The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา 311 ความเกลียดชัง

Now you are reading The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา Chapter 311 ความเกลียดชัง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

EP.311 ความเกลียดชัง

เวลาเช้าตรู่ยังคงมีหมอกลอยอยู่รอบแท่นบูชาของเผ่าพันธุ์อสูรในป่านิรันดร์ ที่พักรอบบริเวณรูปทรงเรียบง่ายและไม่โอ่อ่า ทว่าให้ความรู้สึกราวกับอยู่ในเทพนิยาย เมื่อหลินมู่อวี่เปิดประตูก็พบจิ้งจอกสาวสองตนกำลังถืออ่างล้างหน้า พวกนางกล่าวอย่างเคารพ “ท่านแม่ทัพ พวกเรามาเพื่อช่วยองค์ราชินีแต่งตัวเจ้าค่ะ”

หลินมู่อวี่พยักหน้า “เข้ามาสิ”

ถังเสี่ยวซีกำลังเตรียมตัว ขณะที่หลินมู่อวี่ยืนพิงราวบันไดมองจากระยะไกล จิ้งจอกหนุ่มกลุ่มหนึ่งกำลังจัดม้าอยู่ในสนามและฝึกวิทยายุทธ์ของทหารม้า เช่นการแทง การเฉือน และการตีวงล้อม ดูเหมือนว่าหลังจากพ่ายแพ้สงครามเมื่อหลายสิบปีก่อน เผ่าพันธุ์อสูรก็มองหายุทธวิธีในการจัดการทหารม้าหนักของมนุษย์

นักปราชญ์หลิงหูเหยียนด้านข้างกำลังนั่งบนหินแกะสลักใต้บันได นางกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ท่านแม่ทัพหลวง ทหารม้าของเผ่าพันธุ์จิ้งจอกเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ?”

“ธรรมดา”

หลินมู่อวี่แตะจมูก เขามิได้โกหก ทักษะการต่อสู้และการขี่ม้าของจิ้งจอกหนุ่มเหล่านี้ยังไม่แข็งแกร่งมากพอ เมื่อเทียบกับองครักษ์อวี้หลิน ทหารอวี้หลิน และกลุ่มทหารรับจ้างมังกรผงาด ความรู้ในการทำศึกบนหลังม้าของเผ่าพันธุ์จิ้งจอกนั้นช่างผิวเผิน หลินมู่อวี่หรี่ตาลงและกล่าวว่า “กระนั้นม้าของเผ่าจิ้งจอกก็ยอดเยี่ยมมาก ความเร็วและพลังกายของมันเหนือกว่าอย่างเห็นได้ชัด”

“ท่านแม่ทัพหลวงตาดีมากเจ้าค่ะ!”

หลิงหูเหยียนยิ้ม “ม้าของเผ่าพันธุ์จิ้งจอกเป็นม้าป่าที่จับจากทุ่งหญ้าทางตะวันตกเฉียงเหนือของป่านิรันดร์ มันถูกทำให้เชื่อง ทว่ายังคงมีสัญชาตญาณของสัตว์ป่า ในแง่ของความแข็งแกร่งและความอดทน มันดีกว่าม้าจากที่ราบตอนกลางของแผ่นดิน ฮ่าๆ อืม…หลิงหูจะมอบม้าให้องค์ราชินีและท่านแม่ทัพ คิดว่าอย่างไรเจ้าคะ?”

“โอ้?”

ดวงตาหลินมู่อวี่เปล่งประกาย ในโลกนี้ม้าศึกเทียบเท่ากับรถยนต์ ซึ่งหมายถึงความคล่องตัวของแต่ละบุคคล หลินมู่อวี่จึงยิ้มอย่างมีความสุข “มันไม่เป็นไรจริงๆ ใช่หรือไม่?”

หลิงหูเหยียนปิดปากยิ้ม “ท่านแม่ทัพหลวงเป็นสหายคนสนิทขององค์ราชินีซี และเป็นผู้ที่แก้ไขความขัดแย้งระหว่างเผ่าพันธุ์อสูรและมนุษย์ หากไม่มีแม่ทัพหลวง สระแห่งการเกิดใหม่ของพวกเราอาจไม่ถูกเติมเต็มด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์ ท่านเป็นผู้มีพระคุณของเผ่าพันธุ์เรา ฉะนั้นม้าศึกนี้เป็นเพียงของขวัญเล็กน้อย หลิงหูได้ออกคำสั่งให้นำม้าที่ดีที่สุดสองตัวมาให้แล้วสำหรับท่านแม่ทัพหลวงและองค์ราชินีซี ตกลงไหมเจ้าคะ?”

“ตกลง ดีมากเลย…” หลินมู่อวี่พยักหน้ารับและยิ้ม

ขณะเดียวกันถังเสี่ยวซีก็เดินออกจากประตูโดยสวมเสื้อผ้าหรูหรา นี่คือความงดงามอันเป็นเอกลักษณ์ของชุดแห่งจักรวรรดิจากช่างฝีมือในเมืองหลันเยี่ยน เมื่อรวมกับจิ้งจอกอัคนีซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของเมืองชีไห่ ยิ่งทำให้ดูสง่างามมากขึ้น อีกทั้งสัญลักษณ์ประจำตระกูลถังแห่งเมืองชีไห่มีความคล้ายคลึงกับเผ่าพันธุ์จิ้งจอกในป่านิรันดร์ราวกับเป็นผลงานจากศิลปินคนเดียวกัน ซึ่งทำให้หลิงหูเหยียนตกตะลึงและโค้งคำนับ “กระหม่อมหลิงหูถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะ…ชุดขององค์ราชินีสง่างามมาก ฝีมือมนุษย์ช่างประณีตและน่าทึ่ง!”

ถังเสี่ยวซีหัวเราะเบาๆ “หลิงหู หากเจ้าต้องการ หลังจากที่ข้ากลับเมืองหลวง ข้าจะให้ช่างตัดเสื้อทำชุดที่เหมาะสมกับรูปร่างของเจ้าและส่งมาให้ดีไหม?”

“ขอบพระทัยฝ่าบาท!” หลิงหูเหยียนยิ้มและขอบคุณด้วยใบหน้าแดงก่ำ แม้ว่านางจะเป็นนักปราชญ์สูงสุดของเผ่าพันธุ์จิ้งจอก ทว่าก็ยังคงเป็นเด็กสาว ดังนั้นจึงปรารถนาถึงสิ่งสวยงามเช่นเดียวกับมนุษย์

ถังเสี่ยวซีเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “เมื่อครู่พวกเจ้ากำลังพูดถึงสิ่งใดอยู่หรือ ข้าได้ยินคำว่าของขวัญ”

“พ่ะย่ะค่ะ” หลิงหูเหยียนพยักหน้าและกล่าว “แม่ทัพหลวงยกย่องม้าของเผ่าพันธุ์จิ้งจอก ดังนั้นกระหม่อมจึงตัดสินใจเลือกม้าศึกที่ดีที่สุดของเผ่าเพื่อมอบให้ท่านแม่ทัพหลวงและองค์ราชินีซีพ่ะย่ะค่ะ พวกมันอยู่ที่นี่แล้ว ทรงตามกระหม่อมมาเถิด”

“อื้ม”

เมื่อลงบันไดมาก็พบทหารจิ้งจอกหนุ่มสองตนมาพร้อมกับม้าสีขาวหนึ่งตัว และม้าสีดำอีกหนึ่งตัว ม้าสีขาวเป็นเพศเมีย ส่วนม้าสีดำเป็นเพศผู้ หลิงหูเหยียนกล่าวด้วยรอยยิ้ม “นี่เป็นม้าที่ได้รับการฝึกฝนมาสองปีจนเชื่องแล้ว ตัวสีขาวชื่อ ‘เสวี่ยหลี’ ส่วนตัวสีดำชื่อ ‘เจี๋ยดี่’ ซึ่งเป็นชื่อที่กระหม่อมตั้งเอง หากท่านแม่ทัพหลวงและองค์ราชินีซีไม่พอพระทัยกับชื่อ ก็สามารถเปลี่ยนได้พ่ะย่ะค่ะ”

หลินมู่อวี่หัวเราะเบาๆ “พอใจสิ จะไม่พอใจได้อย่างไร? เสี่ยวซีตามลักษณะนิสัยของเจ้าแล้ว คงเลือกเสวี่ยหลีใช่หรือไม่?”

ถังเสี่ยวซีพยักหน้า “อื้ม ส่วนมู่มู่ก็ต้องการเจี๋ยดี่ เนื่องจากเจี๋ยดี่แข็งแกร่งเหมาะสมกับเจ้ามากกว่า”

“อืม”

หลินมู่อวี่ก้าวไปด้านหน้าและลูบแก้มของเจี๋ยดี่ ทักษะชีพจรวิญญาณแผ่ออกไปโดยไม่รู้ตัว จากนั้นพลังเชื่องก็เข้าสู่สมองของม้าศึกอย่างเชื่องช้า และเริ่มทำพันธะวิญญาณในพริบตา ทันใดนั้นเจี๋ยดี่ก็เงยหน้าขึ้นพร้อมส่งเสียง ก่อนจะเดินไปด้านหน้าและโค้งศีรษะให้หลินมู่อวี่

นักรบจิ้งจอกผู้นำม้าเข้ามาถึงกับผงะ “พระเจ้า!”

“เป็นไปได้อย่างไร?”

“แม้ว่าเจี๋ยดี่จะถูกทำให้เป็นม้าศึก ทว่าก็ไม่มีใครสามารถทำให้มันเชื่องได้ แม้แต่นักรบผู้แข็งแกร่งที่สุดในเผ่าพันธุ์จิ้งจอกก็ไม่สามารถขี่เจี๋ยดี่ ทว่าตอนนี้…”

หลินมู่อวี่ยิ้มเล็กน้อย “หมายความว่าชะตาลิขิตมาเพื่อข้าอย่างไรล่ะ ฮ่าๆ…”

พูดจบเขาก็ขึ้นม้าและดึงบังเหียน ทันใดนั้นม้าศึกก็ยืนอย่างตื่นเต้นและส่งเสียงร้องยาว หลังจากหลินมู่อวี่ตะโกนมันก็วิ่งฝ่าฝุ่นด้วยความเร็วอันน่าทึ่ง จากนั้นหลินมู่อวี่ขี่ม้ากลับมาในพริบตาราวกับสายลม

ถังเสี่ยวซีหัวเราะคิกคัก “มู่มู่เจ้าชอบไหม?”

“ชอบมาก!”

หลินมู่อวี่กล่าวอย่างจริงใจ “ข้าไม่เคยขี่ม้าที่ดีถึงเพียงนี้มาก่อนในชีวิต…”

หลิงหูเหยียนเองก็มีความสุข “เป็นเรื่องดีที่ท่านแม่ทัพหลวงชอบ เช่นนั้นองค์ราชินีซี เสวี่ยหลีตัวนี้เป็นม้าที่อ่อนโยน ทว่าฝีเท้าของมันก็ไม่ด้อยไปกว่ากัน พระองค์ทรงประสงค์จะลองหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”

“ไม่จำเป็น!”

ถังเสี่ยวซีเดินไปด้านหน้าด้วยรอยยิ้มและจูงม้า “เนื่องจากกิจของเผ่าพันธุ์จิ้งจอกเสร็จสิ้นแล้ว ตอนนี้ข้าควรจะกลับไปยังประตูเมืองอสูร หลิงหู…เจ้าอาศัยอยู่ในป่านิรันดร์และปกครองเผ่าพันธุ์อสูรทั้งหมดอย่างแท้จริง อย่างน้อยเจ้าไม่สามารถปล่อยให้เผ่าพันธุ์งูและหมีโจมตีมนุษย์ตามอำเภอใจอีก และห้ามกินเนื้อมนุษย์ด้วย!”

หลิงหูเหยียนหยักหน้ารับอย่างเคารพ “น้อมรับคำสั่งพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทอย่าทรงกังวล”

“ดี พวกเรากลับล่ะ”

“พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะออกไปส่ง!”

หลังจากกินอาหารเช้าอย่างเรียบง่าย เผ่าพันธุ์จิ้งจอกส่งนักรบสามร้อยตนเพื่อคุ้มกันหลินมู่อวี่และถังเสี่ยวซีกลับประตูเมืองอสูร พวกเขาไม่มีกองทหารอีกแล้ว เนื่องจากกองกำลังหลักของเผ่าพันธุ์จิ้งจอกกลายเป็นเชลยศึกและถูกคุมขังในเมืองอสูรพร้อมกองทัพพฤกษานับหมื่น

หลังจากที่หลินมู่อวี่ใช้พลังพิชิตทำให้ม้าเชื่อง เขาก็แทบไม่ต้องบังคับม้าด้วยมืออีก ทว่าควบคุมการกระทำของมันด้วยจิตสำนึก ซึ่งทำให้ทักษะการขี่ม้าของหลินมู่อวี่ดีขึ้นมาก เขารู้ว่าเจี๋ยดี่สามารถทำอะไรได้บ้าง และใช้ความเร็วแบบใดในการต่อสู้โดยไม่ทำให้ว่อกแว่ก

เมื่อออกมาจากหุบเขาก็พบว่า ซากศพของทหารฝ่ายมนุษย์ถูกเก็บกวาดและฝังไว้ทั้งสองด้านของถนนแล้ว ซึ่งสันนิษฐานได้ว่าคงถูกจัดการโดยกองทหารที่ถังเจิ้นนำมา ทว่ายังคงมีเผ่าพันธุ์งูและเผ่าพันธุ์อสูรอื่นๆ เต็มสองข้างทาง พวกมันมองด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยโลภราวกับมองอาหารเท่านั้น

‘ฟ่อ…’

อสูรครึ่งอสรพิษมองไปยังหลินมู่อวี่พร้อมง้าวในมือ

หลินมู่อวี่หันกลับไปจ้องด้วยสายตาอาฆาต อสูรครึ่งอสรพิษเข้าใจได้ทันที มันตกใจจนปล่อยอาวุธลงพื้น ‘เคร้ง’ ก่อนจะโค้งตัวไปยังทิศทางของหลินมู่อวี่ราวกับกำลังประกาศว่าเป็นผู้อยู่ใต้บัญชา นี่คือกฎของธรรมชาติ…ผู้ที่แข็งแกร่งกินผู้ที่อ่อนแอ การแสดงออกของหลินมู่อวี่เพียงพอที่จะทำให้อสูรครึ่งอสรพิษตนนี้เกรงกลัว

ทว่าหลังจากเดินไปได้ไม่ไกล ทักษะชีพจรวิญญาณก็ตรวจจับรัศมีพลังหนาแน่นได้ ทั้งหมดเป็นจอมยุทธ์มนุษย์ ซึ่งอยู่ในป่าด้านข้างห่างออกไปเพียงห้าร้อยเมตร!

“เสี่ยวซี หลิงหู พวกเจ้าไปกันก่อนเถิด ข้ารู้สึกร้อนใจเล็กน้อย ต้องการจะเข้าป่าไปเพื่อแก้ปัญหา…” หลินมู่อวี่แสร้งทำเป็นอาย

หลิงหูเหยียนหัวเราะคิกคัก “ท่านแม่ทัพหลวงช่างน่าสนใจจริงๆ!”

ถังเสี่ยวซีพูดไม่ออกเล็กน้อย “มู่มู่ บางครั้งข้าก็ไม่รู้จะพูดกับเจ้าอย่างไรดี ข้าบอกแล้วว่าให้ดื่มซุปให้น้อยลงในตอนเช้า เจ้าก็ไม่เชื่อ!”

“ใครให้ทำซุปอร่อยเช่นนั้นล่ะ? แล้วข้าจะรีบตามไปอีกสักครู่”

“อื้ม!”

หลินมู่อวี่ดึงบังเหียน และเจี๋ยดี่ก็ทะยานออกไปราวกับควันในพริบตาเข้าสู่ป่าด้านข้าง ตามดังคาด หลินมู่อวี่เจอกลุ่มทหารแห่งเมืองชีไห่หมอบกับพื้นพร้อมธนูและหอกในมือ มีคนจำนวนมากถือโล่ และมีทหารม้าอย่างน้อยราวหนึ่งหมื่นนายที่พร้อมจะโจมตีทุกเมื่อ

“ใครน่ะ?!” นายกองผู้หนึ่งกระซิบ

หลินมู่อวี่ขี่ม้าเข้าไปในทุ่งกะหล่ำด้วยสีหน้าซีดเซียว “พวกเจ้ากำลังทำบ้าอะไรอยู่!?”

นั่นมันท่านแม่ทัพหลวง…”

ทหารกลุ่มหนึ่งออกมาแสดงความเคารพ “คารวะท่านแม่ทัพหลวง!”

ท่ามกลางฝูงชน ถังเจิ้นเดินถือมีดเหล็กด้วยใบหน้าซีดเซียวมองมายังหลินมู่อวี่ “ท่านแม่ทัพหลวง ระ…รู้ได้อย่างไรว่าพวกเราซุ่มอยู่ที่นี่?”

“พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องรู้ และข้าถามว่าพวกเจ้ามาทำอะไรที่นี่? ถังเจิ้น ตอบข้ามา” หลินมู่อวี่กล่าวอย่างเย็นชา

ถังเจิ้นทำความเคารพอย่างประหม่า ทว่าก็ไม่สามารถซ่อนความเกลียดชังบนใบหน้าได้ “แม่ทัพหลวง พวกเรา…เกือบเจ็ดหมื่นคนจากเมืองชีไห่ถูกฝังในดินแดนแห้งแล้งแห่งนี้ พวกเขาต่างก็เป็นเด็กหนุ่มที่มีพ่อแม่ ทว่าลูกชายกลับต้องมาตายเช่นนี้…เมื่อเรามาที่นี่เพื่อฝังพวกเขา ก็พบว่ามีทหารจำนวนมากที่ร่างกายที่ไม่สมบูรณ์…พวกเขาถูกอสูรครึ่งอสรพิษกลืนกินราวกับอาหาร ท่านแม่ทัพหลวง…หากความเกลียดชังครานี้ไม่ถูกชำระ พวกเราก็คงไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไป!”

“ถังเจิ้น!”

หลินมู่อวี่กล่าวอย่างเคร่งขรึม “เจ้าต้องการวางกับดักให้ข้าและองค์หญิงซีด้วยอยุติธรรมนี้หรือ? พวกเราเพิ่งเจรจากับเผ่าพันธุ์อสูร ทว่าเจ้ากลับต้องการก่อสงครามอีกครั้ง…เจ้าสามารถรับผิดชอบเรื่องนี้ได้เหรอ?”

ถังเจิ้นยังคงไม่ยอมแพ้ขณะที่กระชับมีดเหล็กในมือแน่น “ท่านแม่ทัพหลวง ทหารกว่าหนึ่งหมื่นนายด้านหลังข้าต้องการที่จะต่อสู้เพื่อความเกลียดชังในจิตใจ แม้พวกเราจะล้มตายที่นี่ก็ตาม อย่างน้อยก็มีเจตจำนงที่ชัดเจน! หากเผ่าพันธุ์อสูรไม่ถูกทำลาย ก็จะไม่มีสันติภาพเกิดขึ้นบนแผ่นดินโดยแท้จริง!”

หลินมู่อวี่กัดฟัน “ได้ ตอนนี้ถังเสี่ยวซีอยู่ในมือของพวกมันแล้ว หากพวกเจ้าเริ่มโจมตี ถังเสี่ยวซีก็ต้องตายเพื่อความเกลียดชังนั้น! นี่คือเจตจำนงที่ชัดเจนของเจ้าอย่างนั้นหรือ?!”

“ข้า…” ถังเจิ้นพูดไม่ออก

หลินมู่อวี่ลงจากม้าและเข้าไปตบไหล่ถังเจิ้น “พี่ถังเจิ้น ข้าเองก็เกลียด ข้าเกลียดความโหดเหี้ยมของอสูรครึ่งอสรพิษ และเกลียดพวกเราเองที่ส่งทหารแห่งจักรวรรดิไปตายโดยไร้ประโยชน์ ทว่านี่คือราคาที่ต้องจ่ายเพื่อสงคราม ตามข้ากลับเมืองอสูรเถิด นี่คือคำสั่งในฐานะผู้บัญชาการทหาร”

ถังเจิ้นก้มหน้าลง ไม่นานเขาก็พยักหน้า “ขอรับ ข้าน้อยจะทำตามคำสั่ง! ทหาร ถอยทัพ…”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา 311 ความเกลียดชัง

Now you are reading The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา Chapter 311 ความเกลียดชัง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

EP.311 ความเกลียดชัง

เวลาเช้าตรู่ยังคงมีหมอกลอยอยู่รอบแท่นบูชาของเผ่าพันธุ์อสูรในป่านิรันดร์ ที่พักรอบบริเวณรูปทรงเรียบง่ายและไม่โอ่อ่า ทว่าให้ความรู้สึกราวกับอยู่ในเทพนิยาย เมื่อหลินมู่อวี่เปิดประตูก็พบจิ้งจอกสาวสองตนกำลังถืออ่างล้างหน้า พวกนางกล่าวอย่างเคารพ “ท่านแม่ทัพ พวกเรามาเพื่อช่วยองค์ราชินีแต่งตัวเจ้าค่ะ”

หลินมู่อวี่พยักหน้า “เข้ามาสิ”

ถังเสี่ยวซีกำลังเตรียมตัว ขณะที่หลินมู่อวี่ยืนพิงราวบันไดมองจากระยะไกล จิ้งจอกหนุ่มกลุ่มหนึ่งกำลังจัดม้าอยู่ในสนามและฝึกวิทยายุทธ์ของทหารม้า เช่นการแทง การเฉือน และการตีวงล้อม ดูเหมือนว่าหลังจากพ่ายแพ้สงครามเมื่อหลายสิบปีก่อน เผ่าพันธุ์อสูรก็มองหายุทธวิธีในการจัดการทหารม้าหนักของมนุษย์

นักปราชญ์หลิงหูเหยียนด้านข้างกำลังนั่งบนหินแกะสลักใต้บันได นางกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ท่านแม่ทัพหลวง ทหารม้าของเผ่าพันธุ์จิ้งจอกเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ?”

“ธรรมดา”

หลินมู่อวี่แตะจมูก เขามิได้โกหก ทักษะการต่อสู้และการขี่ม้าของจิ้งจอกหนุ่มเหล่านี้ยังไม่แข็งแกร่งมากพอ เมื่อเทียบกับองครักษ์อวี้หลิน ทหารอวี้หลิน และกลุ่มทหารรับจ้างมังกรผงาด ความรู้ในการทำศึกบนหลังม้าของเผ่าพันธุ์จิ้งจอกนั้นช่างผิวเผิน หลินมู่อวี่หรี่ตาลงและกล่าวว่า “กระนั้นม้าของเผ่าจิ้งจอกก็ยอดเยี่ยมมาก ความเร็วและพลังกายของมันเหนือกว่าอย่างเห็นได้ชัด”

“ท่านแม่ทัพหลวงตาดีมากเจ้าค่ะ!”

หลิงหูเหยียนยิ้ม “ม้าของเผ่าพันธุ์จิ้งจอกเป็นม้าป่าที่จับจากทุ่งหญ้าทางตะวันตกเฉียงเหนือของป่านิรันดร์ มันถูกทำให้เชื่อง ทว่ายังคงมีสัญชาตญาณของสัตว์ป่า ในแง่ของความแข็งแกร่งและความอดทน มันดีกว่าม้าจากที่ราบตอนกลางของแผ่นดิน ฮ่าๆ อืม…หลิงหูจะมอบม้าให้องค์ราชินีและท่านแม่ทัพ คิดว่าอย่างไรเจ้าคะ?”

“โอ้?”

ดวงตาหลินมู่อวี่เปล่งประกาย ในโลกนี้ม้าศึกเทียบเท่ากับรถยนต์ ซึ่งหมายถึงความคล่องตัวของแต่ละบุคคล หลินมู่อวี่จึงยิ้มอย่างมีความสุข “มันไม่เป็นไรจริงๆ ใช่หรือไม่?”

หลิงหูเหยียนปิดปากยิ้ม “ท่านแม่ทัพหลวงเป็นสหายคนสนิทขององค์ราชินีซี และเป็นผู้ที่แก้ไขความขัดแย้งระหว่างเผ่าพันธุ์อสูรและมนุษย์ หากไม่มีแม่ทัพหลวง สระแห่งการเกิดใหม่ของพวกเราอาจไม่ถูกเติมเต็มด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์ ท่านเป็นผู้มีพระคุณของเผ่าพันธุ์เรา ฉะนั้นม้าศึกนี้เป็นเพียงของขวัญเล็กน้อย หลิงหูได้ออกคำสั่งให้นำม้าที่ดีที่สุดสองตัวมาให้แล้วสำหรับท่านแม่ทัพหลวงและองค์ราชินีซี ตกลงไหมเจ้าคะ?”

“ตกลง ดีมากเลย…” หลินมู่อวี่พยักหน้ารับและยิ้ม

ขณะเดียวกันถังเสี่ยวซีก็เดินออกจากประตูโดยสวมเสื้อผ้าหรูหรา นี่คือความงดงามอันเป็นเอกลักษณ์ของชุดแห่งจักรวรรดิจากช่างฝีมือในเมืองหลันเยี่ยน เมื่อรวมกับจิ้งจอกอัคนีซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของเมืองชีไห่ ยิ่งทำให้ดูสง่างามมากขึ้น อีกทั้งสัญลักษณ์ประจำตระกูลถังแห่งเมืองชีไห่มีความคล้ายคลึงกับเผ่าพันธุ์จิ้งจอกในป่านิรันดร์ราวกับเป็นผลงานจากศิลปินคนเดียวกัน ซึ่งทำให้หลิงหูเหยียนตกตะลึงและโค้งคำนับ “กระหม่อมหลิงหูถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะ…ชุดขององค์ราชินีสง่างามมาก ฝีมือมนุษย์ช่างประณีตและน่าทึ่ง!”

ถังเสี่ยวซีหัวเราะเบาๆ “หลิงหู หากเจ้าต้องการ หลังจากที่ข้ากลับเมืองหลวง ข้าจะให้ช่างตัดเสื้อทำชุดที่เหมาะสมกับรูปร่างของเจ้าและส่งมาให้ดีไหม?”

“ขอบพระทัยฝ่าบาท!” หลิงหูเหยียนยิ้มและขอบคุณด้วยใบหน้าแดงก่ำ แม้ว่านางจะเป็นนักปราชญ์สูงสุดของเผ่าพันธุ์จิ้งจอก ทว่าก็ยังคงเป็นเด็กสาว ดังนั้นจึงปรารถนาถึงสิ่งสวยงามเช่นเดียวกับมนุษย์

ถังเสี่ยวซีเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “เมื่อครู่พวกเจ้ากำลังพูดถึงสิ่งใดอยู่หรือ ข้าได้ยินคำว่าของขวัญ”

“พ่ะย่ะค่ะ” หลิงหูเหยียนพยักหน้าและกล่าว “แม่ทัพหลวงยกย่องม้าของเผ่าพันธุ์จิ้งจอก ดังนั้นกระหม่อมจึงตัดสินใจเลือกม้าศึกที่ดีที่สุดของเผ่าเพื่อมอบให้ท่านแม่ทัพหลวงและองค์ราชินีซีพ่ะย่ะค่ะ พวกมันอยู่ที่นี่แล้ว ทรงตามกระหม่อมมาเถิด”

“อื้ม”

เมื่อลงบันไดมาก็พบทหารจิ้งจอกหนุ่มสองตนมาพร้อมกับม้าสีขาวหนึ่งตัว และม้าสีดำอีกหนึ่งตัว ม้าสีขาวเป็นเพศเมีย ส่วนม้าสีดำเป็นเพศผู้ หลิงหูเหยียนกล่าวด้วยรอยยิ้ม “นี่เป็นม้าที่ได้รับการฝึกฝนมาสองปีจนเชื่องแล้ว ตัวสีขาวชื่อ ‘เสวี่ยหลี’ ส่วนตัวสีดำชื่อ ‘เจี๋ยดี่’ ซึ่งเป็นชื่อที่กระหม่อมตั้งเอง หากท่านแม่ทัพหลวงและองค์ราชินีซีไม่พอพระทัยกับชื่อ ก็สามารถเปลี่ยนได้พ่ะย่ะค่ะ”

หลินมู่อวี่หัวเราะเบาๆ “พอใจสิ จะไม่พอใจได้อย่างไร? เสี่ยวซีตามลักษณะนิสัยของเจ้าแล้ว คงเลือกเสวี่ยหลีใช่หรือไม่?”

ถังเสี่ยวซีพยักหน้า “อื้ม ส่วนมู่มู่ก็ต้องการเจี๋ยดี่ เนื่องจากเจี๋ยดี่แข็งแกร่งเหมาะสมกับเจ้ามากกว่า”

“อืม”

หลินมู่อวี่ก้าวไปด้านหน้าและลูบแก้มของเจี๋ยดี่ ทักษะชีพจรวิญญาณแผ่ออกไปโดยไม่รู้ตัว จากนั้นพลังเชื่องก็เข้าสู่สมองของม้าศึกอย่างเชื่องช้า และเริ่มทำพันธะวิญญาณในพริบตา ทันใดนั้นเจี๋ยดี่ก็เงยหน้าขึ้นพร้อมส่งเสียง ก่อนจะเดินไปด้านหน้าและโค้งศีรษะให้หลินมู่อวี่

นักรบจิ้งจอกผู้นำม้าเข้ามาถึงกับผงะ “พระเจ้า!”

“เป็นไปได้อย่างไร?”

“แม้ว่าเจี๋ยดี่จะถูกทำให้เป็นม้าศึก ทว่าก็ไม่มีใครสามารถทำให้มันเชื่องได้ แม้แต่นักรบผู้แข็งแกร่งที่สุดในเผ่าพันธุ์จิ้งจอกก็ไม่สามารถขี่เจี๋ยดี่ ทว่าตอนนี้…”

หลินมู่อวี่ยิ้มเล็กน้อย “หมายความว่าชะตาลิขิตมาเพื่อข้าอย่างไรล่ะ ฮ่าๆ…”

พูดจบเขาก็ขึ้นม้าและดึงบังเหียน ทันใดนั้นม้าศึกก็ยืนอย่างตื่นเต้นและส่งเสียงร้องยาว หลังจากหลินมู่อวี่ตะโกนมันก็วิ่งฝ่าฝุ่นด้วยความเร็วอันน่าทึ่ง จากนั้นหลินมู่อวี่ขี่ม้ากลับมาในพริบตาราวกับสายลม

ถังเสี่ยวซีหัวเราะคิกคัก “มู่มู่เจ้าชอบไหม?”

“ชอบมาก!”

หลินมู่อวี่กล่าวอย่างจริงใจ “ข้าไม่เคยขี่ม้าที่ดีถึงเพียงนี้มาก่อนในชีวิต…”

หลิงหูเหยียนเองก็มีความสุข “เป็นเรื่องดีที่ท่านแม่ทัพหลวงชอบ เช่นนั้นองค์ราชินีซี เสวี่ยหลีตัวนี้เป็นม้าที่อ่อนโยน ทว่าฝีเท้าของมันก็ไม่ด้อยไปกว่ากัน พระองค์ทรงประสงค์จะลองหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”

“ไม่จำเป็น!”

ถังเสี่ยวซีเดินไปด้านหน้าด้วยรอยยิ้มและจูงม้า “เนื่องจากกิจของเผ่าพันธุ์จิ้งจอกเสร็จสิ้นแล้ว ตอนนี้ข้าควรจะกลับไปยังประตูเมืองอสูร หลิงหู…เจ้าอาศัยอยู่ในป่านิรันดร์และปกครองเผ่าพันธุ์อสูรทั้งหมดอย่างแท้จริง อย่างน้อยเจ้าไม่สามารถปล่อยให้เผ่าพันธุ์งูและหมีโจมตีมนุษย์ตามอำเภอใจอีก และห้ามกินเนื้อมนุษย์ด้วย!”

หลิงหูเหยียนหยักหน้ารับอย่างเคารพ “น้อมรับคำสั่งพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทอย่าทรงกังวล”

“ดี พวกเรากลับล่ะ”

“พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะออกไปส่ง!”

หลังจากกินอาหารเช้าอย่างเรียบง่าย เผ่าพันธุ์จิ้งจอกส่งนักรบสามร้อยตนเพื่อคุ้มกันหลินมู่อวี่และถังเสี่ยวซีกลับประตูเมืองอสูร พวกเขาไม่มีกองทหารอีกแล้ว เนื่องจากกองกำลังหลักของเผ่าพันธุ์จิ้งจอกกลายเป็นเชลยศึกและถูกคุมขังในเมืองอสูรพร้อมกองทัพพฤกษานับหมื่น

หลังจากที่หลินมู่อวี่ใช้พลังพิชิตทำให้ม้าเชื่อง เขาก็แทบไม่ต้องบังคับม้าด้วยมืออีก ทว่าควบคุมการกระทำของมันด้วยจิตสำนึก ซึ่งทำให้ทักษะการขี่ม้าของหลินมู่อวี่ดีขึ้นมาก เขารู้ว่าเจี๋ยดี่สามารถทำอะไรได้บ้าง และใช้ความเร็วแบบใดในการต่อสู้โดยไม่ทำให้ว่อกแว่ก

เมื่อออกมาจากหุบเขาก็พบว่า ซากศพของทหารฝ่ายมนุษย์ถูกเก็บกวาดและฝังไว้ทั้งสองด้านของถนนแล้ว ซึ่งสันนิษฐานได้ว่าคงถูกจัดการโดยกองทหารที่ถังเจิ้นนำมา ทว่ายังคงมีเผ่าพันธุ์งูและเผ่าพันธุ์อสูรอื่นๆ เต็มสองข้างทาง พวกมันมองด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยโลภราวกับมองอาหารเท่านั้น

‘ฟ่อ…’

อสูรครึ่งอสรพิษมองไปยังหลินมู่อวี่พร้อมง้าวในมือ

หลินมู่อวี่หันกลับไปจ้องด้วยสายตาอาฆาต อสูรครึ่งอสรพิษเข้าใจได้ทันที มันตกใจจนปล่อยอาวุธลงพื้น ‘เคร้ง’ ก่อนจะโค้งตัวไปยังทิศทางของหลินมู่อวี่ราวกับกำลังประกาศว่าเป็นผู้อยู่ใต้บัญชา นี่คือกฎของธรรมชาติ…ผู้ที่แข็งแกร่งกินผู้ที่อ่อนแอ การแสดงออกของหลินมู่อวี่เพียงพอที่จะทำให้อสูรครึ่งอสรพิษตนนี้เกรงกลัว

ทว่าหลังจากเดินไปได้ไม่ไกล ทักษะชีพจรวิญญาณก็ตรวจจับรัศมีพลังหนาแน่นได้ ทั้งหมดเป็นจอมยุทธ์มนุษย์ ซึ่งอยู่ในป่าด้านข้างห่างออกไปเพียงห้าร้อยเมตร!

“เสี่ยวซี หลิงหู พวกเจ้าไปกันก่อนเถิด ข้ารู้สึกร้อนใจเล็กน้อย ต้องการจะเข้าป่าไปเพื่อแก้ปัญหา…” หลินมู่อวี่แสร้งทำเป็นอาย

หลิงหูเหยียนหัวเราะคิกคัก “ท่านแม่ทัพหลวงช่างน่าสนใจจริงๆ!”

ถังเสี่ยวซีพูดไม่ออกเล็กน้อย “มู่มู่ บางครั้งข้าก็ไม่รู้จะพูดกับเจ้าอย่างไรดี ข้าบอกแล้วว่าให้ดื่มซุปให้น้อยลงในตอนเช้า เจ้าก็ไม่เชื่อ!”

“ใครให้ทำซุปอร่อยเช่นนั้นล่ะ? แล้วข้าจะรีบตามไปอีกสักครู่”

“อื้ม!”

หลินมู่อวี่ดึงบังเหียน และเจี๋ยดี่ก็ทะยานออกไปราวกับควันในพริบตาเข้าสู่ป่าด้านข้าง ตามดังคาด หลินมู่อวี่เจอกลุ่มทหารแห่งเมืองชีไห่หมอบกับพื้นพร้อมธนูและหอกในมือ มีคนจำนวนมากถือโล่ และมีทหารม้าอย่างน้อยราวหนึ่งหมื่นนายที่พร้อมจะโจมตีทุกเมื่อ

“ใครน่ะ?!” นายกองผู้หนึ่งกระซิบ

หลินมู่อวี่ขี่ม้าเข้าไปในทุ่งกะหล่ำด้วยสีหน้าซีดเซียว “พวกเจ้ากำลังทำบ้าอะไรอยู่!?”

นั่นมันท่านแม่ทัพหลวง…”

ทหารกลุ่มหนึ่งออกมาแสดงความเคารพ “คารวะท่านแม่ทัพหลวง!”

ท่ามกลางฝูงชน ถังเจิ้นเดินถือมีดเหล็กด้วยใบหน้าซีดเซียวมองมายังหลินมู่อวี่ “ท่านแม่ทัพหลวง ระ…รู้ได้อย่างไรว่าพวกเราซุ่มอยู่ที่นี่?”

“พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องรู้ และข้าถามว่าพวกเจ้ามาทำอะไรที่นี่? ถังเจิ้น ตอบข้ามา” หลินมู่อวี่กล่าวอย่างเย็นชา

ถังเจิ้นทำความเคารพอย่างประหม่า ทว่าก็ไม่สามารถซ่อนความเกลียดชังบนใบหน้าได้ “แม่ทัพหลวง พวกเรา…เกือบเจ็ดหมื่นคนจากเมืองชีไห่ถูกฝังในดินแดนแห้งแล้งแห่งนี้ พวกเขาต่างก็เป็นเด็กหนุ่มที่มีพ่อแม่ ทว่าลูกชายกลับต้องมาตายเช่นนี้…เมื่อเรามาที่นี่เพื่อฝังพวกเขา ก็พบว่ามีทหารจำนวนมากที่ร่างกายที่ไม่สมบูรณ์…พวกเขาถูกอสูรครึ่งอสรพิษกลืนกินราวกับอาหาร ท่านแม่ทัพหลวง…หากความเกลียดชังครานี้ไม่ถูกชำระ พวกเราก็คงไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไป!”

“ถังเจิ้น!”

หลินมู่อวี่กล่าวอย่างเคร่งขรึม “เจ้าต้องการวางกับดักให้ข้าและองค์หญิงซีด้วยอยุติธรรมนี้หรือ? พวกเราเพิ่งเจรจากับเผ่าพันธุ์อสูร ทว่าเจ้ากลับต้องการก่อสงครามอีกครั้ง…เจ้าสามารถรับผิดชอบเรื่องนี้ได้เหรอ?”

ถังเจิ้นยังคงไม่ยอมแพ้ขณะที่กระชับมีดเหล็กในมือแน่น “ท่านแม่ทัพหลวง ทหารกว่าหนึ่งหมื่นนายด้านหลังข้าต้องการที่จะต่อสู้เพื่อความเกลียดชังในจิตใจ แม้พวกเราจะล้มตายที่นี่ก็ตาม อย่างน้อยก็มีเจตจำนงที่ชัดเจน! หากเผ่าพันธุ์อสูรไม่ถูกทำลาย ก็จะไม่มีสันติภาพเกิดขึ้นบนแผ่นดินโดยแท้จริง!”

หลินมู่อวี่กัดฟัน “ได้ ตอนนี้ถังเสี่ยวซีอยู่ในมือของพวกมันแล้ว หากพวกเจ้าเริ่มโจมตี ถังเสี่ยวซีก็ต้องตายเพื่อความเกลียดชังนั้น! นี่คือเจตจำนงที่ชัดเจนของเจ้าอย่างนั้นหรือ?!”

“ข้า…” ถังเจิ้นพูดไม่ออก

หลินมู่อวี่ลงจากม้าและเข้าไปตบไหล่ถังเจิ้น “พี่ถังเจิ้น ข้าเองก็เกลียด ข้าเกลียดความโหดเหี้ยมของอสูรครึ่งอสรพิษ และเกลียดพวกเราเองที่ส่งทหารแห่งจักรวรรดิไปตายโดยไร้ประโยชน์ ทว่านี่คือราคาที่ต้องจ่ายเพื่อสงคราม ตามข้ากลับเมืองอสูรเถิด นี่คือคำสั่งในฐานะผู้บัญชาการทหาร”

ถังเจิ้นก้มหน้าลง ไม่นานเขาก็พยักหน้า “ขอรับ ข้าน้อยจะทำตามคำสั่ง! ทหาร ถอยทัพ…”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา 311 ความเกลียดชัง

Now you are reading The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา Chapter 311 ความเกลียดชัง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

EP.311 ความเกลียดชัง

เวลาเช้าตรู่ยังคงมีหมอกลอยอยู่รอบแท่นบูชาของเผ่าพันธุ์อสูรในป่านิรันดร์ ที่พักรอบบริเวณรูปทรงเรียบง่ายและไม่โอ่อ่า ทว่าให้ความรู้สึกราวกับอยู่ในเทพนิยาย เมื่อหลินมู่อวี่เปิดประตูก็พบจิ้งจอกสาวสองตนกำลังถืออ่างล้างหน้า พวกนางกล่าวอย่างเคารพ “ท่านแม่ทัพ พวกเรามาเพื่อช่วยองค์ราชินีแต่งตัวเจ้าค่ะ”

หลินมู่อวี่พยักหน้า “เข้ามาสิ”

ถังเสี่ยวซีกำลังเตรียมตัว ขณะที่หลินมู่อวี่ยืนพิงราวบันไดมองจากระยะไกล จิ้งจอกหนุ่มกลุ่มหนึ่งกำลังจัดม้าอยู่ในสนามและฝึกวิทยายุทธ์ของทหารม้า เช่นการแทง การเฉือน และการตีวงล้อม ดูเหมือนว่าหลังจากพ่ายแพ้สงครามเมื่อหลายสิบปีก่อน เผ่าพันธุ์อสูรก็มองหายุทธวิธีในการจัดการทหารม้าหนักของมนุษย์

นักปราชญ์หลิงหูเหยียนด้านข้างกำลังนั่งบนหินแกะสลักใต้บันได นางกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ท่านแม่ทัพหลวง ทหารม้าของเผ่าพันธุ์จิ้งจอกเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ?”

“ธรรมดา”

หลินมู่อวี่แตะจมูก เขามิได้โกหก ทักษะการต่อสู้และการขี่ม้าของจิ้งจอกหนุ่มเหล่านี้ยังไม่แข็งแกร่งมากพอ เมื่อเทียบกับองครักษ์อวี้หลิน ทหารอวี้หลิน และกลุ่มทหารรับจ้างมังกรผงาด ความรู้ในการทำศึกบนหลังม้าของเผ่าพันธุ์จิ้งจอกนั้นช่างผิวเผิน หลินมู่อวี่หรี่ตาลงและกล่าวว่า “กระนั้นม้าของเผ่าจิ้งจอกก็ยอดเยี่ยมมาก ความเร็วและพลังกายของมันเหนือกว่าอย่างเห็นได้ชัด”

“ท่านแม่ทัพหลวงตาดีมากเจ้าค่ะ!”

หลิงหูเหยียนยิ้ม “ม้าของเผ่าพันธุ์จิ้งจอกเป็นม้าป่าที่จับจากทุ่งหญ้าทางตะวันตกเฉียงเหนือของป่านิรันดร์ มันถูกทำให้เชื่อง ทว่ายังคงมีสัญชาตญาณของสัตว์ป่า ในแง่ของความแข็งแกร่งและความอดทน มันดีกว่าม้าจากที่ราบตอนกลางของแผ่นดิน ฮ่าๆ อืม…หลิงหูจะมอบม้าให้องค์ราชินีและท่านแม่ทัพ คิดว่าอย่างไรเจ้าคะ?”

“โอ้?”

ดวงตาหลินมู่อวี่เปล่งประกาย ในโลกนี้ม้าศึกเทียบเท่ากับรถยนต์ ซึ่งหมายถึงความคล่องตัวของแต่ละบุคคล หลินมู่อวี่จึงยิ้มอย่างมีความสุข “มันไม่เป็นไรจริงๆ ใช่หรือไม่?”

หลิงหูเหยียนปิดปากยิ้ม “ท่านแม่ทัพหลวงเป็นสหายคนสนิทขององค์ราชินีซี และเป็นผู้ที่แก้ไขความขัดแย้งระหว่างเผ่าพันธุ์อสูรและมนุษย์ หากไม่มีแม่ทัพหลวง สระแห่งการเกิดใหม่ของพวกเราอาจไม่ถูกเติมเต็มด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์ ท่านเป็นผู้มีพระคุณของเผ่าพันธุ์เรา ฉะนั้นม้าศึกนี้เป็นเพียงของขวัญเล็กน้อย หลิงหูได้ออกคำสั่งให้นำม้าที่ดีที่สุดสองตัวมาให้แล้วสำหรับท่านแม่ทัพหลวงและองค์ราชินีซี ตกลงไหมเจ้าคะ?”

“ตกลง ดีมากเลย…” หลินมู่อวี่พยักหน้ารับและยิ้ม

ขณะเดียวกันถังเสี่ยวซีก็เดินออกจากประตูโดยสวมเสื้อผ้าหรูหรา นี่คือความงดงามอันเป็นเอกลักษณ์ของชุดแห่งจักรวรรดิจากช่างฝีมือในเมืองหลันเยี่ยน เมื่อรวมกับจิ้งจอกอัคนีซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของเมืองชีไห่ ยิ่งทำให้ดูสง่างามมากขึ้น อีกทั้งสัญลักษณ์ประจำตระกูลถังแห่งเมืองชีไห่มีความคล้ายคลึงกับเผ่าพันธุ์จิ้งจอกในป่านิรันดร์ราวกับเป็นผลงานจากศิลปินคนเดียวกัน ซึ่งทำให้หลิงหูเหยียนตกตะลึงและโค้งคำนับ “กระหม่อมหลิงหูถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะ…ชุดขององค์ราชินีสง่างามมาก ฝีมือมนุษย์ช่างประณีตและน่าทึ่ง!”

ถังเสี่ยวซีหัวเราะเบาๆ “หลิงหู หากเจ้าต้องการ หลังจากที่ข้ากลับเมืองหลวง ข้าจะให้ช่างตัดเสื้อทำชุดที่เหมาะสมกับรูปร่างของเจ้าและส่งมาให้ดีไหม?”

“ขอบพระทัยฝ่าบาท!” หลิงหูเหยียนยิ้มและขอบคุณด้วยใบหน้าแดงก่ำ แม้ว่านางจะเป็นนักปราชญ์สูงสุดของเผ่าพันธุ์จิ้งจอก ทว่าก็ยังคงเป็นเด็กสาว ดังนั้นจึงปรารถนาถึงสิ่งสวยงามเช่นเดียวกับมนุษย์

ถังเสี่ยวซีเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “เมื่อครู่พวกเจ้ากำลังพูดถึงสิ่งใดอยู่หรือ ข้าได้ยินคำว่าของขวัญ”

“พ่ะย่ะค่ะ” หลิงหูเหยียนพยักหน้าและกล่าว “แม่ทัพหลวงยกย่องม้าของเผ่าพันธุ์จิ้งจอก ดังนั้นกระหม่อมจึงตัดสินใจเลือกม้าศึกที่ดีที่สุดของเผ่าเพื่อมอบให้ท่านแม่ทัพหลวงและองค์ราชินีซีพ่ะย่ะค่ะ พวกมันอยู่ที่นี่แล้ว ทรงตามกระหม่อมมาเถิด”

“อื้ม”

เมื่อลงบันไดมาก็พบทหารจิ้งจอกหนุ่มสองตนมาพร้อมกับม้าสีขาวหนึ่งตัว และม้าสีดำอีกหนึ่งตัว ม้าสีขาวเป็นเพศเมีย ส่วนม้าสีดำเป็นเพศผู้ หลิงหูเหยียนกล่าวด้วยรอยยิ้ม “นี่เป็นม้าที่ได้รับการฝึกฝนมาสองปีจนเชื่องแล้ว ตัวสีขาวชื่อ ‘เสวี่ยหลี’ ส่วนตัวสีดำชื่อ ‘เจี๋ยดี่’ ซึ่งเป็นชื่อที่กระหม่อมตั้งเอง หากท่านแม่ทัพหลวงและองค์ราชินีซีไม่พอพระทัยกับชื่อ ก็สามารถเปลี่ยนได้พ่ะย่ะค่ะ”

หลินมู่อวี่หัวเราะเบาๆ “พอใจสิ จะไม่พอใจได้อย่างไร? เสี่ยวซีตามลักษณะนิสัยของเจ้าแล้ว คงเลือกเสวี่ยหลีใช่หรือไม่?”

ถังเสี่ยวซีพยักหน้า “อื้ม ส่วนมู่มู่ก็ต้องการเจี๋ยดี่ เนื่องจากเจี๋ยดี่แข็งแกร่งเหมาะสมกับเจ้ามากกว่า”

“อืม”

หลินมู่อวี่ก้าวไปด้านหน้าและลูบแก้มของเจี๋ยดี่ ทักษะชีพจรวิญญาณแผ่ออกไปโดยไม่รู้ตัว จากนั้นพลังเชื่องก็เข้าสู่สมองของม้าศึกอย่างเชื่องช้า และเริ่มทำพันธะวิญญาณในพริบตา ทันใดนั้นเจี๋ยดี่ก็เงยหน้าขึ้นพร้อมส่งเสียง ก่อนจะเดินไปด้านหน้าและโค้งศีรษะให้หลินมู่อวี่

นักรบจิ้งจอกผู้นำม้าเข้ามาถึงกับผงะ “พระเจ้า!”

“เป็นไปได้อย่างไร?”

“แม้ว่าเจี๋ยดี่จะถูกทำให้เป็นม้าศึก ทว่าก็ไม่มีใครสามารถทำให้มันเชื่องได้ แม้แต่นักรบผู้แข็งแกร่งที่สุดในเผ่าพันธุ์จิ้งจอกก็ไม่สามารถขี่เจี๋ยดี่ ทว่าตอนนี้…”

หลินมู่อวี่ยิ้มเล็กน้อย “หมายความว่าชะตาลิขิตมาเพื่อข้าอย่างไรล่ะ ฮ่าๆ…”

พูดจบเขาก็ขึ้นม้าและดึงบังเหียน ทันใดนั้นม้าศึกก็ยืนอย่างตื่นเต้นและส่งเสียงร้องยาว หลังจากหลินมู่อวี่ตะโกนมันก็วิ่งฝ่าฝุ่นด้วยความเร็วอันน่าทึ่ง จากนั้นหลินมู่อวี่ขี่ม้ากลับมาในพริบตาราวกับสายลม

ถังเสี่ยวซีหัวเราะคิกคัก “มู่มู่เจ้าชอบไหม?”

“ชอบมาก!”

หลินมู่อวี่กล่าวอย่างจริงใจ “ข้าไม่เคยขี่ม้าที่ดีถึงเพียงนี้มาก่อนในชีวิต…”

หลิงหูเหยียนเองก็มีความสุข “เป็นเรื่องดีที่ท่านแม่ทัพหลวงชอบ เช่นนั้นองค์ราชินีซี เสวี่ยหลีตัวนี้เป็นม้าที่อ่อนโยน ทว่าฝีเท้าของมันก็ไม่ด้อยไปกว่ากัน พระองค์ทรงประสงค์จะลองหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”

“ไม่จำเป็น!”

ถังเสี่ยวซีเดินไปด้านหน้าด้วยรอยยิ้มและจูงม้า “เนื่องจากกิจของเผ่าพันธุ์จิ้งจอกเสร็จสิ้นแล้ว ตอนนี้ข้าควรจะกลับไปยังประตูเมืองอสูร หลิงหู…เจ้าอาศัยอยู่ในป่านิรันดร์และปกครองเผ่าพันธุ์อสูรทั้งหมดอย่างแท้จริง อย่างน้อยเจ้าไม่สามารถปล่อยให้เผ่าพันธุ์งูและหมีโจมตีมนุษย์ตามอำเภอใจอีก และห้ามกินเนื้อมนุษย์ด้วย!”

หลิงหูเหยียนหยักหน้ารับอย่างเคารพ “น้อมรับคำสั่งพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทอย่าทรงกังวล”

“ดี พวกเรากลับล่ะ”

“พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะออกไปส่ง!”

หลังจากกินอาหารเช้าอย่างเรียบง่าย เผ่าพันธุ์จิ้งจอกส่งนักรบสามร้อยตนเพื่อคุ้มกันหลินมู่อวี่และถังเสี่ยวซีกลับประตูเมืองอสูร พวกเขาไม่มีกองทหารอีกแล้ว เนื่องจากกองกำลังหลักของเผ่าพันธุ์จิ้งจอกกลายเป็นเชลยศึกและถูกคุมขังในเมืองอสูรพร้อมกองทัพพฤกษานับหมื่น

หลังจากที่หลินมู่อวี่ใช้พลังพิชิตทำให้ม้าเชื่อง เขาก็แทบไม่ต้องบังคับม้าด้วยมืออีก ทว่าควบคุมการกระทำของมันด้วยจิตสำนึก ซึ่งทำให้ทักษะการขี่ม้าของหลินมู่อวี่ดีขึ้นมาก เขารู้ว่าเจี๋ยดี่สามารถทำอะไรได้บ้าง และใช้ความเร็วแบบใดในการต่อสู้โดยไม่ทำให้ว่อกแว่ก

เมื่อออกมาจากหุบเขาก็พบว่า ซากศพของทหารฝ่ายมนุษย์ถูกเก็บกวาดและฝังไว้ทั้งสองด้านของถนนแล้ว ซึ่งสันนิษฐานได้ว่าคงถูกจัดการโดยกองทหารที่ถังเจิ้นนำมา ทว่ายังคงมีเผ่าพันธุ์งูและเผ่าพันธุ์อสูรอื่นๆ เต็มสองข้างทาง พวกมันมองด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยโลภราวกับมองอาหารเท่านั้น

‘ฟ่อ…’

อสูรครึ่งอสรพิษมองไปยังหลินมู่อวี่พร้อมง้าวในมือ

หลินมู่อวี่หันกลับไปจ้องด้วยสายตาอาฆาต อสูรครึ่งอสรพิษเข้าใจได้ทันที มันตกใจจนปล่อยอาวุธลงพื้น ‘เคร้ง’ ก่อนจะโค้งตัวไปยังทิศทางของหลินมู่อวี่ราวกับกำลังประกาศว่าเป็นผู้อยู่ใต้บัญชา นี่คือกฎของธรรมชาติ…ผู้ที่แข็งแกร่งกินผู้ที่อ่อนแอ การแสดงออกของหลินมู่อวี่เพียงพอที่จะทำให้อสูรครึ่งอสรพิษตนนี้เกรงกลัว

ทว่าหลังจากเดินไปได้ไม่ไกล ทักษะชีพจรวิญญาณก็ตรวจจับรัศมีพลังหนาแน่นได้ ทั้งหมดเป็นจอมยุทธ์มนุษย์ ซึ่งอยู่ในป่าด้านข้างห่างออกไปเพียงห้าร้อยเมตร!

“เสี่ยวซี หลิงหู พวกเจ้าไปกันก่อนเถิด ข้ารู้สึกร้อนใจเล็กน้อย ต้องการจะเข้าป่าไปเพื่อแก้ปัญหา…” หลินมู่อวี่แสร้งทำเป็นอาย

หลิงหูเหยียนหัวเราะคิกคัก “ท่านแม่ทัพหลวงช่างน่าสนใจจริงๆ!”

ถังเสี่ยวซีพูดไม่ออกเล็กน้อย “มู่มู่ บางครั้งข้าก็ไม่รู้จะพูดกับเจ้าอย่างไรดี ข้าบอกแล้วว่าให้ดื่มซุปให้น้อยลงในตอนเช้า เจ้าก็ไม่เชื่อ!”

“ใครให้ทำซุปอร่อยเช่นนั้นล่ะ? แล้วข้าจะรีบตามไปอีกสักครู่”

“อื้ม!”

หลินมู่อวี่ดึงบังเหียน และเจี๋ยดี่ก็ทะยานออกไปราวกับควันในพริบตาเข้าสู่ป่าด้านข้าง ตามดังคาด หลินมู่อวี่เจอกลุ่มทหารแห่งเมืองชีไห่หมอบกับพื้นพร้อมธนูและหอกในมือ มีคนจำนวนมากถือโล่ และมีทหารม้าอย่างน้อยราวหนึ่งหมื่นนายที่พร้อมจะโจมตีทุกเมื่อ

“ใครน่ะ?!” นายกองผู้หนึ่งกระซิบ

หลินมู่อวี่ขี่ม้าเข้าไปในทุ่งกะหล่ำด้วยสีหน้าซีดเซียว “พวกเจ้ากำลังทำบ้าอะไรอยู่!?”

นั่นมันท่านแม่ทัพหลวง…”

ทหารกลุ่มหนึ่งออกมาแสดงความเคารพ “คารวะท่านแม่ทัพหลวง!”

ท่ามกลางฝูงชน ถังเจิ้นเดินถือมีดเหล็กด้วยใบหน้าซีดเซียวมองมายังหลินมู่อวี่ “ท่านแม่ทัพหลวง ระ…รู้ได้อย่างไรว่าพวกเราซุ่มอยู่ที่นี่?”

“พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องรู้ และข้าถามว่าพวกเจ้ามาทำอะไรที่นี่? ถังเจิ้น ตอบข้ามา” หลินมู่อวี่กล่าวอย่างเย็นชา

ถังเจิ้นทำความเคารพอย่างประหม่า ทว่าก็ไม่สามารถซ่อนความเกลียดชังบนใบหน้าได้ “แม่ทัพหลวง พวกเรา…เกือบเจ็ดหมื่นคนจากเมืองชีไห่ถูกฝังในดินแดนแห้งแล้งแห่งนี้ พวกเขาต่างก็เป็นเด็กหนุ่มที่มีพ่อแม่ ทว่าลูกชายกลับต้องมาตายเช่นนี้…เมื่อเรามาที่นี่เพื่อฝังพวกเขา ก็พบว่ามีทหารจำนวนมากที่ร่างกายที่ไม่สมบูรณ์…พวกเขาถูกอสูรครึ่งอสรพิษกลืนกินราวกับอาหาร ท่านแม่ทัพหลวง…หากความเกลียดชังครานี้ไม่ถูกชำระ พวกเราก็คงไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไป!”

“ถังเจิ้น!”

หลินมู่อวี่กล่าวอย่างเคร่งขรึม “เจ้าต้องการวางกับดักให้ข้าและองค์หญิงซีด้วยอยุติธรรมนี้หรือ? พวกเราเพิ่งเจรจากับเผ่าพันธุ์อสูร ทว่าเจ้ากลับต้องการก่อสงครามอีกครั้ง…เจ้าสามารถรับผิดชอบเรื่องนี้ได้เหรอ?”

ถังเจิ้นยังคงไม่ยอมแพ้ขณะที่กระชับมีดเหล็กในมือแน่น “ท่านแม่ทัพหลวง ทหารกว่าหนึ่งหมื่นนายด้านหลังข้าต้องการที่จะต่อสู้เพื่อความเกลียดชังในจิตใจ แม้พวกเราจะล้มตายที่นี่ก็ตาม อย่างน้อยก็มีเจตจำนงที่ชัดเจน! หากเผ่าพันธุ์อสูรไม่ถูกทำลาย ก็จะไม่มีสันติภาพเกิดขึ้นบนแผ่นดินโดยแท้จริง!”

หลินมู่อวี่กัดฟัน “ได้ ตอนนี้ถังเสี่ยวซีอยู่ในมือของพวกมันแล้ว หากพวกเจ้าเริ่มโจมตี ถังเสี่ยวซีก็ต้องตายเพื่อความเกลียดชังนั้น! นี่คือเจตจำนงที่ชัดเจนของเจ้าอย่างนั้นหรือ?!”

“ข้า…” ถังเจิ้นพูดไม่ออก

หลินมู่อวี่ลงจากม้าและเข้าไปตบไหล่ถังเจิ้น “พี่ถังเจิ้น ข้าเองก็เกลียด ข้าเกลียดความโหดเหี้ยมของอสูรครึ่งอสรพิษ และเกลียดพวกเราเองที่ส่งทหารแห่งจักรวรรดิไปตายโดยไร้ประโยชน์ ทว่านี่คือราคาที่ต้องจ่ายเพื่อสงคราม ตามข้ากลับเมืองอสูรเถิด นี่คือคำสั่งในฐานะผู้บัญชาการทหาร”

ถังเจิ้นก้มหน้าลง ไม่นานเขาก็พยักหน้า “ขอรับ ข้าน้อยจะทำตามคำสั่ง! ทหาร ถอยทัพ…”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา 311 ความเกลียดชัง

Now you are reading The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา Chapter 311 ความเกลียดชัง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

EP.311 ความเกลียดชัง

เวลาเช้าตรู่ยังคงมีหมอกลอยอยู่รอบแท่นบูชาของเผ่าพันธุ์อสูรในป่านิรันดร์ ที่พักรอบบริเวณรูปทรงเรียบง่ายและไม่โอ่อ่า ทว่าให้ความรู้สึกราวกับอยู่ในเทพนิยาย เมื่อหลินมู่อวี่เปิดประตูก็พบจิ้งจอกสาวสองตนกำลังถืออ่างล้างหน้า พวกนางกล่าวอย่างเคารพ “ท่านแม่ทัพ พวกเรามาเพื่อช่วยองค์ราชินีแต่งตัวเจ้าค่ะ”

หลินมู่อวี่พยักหน้า “เข้ามาสิ”

ถังเสี่ยวซีกำลังเตรียมตัว ขณะที่หลินมู่อวี่ยืนพิงราวบันไดมองจากระยะไกล จิ้งจอกหนุ่มกลุ่มหนึ่งกำลังจัดม้าอยู่ในสนามและฝึกวิทยายุทธ์ของทหารม้า เช่นการแทง การเฉือน และการตีวงล้อม ดูเหมือนว่าหลังจากพ่ายแพ้สงครามเมื่อหลายสิบปีก่อน เผ่าพันธุ์อสูรก็มองหายุทธวิธีในการจัดการทหารม้าหนักของมนุษย์

นักปราชญ์หลิงหูเหยียนด้านข้างกำลังนั่งบนหินแกะสลักใต้บันได นางกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ท่านแม่ทัพหลวง ทหารม้าของเผ่าพันธุ์จิ้งจอกเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ?”

“ธรรมดา”

หลินมู่อวี่แตะจมูก เขามิได้โกหก ทักษะการต่อสู้และการขี่ม้าของจิ้งจอกหนุ่มเหล่านี้ยังไม่แข็งแกร่งมากพอ เมื่อเทียบกับองครักษ์อวี้หลิน ทหารอวี้หลิน และกลุ่มทหารรับจ้างมังกรผงาด ความรู้ในการทำศึกบนหลังม้าของเผ่าพันธุ์จิ้งจอกนั้นช่างผิวเผิน หลินมู่อวี่หรี่ตาลงและกล่าวว่า “กระนั้นม้าของเผ่าจิ้งจอกก็ยอดเยี่ยมมาก ความเร็วและพลังกายของมันเหนือกว่าอย่างเห็นได้ชัด”

“ท่านแม่ทัพหลวงตาดีมากเจ้าค่ะ!”

หลิงหูเหยียนยิ้ม “ม้าของเผ่าพันธุ์จิ้งจอกเป็นม้าป่าที่จับจากทุ่งหญ้าทางตะวันตกเฉียงเหนือของป่านิรันดร์ มันถูกทำให้เชื่อง ทว่ายังคงมีสัญชาตญาณของสัตว์ป่า ในแง่ของความแข็งแกร่งและความอดทน มันดีกว่าม้าจากที่ราบตอนกลางของแผ่นดิน ฮ่าๆ อืม…หลิงหูจะมอบม้าให้องค์ราชินีและท่านแม่ทัพ คิดว่าอย่างไรเจ้าคะ?”

“โอ้?”

ดวงตาหลินมู่อวี่เปล่งประกาย ในโลกนี้ม้าศึกเทียบเท่ากับรถยนต์ ซึ่งหมายถึงความคล่องตัวของแต่ละบุคคล หลินมู่อวี่จึงยิ้มอย่างมีความสุข “มันไม่เป็นไรจริงๆ ใช่หรือไม่?”

หลิงหูเหยียนปิดปากยิ้ม “ท่านแม่ทัพหลวงเป็นสหายคนสนิทขององค์ราชินีซี และเป็นผู้ที่แก้ไขความขัดแย้งระหว่างเผ่าพันธุ์อสูรและมนุษย์ หากไม่มีแม่ทัพหลวง สระแห่งการเกิดใหม่ของพวกเราอาจไม่ถูกเติมเต็มด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์ ท่านเป็นผู้มีพระคุณของเผ่าพันธุ์เรา ฉะนั้นม้าศึกนี้เป็นเพียงของขวัญเล็กน้อย หลิงหูได้ออกคำสั่งให้นำม้าที่ดีที่สุดสองตัวมาให้แล้วสำหรับท่านแม่ทัพหลวงและองค์ราชินีซี ตกลงไหมเจ้าคะ?”

“ตกลง ดีมากเลย…” หลินมู่อวี่พยักหน้ารับและยิ้ม

ขณะเดียวกันถังเสี่ยวซีก็เดินออกจากประตูโดยสวมเสื้อผ้าหรูหรา นี่คือความงดงามอันเป็นเอกลักษณ์ของชุดแห่งจักรวรรดิจากช่างฝีมือในเมืองหลันเยี่ยน เมื่อรวมกับจิ้งจอกอัคนีซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของเมืองชีไห่ ยิ่งทำให้ดูสง่างามมากขึ้น อีกทั้งสัญลักษณ์ประจำตระกูลถังแห่งเมืองชีไห่มีความคล้ายคลึงกับเผ่าพันธุ์จิ้งจอกในป่านิรันดร์ราวกับเป็นผลงานจากศิลปินคนเดียวกัน ซึ่งทำให้หลิงหูเหยียนตกตะลึงและโค้งคำนับ “กระหม่อมหลิงหูถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะ…ชุดขององค์ราชินีสง่างามมาก ฝีมือมนุษย์ช่างประณีตและน่าทึ่ง!”

ถังเสี่ยวซีหัวเราะเบาๆ “หลิงหู หากเจ้าต้องการ หลังจากที่ข้ากลับเมืองหลวง ข้าจะให้ช่างตัดเสื้อทำชุดที่เหมาะสมกับรูปร่างของเจ้าและส่งมาให้ดีไหม?”

“ขอบพระทัยฝ่าบาท!” หลิงหูเหยียนยิ้มและขอบคุณด้วยใบหน้าแดงก่ำ แม้ว่านางจะเป็นนักปราชญ์สูงสุดของเผ่าพันธุ์จิ้งจอก ทว่าก็ยังคงเป็นเด็กสาว ดังนั้นจึงปรารถนาถึงสิ่งสวยงามเช่นเดียวกับมนุษย์

ถังเสี่ยวซีเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “เมื่อครู่พวกเจ้ากำลังพูดถึงสิ่งใดอยู่หรือ ข้าได้ยินคำว่าของขวัญ”

“พ่ะย่ะค่ะ” หลิงหูเหยียนพยักหน้าและกล่าว “แม่ทัพหลวงยกย่องม้าของเผ่าพันธุ์จิ้งจอก ดังนั้นกระหม่อมจึงตัดสินใจเลือกม้าศึกที่ดีที่สุดของเผ่าเพื่อมอบให้ท่านแม่ทัพหลวงและองค์ราชินีซีพ่ะย่ะค่ะ พวกมันอยู่ที่นี่แล้ว ทรงตามกระหม่อมมาเถิด”

“อื้ม”

เมื่อลงบันไดมาก็พบทหารจิ้งจอกหนุ่มสองตนมาพร้อมกับม้าสีขาวหนึ่งตัว และม้าสีดำอีกหนึ่งตัว ม้าสีขาวเป็นเพศเมีย ส่วนม้าสีดำเป็นเพศผู้ หลิงหูเหยียนกล่าวด้วยรอยยิ้ม “นี่เป็นม้าที่ได้รับการฝึกฝนมาสองปีจนเชื่องแล้ว ตัวสีขาวชื่อ ‘เสวี่ยหลี’ ส่วนตัวสีดำชื่อ ‘เจี๋ยดี่’ ซึ่งเป็นชื่อที่กระหม่อมตั้งเอง หากท่านแม่ทัพหลวงและองค์ราชินีซีไม่พอพระทัยกับชื่อ ก็สามารถเปลี่ยนได้พ่ะย่ะค่ะ”

หลินมู่อวี่หัวเราะเบาๆ “พอใจสิ จะไม่พอใจได้อย่างไร? เสี่ยวซีตามลักษณะนิสัยของเจ้าแล้ว คงเลือกเสวี่ยหลีใช่หรือไม่?”

ถังเสี่ยวซีพยักหน้า “อื้ม ส่วนมู่มู่ก็ต้องการเจี๋ยดี่ เนื่องจากเจี๋ยดี่แข็งแกร่งเหมาะสมกับเจ้ามากกว่า”

“อืม”

หลินมู่อวี่ก้าวไปด้านหน้าและลูบแก้มของเจี๋ยดี่ ทักษะชีพจรวิญญาณแผ่ออกไปโดยไม่รู้ตัว จากนั้นพลังเชื่องก็เข้าสู่สมองของม้าศึกอย่างเชื่องช้า และเริ่มทำพันธะวิญญาณในพริบตา ทันใดนั้นเจี๋ยดี่ก็เงยหน้าขึ้นพร้อมส่งเสียง ก่อนจะเดินไปด้านหน้าและโค้งศีรษะให้หลินมู่อวี่

นักรบจิ้งจอกผู้นำม้าเข้ามาถึงกับผงะ “พระเจ้า!”

“เป็นไปได้อย่างไร?”

“แม้ว่าเจี๋ยดี่จะถูกทำให้เป็นม้าศึก ทว่าก็ไม่มีใครสามารถทำให้มันเชื่องได้ แม้แต่นักรบผู้แข็งแกร่งที่สุดในเผ่าพันธุ์จิ้งจอกก็ไม่สามารถขี่เจี๋ยดี่ ทว่าตอนนี้…”

หลินมู่อวี่ยิ้มเล็กน้อย “หมายความว่าชะตาลิขิตมาเพื่อข้าอย่างไรล่ะ ฮ่าๆ…”

พูดจบเขาก็ขึ้นม้าและดึงบังเหียน ทันใดนั้นม้าศึกก็ยืนอย่างตื่นเต้นและส่งเสียงร้องยาว หลังจากหลินมู่อวี่ตะโกนมันก็วิ่งฝ่าฝุ่นด้วยความเร็วอันน่าทึ่ง จากนั้นหลินมู่อวี่ขี่ม้ากลับมาในพริบตาราวกับสายลม

ถังเสี่ยวซีหัวเราะคิกคัก “มู่มู่เจ้าชอบไหม?”

“ชอบมาก!”

หลินมู่อวี่กล่าวอย่างจริงใจ “ข้าไม่เคยขี่ม้าที่ดีถึงเพียงนี้มาก่อนในชีวิต…”

หลิงหูเหยียนเองก็มีความสุข “เป็นเรื่องดีที่ท่านแม่ทัพหลวงชอบ เช่นนั้นองค์ราชินีซี เสวี่ยหลีตัวนี้เป็นม้าที่อ่อนโยน ทว่าฝีเท้าของมันก็ไม่ด้อยไปกว่ากัน พระองค์ทรงประสงค์จะลองหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”

“ไม่จำเป็น!”

ถังเสี่ยวซีเดินไปด้านหน้าด้วยรอยยิ้มและจูงม้า “เนื่องจากกิจของเผ่าพันธุ์จิ้งจอกเสร็จสิ้นแล้ว ตอนนี้ข้าควรจะกลับไปยังประตูเมืองอสูร หลิงหู…เจ้าอาศัยอยู่ในป่านิรันดร์และปกครองเผ่าพันธุ์อสูรทั้งหมดอย่างแท้จริง อย่างน้อยเจ้าไม่สามารถปล่อยให้เผ่าพันธุ์งูและหมีโจมตีมนุษย์ตามอำเภอใจอีก และห้ามกินเนื้อมนุษย์ด้วย!”

หลิงหูเหยียนหยักหน้ารับอย่างเคารพ “น้อมรับคำสั่งพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทอย่าทรงกังวล”

“ดี พวกเรากลับล่ะ”

“พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะออกไปส่ง!”

หลังจากกินอาหารเช้าอย่างเรียบง่าย เผ่าพันธุ์จิ้งจอกส่งนักรบสามร้อยตนเพื่อคุ้มกันหลินมู่อวี่และถังเสี่ยวซีกลับประตูเมืองอสูร พวกเขาไม่มีกองทหารอีกแล้ว เนื่องจากกองกำลังหลักของเผ่าพันธุ์จิ้งจอกกลายเป็นเชลยศึกและถูกคุมขังในเมืองอสูรพร้อมกองทัพพฤกษานับหมื่น

หลังจากที่หลินมู่อวี่ใช้พลังพิชิตทำให้ม้าเชื่อง เขาก็แทบไม่ต้องบังคับม้าด้วยมืออีก ทว่าควบคุมการกระทำของมันด้วยจิตสำนึก ซึ่งทำให้ทักษะการขี่ม้าของหลินมู่อวี่ดีขึ้นมาก เขารู้ว่าเจี๋ยดี่สามารถทำอะไรได้บ้าง และใช้ความเร็วแบบใดในการต่อสู้โดยไม่ทำให้ว่อกแว่ก

เมื่อออกมาจากหุบเขาก็พบว่า ซากศพของทหารฝ่ายมนุษย์ถูกเก็บกวาดและฝังไว้ทั้งสองด้านของถนนแล้ว ซึ่งสันนิษฐานได้ว่าคงถูกจัดการโดยกองทหารที่ถังเจิ้นนำมา ทว่ายังคงมีเผ่าพันธุ์งูและเผ่าพันธุ์อสูรอื่นๆ เต็มสองข้างทาง พวกมันมองด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยโลภราวกับมองอาหารเท่านั้น

‘ฟ่อ…’

อสูรครึ่งอสรพิษมองไปยังหลินมู่อวี่พร้อมง้าวในมือ

หลินมู่อวี่หันกลับไปจ้องด้วยสายตาอาฆาต อสูรครึ่งอสรพิษเข้าใจได้ทันที มันตกใจจนปล่อยอาวุธลงพื้น ‘เคร้ง’ ก่อนจะโค้งตัวไปยังทิศทางของหลินมู่อวี่ราวกับกำลังประกาศว่าเป็นผู้อยู่ใต้บัญชา นี่คือกฎของธรรมชาติ…ผู้ที่แข็งแกร่งกินผู้ที่อ่อนแอ การแสดงออกของหลินมู่อวี่เพียงพอที่จะทำให้อสูรครึ่งอสรพิษตนนี้เกรงกลัว

ทว่าหลังจากเดินไปได้ไม่ไกล ทักษะชีพจรวิญญาณก็ตรวจจับรัศมีพลังหนาแน่นได้ ทั้งหมดเป็นจอมยุทธ์มนุษย์ ซึ่งอยู่ในป่าด้านข้างห่างออกไปเพียงห้าร้อยเมตร!

“เสี่ยวซี หลิงหู พวกเจ้าไปกันก่อนเถิด ข้ารู้สึกร้อนใจเล็กน้อย ต้องการจะเข้าป่าไปเพื่อแก้ปัญหา…” หลินมู่อวี่แสร้งทำเป็นอาย

หลิงหูเหยียนหัวเราะคิกคัก “ท่านแม่ทัพหลวงช่างน่าสนใจจริงๆ!”

ถังเสี่ยวซีพูดไม่ออกเล็กน้อย “มู่มู่ บางครั้งข้าก็ไม่รู้จะพูดกับเจ้าอย่างไรดี ข้าบอกแล้วว่าให้ดื่มซุปให้น้อยลงในตอนเช้า เจ้าก็ไม่เชื่อ!”

“ใครให้ทำซุปอร่อยเช่นนั้นล่ะ? แล้วข้าจะรีบตามไปอีกสักครู่”

“อื้ม!”

หลินมู่อวี่ดึงบังเหียน และเจี๋ยดี่ก็ทะยานออกไปราวกับควันในพริบตาเข้าสู่ป่าด้านข้าง ตามดังคาด หลินมู่อวี่เจอกลุ่มทหารแห่งเมืองชีไห่หมอบกับพื้นพร้อมธนูและหอกในมือ มีคนจำนวนมากถือโล่ และมีทหารม้าอย่างน้อยราวหนึ่งหมื่นนายที่พร้อมจะโจมตีทุกเมื่อ

“ใครน่ะ?!” นายกองผู้หนึ่งกระซิบ

หลินมู่อวี่ขี่ม้าเข้าไปในทุ่งกะหล่ำด้วยสีหน้าซีดเซียว “พวกเจ้ากำลังทำบ้าอะไรอยู่!?”

นั่นมันท่านแม่ทัพหลวง…”

ทหารกลุ่มหนึ่งออกมาแสดงความเคารพ “คารวะท่านแม่ทัพหลวง!”

ท่ามกลางฝูงชน ถังเจิ้นเดินถือมีดเหล็กด้วยใบหน้าซีดเซียวมองมายังหลินมู่อวี่ “ท่านแม่ทัพหลวง ระ…รู้ได้อย่างไรว่าพวกเราซุ่มอยู่ที่นี่?”

“พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องรู้ และข้าถามว่าพวกเจ้ามาทำอะไรที่นี่? ถังเจิ้น ตอบข้ามา” หลินมู่อวี่กล่าวอย่างเย็นชา

ถังเจิ้นทำความเคารพอย่างประหม่า ทว่าก็ไม่สามารถซ่อนความเกลียดชังบนใบหน้าได้ “แม่ทัพหลวง พวกเรา…เกือบเจ็ดหมื่นคนจากเมืองชีไห่ถูกฝังในดินแดนแห้งแล้งแห่งนี้ พวกเขาต่างก็เป็นเด็กหนุ่มที่มีพ่อแม่ ทว่าลูกชายกลับต้องมาตายเช่นนี้…เมื่อเรามาที่นี่เพื่อฝังพวกเขา ก็พบว่ามีทหารจำนวนมากที่ร่างกายที่ไม่สมบูรณ์…พวกเขาถูกอสูรครึ่งอสรพิษกลืนกินราวกับอาหาร ท่านแม่ทัพหลวง…หากความเกลียดชังครานี้ไม่ถูกชำระ พวกเราก็คงไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไป!”

“ถังเจิ้น!”

หลินมู่อวี่กล่าวอย่างเคร่งขรึม “เจ้าต้องการวางกับดักให้ข้าและองค์หญิงซีด้วยอยุติธรรมนี้หรือ? พวกเราเพิ่งเจรจากับเผ่าพันธุ์อสูร ทว่าเจ้ากลับต้องการก่อสงครามอีกครั้ง…เจ้าสามารถรับผิดชอบเรื่องนี้ได้เหรอ?”

ถังเจิ้นยังคงไม่ยอมแพ้ขณะที่กระชับมีดเหล็กในมือแน่น “ท่านแม่ทัพหลวง ทหารกว่าหนึ่งหมื่นนายด้านหลังข้าต้องการที่จะต่อสู้เพื่อความเกลียดชังในจิตใจ แม้พวกเราจะล้มตายที่นี่ก็ตาม อย่างน้อยก็มีเจตจำนงที่ชัดเจน! หากเผ่าพันธุ์อสูรไม่ถูกทำลาย ก็จะไม่มีสันติภาพเกิดขึ้นบนแผ่นดินโดยแท้จริง!”

หลินมู่อวี่กัดฟัน “ได้ ตอนนี้ถังเสี่ยวซีอยู่ในมือของพวกมันแล้ว หากพวกเจ้าเริ่มโจมตี ถังเสี่ยวซีก็ต้องตายเพื่อความเกลียดชังนั้น! นี่คือเจตจำนงที่ชัดเจนของเจ้าอย่างนั้นหรือ?!”

“ข้า…” ถังเจิ้นพูดไม่ออก

หลินมู่อวี่ลงจากม้าและเข้าไปตบไหล่ถังเจิ้น “พี่ถังเจิ้น ข้าเองก็เกลียด ข้าเกลียดความโหดเหี้ยมของอสูรครึ่งอสรพิษ และเกลียดพวกเราเองที่ส่งทหารแห่งจักรวรรดิไปตายโดยไร้ประโยชน์ ทว่านี่คือราคาที่ต้องจ่ายเพื่อสงคราม ตามข้ากลับเมืองอสูรเถิด นี่คือคำสั่งในฐานะผู้บัญชาการทหาร”

ถังเจิ้นก้มหน้าลง ไม่นานเขาก็พยักหน้า “ขอรับ ข้าน้อยจะทำตามคำสั่ง! ทหาร ถอยทัพ…”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+