The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา 364 รับผิดชอบหน้าที่

Now you are reading The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา Chapter 364 รับผิดชอบหน้าที่ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

EP.364 รับผิดชอบหน้าที่

เวลารุ่งสาง ควันมากมายพวยพุ่งเหนือกองทัพแห่งจักรวรรดิในเมืองหลันเยี่ยน ในที่สุดวันก็ถึงวันออกเดินทาง

ประตูเมืองเปิดออกอย่างเชื่องช้าขณะที่กองกำลังศักดิ์สิทธิ์ในชุดเกราะทหารแห่งจักรวรรดิเดินออกไปเป็นขบวน แม้พวกเขาจะเป็นกองทัพที่รับผิดชอบในการขนส่งเสบียง ทว่าเมื่อเปรียบเทียบกันทหารม้าหนักของกองกำลังศักดิ์สิทธิ์แข็งแกร่งยิ่งกว่ากองกำลังที่เหลือ

หลินมู่อวี่ขี่ม้าพร้อมถือทวนหลีฮวา ขณะที่ฉินเหยียนสวมเสื้อคลุมสีขาวพร้อมกวาดสายตาไปรอบบริเวณอย่างตื่นเต้น เนื่องจากนี่เป็นประสบการณ์ครั้งแรกในการออกรบ

“พี่ใหญ่ เราจะชนะหรือไม่?” ฉินเหยียนเอ่ยถาม

“แน่นอน จักรวรรดิอี้เหอมิได้แข็งแกร่งดังที่คิด” หลินมู่อวี่ตอบกลับด้วยรอยยิ้ม

“เหตุใดพี่ใหญ่จึงไม่ให้ผู้บัญชาการเฟิงและองค์จักรพรรรดินีออกมาส่งพวกเราหรือ?” ฉินเหยียนถามต่อ

“ออกมาส่งหรือไม่ส่ง ผลลัพธ์ก็ไม่ต่างกัน หากกองกำลังมาถึงเจ้าต้องเคลื่อนทัพทันที และควรอยู่ที่กองหน้า” หลินมู่อวี่ขมวดคิ้ว เขาได้ยินมาว่ากองกำลังทั้งสามไม่ยอมลำเลียงธัญพืชและหญ้าเลย ดูเหมือนว่าหมินยวี่หลินคงไม่เข้าใจถึงความสำคัญนี้ เพียงเพราะไม่ต้องการให้กองกำลังขนส่งเสบียงเคลื่อนทัพก่อนและให้รอกระทั่งวันนี้”

จากระยะไกล ขบวนเกวียนที่เต็มไปด้วยธัญพืชและหญ้าค่อยๆ เคลื่อนเข้ามาอยู่ภายใต้การคุ้มกันของหน่วยวิญญาณอัคนี จากนั้นทหารอาวุโสสวมดาวสีทองเข้ามารายงานว่า “แม่ทัพหลิน เสบียงพร้อมแล้ว จะเคลื่อนทัพเลยไหมขอรับ?”

“อืม มีเกวียนทั้งสิ้นกี่เล่ม?”

“เกวียนใหญ่และเล็กทั้งสิ้นหนึ่งร้อยห้าสิบเล่ม และมีอีกสามร้อยเล่มด้านหลัง ทว่ายังอยู่ในระหว่างการเตรียมการและยังมิได้ลำเลียง กองทหารติดตามจะช่วยพวกเราคุ้มกันขอรับ”

“เช่นนั้นเคลื่อนทัพได้” หลินมู่อวี่เหลือบมองครูฝึกดาวสีเงินเฉินฮั่น เขาเป็นจอมยุทธ์อายุราวสี่สิบปีที่ดูสุขุมและมีความสามารถ นี่จึงเป็นเหตุผลที่เกอหยางเลือกเฉินฮั่นขึ้นเป็นผู้บัญชาการกองกำลังศักดิ์สิทธิ์

ราวกับเฉินฮั่นอ่านความคิดหลินมู่อวี่ได้ เขาประสานหมัดกล่าว “ท่านผู้ดูแล ข้าจะนำพี่น้องห้าร้อยคนไปยังด้านหลังขบวนเพื่อคุ้มกัน ส่วนกองหน้าจะถูกส่งต่อให้ท่านขอรับ”

หลินมู่อวี่พยักหน้าอย่างพอใจ “คงต้องลำบากท่านเฉินฮั่น!”

“ขอรับ!”

เฉินฮั่นยกหอกและกล่าวเสียงดัง “ทหาร ตามข้ามา!”

หลินมู่อวี่หันมองด้านตะวันออกอีกครั้งซึ่งเป็นทิศทางของเมืองหน้าด่านอสูร ดูเหมือนว่าถังเสี่ยวซีจะไม่สามารถกลับมายังเมืองหลันเยี่ยน เนื่องจากประตูเมืองอสูรใช้การไม่ได้ และนางจำเป็นต้องฝึกฝนยุทธ์ อีกทั้งต้องจัดการเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเผ่าพันธุ์อสูรและมนุษย์ บางทีเสี่ยวซีอาจเป็นผู้ที่งานยุ่งที่สุดในจักรวรรดิ

ทั้งสองด้านของกองทัพมีทหารชูธงรบขึ้นสูง ด้านหนึ่งเป็นธงรบจักรวรรดิพื้นหลังสีน้ำเงินและดอกจื่อยิน ส่วนอีกด้านมีทหารสองคนชูธงคำว่า ‘หมิน’ และ ‘หลิน’ ทหารทั้งหมดอยู่ภายใต้การดูแลของหลินมู่อวี่ ฉินเหยียน และคนอื่นๆ ในฐานะกองกำลังแนวหน้า จากนั้นกองทัพทั้งหนึ่งแสนนายค่อยๆ เคลื่อนตัวเข้าสู่ป่าพร้อมเสียงร้องของม้าดังก้อง

รถเทียมเกวียนเคลื่อนตัวไปอย่างเชื่องช้า และทำให้กองกำลังศักดิ์สิทธิ์ไม่สามารถเดินทัพได้เร็วนัก

แสงแดดสาดส่องพร้อมเสียงเกือกม้าดังจากด้านหลัง ซึ่งมาจากกองทัพเทียนฉงหนึ่งหมื่นนายของหมินยวี่หลิน พวกเขาควบม้าเคียงข้างกองกำลังศักดิ์สิทธิ์ ทั้งกองทัพเคลื่อนตัวอย่างมีระเบียบและดูทรงพลัง

นายพลหนุ่มยศผู้บัญชาการกองหมื่นควบม้าอยู่ท้ายขบวนกองทัพเทียนฉง ขณะที่เสื้อคลุมสีน้ำเงินเข้มปลิวไสวตามสายลม ทันใดนั้นเขาก็หยุดม้าและหันมามองหลินมู่อวี่ ฉินเหยียน และคนอื่นๆ มุมปากชายผู้นั้นยกขึ้น ทว่ามิได้เอ่ยสิ่งใด ก่อนจะหันกลับและดึงบังเหียนไล่ตามกองทัพเทียนฉงไป

“นั่นใคร? ยโสยิ่งนัก…” หลินมู่อวี่ขมวดคิ้วเอ่ยถาม ท่าทีของชายผู้นั้นทำให้เขาไม่สบายใจเล็กน้อย แม้ตราสีทองผู้นำวิหารศักดิ์สิทธิ์บนหน้าอกหลินมู่อวี่จะมีระดับสูงกว่าผู้บัญชาการกองหมื่นมาก กระนั้นก็ยังกล้าหยิ่งยโสถึงเพียงนี้

ฉินเหยียนกล่าว “ชายผู้นั้นคือบุตรของเซินเว่ยโหวหมินยวี่หลิน…หมินจ้าน ซึ่งผู้บัญชาการกองพัน กล่าวกันว่าเด็กคนนี้โหดเหี้ยมมาก เขาเป็นดั่งหมาป่าในดินแดนหิมะทางเหนือและเป็นที่เกรงกลัวสำหรับคนเถื่อน ทว่ามุมมองของข้า…เขามิได้แข็งแกร่งมากนัก ข้าสามารถทำให้เขาตกจากม้าด้วยการแทงหอกเพียงห้าครั้ง”

หลินมู่อวี่อดไม่ได้ที่จะยิ้ม “อาเหยียน คิดตื้นเขินยิ่งนัก สงครามไม่เหมือนกับในวิหาร เมื่ออยู่ในสนามรบ เจ้าต้องฟังคำสั่งของข้าและอย่าหุนหันพลันแล่น อีกทั้งเวลาต่อสู้ห้ามออกไปคนเดียว ชีวิตของเจ้ามีค่ามาก!”

“ขอรับพี่ใหญ่ อาเหยียนจะเชื่อฟัง”

“ดีมาก”

ขบวนทัพเดินทางอย่างเชื่องช้าและค่อนข้างน่าเบื่อ พวกเขาเดินทางเพียงเจ็ดไมล์ต่อวันเท่านั้น ขณะที่เมืองหลันเยี่ยนอยู่ห่างจากมณฑลหลิงตงถึงสามพันไมล์ ซึ่งหมายความว่าจะต้องใช้เวลาเดินทางอย่างน้อยหนึ่งเดือน ระหว่างการเดินทางหลินมู่อวี่รู้สึกเบื่อหน่าย เขาโคจรหลอมกระดูกมังกรซ้ำแล้วซ้ำเล่าเพื่อฝึกฝนปราณ และเมื่อถึงเวลาค่ำหลังทานอาหาร หลินมู่อวี่จะดูดซับพลังจากดาวเพื่อฝึกฝนกลยุทธ์ดวงดารา

น่าเสียดายที่หลังจากทะลวงกลยุทธ์ดวงดาราขั้นที่สอง หลินมู่อวี่ไม่สามารถทะลวงเข้าสู่ขั้นที่สาม ราวกับว่าการสะสมพลังดวงดาวในร่างกายถึงขีดจำกัดแล้ว

กระนั้นหลินมู่อวี่ยังคงอดทนแอบฝึกฝนอย่างลับๆ ต่อไป เนื่องจากเกรงว่าจะมีใครมาเห็น อีกทั้งการมีดวงดาวนับไม่ถ้วนล้อมรอบกายเป็นภาพที่น่าตื่นตกใจโดยแท้จริง

แปดวันผ่านไปในพริบตา กองทัพหยางเว่ยเดินทางผ่านอาณาเขตมณฑลชางหนาน ก่อนจะมองเห็นเมืองห้าหุบเขาระยะไกล และพบว่าเมืองนี้มิได้เจริญรุ่งเรืองอีกต่อไปแล้ว

‘กุบกับ…’

เสียงเกือกม้าดังขึ้นพร้อมทหารส่งสารควบม้าเข้ามาประสานหมัด “แม่ทัพหลิน ผู้ว่าการมณฑลชางหนานได้ส่งเสบียงจำนวนมาก ท่านเซินเว่ยโหวจึงขอให้ท่านตรวจสอบขอรับ”

“อืม” หลินมู่อวี่เอ่ยเสียงแผ่วเบา “ฉินเหยียน เฉินฮั่น พาคนไปกับข้า”

“ขอรับ!”

ทหารบางส่วนเดินผ่านขบวนออกไป มีพื้นที่โล่งขนาดใหญ่ข้างป่าทึบเขียวชอุ่ม ขณะนี้เป็นช่วงต้นฤดูร้อน ทหารเทียนฉงจำนวนมากหยุดเดินและต้อนม้าเพื่อถอดชุดเกราะรับลม การใส่เกราะหนาในวันที่อากาศร้อนช่างเป็นสิ่งที่น่าขมขื่น ด้านหลังกองทัพเทียนฉงมีเกวียนที่เต็มไปด้วยธัญพืชและหญ้าพร้อมทหารสิบนายจากมณฑลชางหนานคอยอารักขา ซึ่งพวกเขาถูกหลินมู่อวี่ส่งมา

หลังการตรวจสอบพบว่า มีเกวียนทั้งหมดหนึ่งพันเล่ม และไม่มีสิ่งผิดปกติ

ขณะเดียวกันทหารระดับสูงควบม้ามาจากระยะไกล เขาเป็นทหารผ่านศึกหนวดขาวอายุราวหกสิบปีพร้อมถือดาบเล่มยาวในมือ ส่วนธนูถูกมัดไว้ที่หลัง ดูเหมือนว่าชายผู้นี้จะรู้จักหลินมู่อวี่มาก่อน เขาเข้ามาประสานหมัดกล่าว “แม่ทัพหลวง ยินดีที่ได้พบกันอีกครั้งขอรับ!”

หลินมู่อวี่แสดงท่าทีความประหลาดใจ ก่อนจะมองอย่างระมัดระวัง ทันใดนั้นเขาก็จำได้และยิ้มออกมา “แม่ทัพฉือยิง ท่าน…เหตุใดจึงอยู่ในกองทหารด้วย ข้าไม่เห็นทราบเรื่องนี้เลย…”

ฉือยิงหัวเราะ “เรื่องมันยาวขอรับ ออกไปคุยกันเถิด”

“ได้สิ!”

ทั้งสองเดินเคียงข้างกัน ขณะที่ฉือยิงมีพลธนูติดตามมาราวสิบนาย เขามองหลินมู่อวี่และยิ้ม “สามปีก่อนเกิดสงครามในเมืองหลันเยี่ยน ข้าถูกส่งไปประจำการในเมืองหยาดสายัณห์ ต่อมาข้าได้รับการตอบแทนการทำงานหนักจากแม่ทัพหมินยวี่หลิน และได้เลื่อนยศให้เป็นผู้บัญชาการกองทัพเฉินกงใต้อาณัติเขา สามปีผ่านไปในพริบตา…ข้าอยู่ในกองทัพเฉินกงมาโดยตลอด และศึกในเมืองหลันเยี่ยนครานั้น ข้า…”

หลินมู่อวี่กล่าว “มันจบไปแล้ว ไม่เป็นไร”

“อืม”

ฉือยิงพยักหน้ารับ “โชคดีที่แม่ทัพหลวงไม่เป็นไร สรวงสวรรค์ช่างเมตตาต่อจักรวรรดิ และจักรพรรดิพระองค์แรกประทานพรแด่ท่านหลิน!”

“อื้ม” หลินมู่อวี่ยิ้มเล็กน้อยและเอ่ยเสียงแผ่วเบา “แม่ทัพอาวุโสฉือ ข้าดีใจที่ได้พบท่าน ทว่าข้ามิได้เป็นแม่ทัพหลวงอีกต่อไป ข้าไม่มีแม้แต่ยศทางทหารในการนำกองทัพ เห็นหรือไม่…ข้าเป็นเพียงผู้นำวิหารศักดิ์สิทธิ์ และกองทัพของข้าก็เป็นคนจากวิหารเช่นกัน…”

ฉือยิงยิ้ม “ในสายตาทหารผ่านศึกผู้นี้ ท่านเป็นแม่ทัพหลวงเสมอ กระนั้นท่านรู้สึกอย่างไรสำหรับภารกิจสำคัญในการขนส่งเสบียงเป็นครั้งแรก?”

หลินมู่อวี่ยิ้มอย่างมั่นใจ “ไม่ต้องกังวล ในแต่ละวันกองทหารหยางเว่ยหนึ่งแสนนายใช้เสบียงทำอาหารสองเกวียน และเราสามารถหาเพิ่มได้เรื่อยๆ ขณะนี้มีเสบียงกว่าสองพันเกวียน ซึ่งเพียงพอสำหรับครึ่งเดือน”

“เช่นนั้นข้าก็โล่งใจ”

ฉือยิงหรี่ตาลงและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ท่านแม่ทัพหลวงเป็นราชบุตรบุญธรรมขององค์จักรพรรดิ และยังเป็นผู้นำวิหารศักดิ์สิทธิ์ ท่านมีสถานะที่พิเศษ และการลำเลียงธัญพืชและหญ้าเป็นหน้าที่ที่สำคัญที่สุดในกองทัพ อย่าทำผิดพลาดนะขอรับ”

“ข้ารู้ ขอบคุณท่านแม่ทัพอาวุโสที่เตือนข้า” หลินมู่อวี่กล่าวอย่างอ่อนโยน กระนั้นเขารู้ดี…ไม่ว่าจะเป็นหมินยวี่หลิน ซูเหวินเทียน หรือหวังซี ต่างก็รอให้เขาทำพลาด

ระหว่างการเดินทาง หลินมู่อวี่ต้องระมัดระวังขณะที่เข้าไปยังค่ายของหมินยวี่หลินทุกสามวันเพื่อชำระค่าใช้จ่าย ทว่าเขาสามารถกลับออกมาอย่างปลอดภัย

สามสิบสามวันต่อมา…ในที่สุดกองทหารได้เคลื่อนทัพเข้าสู่เขตมณฑลหลิงตง

อย่างไรก็ตามมีสิ่งหนึ่งที่ทุกคนไม่คาดคิดคือ…มีหิมะและฝนตกในมณฑลหลิงตงช่วงต้นฤดูร้อน จึงทำให้ผลิตผลในมณฑลนี้น้อยกว่าเมืองหลันเยี่ยนสิบเปอร์เซ็นต์

ถนนสายหลักถูกปิดกั้นเกือบทั้งหมดขณะที่มีทุ่งหญ้าอยู่ด้านหน้า หลินมู่อวี่และฉินเหยียนควบม้าขึ้นไปบนเดินเพื่อสำรวจ มณฑลหลิงตงถูกทิ้งร้างราวกับแอ่งน้ำขนาดใหญ่ และมีพื้นที่กว้างกว่าราวสามเท่าของมณฑลหลิงเป่ย

ฉินเหยียนทอดสายตามองทุ่งหญ้าพร้อมขมวดคิ้ว “พี่ใหญ่ ที่นี่ไม่มีถนน กองทัพจะเคลื่อนผ่านได้อย่างไร?”

“หากไม่มีถนน…เช่นนั้นคงต้องทำขึ้นเอง”

หลินมู่อวี่กล่าว “ส่งคนไปตัดต้นไม้และนำมาวางเป็นทางลาด อย่าปล่อยให้ล้อเกวียนติดหล่ม มิเช่นนั้นคงลำบากมาก”

พูดจบก็แหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้า เกล็ดหิมะเย็นยะเยือกตกลงมายังแก้ม จักรวรรดิกำลังหวนคืนสู่ฤดูหนาวในไม่ช้า แต่ดูเหมือนว่าพระเจ้าจะไม่เป็นใจนัก…

ฉินเหยียนและเฉินฮั่นหันกลับไปออกคำสั่งกองกำลังศักดิ์สิทธิ์ให้ตัดต้นไม้ทั้งสองข้างทาง หลินมู่อวี่เดินนำไปด้านหน้ากองทัพและประสานหมัด “หลินมู่อวี่…ทหารส่งเสบียง ขอเข้าพบท่านเซินเว่ยโหว”

ทหารรักษาการณ์พยักหน้า “ท่านเซินเว่ยโหวอยู่ที่กองหน้าขอรับ”

“อืม”

………………………………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา 364 รับผิดชอบหน้าที่

Now you are reading The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา Chapter 364 รับผิดชอบหน้าที่ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

EP.364 รับผิดชอบหน้าที่

เวลารุ่งสาง ควันมากมายพวยพุ่งเหนือกองทัพแห่งจักรวรรดิในเมืองหลันเยี่ยน ในที่สุดวันก็ถึงวันออกเดินทาง

ประตูเมืองเปิดออกอย่างเชื่องช้าขณะที่กองกำลังศักดิ์สิทธิ์ในชุดเกราะทหารแห่งจักรวรรดิเดินออกไปเป็นขบวน แม้พวกเขาจะเป็นกองทัพที่รับผิดชอบในการขนส่งเสบียง ทว่าเมื่อเปรียบเทียบกันทหารม้าหนักของกองกำลังศักดิ์สิทธิ์แข็งแกร่งยิ่งกว่ากองกำลังที่เหลือ

หลินมู่อวี่ขี่ม้าพร้อมถือทวนหลีฮวา ขณะที่ฉินเหยียนสวมเสื้อคลุมสีขาวพร้อมกวาดสายตาไปรอบบริเวณอย่างตื่นเต้น เนื่องจากนี่เป็นประสบการณ์ครั้งแรกในการออกรบ

“พี่ใหญ่ เราจะชนะหรือไม่?” ฉินเหยียนเอ่ยถาม

“แน่นอน จักรวรรดิอี้เหอมิได้แข็งแกร่งดังที่คิด” หลินมู่อวี่ตอบกลับด้วยรอยยิ้ม

“เหตุใดพี่ใหญ่จึงไม่ให้ผู้บัญชาการเฟิงและองค์จักรพรรรดินีออกมาส่งพวกเราหรือ?” ฉินเหยียนถามต่อ

“ออกมาส่งหรือไม่ส่ง ผลลัพธ์ก็ไม่ต่างกัน หากกองกำลังมาถึงเจ้าต้องเคลื่อนทัพทันที และควรอยู่ที่กองหน้า” หลินมู่อวี่ขมวดคิ้ว เขาได้ยินมาว่ากองกำลังทั้งสามไม่ยอมลำเลียงธัญพืชและหญ้าเลย ดูเหมือนว่าหมินยวี่หลินคงไม่เข้าใจถึงความสำคัญนี้ เพียงเพราะไม่ต้องการให้กองกำลังขนส่งเสบียงเคลื่อนทัพก่อนและให้รอกระทั่งวันนี้”

จากระยะไกล ขบวนเกวียนที่เต็มไปด้วยธัญพืชและหญ้าค่อยๆ เคลื่อนเข้ามาอยู่ภายใต้การคุ้มกันของหน่วยวิญญาณอัคนี จากนั้นทหารอาวุโสสวมดาวสีทองเข้ามารายงานว่า “แม่ทัพหลิน เสบียงพร้อมแล้ว จะเคลื่อนทัพเลยไหมขอรับ?”

“อืม มีเกวียนทั้งสิ้นกี่เล่ม?”

“เกวียนใหญ่และเล็กทั้งสิ้นหนึ่งร้อยห้าสิบเล่ม และมีอีกสามร้อยเล่มด้านหลัง ทว่ายังอยู่ในระหว่างการเตรียมการและยังมิได้ลำเลียง กองทหารติดตามจะช่วยพวกเราคุ้มกันขอรับ”

“เช่นนั้นเคลื่อนทัพได้” หลินมู่อวี่เหลือบมองครูฝึกดาวสีเงินเฉินฮั่น เขาเป็นจอมยุทธ์อายุราวสี่สิบปีที่ดูสุขุมและมีความสามารถ นี่จึงเป็นเหตุผลที่เกอหยางเลือกเฉินฮั่นขึ้นเป็นผู้บัญชาการกองกำลังศักดิ์สิทธิ์

ราวกับเฉินฮั่นอ่านความคิดหลินมู่อวี่ได้ เขาประสานหมัดกล่าว “ท่านผู้ดูแล ข้าจะนำพี่น้องห้าร้อยคนไปยังด้านหลังขบวนเพื่อคุ้มกัน ส่วนกองหน้าจะถูกส่งต่อให้ท่านขอรับ”

หลินมู่อวี่พยักหน้าอย่างพอใจ “คงต้องลำบากท่านเฉินฮั่น!”

“ขอรับ!”

เฉินฮั่นยกหอกและกล่าวเสียงดัง “ทหาร ตามข้ามา!”

หลินมู่อวี่หันมองด้านตะวันออกอีกครั้งซึ่งเป็นทิศทางของเมืองหน้าด่านอสูร ดูเหมือนว่าถังเสี่ยวซีจะไม่สามารถกลับมายังเมืองหลันเยี่ยน เนื่องจากประตูเมืองอสูรใช้การไม่ได้ และนางจำเป็นต้องฝึกฝนยุทธ์ อีกทั้งต้องจัดการเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเผ่าพันธุ์อสูรและมนุษย์ บางทีเสี่ยวซีอาจเป็นผู้ที่งานยุ่งที่สุดในจักรวรรดิ

ทั้งสองด้านของกองทัพมีทหารชูธงรบขึ้นสูง ด้านหนึ่งเป็นธงรบจักรวรรดิพื้นหลังสีน้ำเงินและดอกจื่อยิน ส่วนอีกด้านมีทหารสองคนชูธงคำว่า ‘หมิน’ และ ‘หลิน’ ทหารทั้งหมดอยู่ภายใต้การดูแลของหลินมู่อวี่ ฉินเหยียน และคนอื่นๆ ในฐานะกองกำลังแนวหน้า จากนั้นกองทัพทั้งหนึ่งแสนนายค่อยๆ เคลื่อนตัวเข้าสู่ป่าพร้อมเสียงร้องของม้าดังก้อง

รถเทียมเกวียนเคลื่อนตัวไปอย่างเชื่องช้า และทำให้กองกำลังศักดิ์สิทธิ์ไม่สามารถเดินทัพได้เร็วนัก

แสงแดดสาดส่องพร้อมเสียงเกือกม้าดังจากด้านหลัง ซึ่งมาจากกองทัพเทียนฉงหนึ่งหมื่นนายของหมินยวี่หลิน พวกเขาควบม้าเคียงข้างกองกำลังศักดิ์สิทธิ์ ทั้งกองทัพเคลื่อนตัวอย่างมีระเบียบและดูทรงพลัง

นายพลหนุ่มยศผู้บัญชาการกองหมื่นควบม้าอยู่ท้ายขบวนกองทัพเทียนฉง ขณะที่เสื้อคลุมสีน้ำเงินเข้มปลิวไสวตามสายลม ทันใดนั้นเขาก็หยุดม้าและหันมามองหลินมู่อวี่ ฉินเหยียน และคนอื่นๆ มุมปากชายผู้นั้นยกขึ้น ทว่ามิได้เอ่ยสิ่งใด ก่อนจะหันกลับและดึงบังเหียนไล่ตามกองทัพเทียนฉงไป

“นั่นใคร? ยโสยิ่งนัก…” หลินมู่อวี่ขมวดคิ้วเอ่ยถาม ท่าทีของชายผู้นั้นทำให้เขาไม่สบายใจเล็กน้อย แม้ตราสีทองผู้นำวิหารศักดิ์สิทธิ์บนหน้าอกหลินมู่อวี่จะมีระดับสูงกว่าผู้บัญชาการกองหมื่นมาก กระนั้นก็ยังกล้าหยิ่งยโสถึงเพียงนี้

ฉินเหยียนกล่าว “ชายผู้นั้นคือบุตรของเซินเว่ยโหวหมินยวี่หลิน…หมินจ้าน ซึ่งผู้บัญชาการกองพัน กล่าวกันว่าเด็กคนนี้โหดเหี้ยมมาก เขาเป็นดั่งหมาป่าในดินแดนหิมะทางเหนือและเป็นที่เกรงกลัวสำหรับคนเถื่อน ทว่ามุมมองของข้า…เขามิได้แข็งแกร่งมากนัก ข้าสามารถทำให้เขาตกจากม้าด้วยการแทงหอกเพียงห้าครั้ง”

หลินมู่อวี่อดไม่ได้ที่จะยิ้ม “อาเหยียน คิดตื้นเขินยิ่งนัก สงครามไม่เหมือนกับในวิหาร เมื่ออยู่ในสนามรบ เจ้าต้องฟังคำสั่งของข้าและอย่าหุนหันพลันแล่น อีกทั้งเวลาต่อสู้ห้ามออกไปคนเดียว ชีวิตของเจ้ามีค่ามาก!”

“ขอรับพี่ใหญ่ อาเหยียนจะเชื่อฟัง”

“ดีมาก”

ขบวนทัพเดินทางอย่างเชื่องช้าและค่อนข้างน่าเบื่อ พวกเขาเดินทางเพียงเจ็ดไมล์ต่อวันเท่านั้น ขณะที่เมืองหลันเยี่ยนอยู่ห่างจากมณฑลหลิงตงถึงสามพันไมล์ ซึ่งหมายความว่าจะต้องใช้เวลาเดินทางอย่างน้อยหนึ่งเดือน ระหว่างการเดินทางหลินมู่อวี่รู้สึกเบื่อหน่าย เขาโคจรหลอมกระดูกมังกรซ้ำแล้วซ้ำเล่าเพื่อฝึกฝนปราณ และเมื่อถึงเวลาค่ำหลังทานอาหาร หลินมู่อวี่จะดูดซับพลังจากดาวเพื่อฝึกฝนกลยุทธ์ดวงดารา

น่าเสียดายที่หลังจากทะลวงกลยุทธ์ดวงดาราขั้นที่สอง หลินมู่อวี่ไม่สามารถทะลวงเข้าสู่ขั้นที่สาม ราวกับว่าการสะสมพลังดวงดาวในร่างกายถึงขีดจำกัดแล้ว

กระนั้นหลินมู่อวี่ยังคงอดทนแอบฝึกฝนอย่างลับๆ ต่อไป เนื่องจากเกรงว่าจะมีใครมาเห็น อีกทั้งการมีดวงดาวนับไม่ถ้วนล้อมรอบกายเป็นภาพที่น่าตื่นตกใจโดยแท้จริง

แปดวันผ่านไปในพริบตา กองทัพหยางเว่ยเดินทางผ่านอาณาเขตมณฑลชางหนาน ก่อนจะมองเห็นเมืองห้าหุบเขาระยะไกล และพบว่าเมืองนี้มิได้เจริญรุ่งเรืองอีกต่อไปแล้ว

‘กุบกับ…’

เสียงเกือกม้าดังขึ้นพร้อมทหารส่งสารควบม้าเข้ามาประสานหมัด “แม่ทัพหลิน ผู้ว่าการมณฑลชางหนานได้ส่งเสบียงจำนวนมาก ท่านเซินเว่ยโหวจึงขอให้ท่านตรวจสอบขอรับ”

“อืม” หลินมู่อวี่เอ่ยเสียงแผ่วเบา “ฉินเหยียน เฉินฮั่น พาคนไปกับข้า”

“ขอรับ!”

ทหารบางส่วนเดินผ่านขบวนออกไป มีพื้นที่โล่งขนาดใหญ่ข้างป่าทึบเขียวชอุ่ม ขณะนี้เป็นช่วงต้นฤดูร้อน ทหารเทียนฉงจำนวนมากหยุดเดินและต้อนม้าเพื่อถอดชุดเกราะรับลม การใส่เกราะหนาในวันที่อากาศร้อนช่างเป็นสิ่งที่น่าขมขื่น ด้านหลังกองทัพเทียนฉงมีเกวียนที่เต็มไปด้วยธัญพืชและหญ้าพร้อมทหารสิบนายจากมณฑลชางหนานคอยอารักขา ซึ่งพวกเขาถูกหลินมู่อวี่ส่งมา

หลังการตรวจสอบพบว่า มีเกวียนทั้งหมดหนึ่งพันเล่ม และไม่มีสิ่งผิดปกติ

ขณะเดียวกันทหารระดับสูงควบม้ามาจากระยะไกล เขาเป็นทหารผ่านศึกหนวดขาวอายุราวหกสิบปีพร้อมถือดาบเล่มยาวในมือ ส่วนธนูถูกมัดไว้ที่หลัง ดูเหมือนว่าชายผู้นี้จะรู้จักหลินมู่อวี่มาก่อน เขาเข้ามาประสานหมัดกล่าว “แม่ทัพหลวง ยินดีที่ได้พบกันอีกครั้งขอรับ!”

หลินมู่อวี่แสดงท่าทีความประหลาดใจ ก่อนจะมองอย่างระมัดระวัง ทันใดนั้นเขาก็จำได้และยิ้มออกมา “แม่ทัพฉือยิง ท่าน…เหตุใดจึงอยู่ในกองทหารด้วย ข้าไม่เห็นทราบเรื่องนี้เลย…”

ฉือยิงหัวเราะ “เรื่องมันยาวขอรับ ออกไปคุยกันเถิด”

“ได้สิ!”

ทั้งสองเดินเคียงข้างกัน ขณะที่ฉือยิงมีพลธนูติดตามมาราวสิบนาย เขามองหลินมู่อวี่และยิ้ม “สามปีก่อนเกิดสงครามในเมืองหลันเยี่ยน ข้าถูกส่งไปประจำการในเมืองหยาดสายัณห์ ต่อมาข้าได้รับการตอบแทนการทำงานหนักจากแม่ทัพหมินยวี่หลิน และได้เลื่อนยศให้เป็นผู้บัญชาการกองทัพเฉินกงใต้อาณัติเขา สามปีผ่านไปในพริบตา…ข้าอยู่ในกองทัพเฉินกงมาโดยตลอด และศึกในเมืองหลันเยี่ยนครานั้น ข้า…”

หลินมู่อวี่กล่าว “มันจบไปแล้ว ไม่เป็นไร”

“อืม”

ฉือยิงพยักหน้ารับ “โชคดีที่แม่ทัพหลวงไม่เป็นไร สรวงสวรรค์ช่างเมตตาต่อจักรวรรดิ และจักรพรรดิพระองค์แรกประทานพรแด่ท่านหลิน!”

“อื้ม” หลินมู่อวี่ยิ้มเล็กน้อยและเอ่ยเสียงแผ่วเบา “แม่ทัพอาวุโสฉือ ข้าดีใจที่ได้พบท่าน ทว่าข้ามิได้เป็นแม่ทัพหลวงอีกต่อไป ข้าไม่มีแม้แต่ยศทางทหารในการนำกองทัพ เห็นหรือไม่…ข้าเป็นเพียงผู้นำวิหารศักดิ์สิทธิ์ และกองทัพของข้าก็เป็นคนจากวิหารเช่นกัน…”

ฉือยิงยิ้ม “ในสายตาทหารผ่านศึกผู้นี้ ท่านเป็นแม่ทัพหลวงเสมอ กระนั้นท่านรู้สึกอย่างไรสำหรับภารกิจสำคัญในการขนส่งเสบียงเป็นครั้งแรก?”

หลินมู่อวี่ยิ้มอย่างมั่นใจ “ไม่ต้องกังวล ในแต่ละวันกองทหารหยางเว่ยหนึ่งแสนนายใช้เสบียงทำอาหารสองเกวียน และเราสามารถหาเพิ่มได้เรื่อยๆ ขณะนี้มีเสบียงกว่าสองพันเกวียน ซึ่งเพียงพอสำหรับครึ่งเดือน”

“เช่นนั้นข้าก็โล่งใจ”

ฉือยิงหรี่ตาลงและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ท่านแม่ทัพหลวงเป็นราชบุตรบุญธรรมขององค์จักรพรรดิ และยังเป็นผู้นำวิหารศักดิ์สิทธิ์ ท่านมีสถานะที่พิเศษ และการลำเลียงธัญพืชและหญ้าเป็นหน้าที่ที่สำคัญที่สุดในกองทัพ อย่าทำผิดพลาดนะขอรับ”

“ข้ารู้ ขอบคุณท่านแม่ทัพอาวุโสที่เตือนข้า” หลินมู่อวี่กล่าวอย่างอ่อนโยน กระนั้นเขารู้ดี…ไม่ว่าจะเป็นหมินยวี่หลิน ซูเหวินเทียน หรือหวังซี ต่างก็รอให้เขาทำพลาด

ระหว่างการเดินทาง หลินมู่อวี่ต้องระมัดระวังขณะที่เข้าไปยังค่ายของหมินยวี่หลินทุกสามวันเพื่อชำระค่าใช้จ่าย ทว่าเขาสามารถกลับออกมาอย่างปลอดภัย

สามสิบสามวันต่อมา…ในที่สุดกองทหารได้เคลื่อนทัพเข้าสู่เขตมณฑลหลิงตง

อย่างไรก็ตามมีสิ่งหนึ่งที่ทุกคนไม่คาดคิดคือ…มีหิมะและฝนตกในมณฑลหลิงตงช่วงต้นฤดูร้อน จึงทำให้ผลิตผลในมณฑลนี้น้อยกว่าเมืองหลันเยี่ยนสิบเปอร์เซ็นต์

ถนนสายหลักถูกปิดกั้นเกือบทั้งหมดขณะที่มีทุ่งหญ้าอยู่ด้านหน้า หลินมู่อวี่และฉินเหยียนควบม้าขึ้นไปบนเดินเพื่อสำรวจ มณฑลหลิงตงถูกทิ้งร้างราวกับแอ่งน้ำขนาดใหญ่ และมีพื้นที่กว้างกว่าราวสามเท่าของมณฑลหลิงเป่ย

ฉินเหยียนทอดสายตามองทุ่งหญ้าพร้อมขมวดคิ้ว “พี่ใหญ่ ที่นี่ไม่มีถนน กองทัพจะเคลื่อนผ่านได้อย่างไร?”

“หากไม่มีถนน…เช่นนั้นคงต้องทำขึ้นเอง”

หลินมู่อวี่กล่าว “ส่งคนไปตัดต้นไม้และนำมาวางเป็นทางลาด อย่าปล่อยให้ล้อเกวียนติดหล่ม มิเช่นนั้นคงลำบากมาก”

พูดจบก็แหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้า เกล็ดหิมะเย็นยะเยือกตกลงมายังแก้ม จักรวรรดิกำลังหวนคืนสู่ฤดูหนาวในไม่ช้า แต่ดูเหมือนว่าพระเจ้าจะไม่เป็นใจนัก…

ฉินเหยียนและเฉินฮั่นหันกลับไปออกคำสั่งกองกำลังศักดิ์สิทธิ์ให้ตัดต้นไม้ทั้งสองข้างทาง หลินมู่อวี่เดินนำไปด้านหน้ากองทัพและประสานหมัด “หลินมู่อวี่…ทหารส่งเสบียง ขอเข้าพบท่านเซินเว่ยโหว”

ทหารรักษาการณ์พยักหน้า “ท่านเซินเว่ยโหวอยู่ที่กองหน้าขอรับ”

“อืม”

………………………………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+