The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา 303 เผ่าพันธุ์อสูรจู่โจม

Now you are reading The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา Chapter 303 เผ่าพันธุ์อสูรจู่โจม at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

EP.303 เผ่าพันธุ์อสูรจู่โจม

“ขอรับ.

หลินมู่อวี่พยักหน้าและกล่าวอย่างใจเย็น “ในตอนนั้นหากข้าไม่สังหารถังปิน เสี่ยวซีอาจต้องตายด้วยน้ำมือถังปินเป็นแน่”

“เฮ้อ…”

ชวีฉู่ถอนหายใจ “กระนั้น…ข้าเกรงว่าจะต้องเกิดข้อพิพาทขึ้น อีกทั้งถังปินยังตายด้วยคมดาบของเจ้า เมื่อถังห่าวและคนอื่นๆ กลับไปยังเมืองชีไห่ เรื่องนี้คงแพร่งพรายออกไป เช่นนั้นจะแก้ปัญญาได้อย่างไร?”

ฉินอินมองชวีฉู่ด้วยดวงตาเปล่งประกายและกล่าวว่า “ถังปินต้องการฆ่าเสี่ยวซี ทุกคนต่างประจักษ์ถึงเรื่องนี้ ตราบใดที่เราอธิบายเหตุผลแก่หลานกงอย่างชัดเจน ข้าเชื่อความรักที่หลานกงมีต่อเสี่ยวซีจะทำให้หลานกงเข้าใจและให้อภัย”

“ไม่”

ชวีฉู่ส่ายหัว “หากเสี่ยวซีเป็นผู้สังหารถังปิน หลานกงอาจยกโทษให้นางได้ เนื่องจากนางเพียงป้องกันตัวเอง ทว่าอาอวี่…เจ้าเป็นผู้สังหารถังปิน ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่สามารถให้อภัยได้ ลองนึกถึงในความคิดของหลานกงดูสิ การที่ถังปินต้องการฆ่าเสี่ยวซี อย่างไรก็เป็นปัญหาภายในเมืองชีไห่ เหตุใดจึงกลับกลายเป็นอาอวี่ผู้ที่เป็นราชบุตรบุญธรรมเป็นผู้ลงมือ?”

ถังเสี่ยวซีอดไม่ได้ที่จะรู้สึกกลัว “ข…ข้าไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรดี?”

ชวีฉู่ถอนหายใจและกล่าวว่า “ค่อยๆ แก้ปัญหาเถิด และดูว่าองค์จักรพรรดิจะจัดการเรื่องนี้อย่างไร องค์หญิงอินและองค์หญิงซีต้องพูดเพื่อปกป้องอาอวี่ มิเช่นนั้นองค์จักรพรรดิอาจต้องเสียสละเพื่อรักษาบัลลังก์ต่อไป”

“เสียสละเพื่อรักษาบัลลังก์…”

ฉินอินเบิกตากว้าง “ม…ไม่! เสด็จพ่อจะต้องไปละทิ้งพี่อาอวี่เด็ดขาด…”

ชวีฉู่ยิ้ม “องค์หญิงอินทรงหลอกพระองค์เองจนเกินไป พระองค์มิทราบนิสัยขององค์จักรพรรดิหรือ ว่าแผ่นดินกับอาอวี่สิ่งใดสำคัญกว่ากัน องค์หญิงอินเข้าใจหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”

ฉินอินนิ่งงัน

เฟิงจี้สิงพลันตบไหล่หลินมู่อวี่ “ไม่ต้องกังวล ทุกปัญหาต้องมีทางออกเสมอ อาวุโสฉู่พูดมีเหตุผล ทว่าอาอวี่…เจ้าต้องเข้าใจด้วยว่าตนเองเป็นราชบุตรบุญธรรม และเป็นจอมยุทธ์หนุ่มผู้มีความสามารถโดดเด่น อีกทั้งมีความสัมพันธ์อันดีกับเสี่ยวอิน องค์จักรพรรดิจำเป็นต้องให้เจ้าอารักขาองค์หญิงอิน เช่นนั้นพระองค์ทรงไม่ละทิ้งเจ้าแน่”

ชวีฉู่อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ “คำพูดเฟิงจี้สิงนั้นเป็นความจริง!”

หลินมู่อวี่หันกลับมาถาม “อาวุโสฉู่ พลังของเสี่ยวซีตื่นขึ้นมาและกลายร่างเป็นอสูรจิ้งจอกเก้าหาง ข้าไม่รู้ว่าอาวุโสฉู่จะมีวิธีทำให้เสี่ยวซีกลับสู่สภาพเดิมได้หรือไม่ แม้ว่าเราจะไม่ได้รังเกียจรูปลักษณ์จิ้งจอกเก้าหางของนาง ทว่าก็ส่งผลต่อการใช้ชีวิตของเสี่ยวซี”

ชวีฉู่พยักหน้า “ข้าพอรู้เกี่ยวกับตำนานอสูรจิ้งจอกเก้าหางบ้าง และมีบันทึกเล็กน้อยในตำราโบราณ ในประวัติศาสตร์อันยาวนานนับหมื่นปี เราสูญเสียตำราต่างๆ ทุกครั้งที่เกิดสงคราม ข้าเกรงว่าคงไม่มีใครในแผ่นดินนี้รู้จักหรรือเคยเห็นอสูรจิ้งจอกเก้าหางมาก่อน เราคงเป็นคนกลุ่มเดียวเท่านั้น…”

“เช่นนั้นเราควรทำอย่างไรดี…” หลินมู่อวี่ตะลึง

ฉินอินกล่าว “โชคดีที่เสี่ยวซีสามารถควบคุมไฟในร่างกายได้ ตราบใดที่สวมเสื้อคลุมไว้ก็จะไม่มีใครเห็น แล้วเราค่อยช่วยกันแก้ปัญหา”

“อืม เป็นทางเดียวที่ทำได้ขณะนี้”

“กลับไปยังเมืองหลันเยี่ยนกันเถิด ในป่าล่ามังกรนี้ไม่ปลอดภัย”

“อื้ม!”

สามวันถัดมา ทุกคนกลับมาถึงเมืองหลันเยี่ยน

ภายในตำหนักเจ๋อเทียนเงียบสงัด ฉินจิ้นนั่งบนบัลลังก์สูงตระหง่านขณะที่เฝ้ามองชวีฉู่ หลินมู่อวี่ ฉินอิน เฟิงจี้สิง และถังเสี่ยวซี เดินเข้ามาเคียงข้างกันทั้งห้าคน

“เสี่ยวอิน ชวีฉู่ พวกเจ้ากลับมาแล้ว!” ฉินจิ้นยืนขึ้นอย่างตื่นเต้นและพูดว่า “เสี่ยวซีก็กลับมาเช่นกัน ดี ดีมาก…”

ถังเสี่ยวซีมองฉินจิ้นด้วยดวงตาสีทอง นางโค้งคำนับและกล่าวว่า “ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงเป็นห่วงพ่ะย่ะค่ะ”

ฉินจิ้นมองดวงตาของถังเสี่ยวซีแล้วรู้สึกอึดอัดเล็กน้อยในใจ

ฉินอินพลันขยับม่านเปิดช่องเพื่อกล่าวกับทหารรักษาการณ์ “องครักษ์อวี้หลินและข้าราชบริพารทั้งหมดออกไปก่อน ข้าต้องการสนทนากับเสด็จพ่อเป็นการส่วนตัว พวกเจ้าอารักขาจากด้านนอกเท่านั้น”

ทุกคนประสานหมัดและกล่าวพร้อมกัน “พ่ะย่ะค่ะองค์หญิง!”

หลังจากทหารรักษาการณ์ออกไป ฉินจิ้นก็พยักหน้าและกล่าวว่า “ไม่เป็นไรแล้ว เสี่ยวซีให้ข้าดูเถิด”

ถังเสี่ยวซีค่อยๆ เปิดผ้าคลุมออก ทันใดนั้นใบหน้างามก็ปรากฏต่อหน้าองค์จักรพรรดิ หูคู่หนึ่งเปล่งประกายแสงเปลวไฟจางๆ และสั่นเล็กน้อย จากนั้นเสี่ยวซีเลื่อนมือไปปลดเชือกเสื้อคลุม ‘พรึ่บ’ ทันทีที่เสื้อคลุมหล่นลงมา หางเพลิงทั้งเก้าด้านหลังพลันกวัดแกว่งไปมาอย่างนุ่มนวลดูงดงามมาก

“อืม…”

ฉินจิ้นสูดหายใจเข้าลึก มองรูปลักษณ์ของถังเสี่ยวซีตรงหน้าด้วยความตกใจ นี่คืออสูรจิ้งจอกเก้าหางในตำนานอย่างแท้จริง…ทว่าเมื่อมองดีๆ นางก็ยังเป็นถังเสี่ยวซี!

“เสี่ยวซี เอาล่ะ” ฉินจิ้นโบกมือ

ถังเสี่ยวซีสวมเสื้อคลุมอีกครั้ง ก่อนจะก้มหัวและกล่าวว่า “ขอประทานอภัยที่เสี่ยวซีทำให้ฝ่าบาทเกรงกลัว”

“มิเป็นไร”

ฉินจิ้นพยักหน้าก่อนจะหันมองหลินมู่อวี่ “หลินมู่อวี่ รู้หรือไม่ว่าเจ้าได้ก่ออาชญากรรมขึ้น?!”

หลินมู่อวี่ก้าวไปด้านหน้าและพูดว่า “เสด็จพ่อ ข้าไม่รู้ว่าข้าก่ออาชญากรรมอะไร?”

ฉินจิ้นกล่าวด้วยสายตาที่น่าเกรงขาม “เรื่องการสังหารถังปินของเจ้าแพร่กระจายไปทั่วเมืองหลันเยี่ยน เจ้ายังจะแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องอีกหรือ? ลากหลินมู่อวี่มา แล้วตัดหัวมันซะ!”

“ไม่นะเสด็จพ่อ!” ฉินอินรีบคุกเข่าลง

ถังเสี่ยวซีเองก็คุกเข่าลงพื้นพร้อมกันและกล่าวว่า “ฝ่าบาท หลินมู่อวี่จำเป็นต้องสังหารถังปินเพื่อรักษาชีวิตกระหม่อม ได้โปรดทรงประทานอภัยให้แก่เขา หากฝ่าบาทลงโทษหลินมู่อวี่ในเรื่องนี้ ถังเสี่ยวซีเองก็ต้องได้รับโทษฐานความผิดเดียวกัน!”

ชวีฉู่ประสานหมัดกล่าว “ฝ่าบาท หลินมู่อวี่จำเป็นต้องฆ่าเพื่อช่วยชีวิตซึ่งเป็นความผิดที่ไม่หนักหนา กระหม่อมเชื่อว่าพระองค์มิควรลงโทษหลินมู่อวี่จนถึงแก่ความตายพ่ะย่ะค่ะ”

ฉินจิ้นกล่าวอย่างเฉยเมย “หลินมู่อวี่ ตั้งแต่โบราณกาล การสังหารผู้อื่นจะต้องชดใช้ด้วยชีวิต และเจ้าฆ่าถังปินผู้เป็นทายาทสืบทอดอันดับหนึ่งแห่งเมืองชีไห่ ข้าจึงจำเป็นต้องลงโทษ เจ้ามีข้อคัดค้านหรือไม่?”

หลินมู่อวี่เงยหน้ามองฉินจิ้นด้วยใบหน้าหม่นหมองและกล่าวว่า “ไม่มีพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท…”

หลินมู่อวี่รู้สึกทุกข์ใจ แม้จะรู้ว่าเป็นกลวิธีของจักรพรรดิ กระนั้นฉินจิ้นก็มองมายังราชบุตรบุญธรรมผู้นี้ด้วยสายตาโหดเหี้ยม หลินมู่อวี่รู้สึกได้ถึงความเย็นชาในจิตใจผู้คน อีกทั้งเขาเกรงว่านี่จะเป็นการร่วมมือเพื่อผลประโยชน์ระหว่างจักรพรรดิและขุนนางมากกว่าจะเป็นความสัมพันธ์ฉันพ่อลูก

ราชบุตรบุญธรรมของจักรพรรดิเป็นเพียงนามสมมุติ

ฉินจิ้นขบฟันแน่นขณะที่มองหลินมู่อวี่ “รอสักครู่…หลังจากจบการหารือ เจ้าควรไปรายงานตัวที่คุกลอยฟ้าเพื่อฝากขังเป็นการชั่วคราว”

“พ่ะย่ะค่ะ”

ไม่ว่าฉินอินและถังเสี่ยวซีจะอ้อนวานมากเพียงใดก็ไม่มีประโยชน์ ฉินจิ้นเพียงสัญญาว่าจะไม่ประหารชีวิต ทว่ามิได้สัญญาว่าจะละเว้นโทษ หากฉินจิ้นไม่ลงโทษหลินมู่อวี่ เกรงว่าเมืองชีไห่อาจส่งราชทูตมายังเมืองหลันเยี่ยนเพื่อเจรจา

ขณะเดียวกันผู้ส่งสารพลันเข้ามา “ฝ่าบาท เหตุฉุกเฉินทางการทหารพ่ะย่ะค่ะ!”

ทุกคนต่างตกตะลึง เมืองที่เงียบสงบและปลอดภัยเช่นนี้ เหตุฉุกเฉินทางการทหารมาจากที่ใดกัน?

ฉินจิ้นเลิกคิ้วและกล่าวว่า “ว่ามา เหตุฉุกเฉินทางการทหารมาจากที่ใด?”

นายพลทหารกล่าวอย่างเคารพ “เหตุฉุกเฉินทางการทหารมาจากเมืองหน้าด่านอสูรทางตะวันตกของเมืองหลันเยี่ยน มีเผ่าพันธ์อสูรจำนวนมากมารวมตัวกันที่นั่น และอาจบุกมาได้ทุกเมื่อ หน่วยลาดตระเวนรายงานว่าครานี้เผ่าพันธุ์อสูรมีกองกำลังกว่าสองแสนตน!”

“อะไรนะ!?”

ฉินจิ้นยืนขึ้นกะทันหัน ความโกรธเกรี้ยวปรากฏขึ้นบนใบหน้า “เผ่าพันธุ์อสูรจากป่านิรันดร์ต้องการสร้างปัญหาอีกรึ? หึ! เหตุการณ์ที่กองทหารแห่งจักรวรรดิกวาดล้างป่านิรันด์เมื่อยี่สิบปีก่อน พวกมันต้องการสัมผัสประสบการณ์นั้นอีกครั้งสินะ?”

ชวีฉู่ประสานหมัดกล่าว “ฝ่าบาท เผ่าพันธุ์อสูรอยู่ในป่านิรันดร์อย่างสงบสุขมานานหลายสิบปี ครานี้พวกมันลำเส้นเขตแดนอีกครั้ง เราควรส่งแม่ทัพผู้โดดเด่นไปยังประตูเมืองอสูร มิเช่นนั้นหากประตูถูกทำลาย และกองทัพอสูรทะลวงเข้ามาในเมืองหลันเยี่ยน กระหม่อมเกรงว่าอาจจะสายเกินไปพ่ะย่ะค่ะ”

ฉินจิ้นพยักหน้า “เช่นนั้นอาวุโสฉู่ต้องการแนะนำผู้ใด?”

“หลินมู่อวี่” ชวีฉู่ยิ้มเล็กน้อย “เนื่องจากเขามีประสบการณ์ในการทำศึก”

“ไม่ได้ หลินมู่อวี่เป็นนักโทษ และไม่สามารถนำทัพ”

ฉินจิ้นกล่าวด้วยสายตาน่าเกรงขาม “มาเถิด ให้แม่ทัพพิทักษ์เมืองอวี่เหวินเซี่ยเคลื่อนทัพไปยังประตูเมืองอสูรทันที เผ่าพันธุ์อสูรทั้งสองแสนตนนั้นกำลังปิดกั้นเส้นทางตะวันตกของเมือง”

“พ่ะย่ะค่ะ!” อวี่เหวินเซี่ยกล่าวด้วยความเคารพ

ฉินจิ้นพลันออกคำสั่งอีกครั้ง “ขณะนี้เรามีกองทหารเพียงหนึ่งหมื่นนายซึ่งไม่เพียงพอที่จะต้านทานกองทัพอสูร ให้นกส่งสารไปเมืองหน้าด่านชีไห่ และขอให้ตู้ไห่ส่งกองกำลังสามหมื่นนายมาเพื่อเสริมกำลังแก่ทหารแห่งจักรวรรดิ”

“พ่ะย่ะค่ะ!” ผู้ส่งสารรับคำสั่งและเดินจากไป

เผ่าพันธุ์อสูรไม่ได้ย่างกรายเข้าป่าในแผ่นดินใหญ่เป็นเวลากว่ายี่สิบปี ขณะนี้พวกมันได้ยกกองทัพมาอย่างดุเดือด ทว่าฉินอิน ถังเสี่ยวซี และคนอื่นๆ มิได้รู้สึกหวาดกลัว เนื่องจากเมื่อครั้งที่เผ่าพันธุ์ปีศาจเข้ารุกรานแผ่นดินใหญ่ พวกเขายังไม่เกิด ต่างจากชวีฉู่ที่เข้าใจถึงพลังของเผ่าพันธุ์อสูรเป็นอย่างดี ชวีฉู่พลันประสานหมัดและกล่าวว่า “ฝ่าบาท กองทัพสี่หมื่นนายไม่เพียงพอที่จะหยุดการรุกรานของเผ่าพันธุ์อสูรได้ เราต้องการทหารฝีมือดีอย่างน้อยหนึ่งแสนห้าหมื่นนายเพื่อต่อต้านมันพ่ะย่ะค่ะ!”

“ข้ารู้”

ฉินจิ้นพยักหน้า “ทว่ากองทหารแห่งจักรวรรดิในเมืองหลวงส่วนใหญ่ถูกส่งไปนอกเมือง มณฑลชางหนาน มณฑลเทียนชู่ และมณฑลอวิ้นจงอยู่ห่างไกลเกินไปและคงไม่สะดวกที่จะส่งกองกำลังมา มีเพียงมณฑลชีไห่เท่านั้นที่อยู่ใกล้เมืองหลวงมากที่สุด แต่…อาอวี่เพิ่งสังหารถังปิน เช่นนั้นแล้วหลานกงจะยอมส่งกองกำลังมาสมทบเราได้อย่างไร?”

ถังเสี่ยวซีเงยหน้าขึ้น “ฝ่าบาท หากจำเป็น เสี่ยวซียินดีไปเมืองชีไห่ด้วยตนเองและขอให้ท่านปู่ส่งกองกำลังมาช่วยเมืองหน้าด่านอสูรพ่ะย่ะค่ะ”

“อืม นั่นคือทางเดียวที่เป็นไปได้ คงต้องรบกวนเสี่ยวซีแล้ว”

ฉินจิ้นนั่งลงบนบัลลังก์ “อาวุโสฉู่ไปเมืองชีไห่กับเสี่ยวซีและขอกองกำลังหนึ่งแสนนายมาให้ได้ มิเช่นนั้นข้าคงต้องใช้ทหารค่ายเขาเหินและกองทัพองครักษ์เพื่อต้านทานศัตรูเท่านั้น”

ชวีฉู่ตอบรับ “พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทอย่าทรงเป็นกังวล!”

ชวีฉู่และถังเสี่ยวซีหันกลับ นางมองไปยังหลินมู่อวี่และกล่าวว่า “มู่มู่ เจ้าจะต้องไม่เป็นไร โปรดรอข้ากลับมา…”

หลินมู่อวี่พยักหน้าโดยไม่พูดอะไร

หลังจากจบการหารือ แม่ทัพพิทักษ์เมืองอวี่เหวินเซี่ยได้นำกองทัพไปยังเมืองหน้าด่านอสูรเป็นการส่วนตัวเพื่อบัญชาการรบ

ส่วนหลินมู่อวี่ถูกพาไปยังคุกลอยฟ้าโดยองครักษ์สองนาย เป็นครั้งแรกที่เขาได้สัมผัสคุกในเมืองหลันเยี่ยน ช่างเป็นรสชาติชีวิตที่ขมเป็นพิเศษ

โชคดีที่คุกลอยฟ้าได้รับการคุ้มกันโดยกองทัพทหารแห่งจักรวรรดิ แม้ว่าหลินมู่อวี่จะถูกส่งมายังคุก ทว่ายศตำแหน่งของเขายังอยู่ ดังนั้นผู้คุมจึงค่อนข้างสุภาพ อีกทั้งฉินอินมาเยี่ยมหลินมู่อวี่ทุกวันเวลาเย็นเพื่อนำอาหารมาให้ หลินมู่อวี่รู้สึกว่าการอยู่ในคุกครานี้ เป็นดั่งการพักร้อนพร้อมมีองค์หญิงโฉมงามที่ใครต่างก็ต้องอิจฉา

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา 303 เผ่าพันธุ์อสูรจู่โจม

Now you are reading The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา Chapter 303 เผ่าพันธุ์อสูรจู่โจม at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

EP.303 เผ่าพันธุ์อสูรจู่โจม

“ขอรับ.

หลินมู่อวี่พยักหน้าและกล่าวอย่างใจเย็น “ในตอนนั้นหากข้าไม่สังหารถังปิน เสี่ยวซีอาจต้องตายด้วยน้ำมือถังปินเป็นแน่”

“เฮ้อ…”

ชวีฉู่ถอนหายใจ “กระนั้น…ข้าเกรงว่าจะต้องเกิดข้อพิพาทขึ้น อีกทั้งถังปินยังตายด้วยคมดาบของเจ้า เมื่อถังห่าวและคนอื่นๆ กลับไปยังเมืองชีไห่ เรื่องนี้คงแพร่งพรายออกไป เช่นนั้นจะแก้ปัญญาได้อย่างไร?”

ฉินอินมองชวีฉู่ด้วยดวงตาเปล่งประกายและกล่าวว่า “ถังปินต้องการฆ่าเสี่ยวซี ทุกคนต่างประจักษ์ถึงเรื่องนี้ ตราบใดที่เราอธิบายเหตุผลแก่หลานกงอย่างชัดเจน ข้าเชื่อความรักที่หลานกงมีต่อเสี่ยวซีจะทำให้หลานกงเข้าใจและให้อภัย”

“ไม่”

ชวีฉู่ส่ายหัว “หากเสี่ยวซีเป็นผู้สังหารถังปิน หลานกงอาจยกโทษให้นางได้ เนื่องจากนางเพียงป้องกันตัวเอง ทว่าอาอวี่…เจ้าเป็นผู้สังหารถังปิน ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่สามารถให้อภัยได้ ลองนึกถึงในความคิดของหลานกงดูสิ การที่ถังปินต้องการฆ่าเสี่ยวซี อย่างไรก็เป็นปัญหาภายในเมืองชีไห่ เหตุใดจึงกลับกลายเป็นอาอวี่ผู้ที่เป็นราชบุตรบุญธรรมเป็นผู้ลงมือ?”

ถังเสี่ยวซีอดไม่ได้ที่จะรู้สึกกลัว “ข…ข้าไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรดี?”

ชวีฉู่ถอนหายใจและกล่าวว่า “ค่อยๆ แก้ปัญหาเถิด และดูว่าองค์จักรพรรดิจะจัดการเรื่องนี้อย่างไร องค์หญิงอินและองค์หญิงซีต้องพูดเพื่อปกป้องอาอวี่ มิเช่นนั้นองค์จักรพรรดิอาจต้องเสียสละเพื่อรักษาบัลลังก์ต่อไป”

“เสียสละเพื่อรักษาบัลลังก์…”

ฉินอินเบิกตากว้าง “ม…ไม่! เสด็จพ่อจะต้องไปละทิ้งพี่อาอวี่เด็ดขาด…”

ชวีฉู่ยิ้ม “องค์หญิงอินทรงหลอกพระองค์เองจนเกินไป พระองค์มิทราบนิสัยขององค์จักรพรรดิหรือ ว่าแผ่นดินกับอาอวี่สิ่งใดสำคัญกว่ากัน องค์หญิงอินเข้าใจหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”

ฉินอินนิ่งงัน

เฟิงจี้สิงพลันตบไหล่หลินมู่อวี่ “ไม่ต้องกังวล ทุกปัญหาต้องมีทางออกเสมอ อาวุโสฉู่พูดมีเหตุผล ทว่าอาอวี่…เจ้าต้องเข้าใจด้วยว่าตนเองเป็นราชบุตรบุญธรรม และเป็นจอมยุทธ์หนุ่มผู้มีความสามารถโดดเด่น อีกทั้งมีความสัมพันธ์อันดีกับเสี่ยวอิน องค์จักรพรรดิจำเป็นต้องให้เจ้าอารักขาองค์หญิงอิน เช่นนั้นพระองค์ทรงไม่ละทิ้งเจ้าแน่”

ชวีฉู่อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ “คำพูดเฟิงจี้สิงนั้นเป็นความจริง!”

หลินมู่อวี่หันกลับมาถาม “อาวุโสฉู่ พลังของเสี่ยวซีตื่นขึ้นมาและกลายร่างเป็นอสูรจิ้งจอกเก้าหาง ข้าไม่รู้ว่าอาวุโสฉู่จะมีวิธีทำให้เสี่ยวซีกลับสู่สภาพเดิมได้หรือไม่ แม้ว่าเราจะไม่ได้รังเกียจรูปลักษณ์จิ้งจอกเก้าหางของนาง ทว่าก็ส่งผลต่อการใช้ชีวิตของเสี่ยวซี”

ชวีฉู่พยักหน้า “ข้าพอรู้เกี่ยวกับตำนานอสูรจิ้งจอกเก้าหางบ้าง และมีบันทึกเล็กน้อยในตำราโบราณ ในประวัติศาสตร์อันยาวนานนับหมื่นปี เราสูญเสียตำราต่างๆ ทุกครั้งที่เกิดสงคราม ข้าเกรงว่าคงไม่มีใครในแผ่นดินนี้รู้จักหรรือเคยเห็นอสูรจิ้งจอกเก้าหางมาก่อน เราคงเป็นคนกลุ่มเดียวเท่านั้น…”

“เช่นนั้นเราควรทำอย่างไรดี…” หลินมู่อวี่ตะลึง

ฉินอินกล่าว “โชคดีที่เสี่ยวซีสามารถควบคุมไฟในร่างกายได้ ตราบใดที่สวมเสื้อคลุมไว้ก็จะไม่มีใครเห็น แล้วเราค่อยช่วยกันแก้ปัญหา”

“อืม เป็นทางเดียวที่ทำได้ขณะนี้”

“กลับไปยังเมืองหลันเยี่ยนกันเถิด ในป่าล่ามังกรนี้ไม่ปลอดภัย”

“อื้ม!”

สามวันถัดมา ทุกคนกลับมาถึงเมืองหลันเยี่ยน

ภายในตำหนักเจ๋อเทียนเงียบสงัด ฉินจิ้นนั่งบนบัลลังก์สูงตระหง่านขณะที่เฝ้ามองชวีฉู่ หลินมู่อวี่ ฉินอิน เฟิงจี้สิง และถังเสี่ยวซี เดินเข้ามาเคียงข้างกันทั้งห้าคน

“เสี่ยวอิน ชวีฉู่ พวกเจ้ากลับมาแล้ว!” ฉินจิ้นยืนขึ้นอย่างตื่นเต้นและพูดว่า “เสี่ยวซีก็กลับมาเช่นกัน ดี ดีมาก…”

ถังเสี่ยวซีมองฉินจิ้นด้วยดวงตาสีทอง นางโค้งคำนับและกล่าวว่า “ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงเป็นห่วงพ่ะย่ะค่ะ”

ฉินจิ้นมองดวงตาของถังเสี่ยวซีแล้วรู้สึกอึดอัดเล็กน้อยในใจ

ฉินอินพลันขยับม่านเปิดช่องเพื่อกล่าวกับทหารรักษาการณ์ “องครักษ์อวี้หลินและข้าราชบริพารทั้งหมดออกไปก่อน ข้าต้องการสนทนากับเสด็จพ่อเป็นการส่วนตัว พวกเจ้าอารักขาจากด้านนอกเท่านั้น”

ทุกคนประสานหมัดและกล่าวพร้อมกัน “พ่ะย่ะค่ะองค์หญิง!”

หลังจากทหารรักษาการณ์ออกไป ฉินจิ้นก็พยักหน้าและกล่าวว่า “ไม่เป็นไรแล้ว เสี่ยวซีให้ข้าดูเถิด”

ถังเสี่ยวซีค่อยๆ เปิดผ้าคลุมออก ทันใดนั้นใบหน้างามก็ปรากฏต่อหน้าองค์จักรพรรดิ หูคู่หนึ่งเปล่งประกายแสงเปลวไฟจางๆ และสั่นเล็กน้อย จากนั้นเสี่ยวซีเลื่อนมือไปปลดเชือกเสื้อคลุม ‘พรึ่บ’ ทันทีที่เสื้อคลุมหล่นลงมา หางเพลิงทั้งเก้าด้านหลังพลันกวัดแกว่งไปมาอย่างนุ่มนวลดูงดงามมาก

“อืม…”

ฉินจิ้นสูดหายใจเข้าลึก มองรูปลักษณ์ของถังเสี่ยวซีตรงหน้าด้วยความตกใจ นี่คืออสูรจิ้งจอกเก้าหางในตำนานอย่างแท้จริง…ทว่าเมื่อมองดีๆ นางก็ยังเป็นถังเสี่ยวซี!

“เสี่ยวซี เอาล่ะ” ฉินจิ้นโบกมือ

ถังเสี่ยวซีสวมเสื้อคลุมอีกครั้ง ก่อนจะก้มหัวและกล่าวว่า “ขอประทานอภัยที่เสี่ยวซีทำให้ฝ่าบาทเกรงกลัว”

“มิเป็นไร”

ฉินจิ้นพยักหน้าก่อนจะหันมองหลินมู่อวี่ “หลินมู่อวี่ รู้หรือไม่ว่าเจ้าได้ก่ออาชญากรรมขึ้น?!”

หลินมู่อวี่ก้าวไปด้านหน้าและพูดว่า “เสด็จพ่อ ข้าไม่รู้ว่าข้าก่ออาชญากรรมอะไร?”

ฉินจิ้นกล่าวด้วยสายตาที่น่าเกรงขาม “เรื่องการสังหารถังปินของเจ้าแพร่กระจายไปทั่วเมืองหลันเยี่ยน เจ้ายังจะแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องอีกหรือ? ลากหลินมู่อวี่มา แล้วตัดหัวมันซะ!”

“ไม่นะเสด็จพ่อ!” ฉินอินรีบคุกเข่าลง

ถังเสี่ยวซีเองก็คุกเข่าลงพื้นพร้อมกันและกล่าวว่า “ฝ่าบาท หลินมู่อวี่จำเป็นต้องสังหารถังปินเพื่อรักษาชีวิตกระหม่อม ได้โปรดทรงประทานอภัยให้แก่เขา หากฝ่าบาทลงโทษหลินมู่อวี่ในเรื่องนี้ ถังเสี่ยวซีเองก็ต้องได้รับโทษฐานความผิดเดียวกัน!”

ชวีฉู่ประสานหมัดกล่าว “ฝ่าบาท หลินมู่อวี่จำเป็นต้องฆ่าเพื่อช่วยชีวิตซึ่งเป็นความผิดที่ไม่หนักหนา กระหม่อมเชื่อว่าพระองค์มิควรลงโทษหลินมู่อวี่จนถึงแก่ความตายพ่ะย่ะค่ะ”

ฉินจิ้นกล่าวอย่างเฉยเมย “หลินมู่อวี่ ตั้งแต่โบราณกาล การสังหารผู้อื่นจะต้องชดใช้ด้วยชีวิต และเจ้าฆ่าถังปินผู้เป็นทายาทสืบทอดอันดับหนึ่งแห่งเมืองชีไห่ ข้าจึงจำเป็นต้องลงโทษ เจ้ามีข้อคัดค้านหรือไม่?”

หลินมู่อวี่เงยหน้ามองฉินจิ้นด้วยใบหน้าหม่นหมองและกล่าวว่า “ไม่มีพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท…”

หลินมู่อวี่รู้สึกทุกข์ใจ แม้จะรู้ว่าเป็นกลวิธีของจักรพรรดิ กระนั้นฉินจิ้นก็มองมายังราชบุตรบุญธรรมผู้นี้ด้วยสายตาโหดเหี้ยม หลินมู่อวี่รู้สึกได้ถึงความเย็นชาในจิตใจผู้คน อีกทั้งเขาเกรงว่านี่จะเป็นการร่วมมือเพื่อผลประโยชน์ระหว่างจักรพรรดิและขุนนางมากกว่าจะเป็นความสัมพันธ์ฉันพ่อลูก

ราชบุตรบุญธรรมของจักรพรรดิเป็นเพียงนามสมมุติ

ฉินจิ้นขบฟันแน่นขณะที่มองหลินมู่อวี่ “รอสักครู่…หลังจากจบการหารือ เจ้าควรไปรายงานตัวที่คุกลอยฟ้าเพื่อฝากขังเป็นการชั่วคราว”

“พ่ะย่ะค่ะ”

ไม่ว่าฉินอินและถังเสี่ยวซีจะอ้อนวานมากเพียงใดก็ไม่มีประโยชน์ ฉินจิ้นเพียงสัญญาว่าจะไม่ประหารชีวิต ทว่ามิได้สัญญาว่าจะละเว้นโทษ หากฉินจิ้นไม่ลงโทษหลินมู่อวี่ เกรงว่าเมืองชีไห่อาจส่งราชทูตมายังเมืองหลันเยี่ยนเพื่อเจรจา

ขณะเดียวกันผู้ส่งสารพลันเข้ามา “ฝ่าบาท เหตุฉุกเฉินทางการทหารพ่ะย่ะค่ะ!”

ทุกคนต่างตกตะลึง เมืองที่เงียบสงบและปลอดภัยเช่นนี้ เหตุฉุกเฉินทางการทหารมาจากที่ใดกัน?

ฉินจิ้นเลิกคิ้วและกล่าวว่า “ว่ามา เหตุฉุกเฉินทางการทหารมาจากที่ใด?”

นายพลทหารกล่าวอย่างเคารพ “เหตุฉุกเฉินทางการทหารมาจากเมืองหน้าด่านอสูรทางตะวันตกของเมืองหลันเยี่ยน มีเผ่าพันธ์อสูรจำนวนมากมารวมตัวกันที่นั่น และอาจบุกมาได้ทุกเมื่อ หน่วยลาดตระเวนรายงานว่าครานี้เผ่าพันธุ์อสูรมีกองกำลังกว่าสองแสนตน!”

“อะไรนะ!?”

ฉินจิ้นยืนขึ้นกะทันหัน ความโกรธเกรี้ยวปรากฏขึ้นบนใบหน้า “เผ่าพันธุ์อสูรจากป่านิรันดร์ต้องการสร้างปัญหาอีกรึ? หึ! เหตุการณ์ที่กองทหารแห่งจักรวรรดิกวาดล้างป่านิรันด์เมื่อยี่สิบปีก่อน พวกมันต้องการสัมผัสประสบการณ์นั้นอีกครั้งสินะ?”

ชวีฉู่ประสานหมัดกล่าว “ฝ่าบาท เผ่าพันธุ์อสูรอยู่ในป่านิรันดร์อย่างสงบสุขมานานหลายสิบปี ครานี้พวกมันลำเส้นเขตแดนอีกครั้ง เราควรส่งแม่ทัพผู้โดดเด่นไปยังประตูเมืองอสูร มิเช่นนั้นหากประตูถูกทำลาย และกองทัพอสูรทะลวงเข้ามาในเมืองหลันเยี่ยน กระหม่อมเกรงว่าอาจจะสายเกินไปพ่ะย่ะค่ะ”

ฉินจิ้นพยักหน้า “เช่นนั้นอาวุโสฉู่ต้องการแนะนำผู้ใด?”

“หลินมู่อวี่” ชวีฉู่ยิ้มเล็กน้อย “เนื่องจากเขามีประสบการณ์ในการทำศึก”

“ไม่ได้ หลินมู่อวี่เป็นนักโทษ และไม่สามารถนำทัพ”

ฉินจิ้นกล่าวด้วยสายตาน่าเกรงขาม “มาเถิด ให้แม่ทัพพิทักษ์เมืองอวี่เหวินเซี่ยเคลื่อนทัพไปยังประตูเมืองอสูรทันที เผ่าพันธุ์อสูรทั้งสองแสนตนนั้นกำลังปิดกั้นเส้นทางตะวันตกของเมือง”

“พ่ะย่ะค่ะ!” อวี่เหวินเซี่ยกล่าวด้วยความเคารพ

ฉินจิ้นพลันออกคำสั่งอีกครั้ง “ขณะนี้เรามีกองทหารเพียงหนึ่งหมื่นนายซึ่งไม่เพียงพอที่จะต้านทานกองทัพอสูร ให้นกส่งสารไปเมืองหน้าด่านชีไห่ และขอให้ตู้ไห่ส่งกองกำลังสามหมื่นนายมาเพื่อเสริมกำลังแก่ทหารแห่งจักรวรรดิ”

“พ่ะย่ะค่ะ!” ผู้ส่งสารรับคำสั่งและเดินจากไป

เผ่าพันธุ์อสูรไม่ได้ย่างกรายเข้าป่าในแผ่นดินใหญ่เป็นเวลากว่ายี่สิบปี ขณะนี้พวกมันได้ยกกองทัพมาอย่างดุเดือด ทว่าฉินอิน ถังเสี่ยวซี และคนอื่นๆ มิได้รู้สึกหวาดกลัว เนื่องจากเมื่อครั้งที่เผ่าพันธุ์ปีศาจเข้ารุกรานแผ่นดินใหญ่ พวกเขายังไม่เกิด ต่างจากชวีฉู่ที่เข้าใจถึงพลังของเผ่าพันธุ์อสูรเป็นอย่างดี ชวีฉู่พลันประสานหมัดและกล่าวว่า “ฝ่าบาท กองทัพสี่หมื่นนายไม่เพียงพอที่จะหยุดการรุกรานของเผ่าพันธุ์อสูรได้ เราต้องการทหารฝีมือดีอย่างน้อยหนึ่งแสนห้าหมื่นนายเพื่อต่อต้านมันพ่ะย่ะค่ะ!”

“ข้ารู้”

ฉินจิ้นพยักหน้า “ทว่ากองทหารแห่งจักรวรรดิในเมืองหลวงส่วนใหญ่ถูกส่งไปนอกเมือง มณฑลชางหนาน มณฑลเทียนชู่ และมณฑลอวิ้นจงอยู่ห่างไกลเกินไปและคงไม่สะดวกที่จะส่งกองกำลังมา มีเพียงมณฑลชีไห่เท่านั้นที่อยู่ใกล้เมืองหลวงมากที่สุด แต่…อาอวี่เพิ่งสังหารถังปิน เช่นนั้นแล้วหลานกงจะยอมส่งกองกำลังมาสมทบเราได้อย่างไร?”

ถังเสี่ยวซีเงยหน้าขึ้น “ฝ่าบาท หากจำเป็น เสี่ยวซียินดีไปเมืองชีไห่ด้วยตนเองและขอให้ท่านปู่ส่งกองกำลังมาช่วยเมืองหน้าด่านอสูรพ่ะย่ะค่ะ”

“อืม นั่นคือทางเดียวที่เป็นไปได้ คงต้องรบกวนเสี่ยวซีแล้ว”

ฉินจิ้นนั่งลงบนบัลลังก์ “อาวุโสฉู่ไปเมืองชีไห่กับเสี่ยวซีและขอกองกำลังหนึ่งแสนนายมาให้ได้ มิเช่นนั้นข้าคงต้องใช้ทหารค่ายเขาเหินและกองทัพองครักษ์เพื่อต้านทานศัตรูเท่านั้น”

ชวีฉู่ตอบรับ “พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทอย่าทรงเป็นกังวล!”

ชวีฉู่และถังเสี่ยวซีหันกลับ นางมองไปยังหลินมู่อวี่และกล่าวว่า “มู่มู่ เจ้าจะต้องไม่เป็นไร โปรดรอข้ากลับมา…”

หลินมู่อวี่พยักหน้าโดยไม่พูดอะไร

หลังจากจบการหารือ แม่ทัพพิทักษ์เมืองอวี่เหวินเซี่ยได้นำกองทัพไปยังเมืองหน้าด่านอสูรเป็นการส่วนตัวเพื่อบัญชาการรบ

ส่วนหลินมู่อวี่ถูกพาไปยังคุกลอยฟ้าโดยองครักษ์สองนาย เป็นครั้งแรกที่เขาได้สัมผัสคุกในเมืองหลันเยี่ยน ช่างเป็นรสชาติชีวิตที่ขมเป็นพิเศษ

โชคดีที่คุกลอยฟ้าได้รับการคุ้มกันโดยกองทัพทหารแห่งจักรวรรดิ แม้ว่าหลินมู่อวี่จะถูกส่งมายังคุก ทว่ายศตำแหน่งของเขายังอยู่ ดังนั้นผู้คุมจึงค่อนข้างสุภาพ อีกทั้งฉินอินมาเยี่ยมหลินมู่อวี่ทุกวันเวลาเย็นเพื่อนำอาหารมาให้ หลินมู่อวี่รู้สึกว่าการอยู่ในคุกครานี้ เป็นดั่งการพักร้อนพร้อมมีองค์หญิงโฉมงามที่ใครต่างก็ต้องอิจฉา

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+