

ฉินอินไม่สนใจเสียงเตือนข้างหลังและขึ้นไปยังกำแพงเมือง เป็นเวลาเดียวกับที่บันไดลอยฟ้าถูกยกพาดกับกำแพง ทหารอาสาที่ไต่ขึ้นมาเมื่อเห็นฉินอินที่สวมชุดราชวงศ์ก็พากันยกธนูขึ้นมาเตรียมยิง

“หึ!” กระบี่จื่อยินถูกยกตั้งท่าไว้ที่อก ฉินอินฟาดกระบี่ออกไปจนเกิดเป็นคลื่นดาบโจมตีสังหารศัตรูเบื้องหน้า ทหารสามนายร้องครวญครางร่วงลงจากบันได ฉินอินกระแทกเท้ากับพื้น ทันใดนั้นวิญญาณยุทธ์โซ่เทวะสีทองระดับหกก็ปรากฏขึ้นรอบตัวเพื่อปกป้องนาง ฉินอินกระหน่ำฟาดกระบี่แสงโจมตีจนศัตรูตกจากบันไดตายไปอีกสี่คน

เมื่อนางหันหน้ากลับเข้ากำแพงเมือง ใจสั่นระรัวเมื่อลูกธนูพุ่งปักกำแพงจากทางด้านหลังของนาง นี่เป็นสงครามไม่ใช่การละเล่นของเด็ก นางสามารถตายได้ทุกเมื่อ…

ด้านล่าง กลุ่มทหารอาสาจำหญิงงามผู้นี้ได้ ต่างตะโกนออกมาด้วยความโกรธแค้น “นางคือฉินอิน…หญิงน่ารังเกียจนางนี้คือผู้มีอำนาจปกครองจักรวรรดิ ยิงนางให้ตาย!”

“ฟิ้ว…ฟิ้ว”

ลูกธนูมหาศาลกระหน่ำโจมตี จางเหว่ยรีบยกโล่ขึ้นมาปกป้องฉินอิน ทันใดนั้นก็เกิดความร้อนระอุขึ้น ติ่งหลอมเพลิงยักษ์ปรากฏขึ้นเหนือกำแพงเมือง ชวีฉูมาแล้ว!

ชวีฉูแห่งติ่งหลอมเพลิงขึ้นมาบนกำแพงเมืองพลางยกฝ่ามือขึ้น “ตูม!” ฝ่ามือยักษ์ทุ่มลงบนสนามรบนอกกำแพง เผาทหารฝ่ายตรงข้ามหลายร้อยคนจนเป็นเถ้าถ่าน

ชวีฉูหันมองหาฉินอิน “องค์หญิง ความเป็นความตายของท่านคือความเป็นไปของอาณาจักรนี้ ได้โปรตามกระหม่อมกลับตำหนักเจ๋อเทียนด้วยพ่ะย่ะค่ะ”

ฉินอินที่หอบเหนื่อยพยักหน้า “เจ้าค่ะ ท่านชวีฉู”

ทันใดนั้นทหารกององครักษ์คนหนึ่งก็รุดเข้าหาอย่างรวดเร็วด้วยสีหน้าซีดเผือด “ท่าไม่ดีแล้วขอรับ…ประตูเมืองฝั่งตะวันออกแตกแล้ว!”

“เกิดอะไรขึ้น?” จางเหว่ยถามอย่างฉุนเฉียว “ประตูเมืองฝั่งตะวันออกแข็งแกร่งมาก จะแตกพ่ายได้อย่างไร?”

ทหารองครักษ์หน้าซีด “เทพ…มีเทพจุติ เขาพังประตูเมืองได้ด้วยฝ่ามือเดียว”

“เทพหรือ?” จางเหวว่ยเริ่มรู้สึกไม่ค่อยดี

ชวีฉูเองก็ใจเสีย “ฉินเหลย คุ้มกันองค์หญิงไปตามถนนหรือครอกซอย เตรียมตัวหนีไปทางประตูเมืองตะวันออก ตราบใดที่องค์หญิงยังอยู่ อาณาจักรนี้ยังมีหวัง”

ฉินเหลยคำนับ “ขอรับ ใต้เท้าชวีฉู!”

ชวีฉูหันมองโดยรอบก่อนเอ่ยขึ้น “ผู้บัญชาการฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนจงนำกองทัพค่ายเขาเหินออกไปปะทะกับหลงเซียนหลิน ล่อให้มันออกห่างจากฝั่งเหนือ องค์หญิงจะได้มีโอกาสฝ่าออกไปอีกทางได้”

“ขอรับ!”

ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนโค้งคำนับด้วยแววตาเด็ดเดี่ยว “หากต้องตายก็ต้องลากพวกมันไปด้วยให้ได้!”

ชวีฉูมองฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนด้วยความขมขื่นก่อนจะกล่าวบางอย่าง “เจ้า…เจ้าคือความภาคภูมิใจแห่งจักรวรรดิ…”

…………………………………..

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา 325 เจ้าคือความภาคภูมิใจของจักรวรรดิ

Now you are reading The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา Chapter 325 เจ้าคือความภาคภูมิใจของจักรวรรดิ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

Ep.325 เจ้าคือความภาคภูมิใจของจักรวรรดิ

นอกเมืองหลันเยี่ยน กองทัพองครักษ์องครักษ์สามหมื่นนายเริ่มการสู้รบด้วยทหารม้า เฟิงจี้สิงควบม้าอยู่แนวหน้าพร้อมกับดาวยาว วิญญาณยุทธ์หมาป่าเปลวอัสนีม่วงที่ไม่เหมือนใครปรากฏขึ้นรอบกาย หลินมู่อวี่นำเว่ยโฉว เซี่ยโหวซางและทหารจากหน่วยองครักษ์อินทรีคนอื่นๆ บุกทะลวงตามกองทัพองครักษ์ไป เมื่อฝ่าแนวป้องกันไปได้แปดชั้น…แนวหน้าของศัตรูก็พ่ายยับ กองทัพจากจักรวรรดิอี้เหอต่างแหวกแถวให้เป็นสองฝั่งด้วยความหวาดหวั่นราวกับไม่อยากเสี่ยงชีวิต

“เกิดอะไรขึ้น?” เฟิงจี้สิงกัดฟันกล่าว “หลงเซียนหลินจงใจเปิดทางให้กองทัพองครักษ์อย่างนั้นหรือ?” หลินมู่อวี่เก็บกระบี่และดึงสายบังเหียนเจ๋อดี่ให้วิ่งไปก่อนจะหันมากล่าวกับเฟิงจี้สิงด้วยสีหน้าไม่สู้ดี “ท่านพี่เฟิง ข้าว่ามันผิดปกติ…พวกอี้เหอไม่มีทางปล่อยเราไปง่ายๆ เช่นนี้แน่ พวกมันคงมีแผนการบางอย่าง”

เฟิงจี้สิงพยักหน้า “ข้ารู้ ทว่า…เราต้องไปภูเขาเทียนชู่”

“ท่านอย่าประมาทไป!”

หลินมู่อวี่ขมวดคิ้ว “ภูเขาเทียนชู่ต้องเต็มไปด้วยกับดักเป็นแน่ ท่านต้องระวังให้มาก พวกจักรวรรดิอี้เหอนั้นเจ้าเล่ห์นัก หากไม่จำเป็นข้าไม่อยากให้ท่านพี่ขึ้นไปเลย”

“อืม ข้ารู้” เฟิงจี้สิงพยักหน้ายิ้ม “อาอวี่ เจ้าเองก็ต้องระวังตัว หลงเซียนหลินจะจับตาดูภูเขาหลงหยานอยู่ ตอนนี้น่าจะถูกปิดล้อมเกือบหมดแล้ว”

“อืม เราแยกกันตรงนี้เถิด”

“ได้!”

หลินมู่อวี่ดึงบังเหียนเจี๋ยดี่มุ่งไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ เว่ยโฉว เซี่ยโหวซางและทหารองครักษ์อินทรีรุดตามไป ส่วนเฟิงจี้สิงตะโกนสั่งกองทัพองครักษ์ให้ไปทางตะวันออกมุ่งสู่ภูเขาเทียนชู่

ทหารหน่วยองครักษ์อินทรีเคลื่อนทัพอย่างรวดเร็ว ไม่ถึงสองชั่วโมงก็มองเห็นภูเขาหลงหยานอยู่ไม่ไกล อย่างที่เฟิงจี้สิงคาด…ธงของจักรวรรดิอี้เหอโบกสะบัดล้อมรอบอยู่บริเวณตีนเขา กองกำลังฝั่งศัตรูมีไม่มากราวสองหมื่นคน กลุ่มมังกรผงาดมีอยู่หนึ่งหมื่นห้าพัน จึงไม่ใช่เรื่องยากหากจะฝ่าออกมา

“เอานกส่งสารมา!” หลินมู่อวี่ให้ไปบอก

เว่ยโฉวคว้ากรงนกส่งให้หลินมู่อวี่ขณะที่เขาเร่งขีดจดหมาย “หลัวอวี่ ข้านำหน่วยองครักษ์อินทรีมาช่วยจากทางตะวันตกเฉียงใต้ของภูเขาหลงหยาน เจ้าจงนำกลุ่มมังกรผงาดทั้งหมดลงจากเขาและฝ่ากองทัพกลับเข้าเมืองกับข้า…หลินมู่อวี่”

“พรึ่บ…”

นกส่งสารสยายปีกบินราวกับลูกธนูสีขาวที่ถูกยิงไปที่ภูเขาหลงหยาน ไม่นานนักมีเสียงรัวกลองศึกดังมาจากทางภูเขา ธงของกลุ่มมังกรผงาดโบกสะบัดไปมาพร้อมกับธงดอกจื่อยินสีม่วง หลัวอวี่นพกองทัพมังกรผงาดลงจากเขามาในฐานะหนึ่งในกองทัพของจักรวรรดิ

“พวกเขากำลังฝ่าลงมาจากภูเขา!” เซี่ยโหวซางยิ้มอย่างตื่นเต้น

หลินมู่อวี่พยักหน้า “ไป! บุกทะลวงจากด้านหลังศัตรูเข้าไปรับทุกคนลงมา!”

“ขอรับ!”

หลินมู่อวี่เก็บกระบี่วิญญาณมังกรเข้าฝักก่อนจะเปลี่ยนมาใช้ทวนหลีฮวาสังหารศัตรูด้วยมือเดียว มุ่งสู่สนามรบด้วยกลยุทธ์สงคราม ทวนยาวหนึ่งเมตรบวกกับพลังเยือกแข็งอันแข็งแกร่งเหมาะแก่การบุกโจมตีด้วยเร็วอย่างมาก กองทหารองครักษ์อินทรีที่นำโดยหลินมู่อวี่ฝ่าวงล้อมข้าศึกราวเสือกระโจนใส่ฝูงแกะจากด้านหลัง กระทั่งไปจนถึงค่ายของทหารจักรวรรดิอี้เหอ

“ฉวัะ!”

ดาบยาวของเซี่ยโหวซางฟันของศัตรูจนขาดกระเด็น เขากวาดสายตามองโดยรอบก่อนจะตะโกน “ทหารที่ล้อมภูเขาอยู่เป็นคนของเมืองสายัณห์ มณฑลชุนไป๋! ผู้เฒ่าแห่งเมืองสายัณห์ตกต่ำถึงขั้นต้องมาหลิงเป่ยเพื่อเข้าร่วมกับศัตรูแล้วรึ…ไอ้พวกชั่วช้า สังหารมันให้หมด!”

หลินมู่อวี่ขมวดคิ้วก่อนจะพบว่าทหารอาสาตรงหน้านั้นอ่อนแอเกินไป พวกมันดูถนัดการต่อสู้ระยะไกลมากกว่า เมื่อต้องเผชิญหน้ากับการบุกสังหารขององครักษ์อวี้หลินเช่นนี้ พวกมันจึงไม่สามารถโต้กลับได้เลยแม้แต่น้อย ทำได้เพียงถอยร่นไปยังฐาน และเมื่อเว่ยโฉวใช้ธนูสังหารแม่ทัพแนวหน้าของพวกมันได้ กองทัพไร้ผู้นำของทหารอาสาเหล่านี้ก็ไม่ต่างอะไรจากเหยื่อไร้ทางสู้

บนภูเขา กลุ่มทหารมังกรผงาดนำโดยหลัวอวี่และเฟิงสี่ เคลื่อนทัพลงมาเผชิญกับศัตรูที่รายล้อมอยู่เบื้องล่าง ทหารเมืองสายัณห์มิอาจทานความแข็งแกร่งของพวกเขาได้ กองทัพที่ล้อมภูเขาอยู่จึงถูกถล่มในพริบตา สนามรบที่เต็มไปด้วยกองทัพอี้เหอแตกพ่าย ธงรบโบกเป็นสัญญาณให้ถอย พวกมันยอมแพ้โดยไม่มีโอกาสได้สู้กลับ!

เมื่อเห็นว่ากองทัพอี้เหอถอนกำลังออกไปแล้ว หลัวอวี่จึงควบม้าไปพบกับหลินมู่อวี่พลางประสานกำปั้นคำนับ “เราจะไล่ตามพวกมันไปหรือไม่ขอรับท่านผู้บัญชาการ?”

“ไม่ต้อง” หลินมู่อวี่ส่ายหัว “ทหารอาสาพวกนี้ไม่คู่ควรให้เปลืองแรง สิ่งที่เราต้องทำคือกลับไปเมืองหลันเยี่ยนให้ไวที่สุด”

“ขอรับ!”

กองทหารมังกรผงาดนำโดยหลินมู่อวี่และหลัวอวี่หันหัวขบวนมุ่งตรงไปเมืองหลันเยี่ยน เสียงฝีเท้าของกองทัพม้าสนั่นไปทั้งแผ่นดินราวกับพวกเขาเป็นความหวังเดียวของเมืองหลวง

ขณะเดียวกันหลินมู่อวี่หารู้ไม่ว่าเมืองหลันเยี่ยนได้เข้าสู่วิกฤตเรียบร้อยแล้ว

“ตูม!”

กำแพงเมืองยาวกว่ายี่สิบเมตรพังทลายลง จางเหว่ยตกตะลึงเมื่อเห็นเหล่าทหารกองทัพองครักษ์ร่วงลงไปและถูกซากหินทับเป็นเศษเนื้อ มือหนากระชับดาบสั่นด้วยความโกรธ “เร่งซ่อมกำแพงเมืองทันที! พลธนูระดมยิงอย่าได้หยุด มิเช่นนั้นพวกอี้เหอต้องบุกเข้ามาเป็นแน่!”

“ขอรับ!”

“ป้องกันประตูเมืองไว้ให้ได้! พลโล่ตั้งแถวเป็นกำแพง!”

“ขอรับ!”

หนึ่งในผู้บัญชาการกองทัพองครักษ์มองจางเหว่ยด้วยสีหน้าไม่สู้ดี “ท่านแม่ทัพจาง กองทัพองครักษ์ของเราเสียกำลังพลไปมากแล้ว เราไม่มีคนมากพอจะสร้างเป็นกำแพงโล่ป้องกันประตูเมืองได้ขอรับ”

“ข้าไม่สน!” จางเหว่ยตะคอก “แม้ต้องเกณฑ์หญิงโสเภณีจากในเมืองมาก็ต้องสร้างกำแพงโล่หนึ่งร้อยชั้นป้องกันประตูไว้ให้ได้! แล้วส่งคนไปตำหนักเจ๋อเทียนเพื่อขอกำลังเสริมจากฉินเหลยมาช่วยที่ประตูเมืองฝั่งเหนือ มิเช่นนั้นเราคงสู้การโจมตีอันบ้าคลั่งของพวกสวะนี้ไม่ได้…”

“ขอรับท่านแม่ทัพ!”

บนถนนทงเทียนเต็มไปด้วยประชาชน ราวกับรู้ว่าวันแห่งการล่มสลายได้มาถึงแล้ว ทุกคนต่างขนสัมภาระเตรียมอพยพออกจากเมืองทันทีที่ประตูพัง เพราะการอยู่รอความตายเฉยๆ นั้นจะทำให้บรรดาทหารทำหน้าที่ได้ลำบากขึ้น ทันใดนั้นกองทัพประดับธงจื่อยินสีม่วงทองก็แหวกฝูงชนมา

“หลีกทาง!”

เสียงคำรามลั่นราวอสุนีบาตลงกลางฝูงชนเป็นของฉินเหลย ผู้บัญชาการทหารองครักษ์อวี้หลินสวมเกราะสีทองปรากฏตัวพร้อมกับดาบอัสนีทลาย เดินนำทัพหน่วยองครักษ์มังกรและหน่วยองครักษ์พยัคฆ์มุ่งสู่สนามรบ โดยมีฉินอินที่สวมมงกุฎกษัตริย์เดินอยู่ตรงกลางเพื่อไปป้องกันเมืองด้วยตนเอง

จางเหว่ยกระโดดลงมาจากกำแพงเพื่อถวายบังคม “องค์หญิงมิจำเป็นเสด็จมาด้วยตนเองเลยพ่ะย่ะค่ะ…ที่นี่อันตรายเกินไป เนื่องด้วยศัตรูจากกองทัพอี้เหอนั้นกระหน่ำโจมตีอย่างหนักทำให้ประตูเมืองทางเหนือกำลังจะทนไม่ไหวและพังทลายในอีกไม่ช้า”

“ไม่ อย่าได้ยอมแพ้!”

ฉินอินชักกระบี่จื่อยินพลางตะโกนลั่น “เมืองของเราต้องไม่แพ้!”

เพราะการปรากฏตัวขององค์หญิงส่งเสริมแรงใจให้ทหารอย่างมาก ทุกคนต่างโห่ร้องกรูไปยังกำแพงเมืองอย่างรวดเร็ว “ส่งดาบมา ข้าจะสู้เพื่อจักรวรรดิ!”

กลุ่มทหารผู้บัญชาการและข้าราชบริพารด้านหลังฉินอินพากันกู่ร้อง “องค์หญิงโปรดระวังตัวเองด้วย พระองค์ทรงเป็นทายาทผู้สืบทอด…มิบังควรอยู่ในที่อันตรายเยี่ยงนี้ รีบกลับตำหนักกับขุนนางเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”

ฉินอินไม่สนใจเสียงเตือนข้างหลังและขึ้นไปยังกำแพงเมือง เป็นเวลาเดียวกับที่บันไดลอยฟ้าถูกยกพาดกับกำแพง ทหารอาสาที่ไต่ขึ้นมาเมื่อเห็นฉินอินที่สวมชุดราชวงศ์ก็พากันยกธนูขึ้นมาเตรียมยิง

“หึ!” กระบี่จื่อยินถูกยกตั้งท่าไว้ที่อก ฉินอินฟาดกระบี่ออกไปจนเกิดเป็นคลื่นดาบโจมตีสังหารศัตรูเบื้องหน้า ทหารสามนายร้องครวญครางร่วงลงจากบันได ฉินอินกระแทกเท้ากับพื้น ทันใดนั้นวิญญาณยุทธ์โซ่เทวะสีทองระดับหกก็ปรากฏขึ้นรอบตัวเพื่อปกป้องนาง ฉินอินกระหน่ำฟาดกระบี่แสงโจมตีจนศัตรูตกจากบันไดตายไปอีกสี่คน

เมื่อนางหันหน้ากลับเข้ากำแพงเมือง ใจสั่นระรัวเมื่อลูกธนูพุ่งปักกำแพงจากทางด้านหลังของนาง นี่เป็นสงครามไม่ใช่การละเล่นของเด็ก นางสามารถตายได้ทุกเมื่อ…

ด้านล่าง กลุ่มทหารอาสาจำหญิงงามผู้นี้ได้ ต่างตะโกนออกมาด้วยความโกรธแค้น “นางคือฉินอิน…หญิงน่ารังเกียจนางนี้คือผู้มีอำนาจปกครองจักรวรรดิ ยิงนางให้ตาย!”

“ฟิ้ว…ฟิ้ว”

ลูกธนูมหาศาลกระหน่ำโจมตี จางเหว่ยรีบยกโล่ขึ้นมาปกป้องฉินอิน ทันใดนั้นก็เกิดความร้อนระอุขึ้น ติ่งหลอมเพลิงยักษ์ปรากฏขึ้นเหนือกำแพงเมือง ชวีฉูมาแล้ว!

ชวีฉูแห่งติ่งหลอมเพลิงขึ้นมาบนกำแพงเมืองพลางยกฝ่ามือขึ้น “ตูม!” ฝ่ามือยักษ์ทุ่มลงบนสนามรบนอกกำแพง เผาทหารฝ่ายตรงข้ามหลายร้อยคนจนเป็นเถ้าถ่าน

ชวีฉูหันมองหาฉินอิน “องค์หญิง ความเป็นความตายของท่านคือความเป็นไปของอาณาจักรนี้ ได้โปรตามกระหม่อมกลับตำหนักเจ๋อเทียนด้วยพ่ะย่ะค่ะ”

ฉินอินที่หอบเหนื่อยพยักหน้า “เจ้าค่ะ ท่านชวีฉู”

ทันใดนั้นทหารกององครักษ์คนหนึ่งก็รุดเข้าหาอย่างรวดเร็วด้วยสีหน้าซีดเผือด “ท่าไม่ดีแล้วขอรับ…ประตูเมืองฝั่งตะวันออกแตกแล้ว!”

“เกิดอะไรขึ้น?” จางเหว่ยถามอย่างฉุนเฉียว “ประตูเมืองฝั่งตะวันออกแข็งแกร่งมาก จะแตกพ่ายได้อย่างไร?”

ทหารองครักษ์หน้าซีด “เทพ…มีเทพจุติ เขาพังประตูเมืองได้ด้วยฝ่ามือเดียว”

“เทพหรือ?” จางเหวว่ยเริ่มรู้สึกไม่ค่อยดี

ชวีฉูเองก็ใจเสีย “ฉินเหลย คุ้มกันองค์หญิงไปตามถนนหรือครอกซอย เตรียมตัวหนีไปทางประตูเมืองตะวันออก ตราบใดที่องค์หญิงยังอยู่ อาณาจักรนี้ยังมีหวัง”

ฉินเหลยคำนับ “ขอรับ ใต้เท้าชวีฉู!”

ชวีฉูหันมองโดยรอบก่อนเอ่ยขึ้น “ผู้บัญชาการฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนจงนำกองทัพค่ายเขาเหินออกไปปะทะกับหลงเซียนหลิน ล่อให้มันออกห่างจากฝั่งเหนือ องค์หญิงจะได้มีโอกาสฝ่าออกไปอีกทางได้”

“ขอรับ!”

ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนโค้งคำนับด้วยแววตาเด็ดเดี่ยว “หากต้องตายก็ต้องลากพวกมันไปด้วยให้ได้!”

ชวีฉูมองฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนด้วยความขมขื่นก่อนจะกล่าวบางอย่าง “เจ้า…เจ้าคือความภาคภูมิใจแห่งจักรวรรดิ…”

…………………………………..

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+