The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา 321 ซ้อนแผน

Now you are reading The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา Chapter 321 ซ้อนแผน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

Ep.321 ซ้อนแผน

“มันเขียนว่าอะไร?” เฟิงจี้สิงเอ่ยถาม

หลินมู่อวี่ส่งต่อให้เฟิงจี้สิงอ่าน กระทั่งอ่านจบหน้าตาเขาเปลี่ยนไปพลางกัดฟันกรอด “น่ารังเกียจ…น่ารังเกียจที่สุด ทำเช่นนี้มันหยามเกียรติชาวหลันเยี่ยนชัดๆ”

“นี่คือกลยุทธ์อันเฉียบแหลมของหลงเซียนหลิน…” หลินมู่อวี่ถอนหายใจ

เฟิงจี้สิงถาม “มีว่าวแบบนี้ในเมืองอีกเท่าไร?”

ทหารอวี้หลินตอบ “นับไม่ถ้วน…ถูกส่งต่อกันเป็นทอดจนตอนนี้หยุดไม่ได้แล้วขอรับ”

“แบบนี้ต้องแย่แน่…” เฟิงจี้สิงขมวดคิ้ว “ประชากรในเมืองมีอยู่เนืองแน่น หากเกิดการก่อจลาจลขึ้นมามีหวังเมืองได้พังก่อนการสู้รบเป็นแน่”

จางเหว่ยกล่าว “ไม่เห็นยากขอรับ หากใครกล้าก่อปัญหาก็ฟันมันเสียให้หมด”

“อย่าประมาทไป”

เฟิงจี้สิงมองหลินมู่อวี่ “อาอวี่ เจ้าพอมีความคิดใดหรือไม่?”

“ขอรับ” หลินมู่อวี่มองกองทัพทหารอาสานอกกำแพง “สั่งให้ทหารคัดลอกข้อความหนึ่งแสนฉบับแสร้งว่ามาจากเมืองห้าหุบเขา โดยมีเนื้อความว่า…พวกทหารอาสานั้นหน้าซื่อใจคด พวกมันทำลายเมืองห้าหุบเขาที่มีประชาชนทั่วไปอาศัยอยู่จนราบคาบ…หากยอมแพ้ก็เท่ากับตาย จากนั้นให้กระจายข้อความเหล่านี้ไปให้ทั่วหลันเยี่ยนคงพอช่วยหยุดกลยุทธ์ทางจิตใจนี้ได้”

“เยี่ยมมาก”

เฟิงจี้สิงกล่าวด้วยแววตาแห่งความหวัง “พวกเจ้าได้ยินแล้วก็รีบไปจัดการเสีย”

“ขอรับท่านแม่ทัพ”

หลินมู่อวี่นั่งพิงกำแพงเปื้อนเลือดด้วยความกระวนกระวายในใจ จักรวรรดิอี้เหอส่งเสริมความเท่าเทียมและใช้อารยธรรมอันสูงส่งกว่าระบบกษัตริย์ที่ว่าเป็นเครื่องมือชักจูงผู้คน แต่กลับทำตัวมือถือสากปากถือศีล สิ่งที่พวกเขาทำอยู่นี้ถูกแล้วหรือ?

กระทั่งมองธงรบของกองทัพเทียนฉงและหลงฉวนที่ถูกเผาเป็นเถ้าอยู่ใต้เมืองแล้ว หลินมู่อวี่ก็เริ่มกระจ่าง…ที่บอกว่าทุกคนในอาณาจักรจะมีความเท่าเทียมกันนั้นเป็นเพียงอุบายลวงโลก หากเห็นว่าทุกคนเท่ากันจริง คงไม่สังหารกองทัพเทียนฉงและหลงฉวนที่มีภรรยาและลูกน้อยรออยู่ ความเท่าเทียมที่กล่าวอ้างนั้นคือสิ่งนี้หรือ?

การเปลี่ยนผู้ปกครองในโลกนี้ก็เป็นเพียงแค่การเปลี่ยนคนอีกกลุ่มให้เป็นทาสของคนอีกกลุ่ม

หากยังยืนกรานสู้รบ ความหวังเดียวที่จะรอดไปคือรอกำลังเสริมเท่านั้น

สามวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว หลินมู่อวี่ยังไม่เห็นแม้แต่เงาของกำลังเสริม ประชาชนในเมืองก็เริ่มเกิดการจลาจล กระทั่งกระทรวงการคลังยังโดนปล้นถึงสองครั้ง

ทหารในตำหนักเจ๋อเทียนบางตาลงอย่างมาก

กลุ่มควันสีเขียวจากกระถางธูปลอยล่องไปในอากาศ ฉินอินตาแดงก่ำหลังทราบข่าวการพ่ายแพ้ของกองทัพที่เดินทางไปตะวันออก นางร้องไห้ติดต่อกันสามวัน ฉินอินเติบโตมาด้วยความรักของพ่อ เป็นความรักอันบริสุทธิ์ของตระกูลฉิน เมื่อรู้ว่าฉินจิ้นได้จบชีวิตลง ณ ทะเลสาบภูต โลกทั้งใบของฉินอินได้แหลกสลายลงครึ่งหนึ่ง เหลือเพียงหลินมู่อวี่ที่คอยประคองที่เหลือไว้

“สถานการณ์ฝั่งทหารอาสาเป็นอย่างไรบ้าง?” ฉินอินเงยหน้าถามคนที่อยู่โดยรอบ

ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนถวายบังคมกล่าว “พวกมันไม่ได้บุกเข้าโจมตีเมืองอย่างไร้สติ แต่กลับใช้เครื่องยิงหินถล่มกำแพงเมืองจนได้รับความเสียหายหลายจุด หากยังคงเป็นเช่นนี้ต่อไป…เมืองหลันเยี่ยนคงรองรับได้ไม่นานและพังทลายลงในที่สุดพ่ะย่ะค่ะ”

“ยังมีเรื่องน่ากังวลอีกพ่ะย่ะค่ะ” เฟิงจี้สิงกล่าว

ฉินอินชะงัก “เรื่องใดหรือผู้บัญชาการเฟิงจี้สิง?”

“เรามีอาหารเลี้ยงม้าไม่พอพ่ะย่ะค่ะ”

เฟิงจี้สิงกล่าวต่อ “กองทัพองครักษ์มีทหารม้าหนึ่งหมื่นนาย ทัพเขาเหินหนึ่งหมื่นเจ็ดพันนาย รวมกับม้าจากทัพไพรสัณฑ์อีกสี่พันตัว ม้าทั้งหมดสามหมื่นตัวในเมืองหลันเยี่ยนต้องการเสบียงอาหาร ทว่าพื้นที่ให้อาหารรอบเมืองกว่าสิบเก้าหลา ถูกพวกทหารอาสาเข้ายึดครองเรียบร้อยแล้ว ภายในรุ่งสางพรุ่งนี้อาหารที่มีอยู่จะหมด อีกนัยหนึ่งคือไม่เกินมะรืนนี้จะไม่มีทหารม้าอีกต่อไปพ่ะย่ะค่ะ”

“ได้อย่างไรกัน…” ฉินอินเคร่งเครียด “หากไม่มีทหารม้า เราจะไม่มีกองกำลังสู้กลับได้อีก”

“ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ” เฟิงจี้สิงกล่าวพลางยิ้มหัวเราะ

“ผู้บัญชาการเฟิง ท่านหัวเราะด้วยเหตุใดกัน?” ฉินอินถาม

เฟิงจี้สิงประสานกำปั้นคำนับก่อนจะตอบ “กระหม่อมหัวเราะ เพราะไม่เพียงแต่อาหารเลี้ยงม้าของเราไม่เพียงพอ ทว่าของพวกมันก็เช่นเดียวกันพ่ะย่ะค่ะ เท่าที่กระหม่อมทราบ…พวกมันใช้คนสามแสนห้าหมื่นคนล้อมรอบเมืองหลันเยี่ยนอยู่ กองทัพใหญ่เพียงนั้นต้องใช้เสบียงจำนวนมาก หากจะใช้เสบียงจากมณฑลดาราที่อยู่ไกลจากภูเขาและน้ำก็ค่อนข้างลำบาก ดังนั้นจึงต้องใช้เสบียงจากมณฑลชางหนานแทน เมื่อเดาจากความคิดพวกมันแล้ว อาหารและน้ำส่วนใหญ่ต้องนำมาจากเมืองฉิวเฟิ่งที่อยู่ไกลจากหลันเยี่ยนไปทางตะวันออกสามสิบไมล์อีกที หากเราเข้าเผาทำลายแหล่งเสบียงพวกมันได้ พวกมันคงเสียกำลังไปมากเช่นกัน”

ฉินอินกล่าว “ปัญหาคือเราจะเผาหญ้าและข้าวของเมืองฉิวเฟิ่งได้อย่างไร? ผู้บัญชาการเฟิงมีความคิดที่ดีกว่านี้หรือไม่?”

เฟิงจี้สิงยิ้ม “เราต้องลองพ่ะย่ะค่ะ หากได้รับการช่วยเหลือจากอาอวี่…รับรองว่าผลที่ได้คุ้มค่าแน่นอน”

หลินมู่อวี่หัวเราะอยู่ข้างๆ “ท่านพี่เฟิงกำลังจะบอกว่าให้ข้าช่วยจู่โจมเมืองทางตะวันออกใช่หรือไม่?”

“ใช่”

เฟิงจี้สิงกล่าว “ข้าได้ทำการตรวจตราสถานการณ์โดยรอบของทหารอาสาแล้ว พวกมันส่วนใหญ่ไปกระจุกอยู่บริเวณกำแพงฝั่งเหนือ ส่วนฝั่งตะวันออกของเมืองมีคนเฝ้าอยู่เพียงสามหมื่นคนเท่านั้น จากที่ข้าคิด…เราสามารถส่งทหารม้าของเราเข้าจู่โจมพวกมันกลางดึกได้”

“ไม่”

ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนแทรกขึ้น “ข้าเองก็ตรวจสอบมาแล้ว แม้ทางตะวันออกจะเห็นว่ามีเพียงสามหมื่นคน ทว่าในป่าในมีนกบินออกตลอดเวลา…เป็นไปได้ว่าจะมีการซุ่มโจมตีอยู่อีก ซึ่งต้องเป็นสิ่งที่หลงเซียนหลินวางแผนไว้แล้วเป็นแน่”

“ข้ารู้”

เฟิงจี้สิงหัวเราะ “ข้าจะนำทหารม้าหนึ่งหมื่นนายบุกทะลวงทางทิศตะวันออกเพื่อดึงดูดความสนใจ ส่วนเจ้า…ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยน นำทัพออกไปทางประตูฝั่งใต้แล้วตรงไปยังเมืองฉิวเฟิ่ง”

ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนหรี่ตามอง “คู่ต่อสู้เราคือหลงเซียนหลิน คิดว่ามันจะไม่ส่งคนไปดักซุ่มโจมตีสกัดทัพเขาเหินของข้าหรือ?”

“แน่นอนว่ามันต้องทำอยู่แล้ว”

เฟิงจี้สิงยิ้ม “แต่เรายังมีไพ่อีกใบอยู่ในมือ”

หลินมู่อวี่ยิ้ม “ข้ารู้แล้ว…มังกรผงาดสินะ”

“ใช่” เฟิงจี้สิงหัวเราะ “กองทัพที่แท้จริงของเราคือกลุ่มมังกรผงาด กององครักษ์และค่ายเขาเหินเป็นเพียงเหยื่อล่อ กลุ่มมังกรผงาดต้องไปทำลายแหล่งเสบียงของพวกมันให้สิ้น หลงเซียนหลินเป็นนักวางกลยุทธ์ มันคงนึกไม่ถึงว่าท้ายที่สุดเราจะกล้าซ้อนแผนมันถึงสองครั้ง”

เหล่ยหงพลันปรบมือและยิ้ม “พวกรุ่นใหม่ช่างน่ากลัวเสียจริง การที่จักรวรรดิมีแม่ทัพอย่างเฟิงจี้สิง ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยน และอาอวี่เช่นนี้ คงได้เป็นเมืองที่ยิ่งใหญ่ขึ้นกว่าเดิมแน่”

ฉินอินเอ่ยด้วยความปีติ “ถ้าเช่นนั้น การบุกโจมตีกลางดึกยกให้เป็นหน้าที่ของผู้บัญชาการเฟิงจี้สิง”

“กระหม่อมจะไม่ทำให้องค์หญิงผิดหวังพ่ะย่ะค่ะ”

ฉินอินหันไปมองยังเหล่าขุนนาง “ภารกิจนี้ขอให้เป็นความลับ ฉะนั้นพวกท่านอย่าได้มีใครออกจากตำหนักเจ๋อเทียนแห่งนี้จนกว่าเหล่าแม่ทัพจะกลับมาเช้าพรุ่งนี้”

“พ่ะย่ะค่ะองค์หญิง!”

ตอนบ่ายคล้อย หลินมู่อวี่ส่งสาส์นไปยังภูเขาหลงหยานโดยนกส่งสารที่ถูกฝึกของเหมืองหลันเยี่ยน มันสามารถบินไปมาได้โดยไม่ตกเป็นเป้าของศัตรู

กระทั่งพลบค่ำ หลินมู่อวี่ได้รับสาส์นตอบกลับจากหลัวอวี่ว่าทหารรับจ้างมังกรผงาดสองหมื่นนายไปถึงเมืองฉิวเฟิ่งและพร้อมจุดไฟทุกเมื่อตามคำสั่งของเขา

ยามตะวันลับฟ้าไปแล้ว เสียงเครื่องยิงหินถล่มกำแพงเมืองหลันเยี่ยนยังคงดังอย่างต่อเนื่อง หินยักษ์ถูกยิงใส่ทั้งในและนอกเมือง ส่งผลให้มีชาวเมืองบาดเจ็บล้มตายนับไม่ถ้วน

กลางดึกมาเยือน บริเวณถนนกลางเมืองหลวงเงียบสงัด กองทัพองครักษ์หมื่นนายกำลังรออยู่ เฟิงจี้สิงในชุดเกราะเหล็กถือดาบสะบั้นวาโยไว้ในมือและใส่หมวกเหล็กเตรียมพร้อม เขาหันไปหาหลินมู่อวี่กับฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม “ข้าจะไปแล้ว หนึ่งชั่วโมงนับจากนี้พวกเจ้าจงบุกออกไปทางประตูตะวันออกพร้อมกับกองทัพค่ายเขาเหิน จำไว้ว่าอย่าหลงระเริงกับสงคราม เมื่อดึงความสนใจพวกทหารอาสาได้สำเร็จแล้วให้รีบกลับเข้าเมือง แม่ทัพตู้ไห่จะนำทหารเทียนฉงเข้าคุ้มกัน”

“แล้วเจอกันขอรับ” หลินมู่อวี่ยิ้มตอบ

เฟิงจี้สิงสูดหายใจลึกอย่างอาลัยก่อนจะกล่าว “พวกเจ้าทั้งสองต้องกลับมาอย่างปลอดภัย พวกเจ้าจะเป็นพี่น้องของเฟิงจี้สิงผู้นี้ตลอดไป…”

ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนกำหมัดคำนับ “อย่าห่วงเลย พวกข้าไม่ตายง่ายๆ แน่”

หลินมู่อวี่ยิ้ม “ท่านพี่เฟิงเองก็ต้องกลับมาอย่างปลอดภัยและรอไปเลี้ยงฉลองพร้อมกัน”

“ได้เลย”

ประตูเมืองตะวันออกแปดชั้นค่อยๆ ถูกยกขึ้น กองทัพทหารจักรวรรดิควบม้าออกไปอย่างรวดเร็วพร้อมกับอาวุธในมือ ม้าศึกที่ใช้เป็นม้าที่ดีที่สุดในจักรวรรดิ ทำให้กำลังรบแข็งแกร่งขึ้นจนดูถูกไม่ได้

หลังจากเฟิงจี้สิงออกไปแล้ว หลินมู่อวี่จึงเอ่ยขึ้น “เราไปกันเถิดท่านพี่ แล้วจากนี้…ข้าจะดูแลท่านพี่ฉู่เหยาให้เอง”

ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนยิ้ม “ไอ้เด็กชั่ว เจ้าคิดว่าพวกข้าจะไม่กลับมาแล้วรึ?”

หลินมู่อวี่พยักหน้า “ข้าก็แค่เป็นห่วง”

“ไม่ต้องห่วง เราต้องรอดกลับมาให้ได้เพื่อไม่ให้อาเหยากังวล ตอนนี้นางเข้าร่วมกับสมาพันธ์โอสถช่วยรักษาคนเจ็บอยู่”

“เยี่ยมเลย”

ไม่นานนักเสียงสู้รบก็ดังขึ้นนอกเมืองหลันเยี่ยนฝั่งตะวันออก แสดงว่าเฟิงจี้สิงและกองทัพองครักษ์เข้าปะทะกับทหารอาสาแล้ว ทหารอาสาจากทั่วทุกทิศเข้ามารุมล้อมทันทีราวกับต้องการฉีกทหารองครักษ์ทั้งหมื่นนายให้เป็นชิ้น

เสียงม้าวิ่งสะเทือนไปทั้งแผ่นดิน ราวกับการสู้รบที่เมืองหลันเยี่ยนสั่นคลอนทั้งโลก

หลินมู่อวี่กระชับกระบี่วิญญาณมังกร เจี๋ยดี่ที่ขี่อยู่ส่งเสียงร้องวิ่งเร็วราวกับรถบีเอ็มบลิวพาเจ้านายของมันมุ่งสู่สนามรบเคียงข้างฉู่ฮว๋ายเหมี่ยน ค่ายทหารอาสาปรากฏขึ้นท่ามกลางแสงจันทร์ไกลออกไป พลทหารถือโล่เมื่อเห็นกองทัพหลินมู่อวี่ก็ตะโกนขึ้น “สุนัขรับใช้จักรวรรดิมา พร้อมรบ”

“บุกได้!”

หลินมู่อวี่ควบม้าไปอย่างรวดเร็วพลางเรียกกำแพงน้ำเต้าออกมาป้องกันการโจมตีให้กองทัพค่ายเขาเหินด้านหลัง กองทัพตั้งขบวนเรียงแถวเข้าไป “เคร้ง…เคร้ง!” หอกยาวถูกขว้างโดยทหารอาสา กองทัพแนวหน้าของทั้งคู่เข้าปะทะกัน ท่ามกลางควันโขมงบดบังท้องฟ้า หลินมู่อวี่ควบม้าเข้าไปพร้อมกับตวัดกระบี่แสงจนทหารอาสาเบื้องหน้าถูกฟันแหลกเป็นชิ้น

เลือดสดสาดกระเซ็นขึ้นกลางอากาศ เสียงโอดร้องโหยหวนดังไปทุกหนแห่ง ทหารม้าเข้าปะทะกับพลโล่ของฝ่ายตรงข้ามเต็มกำลัง! ทหารม้าจากจักรวรรดิที่ได้รับการฝึกฝนมาดีกว่า สามารถทะลวงโล่ของทหารอาสาจนแหลกได้แทบจะทันที กองทัพเขาเหินตวัดดาบฟาดฟันไล่ไปจนถึงค่ายพักทหารอาสา

“ฮ่า!”

กระบี่วิญญาณมังกรใช้วิชาธาตุแสงเปล่งประกายออก! ทหารอาสานายหนึ่งยืนอึ้งอยู่กับที่ วินาทีต่อมาหอกยาวในมือถูกซัดปลิวและตามมาด้วยเสียงครวญครางอย่างเจ็บปวด…นายทหารทรุดลงกับพื้นและถูกเกือกม้าเหล็กเหยียบย่ำจนจมโคลน

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา 321 ซ้อนแผน

Now you are reading The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา Chapter 321 ซ้อนแผน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

Ep.321 ซ้อนแผน

“มันเขียนว่าอะไร?” เฟิงจี้สิงเอ่ยถาม

หลินมู่อวี่ส่งต่อให้เฟิงจี้สิงอ่าน กระทั่งอ่านจบหน้าตาเขาเปลี่ยนไปพลางกัดฟันกรอด “น่ารังเกียจ…น่ารังเกียจที่สุด ทำเช่นนี้มันหยามเกียรติชาวหลันเยี่ยนชัดๆ”

“นี่คือกลยุทธ์อันเฉียบแหลมของหลงเซียนหลิน…” หลินมู่อวี่ถอนหายใจ

เฟิงจี้สิงถาม “มีว่าวแบบนี้ในเมืองอีกเท่าไร?”

ทหารอวี้หลินตอบ “นับไม่ถ้วน…ถูกส่งต่อกันเป็นทอดจนตอนนี้หยุดไม่ได้แล้วขอรับ”

“แบบนี้ต้องแย่แน่…” เฟิงจี้สิงขมวดคิ้ว “ประชากรในเมืองมีอยู่เนืองแน่น หากเกิดการก่อจลาจลขึ้นมามีหวังเมืองได้พังก่อนการสู้รบเป็นแน่”

จางเหว่ยกล่าว “ไม่เห็นยากขอรับ หากใครกล้าก่อปัญหาก็ฟันมันเสียให้หมด”

“อย่าประมาทไป”

เฟิงจี้สิงมองหลินมู่อวี่ “อาอวี่ เจ้าพอมีความคิดใดหรือไม่?”

“ขอรับ” หลินมู่อวี่มองกองทัพทหารอาสานอกกำแพง “สั่งให้ทหารคัดลอกข้อความหนึ่งแสนฉบับแสร้งว่ามาจากเมืองห้าหุบเขา โดยมีเนื้อความว่า…พวกทหารอาสานั้นหน้าซื่อใจคด พวกมันทำลายเมืองห้าหุบเขาที่มีประชาชนทั่วไปอาศัยอยู่จนราบคาบ…หากยอมแพ้ก็เท่ากับตาย จากนั้นให้กระจายข้อความเหล่านี้ไปให้ทั่วหลันเยี่ยนคงพอช่วยหยุดกลยุทธ์ทางจิตใจนี้ได้”

“เยี่ยมมาก”

เฟิงจี้สิงกล่าวด้วยแววตาแห่งความหวัง “พวกเจ้าได้ยินแล้วก็รีบไปจัดการเสีย”

“ขอรับท่านแม่ทัพ”

หลินมู่อวี่นั่งพิงกำแพงเปื้อนเลือดด้วยความกระวนกระวายในใจ จักรวรรดิอี้เหอส่งเสริมความเท่าเทียมและใช้อารยธรรมอันสูงส่งกว่าระบบกษัตริย์ที่ว่าเป็นเครื่องมือชักจูงผู้คน แต่กลับทำตัวมือถือสากปากถือศีล สิ่งที่พวกเขาทำอยู่นี้ถูกแล้วหรือ?

กระทั่งมองธงรบของกองทัพเทียนฉงและหลงฉวนที่ถูกเผาเป็นเถ้าอยู่ใต้เมืองแล้ว หลินมู่อวี่ก็เริ่มกระจ่าง…ที่บอกว่าทุกคนในอาณาจักรจะมีความเท่าเทียมกันนั้นเป็นเพียงอุบายลวงโลก หากเห็นว่าทุกคนเท่ากันจริง คงไม่สังหารกองทัพเทียนฉงและหลงฉวนที่มีภรรยาและลูกน้อยรออยู่ ความเท่าเทียมที่กล่าวอ้างนั้นคือสิ่งนี้หรือ?

การเปลี่ยนผู้ปกครองในโลกนี้ก็เป็นเพียงแค่การเปลี่ยนคนอีกกลุ่มให้เป็นทาสของคนอีกกลุ่ม

หากยังยืนกรานสู้รบ ความหวังเดียวที่จะรอดไปคือรอกำลังเสริมเท่านั้น

สามวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว หลินมู่อวี่ยังไม่เห็นแม้แต่เงาของกำลังเสริม ประชาชนในเมืองก็เริ่มเกิดการจลาจล กระทั่งกระทรวงการคลังยังโดนปล้นถึงสองครั้ง

ทหารในตำหนักเจ๋อเทียนบางตาลงอย่างมาก

กลุ่มควันสีเขียวจากกระถางธูปลอยล่องไปในอากาศ ฉินอินตาแดงก่ำหลังทราบข่าวการพ่ายแพ้ของกองทัพที่เดินทางไปตะวันออก นางร้องไห้ติดต่อกันสามวัน ฉินอินเติบโตมาด้วยความรักของพ่อ เป็นความรักอันบริสุทธิ์ของตระกูลฉิน เมื่อรู้ว่าฉินจิ้นได้จบชีวิตลง ณ ทะเลสาบภูต โลกทั้งใบของฉินอินได้แหลกสลายลงครึ่งหนึ่ง เหลือเพียงหลินมู่อวี่ที่คอยประคองที่เหลือไว้

“สถานการณ์ฝั่งทหารอาสาเป็นอย่างไรบ้าง?” ฉินอินเงยหน้าถามคนที่อยู่โดยรอบ

ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนถวายบังคมกล่าว “พวกมันไม่ได้บุกเข้าโจมตีเมืองอย่างไร้สติ แต่กลับใช้เครื่องยิงหินถล่มกำแพงเมืองจนได้รับความเสียหายหลายจุด หากยังคงเป็นเช่นนี้ต่อไป…เมืองหลันเยี่ยนคงรองรับได้ไม่นานและพังทลายลงในที่สุดพ่ะย่ะค่ะ”

“ยังมีเรื่องน่ากังวลอีกพ่ะย่ะค่ะ” เฟิงจี้สิงกล่าว

ฉินอินชะงัก “เรื่องใดหรือผู้บัญชาการเฟิงจี้สิง?”

“เรามีอาหารเลี้ยงม้าไม่พอพ่ะย่ะค่ะ”

เฟิงจี้สิงกล่าวต่อ “กองทัพองครักษ์มีทหารม้าหนึ่งหมื่นนาย ทัพเขาเหินหนึ่งหมื่นเจ็ดพันนาย รวมกับม้าจากทัพไพรสัณฑ์อีกสี่พันตัว ม้าทั้งหมดสามหมื่นตัวในเมืองหลันเยี่ยนต้องการเสบียงอาหาร ทว่าพื้นที่ให้อาหารรอบเมืองกว่าสิบเก้าหลา ถูกพวกทหารอาสาเข้ายึดครองเรียบร้อยแล้ว ภายในรุ่งสางพรุ่งนี้อาหารที่มีอยู่จะหมด อีกนัยหนึ่งคือไม่เกินมะรืนนี้จะไม่มีทหารม้าอีกต่อไปพ่ะย่ะค่ะ”

“ได้อย่างไรกัน…” ฉินอินเคร่งเครียด “หากไม่มีทหารม้า เราจะไม่มีกองกำลังสู้กลับได้อีก”

“ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ” เฟิงจี้สิงกล่าวพลางยิ้มหัวเราะ

“ผู้บัญชาการเฟิง ท่านหัวเราะด้วยเหตุใดกัน?” ฉินอินถาม

เฟิงจี้สิงประสานกำปั้นคำนับก่อนจะตอบ “กระหม่อมหัวเราะ เพราะไม่เพียงแต่อาหารเลี้ยงม้าของเราไม่เพียงพอ ทว่าของพวกมันก็เช่นเดียวกันพ่ะย่ะค่ะ เท่าที่กระหม่อมทราบ…พวกมันใช้คนสามแสนห้าหมื่นคนล้อมรอบเมืองหลันเยี่ยนอยู่ กองทัพใหญ่เพียงนั้นต้องใช้เสบียงจำนวนมาก หากจะใช้เสบียงจากมณฑลดาราที่อยู่ไกลจากภูเขาและน้ำก็ค่อนข้างลำบาก ดังนั้นจึงต้องใช้เสบียงจากมณฑลชางหนานแทน เมื่อเดาจากความคิดพวกมันแล้ว อาหารและน้ำส่วนใหญ่ต้องนำมาจากเมืองฉิวเฟิ่งที่อยู่ไกลจากหลันเยี่ยนไปทางตะวันออกสามสิบไมล์อีกที หากเราเข้าเผาทำลายแหล่งเสบียงพวกมันได้ พวกมันคงเสียกำลังไปมากเช่นกัน”

ฉินอินกล่าว “ปัญหาคือเราจะเผาหญ้าและข้าวของเมืองฉิวเฟิ่งได้อย่างไร? ผู้บัญชาการเฟิงมีความคิดที่ดีกว่านี้หรือไม่?”

เฟิงจี้สิงยิ้ม “เราต้องลองพ่ะย่ะค่ะ หากได้รับการช่วยเหลือจากอาอวี่…รับรองว่าผลที่ได้คุ้มค่าแน่นอน”

หลินมู่อวี่หัวเราะอยู่ข้างๆ “ท่านพี่เฟิงกำลังจะบอกว่าให้ข้าช่วยจู่โจมเมืองทางตะวันออกใช่หรือไม่?”

“ใช่”

เฟิงจี้สิงกล่าว “ข้าได้ทำการตรวจตราสถานการณ์โดยรอบของทหารอาสาแล้ว พวกมันส่วนใหญ่ไปกระจุกอยู่บริเวณกำแพงฝั่งเหนือ ส่วนฝั่งตะวันออกของเมืองมีคนเฝ้าอยู่เพียงสามหมื่นคนเท่านั้น จากที่ข้าคิด…เราสามารถส่งทหารม้าของเราเข้าจู่โจมพวกมันกลางดึกได้”

“ไม่”

ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนแทรกขึ้น “ข้าเองก็ตรวจสอบมาแล้ว แม้ทางตะวันออกจะเห็นว่ามีเพียงสามหมื่นคน ทว่าในป่าในมีนกบินออกตลอดเวลา…เป็นไปได้ว่าจะมีการซุ่มโจมตีอยู่อีก ซึ่งต้องเป็นสิ่งที่หลงเซียนหลินวางแผนไว้แล้วเป็นแน่”

“ข้ารู้”

เฟิงจี้สิงหัวเราะ “ข้าจะนำทหารม้าหนึ่งหมื่นนายบุกทะลวงทางทิศตะวันออกเพื่อดึงดูดความสนใจ ส่วนเจ้า…ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยน นำทัพออกไปทางประตูฝั่งใต้แล้วตรงไปยังเมืองฉิวเฟิ่ง”

ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนหรี่ตามอง “คู่ต่อสู้เราคือหลงเซียนหลิน คิดว่ามันจะไม่ส่งคนไปดักซุ่มโจมตีสกัดทัพเขาเหินของข้าหรือ?”

“แน่นอนว่ามันต้องทำอยู่แล้ว”

เฟิงจี้สิงยิ้ม “แต่เรายังมีไพ่อีกใบอยู่ในมือ”

หลินมู่อวี่ยิ้ม “ข้ารู้แล้ว…มังกรผงาดสินะ”

“ใช่” เฟิงจี้สิงหัวเราะ “กองทัพที่แท้จริงของเราคือกลุ่มมังกรผงาด กององครักษ์และค่ายเขาเหินเป็นเพียงเหยื่อล่อ กลุ่มมังกรผงาดต้องไปทำลายแหล่งเสบียงของพวกมันให้สิ้น หลงเซียนหลินเป็นนักวางกลยุทธ์ มันคงนึกไม่ถึงว่าท้ายที่สุดเราจะกล้าซ้อนแผนมันถึงสองครั้ง”

เหล่ยหงพลันปรบมือและยิ้ม “พวกรุ่นใหม่ช่างน่ากลัวเสียจริง การที่จักรวรรดิมีแม่ทัพอย่างเฟิงจี้สิง ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยน และอาอวี่เช่นนี้ คงได้เป็นเมืองที่ยิ่งใหญ่ขึ้นกว่าเดิมแน่”

ฉินอินเอ่ยด้วยความปีติ “ถ้าเช่นนั้น การบุกโจมตีกลางดึกยกให้เป็นหน้าที่ของผู้บัญชาการเฟิงจี้สิง”

“กระหม่อมจะไม่ทำให้องค์หญิงผิดหวังพ่ะย่ะค่ะ”

ฉินอินหันไปมองยังเหล่าขุนนาง “ภารกิจนี้ขอให้เป็นความลับ ฉะนั้นพวกท่านอย่าได้มีใครออกจากตำหนักเจ๋อเทียนแห่งนี้จนกว่าเหล่าแม่ทัพจะกลับมาเช้าพรุ่งนี้”

“พ่ะย่ะค่ะองค์หญิง!”

ตอนบ่ายคล้อย หลินมู่อวี่ส่งสาส์นไปยังภูเขาหลงหยานโดยนกส่งสารที่ถูกฝึกของเหมืองหลันเยี่ยน มันสามารถบินไปมาได้โดยไม่ตกเป็นเป้าของศัตรู

กระทั่งพลบค่ำ หลินมู่อวี่ได้รับสาส์นตอบกลับจากหลัวอวี่ว่าทหารรับจ้างมังกรผงาดสองหมื่นนายไปถึงเมืองฉิวเฟิ่งและพร้อมจุดไฟทุกเมื่อตามคำสั่งของเขา

ยามตะวันลับฟ้าไปแล้ว เสียงเครื่องยิงหินถล่มกำแพงเมืองหลันเยี่ยนยังคงดังอย่างต่อเนื่อง หินยักษ์ถูกยิงใส่ทั้งในและนอกเมือง ส่งผลให้มีชาวเมืองบาดเจ็บล้มตายนับไม่ถ้วน

กลางดึกมาเยือน บริเวณถนนกลางเมืองหลวงเงียบสงัด กองทัพองครักษ์หมื่นนายกำลังรออยู่ เฟิงจี้สิงในชุดเกราะเหล็กถือดาบสะบั้นวาโยไว้ในมือและใส่หมวกเหล็กเตรียมพร้อม เขาหันไปหาหลินมู่อวี่กับฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม “ข้าจะไปแล้ว หนึ่งชั่วโมงนับจากนี้พวกเจ้าจงบุกออกไปทางประตูตะวันออกพร้อมกับกองทัพค่ายเขาเหิน จำไว้ว่าอย่าหลงระเริงกับสงคราม เมื่อดึงความสนใจพวกทหารอาสาได้สำเร็จแล้วให้รีบกลับเข้าเมือง แม่ทัพตู้ไห่จะนำทหารเทียนฉงเข้าคุ้มกัน”

“แล้วเจอกันขอรับ” หลินมู่อวี่ยิ้มตอบ

เฟิงจี้สิงสูดหายใจลึกอย่างอาลัยก่อนจะกล่าว “พวกเจ้าทั้งสองต้องกลับมาอย่างปลอดภัย พวกเจ้าจะเป็นพี่น้องของเฟิงจี้สิงผู้นี้ตลอดไป…”

ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนกำหมัดคำนับ “อย่าห่วงเลย พวกข้าไม่ตายง่ายๆ แน่”

หลินมู่อวี่ยิ้ม “ท่านพี่เฟิงเองก็ต้องกลับมาอย่างปลอดภัยและรอไปเลี้ยงฉลองพร้อมกัน”

“ได้เลย”

ประตูเมืองตะวันออกแปดชั้นค่อยๆ ถูกยกขึ้น กองทัพทหารจักรวรรดิควบม้าออกไปอย่างรวดเร็วพร้อมกับอาวุธในมือ ม้าศึกที่ใช้เป็นม้าที่ดีที่สุดในจักรวรรดิ ทำให้กำลังรบแข็งแกร่งขึ้นจนดูถูกไม่ได้

หลังจากเฟิงจี้สิงออกไปแล้ว หลินมู่อวี่จึงเอ่ยขึ้น “เราไปกันเถิดท่านพี่ แล้วจากนี้…ข้าจะดูแลท่านพี่ฉู่เหยาให้เอง”

ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนยิ้ม “ไอ้เด็กชั่ว เจ้าคิดว่าพวกข้าจะไม่กลับมาแล้วรึ?”

หลินมู่อวี่พยักหน้า “ข้าก็แค่เป็นห่วง”

“ไม่ต้องห่วง เราต้องรอดกลับมาให้ได้เพื่อไม่ให้อาเหยากังวล ตอนนี้นางเข้าร่วมกับสมาพันธ์โอสถช่วยรักษาคนเจ็บอยู่”

“เยี่ยมเลย”

ไม่นานนักเสียงสู้รบก็ดังขึ้นนอกเมืองหลันเยี่ยนฝั่งตะวันออก แสดงว่าเฟิงจี้สิงและกองทัพองครักษ์เข้าปะทะกับทหารอาสาแล้ว ทหารอาสาจากทั่วทุกทิศเข้ามารุมล้อมทันทีราวกับต้องการฉีกทหารองครักษ์ทั้งหมื่นนายให้เป็นชิ้น

เสียงม้าวิ่งสะเทือนไปทั้งแผ่นดิน ราวกับการสู้รบที่เมืองหลันเยี่ยนสั่นคลอนทั้งโลก

หลินมู่อวี่กระชับกระบี่วิญญาณมังกร เจี๋ยดี่ที่ขี่อยู่ส่งเสียงร้องวิ่งเร็วราวกับรถบีเอ็มบลิวพาเจ้านายของมันมุ่งสู่สนามรบเคียงข้างฉู่ฮว๋ายเหมี่ยน ค่ายทหารอาสาปรากฏขึ้นท่ามกลางแสงจันทร์ไกลออกไป พลทหารถือโล่เมื่อเห็นกองทัพหลินมู่อวี่ก็ตะโกนขึ้น “สุนัขรับใช้จักรวรรดิมา พร้อมรบ”

“บุกได้!”

หลินมู่อวี่ควบม้าไปอย่างรวดเร็วพลางเรียกกำแพงน้ำเต้าออกมาป้องกันการโจมตีให้กองทัพค่ายเขาเหินด้านหลัง กองทัพตั้งขบวนเรียงแถวเข้าไป “เคร้ง…เคร้ง!” หอกยาวถูกขว้างโดยทหารอาสา กองทัพแนวหน้าของทั้งคู่เข้าปะทะกัน ท่ามกลางควันโขมงบดบังท้องฟ้า หลินมู่อวี่ควบม้าเข้าไปพร้อมกับตวัดกระบี่แสงจนทหารอาสาเบื้องหน้าถูกฟันแหลกเป็นชิ้น

เลือดสดสาดกระเซ็นขึ้นกลางอากาศ เสียงโอดร้องโหยหวนดังไปทุกหนแห่ง ทหารม้าเข้าปะทะกับพลโล่ของฝ่ายตรงข้ามเต็มกำลัง! ทหารม้าจากจักรวรรดิที่ได้รับการฝึกฝนมาดีกว่า สามารถทะลวงโล่ของทหารอาสาจนแหลกได้แทบจะทันที กองทัพเขาเหินตวัดดาบฟาดฟันไล่ไปจนถึงค่ายพักทหารอาสา

“ฮ่า!”

กระบี่วิญญาณมังกรใช้วิชาธาตุแสงเปล่งประกายออก! ทหารอาสานายหนึ่งยืนอึ้งอยู่กับที่ วินาทีต่อมาหอกยาวในมือถูกซัดปลิวและตามมาด้วยเสียงครวญครางอย่างเจ็บปวด…นายทหารทรุดลงกับพื้นและถูกเกือกม้าเหล็กเหยียบย่ำจนจมโคลน

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา 321 ซ้อนแผน

Now you are reading The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา Chapter 321 ซ้อนแผน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

Ep.321 ซ้อนแผน

“มันเขียนว่าอะไร?” เฟิงจี้สิงเอ่ยถาม

หลินมู่อวี่ส่งต่อให้เฟิงจี้สิงอ่าน กระทั่งอ่านจบหน้าตาเขาเปลี่ยนไปพลางกัดฟันกรอด “น่ารังเกียจ…น่ารังเกียจที่สุด ทำเช่นนี้มันหยามเกียรติชาวหลันเยี่ยนชัดๆ”

“นี่คือกลยุทธ์อันเฉียบแหลมของหลงเซียนหลิน…” หลินมู่อวี่ถอนหายใจ

เฟิงจี้สิงถาม “มีว่าวแบบนี้ในเมืองอีกเท่าไร?”

ทหารอวี้หลินตอบ “นับไม่ถ้วน…ถูกส่งต่อกันเป็นทอดจนตอนนี้หยุดไม่ได้แล้วขอรับ”

“แบบนี้ต้องแย่แน่…” เฟิงจี้สิงขมวดคิ้ว “ประชากรในเมืองมีอยู่เนืองแน่น หากเกิดการก่อจลาจลขึ้นมามีหวังเมืองได้พังก่อนการสู้รบเป็นแน่”

จางเหว่ยกล่าว “ไม่เห็นยากขอรับ หากใครกล้าก่อปัญหาก็ฟันมันเสียให้หมด”

“อย่าประมาทไป”

เฟิงจี้สิงมองหลินมู่อวี่ “อาอวี่ เจ้าพอมีความคิดใดหรือไม่?”

“ขอรับ” หลินมู่อวี่มองกองทัพทหารอาสานอกกำแพง “สั่งให้ทหารคัดลอกข้อความหนึ่งแสนฉบับแสร้งว่ามาจากเมืองห้าหุบเขา โดยมีเนื้อความว่า…พวกทหารอาสานั้นหน้าซื่อใจคด พวกมันทำลายเมืองห้าหุบเขาที่มีประชาชนทั่วไปอาศัยอยู่จนราบคาบ…หากยอมแพ้ก็เท่ากับตาย จากนั้นให้กระจายข้อความเหล่านี้ไปให้ทั่วหลันเยี่ยนคงพอช่วยหยุดกลยุทธ์ทางจิตใจนี้ได้”

“เยี่ยมมาก”

เฟิงจี้สิงกล่าวด้วยแววตาแห่งความหวัง “พวกเจ้าได้ยินแล้วก็รีบไปจัดการเสีย”

“ขอรับท่านแม่ทัพ”

หลินมู่อวี่นั่งพิงกำแพงเปื้อนเลือดด้วยความกระวนกระวายในใจ จักรวรรดิอี้เหอส่งเสริมความเท่าเทียมและใช้อารยธรรมอันสูงส่งกว่าระบบกษัตริย์ที่ว่าเป็นเครื่องมือชักจูงผู้คน แต่กลับทำตัวมือถือสากปากถือศีล สิ่งที่พวกเขาทำอยู่นี้ถูกแล้วหรือ?

กระทั่งมองธงรบของกองทัพเทียนฉงและหลงฉวนที่ถูกเผาเป็นเถ้าอยู่ใต้เมืองแล้ว หลินมู่อวี่ก็เริ่มกระจ่าง…ที่บอกว่าทุกคนในอาณาจักรจะมีความเท่าเทียมกันนั้นเป็นเพียงอุบายลวงโลก หากเห็นว่าทุกคนเท่ากันจริง คงไม่สังหารกองทัพเทียนฉงและหลงฉวนที่มีภรรยาและลูกน้อยรออยู่ ความเท่าเทียมที่กล่าวอ้างนั้นคือสิ่งนี้หรือ?

การเปลี่ยนผู้ปกครองในโลกนี้ก็เป็นเพียงแค่การเปลี่ยนคนอีกกลุ่มให้เป็นทาสของคนอีกกลุ่ม

หากยังยืนกรานสู้รบ ความหวังเดียวที่จะรอดไปคือรอกำลังเสริมเท่านั้น

สามวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว หลินมู่อวี่ยังไม่เห็นแม้แต่เงาของกำลังเสริม ประชาชนในเมืองก็เริ่มเกิดการจลาจล กระทั่งกระทรวงการคลังยังโดนปล้นถึงสองครั้ง

ทหารในตำหนักเจ๋อเทียนบางตาลงอย่างมาก

กลุ่มควันสีเขียวจากกระถางธูปลอยล่องไปในอากาศ ฉินอินตาแดงก่ำหลังทราบข่าวการพ่ายแพ้ของกองทัพที่เดินทางไปตะวันออก นางร้องไห้ติดต่อกันสามวัน ฉินอินเติบโตมาด้วยความรักของพ่อ เป็นความรักอันบริสุทธิ์ของตระกูลฉิน เมื่อรู้ว่าฉินจิ้นได้จบชีวิตลง ณ ทะเลสาบภูต โลกทั้งใบของฉินอินได้แหลกสลายลงครึ่งหนึ่ง เหลือเพียงหลินมู่อวี่ที่คอยประคองที่เหลือไว้

“สถานการณ์ฝั่งทหารอาสาเป็นอย่างไรบ้าง?” ฉินอินเงยหน้าถามคนที่อยู่โดยรอบ

ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนถวายบังคมกล่าว “พวกมันไม่ได้บุกเข้าโจมตีเมืองอย่างไร้สติ แต่กลับใช้เครื่องยิงหินถล่มกำแพงเมืองจนได้รับความเสียหายหลายจุด หากยังคงเป็นเช่นนี้ต่อไป…เมืองหลันเยี่ยนคงรองรับได้ไม่นานและพังทลายลงในที่สุดพ่ะย่ะค่ะ”

“ยังมีเรื่องน่ากังวลอีกพ่ะย่ะค่ะ” เฟิงจี้สิงกล่าว

ฉินอินชะงัก “เรื่องใดหรือผู้บัญชาการเฟิงจี้สิง?”

“เรามีอาหารเลี้ยงม้าไม่พอพ่ะย่ะค่ะ”

เฟิงจี้สิงกล่าวต่อ “กองทัพองครักษ์มีทหารม้าหนึ่งหมื่นนาย ทัพเขาเหินหนึ่งหมื่นเจ็ดพันนาย รวมกับม้าจากทัพไพรสัณฑ์อีกสี่พันตัว ม้าทั้งหมดสามหมื่นตัวในเมืองหลันเยี่ยนต้องการเสบียงอาหาร ทว่าพื้นที่ให้อาหารรอบเมืองกว่าสิบเก้าหลา ถูกพวกทหารอาสาเข้ายึดครองเรียบร้อยแล้ว ภายในรุ่งสางพรุ่งนี้อาหารที่มีอยู่จะหมด อีกนัยหนึ่งคือไม่เกินมะรืนนี้จะไม่มีทหารม้าอีกต่อไปพ่ะย่ะค่ะ”

“ได้อย่างไรกัน…” ฉินอินเคร่งเครียด “หากไม่มีทหารม้า เราจะไม่มีกองกำลังสู้กลับได้อีก”

“ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ” เฟิงจี้สิงกล่าวพลางยิ้มหัวเราะ

“ผู้บัญชาการเฟิง ท่านหัวเราะด้วยเหตุใดกัน?” ฉินอินถาม

เฟิงจี้สิงประสานกำปั้นคำนับก่อนจะตอบ “กระหม่อมหัวเราะ เพราะไม่เพียงแต่อาหารเลี้ยงม้าของเราไม่เพียงพอ ทว่าของพวกมันก็เช่นเดียวกันพ่ะย่ะค่ะ เท่าที่กระหม่อมทราบ…พวกมันใช้คนสามแสนห้าหมื่นคนล้อมรอบเมืองหลันเยี่ยนอยู่ กองทัพใหญ่เพียงนั้นต้องใช้เสบียงจำนวนมาก หากจะใช้เสบียงจากมณฑลดาราที่อยู่ไกลจากภูเขาและน้ำก็ค่อนข้างลำบาก ดังนั้นจึงต้องใช้เสบียงจากมณฑลชางหนานแทน เมื่อเดาจากความคิดพวกมันแล้ว อาหารและน้ำส่วนใหญ่ต้องนำมาจากเมืองฉิวเฟิ่งที่อยู่ไกลจากหลันเยี่ยนไปทางตะวันออกสามสิบไมล์อีกที หากเราเข้าเผาทำลายแหล่งเสบียงพวกมันได้ พวกมันคงเสียกำลังไปมากเช่นกัน”

ฉินอินกล่าว “ปัญหาคือเราจะเผาหญ้าและข้าวของเมืองฉิวเฟิ่งได้อย่างไร? ผู้บัญชาการเฟิงมีความคิดที่ดีกว่านี้หรือไม่?”

เฟิงจี้สิงยิ้ม “เราต้องลองพ่ะย่ะค่ะ หากได้รับการช่วยเหลือจากอาอวี่…รับรองว่าผลที่ได้คุ้มค่าแน่นอน”

หลินมู่อวี่หัวเราะอยู่ข้างๆ “ท่านพี่เฟิงกำลังจะบอกว่าให้ข้าช่วยจู่โจมเมืองทางตะวันออกใช่หรือไม่?”

“ใช่”

เฟิงจี้สิงกล่าว “ข้าได้ทำการตรวจตราสถานการณ์โดยรอบของทหารอาสาแล้ว พวกมันส่วนใหญ่ไปกระจุกอยู่บริเวณกำแพงฝั่งเหนือ ส่วนฝั่งตะวันออกของเมืองมีคนเฝ้าอยู่เพียงสามหมื่นคนเท่านั้น จากที่ข้าคิด…เราสามารถส่งทหารม้าของเราเข้าจู่โจมพวกมันกลางดึกได้”

“ไม่”

ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนแทรกขึ้น “ข้าเองก็ตรวจสอบมาแล้ว แม้ทางตะวันออกจะเห็นว่ามีเพียงสามหมื่นคน ทว่าในป่าในมีนกบินออกตลอดเวลา…เป็นไปได้ว่าจะมีการซุ่มโจมตีอยู่อีก ซึ่งต้องเป็นสิ่งที่หลงเซียนหลินวางแผนไว้แล้วเป็นแน่”

“ข้ารู้”

เฟิงจี้สิงหัวเราะ “ข้าจะนำทหารม้าหนึ่งหมื่นนายบุกทะลวงทางทิศตะวันออกเพื่อดึงดูดความสนใจ ส่วนเจ้า…ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยน นำทัพออกไปทางประตูฝั่งใต้แล้วตรงไปยังเมืองฉิวเฟิ่ง”

ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนหรี่ตามอง “คู่ต่อสู้เราคือหลงเซียนหลิน คิดว่ามันจะไม่ส่งคนไปดักซุ่มโจมตีสกัดทัพเขาเหินของข้าหรือ?”

“แน่นอนว่ามันต้องทำอยู่แล้ว”

เฟิงจี้สิงยิ้ม “แต่เรายังมีไพ่อีกใบอยู่ในมือ”

หลินมู่อวี่ยิ้ม “ข้ารู้แล้ว…มังกรผงาดสินะ”

“ใช่” เฟิงจี้สิงหัวเราะ “กองทัพที่แท้จริงของเราคือกลุ่มมังกรผงาด กององครักษ์และค่ายเขาเหินเป็นเพียงเหยื่อล่อ กลุ่มมังกรผงาดต้องไปทำลายแหล่งเสบียงของพวกมันให้สิ้น หลงเซียนหลินเป็นนักวางกลยุทธ์ มันคงนึกไม่ถึงว่าท้ายที่สุดเราจะกล้าซ้อนแผนมันถึงสองครั้ง”

เหล่ยหงพลันปรบมือและยิ้ม “พวกรุ่นใหม่ช่างน่ากลัวเสียจริง การที่จักรวรรดิมีแม่ทัพอย่างเฟิงจี้สิง ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยน และอาอวี่เช่นนี้ คงได้เป็นเมืองที่ยิ่งใหญ่ขึ้นกว่าเดิมแน่”

ฉินอินเอ่ยด้วยความปีติ “ถ้าเช่นนั้น การบุกโจมตีกลางดึกยกให้เป็นหน้าที่ของผู้บัญชาการเฟิงจี้สิง”

“กระหม่อมจะไม่ทำให้องค์หญิงผิดหวังพ่ะย่ะค่ะ”

ฉินอินหันไปมองยังเหล่าขุนนาง “ภารกิจนี้ขอให้เป็นความลับ ฉะนั้นพวกท่านอย่าได้มีใครออกจากตำหนักเจ๋อเทียนแห่งนี้จนกว่าเหล่าแม่ทัพจะกลับมาเช้าพรุ่งนี้”

“พ่ะย่ะค่ะองค์หญิง!”

ตอนบ่ายคล้อย หลินมู่อวี่ส่งสาส์นไปยังภูเขาหลงหยานโดยนกส่งสารที่ถูกฝึกของเหมืองหลันเยี่ยน มันสามารถบินไปมาได้โดยไม่ตกเป็นเป้าของศัตรู

กระทั่งพลบค่ำ หลินมู่อวี่ได้รับสาส์นตอบกลับจากหลัวอวี่ว่าทหารรับจ้างมังกรผงาดสองหมื่นนายไปถึงเมืองฉิวเฟิ่งและพร้อมจุดไฟทุกเมื่อตามคำสั่งของเขา

ยามตะวันลับฟ้าไปแล้ว เสียงเครื่องยิงหินถล่มกำแพงเมืองหลันเยี่ยนยังคงดังอย่างต่อเนื่อง หินยักษ์ถูกยิงใส่ทั้งในและนอกเมือง ส่งผลให้มีชาวเมืองบาดเจ็บล้มตายนับไม่ถ้วน

กลางดึกมาเยือน บริเวณถนนกลางเมืองหลวงเงียบสงัด กองทัพองครักษ์หมื่นนายกำลังรออยู่ เฟิงจี้สิงในชุดเกราะเหล็กถือดาบสะบั้นวาโยไว้ในมือและใส่หมวกเหล็กเตรียมพร้อม เขาหันไปหาหลินมู่อวี่กับฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม “ข้าจะไปแล้ว หนึ่งชั่วโมงนับจากนี้พวกเจ้าจงบุกออกไปทางประตูตะวันออกพร้อมกับกองทัพค่ายเขาเหิน จำไว้ว่าอย่าหลงระเริงกับสงคราม เมื่อดึงความสนใจพวกทหารอาสาได้สำเร็จแล้วให้รีบกลับเข้าเมือง แม่ทัพตู้ไห่จะนำทหารเทียนฉงเข้าคุ้มกัน”

“แล้วเจอกันขอรับ” หลินมู่อวี่ยิ้มตอบ

เฟิงจี้สิงสูดหายใจลึกอย่างอาลัยก่อนจะกล่าว “พวกเจ้าทั้งสองต้องกลับมาอย่างปลอดภัย พวกเจ้าจะเป็นพี่น้องของเฟิงจี้สิงผู้นี้ตลอดไป…”

ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนกำหมัดคำนับ “อย่าห่วงเลย พวกข้าไม่ตายง่ายๆ แน่”

หลินมู่อวี่ยิ้ม “ท่านพี่เฟิงเองก็ต้องกลับมาอย่างปลอดภัยและรอไปเลี้ยงฉลองพร้อมกัน”

“ได้เลย”

ประตูเมืองตะวันออกแปดชั้นค่อยๆ ถูกยกขึ้น กองทัพทหารจักรวรรดิควบม้าออกไปอย่างรวดเร็วพร้อมกับอาวุธในมือ ม้าศึกที่ใช้เป็นม้าที่ดีที่สุดในจักรวรรดิ ทำให้กำลังรบแข็งแกร่งขึ้นจนดูถูกไม่ได้

หลังจากเฟิงจี้สิงออกไปแล้ว หลินมู่อวี่จึงเอ่ยขึ้น “เราไปกันเถิดท่านพี่ แล้วจากนี้…ข้าจะดูแลท่านพี่ฉู่เหยาให้เอง”

ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนยิ้ม “ไอ้เด็กชั่ว เจ้าคิดว่าพวกข้าจะไม่กลับมาแล้วรึ?”

หลินมู่อวี่พยักหน้า “ข้าก็แค่เป็นห่วง”

“ไม่ต้องห่วง เราต้องรอดกลับมาให้ได้เพื่อไม่ให้อาเหยากังวล ตอนนี้นางเข้าร่วมกับสมาพันธ์โอสถช่วยรักษาคนเจ็บอยู่”

“เยี่ยมเลย”

ไม่นานนักเสียงสู้รบก็ดังขึ้นนอกเมืองหลันเยี่ยนฝั่งตะวันออก แสดงว่าเฟิงจี้สิงและกองทัพองครักษ์เข้าปะทะกับทหารอาสาแล้ว ทหารอาสาจากทั่วทุกทิศเข้ามารุมล้อมทันทีราวกับต้องการฉีกทหารองครักษ์ทั้งหมื่นนายให้เป็นชิ้น

เสียงม้าวิ่งสะเทือนไปทั้งแผ่นดิน ราวกับการสู้รบที่เมืองหลันเยี่ยนสั่นคลอนทั้งโลก

หลินมู่อวี่กระชับกระบี่วิญญาณมังกร เจี๋ยดี่ที่ขี่อยู่ส่งเสียงร้องวิ่งเร็วราวกับรถบีเอ็มบลิวพาเจ้านายของมันมุ่งสู่สนามรบเคียงข้างฉู่ฮว๋ายเหมี่ยน ค่ายทหารอาสาปรากฏขึ้นท่ามกลางแสงจันทร์ไกลออกไป พลทหารถือโล่เมื่อเห็นกองทัพหลินมู่อวี่ก็ตะโกนขึ้น “สุนัขรับใช้จักรวรรดิมา พร้อมรบ”

“บุกได้!”

หลินมู่อวี่ควบม้าไปอย่างรวดเร็วพลางเรียกกำแพงน้ำเต้าออกมาป้องกันการโจมตีให้กองทัพค่ายเขาเหินด้านหลัง กองทัพตั้งขบวนเรียงแถวเข้าไป “เคร้ง…เคร้ง!” หอกยาวถูกขว้างโดยทหารอาสา กองทัพแนวหน้าของทั้งคู่เข้าปะทะกัน ท่ามกลางควันโขมงบดบังท้องฟ้า หลินมู่อวี่ควบม้าเข้าไปพร้อมกับตวัดกระบี่แสงจนทหารอาสาเบื้องหน้าถูกฟันแหลกเป็นชิ้น

เลือดสดสาดกระเซ็นขึ้นกลางอากาศ เสียงโอดร้องโหยหวนดังไปทุกหนแห่ง ทหารม้าเข้าปะทะกับพลโล่ของฝ่ายตรงข้ามเต็มกำลัง! ทหารม้าจากจักรวรรดิที่ได้รับการฝึกฝนมาดีกว่า สามารถทะลวงโล่ของทหารอาสาจนแหลกได้แทบจะทันที กองทัพเขาเหินตวัดดาบฟาดฟันไล่ไปจนถึงค่ายพักทหารอาสา

“ฮ่า!”

กระบี่วิญญาณมังกรใช้วิชาธาตุแสงเปล่งประกายออก! ทหารอาสานายหนึ่งยืนอึ้งอยู่กับที่ วินาทีต่อมาหอกยาวในมือถูกซัดปลิวและตามมาด้วยเสียงครวญครางอย่างเจ็บปวด…นายทหารทรุดลงกับพื้นและถูกเกือกม้าเหล็กเหยียบย่ำจนจมโคลน

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+