The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา 293 ภูเขาหยิงเฉ่า

Now you are reading The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา Chapter 293 ภูเขาหยิงเฉ่า at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

Ep.293 ภูเขาหยิงเฉ่า

ทางตอนเหนือของป่าล่ามังกร ต้นไม้ใบหญ้าเริ่มมีการฟื้นฟูกลับมาเขียวขจี

ฉินอิน เฟิงจี้สิง และชวีฉูควบม้าทำทัพทหารองครักษ์สองพันคน จางเหว่ยที่ถูกแต่งตั้งโดยเฟิงจี้สิงให้เป็นหัวหน้าหน่วยในภารกิจครั้งนี้ถือมีดเหล็กเดินนำหน้าไป

“องค์หญิง ตอนนี้เราได้เข้าสู่ส่วนลึกของป่าล่ามังกรแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

ชวีฉูขมวดคิ้ว “ด้านในมีสัตว์วิญญาณอายุมากกว่าห้าพันปีอยู่ หากเราเข้าไปลึกแล้วเราอาจป้องกันตัวเองได้ ทว่าเหล่าทหารกององครักษ์…พวกเขาไม่ได้แกร่งพอจะป้องกันตัวเอง”

เฟิงจี้สิงพยักหน้า “ถูกต้อง ครั้งที่เราเข้าป่าล่ามังกรแล้วถูกงูมังกรจู่โจม เราเสียทหารไปหลายร้อยจากพันกว่าคน การโจมตีจากสัตว์วิญญาณขนาดใหญ่นั้นอย่าได้ดูถูกเป็นอันขาด”

ฉินอินถอนหายใจภายใต้ผ้าคลุมหัว “เช่นนั้นจงให้พวกเขารออยู่ที่นี่หรือกลับเมืองหลันเยี่ยนไปก่อน คงจะง่ายกว่าหากมีแค่เราที่เข้าไปตามหาเสี่ยวซี”

จางเหว่ยรีบคำนับและเอ่ยขึ้นโดยพลัน “องค์หญิงโปรดอย่าได้ประเมินพวกเราต่ำไปพ่ะย่ะค่ะ ในฐานะสมาชิกของกองทัพองครักษ์ ข้าขอตายในป่าล่ามังกรแห่งนี้เสียยังดีกว่าเป็นคนขี้ขลาด อีกทั้งยิ่งมีคนมาก…ระยะการค้นหาก็กว้างขึ้น เพราะป่าแห่งนี้กว้างใหญ่เกินไปที่จะหาคนเพียงคนเดียวให้พบโดยง่าย กระหม่อมขอยืนยันว่าคนเยอะย่อมดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ”

ฉินอินเอ่ยถาม “ท่านคิดว่าอย่างไรผู้บัญชาการเฟิงจี้สิง?”

เฟิงจี้สิงตอบอย่างใจเย็น “ออกคำสั่งให้แบ่งเป็นกลุ่มละหนึ่งร้อยคน แยกกันไปพร้อมกับกลองรบและคบเพลิง หากเผชิญหน้ากับสัตว์วิญญาณที่แข็งแกร่งให้จุดคบเพลิงทันที พวกมันกลัวไฟ อีกทั้งเสียงกลองจะช่วยทำให้พวกมันตกใจ ที่สำคัญอย่าแตกกลุ่มและรีบหาองค์หญิงซีให้พบโดยเร็ว”

“ขอรับ!” จางเหว่ยพยักหน้า

ชวีฉูหยิบม้วนแผนที่จากแขนเสื้อออกมากาง “หากตรงไปเราจะพบกับบึงโลหิตอันเลื่องลือ เป็นบึงที่เต็มไปด้วยไอพิษ เราจะผ่านไปทางนั้นหรือไม่?”

“บึงโลหิตหรือ?”

ฉินอินเอ่ยขึ้นด้วยสายตาจริงจัง “สั่งให้กองทัพปักหลักอยู่ด้านนอก ส่วนท่านผู้เฒ่าชวีตามข้าไปยังบึงโลหิต!”

“องค์หญิงจะไปบึงจริงหรือพ่ะย่ะค่ะ?”

“อืม”

ฉินอินหันมองชวีฉูพลางกล่าวต่อ “ข้ามีเลือดมังกรอยู่ในตัว ไอพิษเหล่านั้นทำอะไรข้าไม่ได้ ขณะที่เรามีกันหลายคน ทว่าเสี่ยวซีกำลังตัวคนเดียวในป่าแห่งนี้ ไม่รู้ว่านางจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร…ท่านผู้เฒ่าชวีไปกับข้าเถิด”

“ตามรับสั่งพ่ะย่ะค่ะ!” ผู้เฒ่าชวีพยักหน้า

เฟิงจี้สิงกระชับดาบสะบั้นวาโยของตนก่อนออกคำสั่งให้ทุกคนประจำอยู่กับที่ บึงโลหิตเบื้องหน้านั้นประหนึ่งแดนทรมาน น้ำในบึงเป็นสีเลือดและต้มเดือดอยู่ตลอดเวลา บางครั้งก็มีสัตว์พิษเช่นงูหรือแมงป่องเพ่นพ่านไปมาอย่างน่าสยดสยอง แม้วิชายุทธ์ของเฟิงจี้สิงจะอยู่ระดับสูง ทว่าเขาไม่ได้มีร่างต้านพิษจึงไม่อยากเสี่ยง

ฉินอินลงจากม้าและเดินเข้าไปในบึงโลหิต โซ่เทวะก็ปรากฏขึ้นรอบตัวช่วยป้องกันไอพิษ ชวีฉูเองก็เรียกวิญญาณยุทธ์ของตนออกมาในรูปแบบป้องกันเพื่อต้านไอพิษเช่นกัน ชวีฉูทำได้เพียงถอนหายใจเมื่อมองไปยังฉินอินเบื้องหน้า ที่กล่าวกันว่าสายเลือดตระกูลฉินมีที่ตนกำเนิดมาจากมังกรคงเป็นเรื่องจริงสิท่า เพราะหากเป็นคนธรรมดาเพียงเดินเข้าไปในบึงไม่ถึงนาทีก็ตายแล้ว ทว่าฉินอินกลับไม่สะทกสะท้านกับสิ่งอันตรายนั้นเลย

“ฟ่อ…”

กิ้งก่าเลือดตัวหนึ่งกำลังแลบลิ้นเดินตามฉินอินอยู่ไม่ไกลในเงามืด มันมีเส้นสีทองห้าเส้นบนหัว เป็นสัตว์วิญญาณอายุห้าพันปี ด้านหลังมันตามด้วยกิ้งก่าตัวเล็กอีกสองสามตัวอายุราวสามพันปี ฝูงกิ้งก่าจ้องมองมนุษย์ผู้ย่างกรายเข้ามาในอาณาเขตของตนพร้อมเข้าจู่โจมทุกเมื่อ

“ระวังตัวด้วยพ่ะย่ะค่ะองค์หญิง…” ชวีฉูเตือน

ฉินอินคลี่ยิ้ม “อย่าห่วงเลยผู้เฒ่าชวี”

ฉินอินย่างไปบนพื้นแห้งสีแดง โซ่สีทองเปล่งแสงไปมาโดยรอบพร้อมกับเสียงอันแผ่วเบาของมังกรที่แว่วออกมา ฝูงกิ้งก่าส่งเสียงร้องราวกับเห็นมังกรตัวเป็นๆ ก่อนจะพากันถอยร่นเข้าถ้ำและไม่กล้าออกมาอีก

ชวีฉูมองอย่างตกตะลึงก่อนจะเอ่ยขึ้น “คงไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นแล้วองค์หญิง เพื่อไม่ให้เสียเวลาไปมากกว่านี้เรารีบไปกันเถิดพ่ะย่ะค่ะ”

ตาคู่สวยของฉินอินมองไปโดยรอบ ไม่มีวี่แววของถังเสี่ยวซีปรากฏ นางจึงดึงผ้าคลุมขึ้นมาสวมพลางพยักหน้าเอ่ย “ไปกันเถิด”

กระทั่งออกจากบึงโลหิต เฟิงจี้สิงรุดเข้าไปรับหน้าทันที “ปลอดภัยดีหรือองค์หญิง?” ฉินอินยิ้ม “ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ เตรียมออกเดินทางกันเถิด”

“ตอนนี้มืดแล้ว…กระหม่อมว่าเราควรพักค้างแรมกันที่นี่สักคืนแล้วค่อยเดินทางพรุ่งนี้เช้าจะดีกว่า”

“ไม่”

ฉินอินกล่าวด้วยสายตามุ่งมั่น “ท่านผู้บัญชาการเฟิงจี้สิง ยิ่งเราช้ามากเท่าไร เสี่ยวซียิ่งตกอยู่ในอันตรายมากเท่านั้น ข้าเป็นห่วงนาง…สถานการณ์ที่ยากลำบากของเราในตอนนี้เทียบกับสิ่งที่นางกำลังเผชิญไม่ได้เลย”

“ทราบแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

ชวีฉูหันหัวม้าไปทางฉินอิน “องค์หญิง อันที่จริงอาจะมิสมควรนัก…แต่ข้ามีเรื่องหนึ่งจะเอ่ย”

“ท่านผู้เฒ่าชวีพูดออกมาเถิดเจ้าค่ะ” ฉินอินตอบอย่างใจเย็น

ชวีฉูพยักหน้าก่อนจะคำนับแล้วเอ่ยขึ้น “ตามที่อาอวี่ได้ทำการคาดเดาไว้ว่าปีศาจจิ้งจอกเก้าหางอาจเป็นองค์หญิงซี เท่าที่ข้าเคยรู้มา จิ้งจอกเก้าหางนั้นทรงพลังเป็นอย่างมาก หากเสี่ยวซีกลายร่างเป็นจิ้งจอกเก้าหางจริง พลังของนางตอนนี้ไม่ได้ด้อยไปกว่าข้าเลย ต้องใช้คนสักเท่าไรถึงจะจัดการกับนางได้?”

ฉินอินกะพริบตามองชวีฉู “ท่านไม่มีวิธีเลยหรือเจ้าคะท่านผู้เฒ่าชวี?”

ชวีฉูถึงกับตกตะลึงและนิ่งเงียบไปชั่วครู่

เฟิงจี้สิงสูดหายใจลึกก่อนจะตะโกนออกคำสั่ง “กองทัพทั้งหมดจงฟังคำสั่ง ออกเดินเดินทางค้นหาต่อ!”

เวลาสองวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว สี่วันแล้วที่ถังเสี่ยวซีหายตัวไปจากเมืองหลันเยี่ยน

ทางตะวันตกเฉียงเหนือของป่าล่ามังกร กองทหารจำนวนหนึ่งกำลังเดินทางอยู่ ทว่าจำนวนหนึ่งในนั้นได้รับบาดเจ็บร้องครวญครางอยู่บนหลังม้า เสื้อผ้าเปรอะไปด้วยเลือด

กองทหารเมืองชีไห่ได้ปะทะเข้ากับสัตว์วิญญาณอายุแปดพันสองร้อยปีโดยบังเอิญ จากการต่อสู้อันดุเดือดทำให้เสียกำลังคนไปกว่าร้อย แม้แต่เฒ่าจิงยังได้รับบาดเจ็บแม้จะไม่มาก เขามีพลังยุทธ์ชั้นยอดก็ทว่า ทว่าไม่มีกำแพงน้ำเต้าคอยป้องกันเช่นหลินมู่อวี่ กว่าจะสังหารสัตว์วิญญาณลงได้ก็สูญเสียมิใช่น้อย

หลินมู่อวี่ยืนมองการต่อสู้ตั้งแต่ต้นจนจบโดยไม่ทำอะไร เพราะสายตาแห่งความเป็นปรปักษ์ของถังปินและคนอื่นๆ ที่มองเขาอย่างไม่พอใจในความเป็นบุตรบุญธรรมของจักรพรรดิ

ทหารองครักษ์นายหนึ่งก้าวออกมา “ท่านอ๋องขอรับ ตรงไปทางนี้เป็นภูเขาหยิงเฉ่าขอรับ!”

“ภูเขาหยิงเฉ่ารึ?”

“ขอรับ ชื่อหยิงเฉ่ามาจากสัตว์วิญญาณโบราณหลายตัวที่อยู่ที่นั่น กล่าวกันว่าในป่าล่ามังกรแห่งนี้ภูเขาหยิงซานเป็นสถานที่อันตรายที่สุด หลายพันปีก่อนเคยมีคนพบรอยเท้าของอสูรระดับปราชญ์ในภูเขา และตลอดร้อยปีมานี้ไม่มีใครไปเหยียบที่นั่นอีกเลย…ฉะนั้นโปรดหลีกเลี่ยงเส้นทางนั้นเถิดขอรับ”

“ไม่” ถังปินปฏิเสธ “ต่อให้มีสัตว์วิญญาณระดับปราชญ์จริงเราก็ต้องเข้าไป เราไม่รู้ว่าเสี่ยวซีอยู่แห่งใด ฉะนั้นเราควรจะหาทุกที่ที่เป็นไปได้ คืนนี้เราจะเข้าไปพักแรมในเขาหยิงเฉ่าก่อนแล้วค่อยออกเดินทางไปทิศตะวันออกพรุ่งนี้เช้า”

“ขอรับ!”

ถังปินกล่าวต่อ “เตรียมอาหารและไวน์ เราจะมีงานเลี้ยงสังสรรค์แก่ท่านหลินมู่อวี่”

“รับทราบ เราจะเตรียมการให้พร้อมขอรับ”

หลินมู่อวี่แค่นหัวเราะอย่างเย็นชาอยู่ข้างๆ “ท่านอ๋องช่างใจดีเหลือเกินนะขอรับ ไม่จำเป็นต้องเลี้ยงฉลองก็ได้ ข้าเคยอยู่อยากอดอยากมาก่อน แค่ท่านแบ่งอาหารและน้ำให้ข้ากินในสองวันมานี้ข้าก็ปลื้มใจมากแล้ว”

“พูดอะไรอย่างนั้นเล่า ท่านต้องออกตามหาเสี่ยวซีคนเดียวในป่าล่ามังกร นี่เป็นสิ่งที่พี่ชายอย่างข้าควรทำอยู่แล้ว”

“เช่นนั้นก็ยินดี”

“ท่านเลือกได้ดีแล้ว”

เบื้องหน้า ภูเขาสูงตระหง่านเสียดฟ้ารูปร่างคล้ายม้า เว้นเสียแต่มันมีหน้าผางอกออกมาทางด้านหลังเหมือนปีก นี่คือภูเขาหยิงเฉ่า ทว่ากลับไม่เหมือนที่เคยได้ยินมา…ว่ามีอสูรระดับปราชญ์นับพันอยู่ที่นี่ มีเพียงฝูงหมาป่าวาโยพันสองพันตัวเท่านั้น ซึ่งพอเห็นคบเพลิงของเหล่าทหารก็พาก็แตกตื่นวิ่งหนีทันที

เมื่อทำการตั้งค่ายพักแรมสำเร็จ ถังปินก็เข้าไปในกระโจมหลังใหญ่ของกองทัพที่ถูกใช้เป็นสถานที่จัดเลี้ยง โต๊ะไวน์สามโต๊ะถูกตั้งเรียงรายเพื่อเอาใจบรรดาแม่ทัพที่ทำงานหนักรวมไปถึงหลินมู่อวี่ด้วย

ถังปินและจิงเหลาดูแลผู้ร่วมงานเลี้ยงอย่างเต็มที่ หลังจากดื่มไวน์ไปจำนวนมาก ใบหน้าของหลินมู่อวี่ก็เริ่มแดงขึ้น เขาฟุบลงกับโต๊ะ สนับเข่าของเกราะเทวะกดกับขาโต๊ะพยายามทรงตัวจากอาการเมา

“ท่านแม่ทัพหลิน?” เฒ่าจิงเอ่ยถาม

ถังปินคลี่ยิ้ม “ท่านหลินมู่อวี่เมาแล้วหรือ?”

หลินมู่อวี่นิ่งเงียบไม่ตอบคำถาม ทว่าปล่อยทักษะชีพจรวิญญาณก่อนจะตั้งสมาธิเพ่งเล็งไปยังถังปินและจิงเหลา ฌานสัมผัสพินิจตรวจสอบจิตของทั้งคู่ ไม่นานนักหลินมู่อวี่ก็ได้ยินเสียงจากก้นบึ้งจิตใต้สำนึกของถังปิน “ไอ้เด็กนี่เมาจริงรึ? หึ! เมาขนาดนี้คงฆ่าได้ไม่ยาก เจ้านี่มีความสัมพันธ์สนิทสนมกับเสี่ยวซี ก่อนอื่นต้องตัดหัวมันก่อน แล้วออกตามล่าเสี่ยวซีจากนั้นค่อยโยนความผิดให้มัน หากทำเช่นนี้ท่านปู่ก็จะเอาผิดข้าไม่ได้ ทว่าติดปัญหาคือยังหาเสี่ยวซีไม่พบ…จิ้งจอกเก้าหางอย่างนั้นรึ อุบาทว์สิ้นดี ตระกูลถังของเราต้องไม่มีปีศาจเช่นนี้อยู่!”

หลินมู่อวี่ใจเต้นระรัวเมื่อได้ยินสิ่งที่ถังปินคิด ดูเหมือนทักษะชีพจรวิญญาณจะสามารถบรรลุการอ่านใจได้แล้ว สำหรับคนชั่วช้าอย่างถังปินที่จิตใจอ่อนแอจึงเป็นเรื่องง่ายที่เจาะเข้าไป ทว่าตาเฒ่าจิงนั้นต่างกัน เขามีจิตใจที่มุ่งมั่นจึงทำให้อ่านได้ยาก แต่เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว…ถังปินอยากจะฆ่าถังเสี่ยวซีนี่เป็นความจริงที่เลี่ยงไม่ได้

นี่เป็นเวลาหนี หากหลินมู่อวี่ไม่ไปตอนนี้คงต้องตายบนเขาหยิงเฉ่าแห่งนี้เป็นแน่

ทันใดนั้นหลอนมู่อวี่ก็ลืมตาในสภาพเมามาย พลันหยิบเหรียญตรามังกรทองจากเอวออกมาและหัวเราะ “พวกเจ้ารู้จักสิ่งนี้หรือไม่!?”

ถังปินและคนอื่นๆ เมื่อเห็นต่างพากันคุกเข่าโดยพลัน “นี่คือเหรียญตรามังกรทอง!”

เหรียญตราเปรียบเสมือนจักรพรรดิผู้ใดเห็นก็ต้องยำเกรง

หลินมู่อวี่เก็บเหรียญตราเข้าแขนเสื้อพลางกล่าว “…..เชิญแม่ทัพทั้งหลายดื่มกันต่อให้สนุกไม่ต้องห่วงข้า!”

หลินมู่อวี่หนีออกจากค่ายฝ่าลมหนาวไปยังฝั่งตะวันตกของค่ายอย่างรวดเร็ว

จิงเหลาตะโกนตามมาจากด้านหลัง “คิดจะไปไหนแม่ทัพหลิน! ตามไปจับมัน!”

หลินมู่อวี่รีบหนีโดยไม่มองกลับหลัง ทันทีที่ออกมาด้านนอกก็ใช้ฝีเท้าดาวตกพุ่งทิ้งระยะห่างไปเหลือทิ้งไว้เพียงแสงของฝีเท้า ทั้งค่ายตกอยู่ในความโกลาหล ทหารชีไห่ต่างพากันขึ้นควบม้าไล่ตามหลินมู่อวี่เข้าไปในป่า ทว่าม้าศึกหรือจะสู้ความเร็วของเขาได้ ทว่าทันใดนั้นก็มีร่างหนึ่งฝ่าสายลมมาอย่างรวดเร็ว มันคือจิงเหลา!

เฒ่าจิงผู้นี้เป็นคนของถังปิน ไม่ได้รับใช้ถังเหลียนหรือถังเสี่ยวซี

เสี้ยวจิตสังหารของเฒ่าจิงแผ่ขยายจนถึงขั้วหัวใจหลินมู่อวี่ เขามาเพื่อฆ่า!

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา 293 ภูเขาหยิงเฉ่า

Now you are reading The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา Chapter 293 ภูเขาหยิงเฉ่า at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

Ep.293 ภูเขาหยิงเฉ่า

ทางตอนเหนือของป่าล่ามังกร ต้นไม้ใบหญ้าเริ่มมีการฟื้นฟูกลับมาเขียวขจี

ฉินอิน เฟิงจี้สิง และชวีฉูควบม้าทำทัพทหารองครักษ์สองพันคน จางเหว่ยที่ถูกแต่งตั้งโดยเฟิงจี้สิงให้เป็นหัวหน้าหน่วยในภารกิจครั้งนี้ถือมีดเหล็กเดินนำหน้าไป

“องค์หญิง ตอนนี้เราได้เข้าสู่ส่วนลึกของป่าล่ามังกรแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

ชวีฉูขมวดคิ้ว “ด้านในมีสัตว์วิญญาณอายุมากกว่าห้าพันปีอยู่ หากเราเข้าไปลึกแล้วเราอาจป้องกันตัวเองได้ ทว่าเหล่าทหารกององครักษ์…พวกเขาไม่ได้แกร่งพอจะป้องกันตัวเอง”

เฟิงจี้สิงพยักหน้า “ถูกต้อง ครั้งที่เราเข้าป่าล่ามังกรแล้วถูกงูมังกรจู่โจม เราเสียทหารไปหลายร้อยจากพันกว่าคน การโจมตีจากสัตว์วิญญาณขนาดใหญ่นั้นอย่าได้ดูถูกเป็นอันขาด”

ฉินอินถอนหายใจภายใต้ผ้าคลุมหัว “เช่นนั้นจงให้พวกเขารออยู่ที่นี่หรือกลับเมืองหลันเยี่ยนไปก่อน คงจะง่ายกว่าหากมีแค่เราที่เข้าไปตามหาเสี่ยวซี”

จางเหว่ยรีบคำนับและเอ่ยขึ้นโดยพลัน “องค์หญิงโปรดอย่าได้ประเมินพวกเราต่ำไปพ่ะย่ะค่ะ ในฐานะสมาชิกของกองทัพองครักษ์ ข้าขอตายในป่าล่ามังกรแห่งนี้เสียยังดีกว่าเป็นคนขี้ขลาด อีกทั้งยิ่งมีคนมาก…ระยะการค้นหาก็กว้างขึ้น เพราะป่าแห่งนี้กว้างใหญ่เกินไปที่จะหาคนเพียงคนเดียวให้พบโดยง่าย กระหม่อมขอยืนยันว่าคนเยอะย่อมดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ”

ฉินอินเอ่ยถาม “ท่านคิดว่าอย่างไรผู้บัญชาการเฟิงจี้สิง?”

เฟิงจี้สิงตอบอย่างใจเย็น “ออกคำสั่งให้แบ่งเป็นกลุ่มละหนึ่งร้อยคน แยกกันไปพร้อมกับกลองรบและคบเพลิง หากเผชิญหน้ากับสัตว์วิญญาณที่แข็งแกร่งให้จุดคบเพลิงทันที พวกมันกลัวไฟ อีกทั้งเสียงกลองจะช่วยทำให้พวกมันตกใจ ที่สำคัญอย่าแตกกลุ่มและรีบหาองค์หญิงซีให้พบโดยเร็ว”

“ขอรับ!” จางเหว่ยพยักหน้า

ชวีฉูหยิบม้วนแผนที่จากแขนเสื้อออกมากาง “หากตรงไปเราจะพบกับบึงโลหิตอันเลื่องลือ เป็นบึงที่เต็มไปด้วยไอพิษ เราจะผ่านไปทางนั้นหรือไม่?”

“บึงโลหิตหรือ?”

ฉินอินเอ่ยขึ้นด้วยสายตาจริงจัง “สั่งให้กองทัพปักหลักอยู่ด้านนอก ส่วนท่านผู้เฒ่าชวีตามข้าไปยังบึงโลหิต!”

“องค์หญิงจะไปบึงจริงหรือพ่ะย่ะค่ะ?”

“อืม”

ฉินอินหันมองชวีฉูพลางกล่าวต่อ “ข้ามีเลือดมังกรอยู่ในตัว ไอพิษเหล่านั้นทำอะไรข้าไม่ได้ ขณะที่เรามีกันหลายคน ทว่าเสี่ยวซีกำลังตัวคนเดียวในป่าแห่งนี้ ไม่รู้ว่านางจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร…ท่านผู้เฒ่าชวีไปกับข้าเถิด”

“ตามรับสั่งพ่ะย่ะค่ะ!” ผู้เฒ่าชวีพยักหน้า

เฟิงจี้สิงกระชับดาบสะบั้นวาโยของตนก่อนออกคำสั่งให้ทุกคนประจำอยู่กับที่ บึงโลหิตเบื้องหน้านั้นประหนึ่งแดนทรมาน น้ำในบึงเป็นสีเลือดและต้มเดือดอยู่ตลอดเวลา บางครั้งก็มีสัตว์พิษเช่นงูหรือแมงป่องเพ่นพ่านไปมาอย่างน่าสยดสยอง แม้วิชายุทธ์ของเฟิงจี้สิงจะอยู่ระดับสูง ทว่าเขาไม่ได้มีร่างต้านพิษจึงไม่อยากเสี่ยง

ฉินอินลงจากม้าและเดินเข้าไปในบึงโลหิต โซ่เทวะก็ปรากฏขึ้นรอบตัวช่วยป้องกันไอพิษ ชวีฉูเองก็เรียกวิญญาณยุทธ์ของตนออกมาในรูปแบบป้องกันเพื่อต้านไอพิษเช่นกัน ชวีฉูทำได้เพียงถอนหายใจเมื่อมองไปยังฉินอินเบื้องหน้า ที่กล่าวกันว่าสายเลือดตระกูลฉินมีที่ตนกำเนิดมาจากมังกรคงเป็นเรื่องจริงสิท่า เพราะหากเป็นคนธรรมดาเพียงเดินเข้าไปในบึงไม่ถึงนาทีก็ตายแล้ว ทว่าฉินอินกลับไม่สะทกสะท้านกับสิ่งอันตรายนั้นเลย

“ฟ่อ…”

กิ้งก่าเลือดตัวหนึ่งกำลังแลบลิ้นเดินตามฉินอินอยู่ไม่ไกลในเงามืด มันมีเส้นสีทองห้าเส้นบนหัว เป็นสัตว์วิญญาณอายุห้าพันปี ด้านหลังมันตามด้วยกิ้งก่าตัวเล็กอีกสองสามตัวอายุราวสามพันปี ฝูงกิ้งก่าจ้องมองมนุษย์ผู้ย่างกรายเข้ามาในอาณาเขตของตนพร้อมเข้าจู่โจมทุกเมื่อ

“ระวังตัวด้วยพ่ะย่ะค่ะองค์หญิง…” ชวีฉูเตือน

ฉินอินคลี่ยิ้ม “อย่าห่วงเลยผู้เฒ่าชวี”

ฉินอินย่างไปบนพื้นแห้งสีแดง โซ่สีทองเปล่งแสงไปมาโดยรอบพร้อมกับเสียงอันแผ่วเบาของมังกรที่แว่วออกมา ฝูงกิ้งก่าส่งเสียงร้องราวกับเห็นมังกรตัวเป็นๆ ก่อนจะพากันถอยร่นเข้าถ้ำและไม่กล้าออกมาอีก

ชวีฉูมองอย่างตกตะลึงก่อนจะเอ่ยขึ้น “คงไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นแล้วองค์หญิง เพื่อไม่ให้เสียเวลาไปมากกว่านี้เรารีบไปกันเถิดพ่ะย่ะค่ะ”

ตาคู่สวยของฉินอินมองไปโดยรอบ ไม่มีวี่แววของถังเสี่ยวซีปรากฏ นางจึงดึงผ้าคลุมขึ้นมาสวมพลางพยักหน้าเอ่ย “ไปกันเถิด”

กระทั่งออกจากบึงโลหิต เฟิงจี้สิงรุดเข้าไปรับหน้าทันที “ปลอดภัยดีหรือองค์หญิง?” ฉินอินยิ้ม “ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ เตรียมออกเดินทางกันเถิด”

“ตอนนี้มืดแล้ว…กระหม่อมว่าเราควรพักค้างแรมกันที่นี่สักคืนแล้วค่อยเดินทางพรุ่งนี้เช้าจะดีกว่า”

“ไม่”

ฉินอินกล่าวด้วยสายตามุ่งมั่น “ท่านผู้บัญชาการเฟิงจี้สิง ยิ่งเราช้ามากเท่าไร เสี่ยวซียิ่งตกอยู่ในอันตรายมากเท่านั้น ข้าเป็นห่วงนาง…สถานการณ์ที่ยากลำบากของเราในตอนนี้เทียบกับสิ่งที่นางกำลังเผชิญไม่ได้เลย”

“ทราบแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

ชวีฉูหันหัวม้าไปทางฉินอิน “องค์หญิง อันที่จริงอาจะมิสมควรนัก…แต่ข้ามีเรื่องหนึ่งจะเอ่ย”

“ท่านผู้เฒ่าชวีพูดออกมาเถิดเจ้าค่ะ” ฉินอินตอบอย่างใจเย็น

ชวีฉูพยักหน้าก่อนจะคำนับแล้วเอ่ยขึ้น “ตามที่อาอวี่ได้ทำการคาดเดาไว้ว่าปีศาจจิ้งจอกเก้าหางอาจเป็นองค์หญิงซี เท่าที่ข้าเคยรู้มา จิ้งจอกเก้าหางนั้นทรงพลังเป็นอย่างมาก หากเสี่ยวซีกลายร่างเป็นจิ้งจอกเก้าหางจริง พลังของนางตอนนี้ไม่ได้ด้อยไปกว่าข้าเลย ต้องใช้คนสักเท่าไรถึงจะจัดการกับนางได้?”

ฉินอินกะพริบตามองชวีฉู “ท่านไม่มีวิธีเลยหรือเจ้าคะท่านผู้เฒ่าชวี?”

ชวีฉูถึงกับตกตะลึงและนิ่งเงียบไปชั่วครู่

เฟิงจี้สิงสูดหายใจลึกก่อนจะตะโกนออกคำสั่ง “กองทัพทั้งหมดจงฟังคำสั่ง ออกเดินเดินทางค้นหาต่อ!”

เวลาสองวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว สี่วันแล้วที่ถังเสี่ยวซีหายตัวไปจากเมืองหลันเยี่ยน

ทางตะวันตกเฉียงเหนือของป่าล่ามังกร กองทหารจำนวนหนึ่งกำลังเดินทางอยู่ ทว่าจำนวนหนึ่งในนั้นได้รับบาดเจ็บร้องครวญครางอยู่บนหลังม้า เสื้อผ้าเปรอะไปด้วยเลือด

กองทหารเมืองชีไห่ได้ปะทะเข้ากับสัตว์วิญญาณอายุแปดพันสองร้อยปีโดยบังเอิญ จากการต่อสู้อันดุเดือดทำให้เสียกำลังคนไปกว่าร้อย แม้แต่เฒ่าจิงยังได้รับบาดเจ็บแม้จะไม่มาก เขามีพลังยุทธ์ชั้นยอดก็ทว่า ทว่าไม่มีกำแพงน้ำเต้าคอยป้องกันเช่นหลินมู่อวี่ กว่าจะสังหารสัตว์วิญญาณลงได้ก็สูญเสียมิใช่น้อย

หลินมู่อวี่ยืนมองการต่อสู้ตั้งแต่ต้นจนจบโดยไม่ทำอะไร เพราะสายตาแห่งความเป็นปรปักษ์ของถังปินและคนอื่นๆ ที่มองเขาอย่างไม่พอใจในความเป็นบุตรบุญธรรมของจักรพรรดิ

ทหารองครักษ์นายหนึ่งก้าวออกมา “ท่านอ๋องขอรับ ตรงไปทางนี้เป็นภูเขาหยิงเฉ่าขอรับ!”

“ภูเขาหยิงเฉ่ารึ?”

“ขอรับ ชื่อหยิงเฉ่ามาจากสัตว์วิญญาณโบราณหลายตัวที่อยู่ที่นั่น กล่าวกันว่าในป่าล่ามังกรแห่งนี้ภูเขาหยิงซานเป็นสถานที่อันตรายที่สุด หลายพันปีก่อนเคยมีคนพบรอยเท้าของอสูรระดับปราชญ์ในภูเขา และตลอดร้อยปีมานี้ไม่มีใครไปเหยียบที่นั่นอีกเลย…ฉะนั้นโปรดหลีกเลี่ยงเส้นทางนั้นเถิดขอรับ”

“ไม่” ถังปินปฏิเสธ “ต่อให้มีสัตว์วิญญาณระดับปราชญ์จริงเราก็ต้องเข้าไป เราไม่รู้ว่าเสี่ยวซีอยู่แห่งใด ฉะนั้นเราควรจะหาทุกที่ที่เป็นไปได้ คืนนี้เราจะเข้าไปพักแรมในเขาหยิงเฉ่าก่อนแล้วค่อยออกเดินทางไปทิศตะวันออกพรุ่งนี้เช้า”

“ขอรับ!”

ถังปินกล่าวต่อ “เตรียมอาหารและไวน์ เราจะมีงานเลี้ยงสังสรรค์แก่ท่านหลินมู่อวี่”

“รับทราบ เราจะเตรียมการให้พร้อมขอรับ”

หลินมู่อวี่แค่นหัวเราะอย่างเย็นชาอยู่ข้างๆ “ท่านอ๋องช่างใจดีเหลือเกินนะขอรับ ไม่จำเป็นต้องเลี้ยงฉลองก็ได้ ข้าเคยอยู่อยากอดอยากมาก่อน แค่ท่านแบ่งอาหารและน้ำให้ข้ากินในสองวันมานี้ข้าก็ปลื้มใจมากแล้ว”

“พูดอะไรอย่างนั้นเล่า ท่านต้องออกตามหาเสี่ยวซีคนเดียวในป่าล่ามังกร นี่เป็นสิ่งที่พี่ชายอย่างข้าควรทำอยู่แล้ว”

“เช่นนั้นก็ยินดี”

“ท่านเลือกได้ดีแล้ว”

เบื้องหน้า ภูเขาสูงตระหง่านเสียดฟ้ารูปร่างคล้ายม้า เว้นเสียแต่มันมีหน้าผางอกออกมาทางด้านหลังเหมือนปีก นี่คือภูเขาหยิงเฉ่า ทว่ากลับไม่เหมือนที่เคยได้ยินมา…ว่ามีอสูรระดับปราชญ์นับพันอยู่ที่นี่ มีเพียงฝูงหมาป่าวาโยพันสองพันตัวเท่านั้น ซึ่งพอเห็นคบเพลิงของเหล่าทหารก็พาก็แตกตื่นวิ่งหนีทันที

เมื่อทำการตั้งค่ายพักแรมสำเร็จ ถังปินก็เข้าไปในกระโจมหลังใหญ่ของกองทัพที่ถูกใช้เป็นสถานที่จัดเลี้ยง โต๊ะไวน์สามโต๊ะถูกตั้งเรียงรายเพื่อเอาใจบรรดาแม่ทัพที่ทำงานหนักรวมไปถึงหลินมู่อวี่ด้วย

ถังปินและจิงเหลาดูแลผู้ร่วมงานเลี้ยงอย่างเต็มที่ หลังจากดื่มไวน์ไปจำนวนมาก ใบหน้าของหลินมู่อวี่ก็เริ่มแดงขึ้น เขาฟุบลงกับโต๊ะ สนับเข่าของเกราะเทวะกดกับขาโต๊ะพยายามทรงตัวจากอาการเมา

“ท่านแม่ทัพหลิน?” เฒ่าจิงเอ่ยถาม

ถังปินคลี่ยิ้ม “ท่านหลินมู่อวี่เมาแล้วหรือ?”

หลินมู่อวี่นิ่งเงียบไม่ตอบคำถาม ทว่าปล่อยทักษะชีพจรวิญญาณก่อนจะตั้งสมาธิเพ่งเล็งไปยังถังปินและจิงเหลา ฌานสัมผัสพินิจตรวจสอบจิตของทั้งคู่ ไม่นานนักหลินมู่อวี่ก็ได้ยินเสียงจากก้นบึ้งจิตใต้สำนึกของถังปิน “ไอ้เด็กนี่เมาจริงรึ? หึ! เมาขนาดนี้คงฆ่าได้ไม่ยาก เจ้านี่มีความสัมพันธ์สนิทสนมกับเสี่ยวซี ก่อนอื่นต้องตัดหัวมันก่อน แล้วออกตามล่าเสี่ยวซีจากนั้นค่อยโยนความผิดให้มัน หากทำเช่นนี้ท่านปู่ก็จะเอาผิดข้าไม่ได้ ทว่าติดปัญหาคือยังหาเสี่ยวซีไม่พบ…จิ้งจอกเก้าหางอย่างนั้นรึ อุบาทว์สิ้นดี ตระกูลถังของเราต้องไม่มีปีศาจเช่นนี้อยู่!”

หลินมู่อวี่ใจเต้นระรัวเมื่อได้ยินสิ่งที่ถังปินคิด ดูเหมือนทักษะชีพจรวิญญาณจะสามารถบรรลุการอ่านใจได้แล้ว สำหรับคนชั่วช้าอย่างถังปินที่จิตใจอ่อนแอจึงเป็นเรื่องง่ายที่เจาะเข้าไป ทว่าตาเฒ่าจิงนั้นต่างกัน เขามีจิตใจที่มุ่งมั่นจึงทำให้อ่านได้ยาก แต่เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว…ถังปินอยากจะฆ่าถังเสี่ยวซีนี่เป็นความจริงที่เลี่ยงไม่ได้

นี่เป็นเวลาหนี หากหลินมู่อวี่ไม่ไปตอนนี้คงต้องตายบนเขาหยิงเฉ่าแห่งนี้เป็นแน่

ทันใดนั้นหลอนมู่อวี่ก็ลืมตาในสภาพเมามาย พลันหยิบเหรียญตรามังกรทองจากเอวออกมาและหัวเราะ “พวกเจ้ารู้จักสิ่งนี้หรือไม่!?”

ถังปินและคนอื่นๆ เมื่อเห็นต่างพากันคุกเข่าโดยพลัน “นี่คือเหรียญตรามังกรทอง!”

เหรียญตราเปรียบเสมือนจักรพรรดิผู้ใดเห็นก็ต้องยำเกรง

หลินมู่อวี่เก็บเหรียญตราเข้าแขนเสื้อพลางกล่าว “…..เชิญแม่ทัพทั้งหลายดื่มกันต่อให้สนุกไม่ต้องห่วงข้า!”

หลินมู่อวี่หนีออกจากค่ายฝ่าลมหนาวไปยังฝั่งตะวันตกของค่ายอย่างรวดเร็ว

จิงเหลาตะโกนตามมาจากด้านหลัง “คิดจะไปไหนแม่ทัพหลิน! ตามไปจับมัน!”

หลินมู่อวี่รีบหนีโดยไม่มองกลับหลัง ทันทีที่ออกมาด้านนอกก็ใช้ฝีเท้าดาวตกพุ่งทิ้งระยะห่างไปเหลือทิ้งไว้เพียงแสงของฝีเท้า ทั้งค่ายตกอยู่ในความโกลาหล ทหารชีไห่ต่างพากันขึ้นควบม้าไล่ตามหลินมู่อวี่เข้าไปในป่า ทว่าม้าศึกหรือจะสู้ความเร็วของเขาได้ ทว่าทันใดนั้นก็มีร่างหนึ่งฝ่าสายลมมาอย่างรวดเร็ว มันคือจิงเหลา!

เฒ่าจิงผู้นี้เป็นคนของถังปิน ไม่ได้รับใช้ถังเหลียนหรือถังเสี่ยวซี

เสี้ยวจิตสังหารของเฒ่าจิงแผ่ขยายจนถึงขั้วหัวใจหลินมู่อวี่ เขามาเพื่อฆ่า!

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+