The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา 350 หวนคืนสู่วิหารศักดิ์สิทธิ์

Now you are reading The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา Chapter 350 หวนคืนสู่วิหารศักดิ์สิทธิ์ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ฉินอินยืนตกตะลึงพลางส่ายศีรษะขณะที่ดวงตาคู่งามปริ่มไปด้วยน้ำตา “ไม่จริง…ท่านไม่ใช่หลินมู่อวี่…”

ฉินอินไม่เชื่อสายตาเมื่อเห็นหลินมู่อวี่ปรากฏตัว หลินมู่อวี่รับรู้ความเจ็บปวดและโหยหาตลอดสามปีที่ผ่านมาของฉินอิน ก่อนจะยิ้มอย่างอ่อนโยนและกล่าว “ข้าเอง…เสี่ยวอิน ข้ายังไม่ตาย หากเจ้าไม่เชื่อก็จงดู…”

หลินมู่อวี่ใช้ฝ่ามือข้างหนึ่งเรียกวิญญาณยุทธ์ก่อนกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “เชื่อในสิ่งที่เจ้าเห็นเถิด…ตลอดสามปีที่หลับใหล ข้าฟื้นฟูร่างกายด้วยความสามารถของแท่งโลหะกระทั่งบาดแผลที่ได้จากลั่วหลานหายดี”

“อาอวี่…อาอวี่…”

ฉินอินมองอีกฝ่ายด้วยน้ำตานองหน้าพลางอ้าแขนโผเข้าสู่อ้อมกอดของกันและกัน “ข้าคิดว่าชาตินี้คงไม่ได้พบท่านอีก…ไม่เชื่อด้วยซ้ำว่าเป็นท่านพี่จริงๆ”

หลินมู่อวี่ลูบหลังฉินอินเพื่อปลอบประโลม “ข้าเคยบอกแล้วว่าจะกลับมาหา”

“อืม…”

“หยุดร้องเถิด…ข้าไม่อยากเห็นเจ้าร้องไห้”

“อืม…”

ฉินอินพยักหน้าตอบทว่าน้ำตายังคงไหลอาบแก้มประหนึ่งต้องการปลดปล่อยความคิดถึงตลอดสามปีที่ผ่านมา ลำคอของหลินมู่อวี่เปียกชื้นไปด้วยหยดน้ำตา

“เกราะทหารอวี้หลินสภาพเก่านัก หากเจ้าร้องไห้นานกว่านี้เกรงว่าข้าคงไม่มีเกราะให้สวมใส่อีกแล้วล่ะ” หลินมู่อวี่กล่าวด้วยความเอ็นดู

ฉินอินซับน้ำตาก่อนช้อนดวงตาที่ปริ่มน้ำขึ้นสบตาอีกฝ่ายพลางยิ้มกว้าง “กระทรวงอุตสาหกรรมคงยินยอมให้เจ้าใช้ชุดเกราะของอวี้หลินต่อ”

“แต่ทหารอวี้หลินไม่มีแล้ว…” หลินมู่อวี่พึมพำ

“ใช่ ทหารอวี้หลินไม่มีอยู่แล้ว…” ฉินอินกล่าวอย่างโศกเศร้า

“เสี่ยวอิน บัดนี้เจ้าเป็นถึงจักรพรรดินี ไม่ใช่องค์หญิง เจ้าพูดคำโกหกไม่ได้อีกต่อไปแล้ว” หลินมู่อวี่กล่าวพลางแตะที่หลังของนางแผ่วเบา

ฉินอินไม่ใส่ใจคำพูดเหล่านั้น ทั้งยังใช้แขนขาวเนียนโอบรอบคอ “แต่ข้าไม่อยากแยกจาก เกรงว่าเจ้าจะหายไปและเรื่องทั้งหมดนี้เป็นเพียงความฝัน…”

“ไม่มีวัน…”

หลินมู่อวี่กล่าวเสียงแผ่ว “ข้ากลับมาครั้งนี้จะไม่จากเจ้าไปไหนอีก จะคอยปกป้องและอยู่เคียงข้างไม่ห่าง ได้โปรดวางใจเถิด”

ท่ามกลางทหารองครักษ์ที่เพิ่งรับตำแหน่งใหม่อยู่รายล้อม ทุกคนต่างเผยสีหน้าอัศจรรย์ใจต่อภาพที่เห็น พวกเขาไม่รู้จักหลินมู่อวี่ ทว่าการที่จักรพรรดินีผู้สูงส่งเทิดทูนและจำนนต่อบุรุษผู้นี้เป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

ฉินอินผละออกจากอ้อมกอดของหลินมู่อวี่ ทว่ายังคงจับมือซ้ายของเขาไว้แน่นราวกลัวว่าหากปล่อยมือ เขาอาจหายไปกับสายลม…

จางเหว่ยกระแอมหนึ่งครั้งก่อนกล่าวด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า “ข้าเพิ่งได้รับสาส์นจากแม่ทัพเฟิงจี้สิงและผู้บัญชาการเว่ยโฉว ระบุว่าพวกเขาสามารถพิชิตภูเขาหลงหยานสำเร็จ! และจะเคลื่อนทัพกลับถึงเมืองหลวงในวันพรุ่ง…”

หลินมู่อวี่ได้ยินดังนั้นก็รู้สึกปีติยิ่ง “พวกเขายังไม่ตาย!”

“ขอรับ กลุ่มมังกรผงาดได้รับการแต่งตั้งให้เป็นกองพลหลักแห่งจักรวรรดิเมื่อสามปีก่อน…ท่านเว่ยโฉวดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการ ส่วนหลัวอวี่ ฉินเหยียนและเฟิงสี่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นรองผู้บัญชาการ…”

“เยี่ยมยอด!” หลินมู่อวี่กล่าวอย่างยินดี “แล้วเสี่ยวซีสบายดีหรือไม่?”

ฉินอินเผยรอยยิ้มกว้าง “เสี่ยวซีและถังเจิ้นนำทหารของกองทัพมังกรผงาดจำนวนห้าหมื่นนายคุ้มกันเมืองหน้าด่านอสูร และน่าจะกลับเมืองหลวงภายในวันพรุ่งนี้ เจ้าคอยอยู่ที่นี่เถิด”

“อืม”

หลินมู่อวี่ขมวดคิ้วขณะกวาดสายตามองบรรดาทหารองครักษ์ ฉินอินรีบยกมือสั่ง “พวกเจ้าจงหลีกทางให้ท่านแม่ทัพจางเหว่ย! ข้ามีบางสิ่งต้องการจะประกาศ!”

หลินมู่อวี่เผยรอยยิ้มบาง “เสี่ยวอิน อย่าประกาศอันใดเกี่ยวกับข้าเลย”

“เหตุใดเล่า?” ฉินอินเผยสงสัยก่อนจะอ้าปากพูด “อาอวี่ ก่อนหน้านี้เจ้าเป็นแม่ทัพพิทักษ์เมืองคนแรกที่สร้างคุณงามความดีแก่เมืองหลวงของเรา บัดนี้ท่านฟื้นคืนชีพแล้ว จึงควรค่าแก่การประกาศให้ทั้งแผ่นดินรับรู้โดยทั่วกัน…เสี่ยวอินต้องการเจ้าจริงๆ มันไม่ถูกต้องหากให้ท่านผู้บัญชาการเฟิงคอยช่วยเหลือข้าเช่นนี้…”

จางเหว่ยกล่าวเสริม “กระหม่อมเห็นด้วยพ่ะย่ะค่ะ ยามนี้พระราชอำนาจของท่านใกล้หมดลงแล้ว เชื้อพระวงศ์ของท่านที่ยังเหลืออยู่ในราชวังก็มีเพียงไม่กี่พระองค์ หากท่านยังหลีกเลี่ยงการดำเนินพระราชกรณียกิจเช่นนี้ต่อไป ตำแหน่งของท่านอาจไร้ซึ่งอำนาจ และอาจออกพระราชโองการใดไม่ได้อีกต่อไป”

“ข้าเปล่าหลีกเลี่ยง!”

หลินมู่อวี่ส่ายศีรษะ “เจ้าก็รู้ว่าถังปินหลานชายของถังหลานตายด้วยเงื้อมมือของข้า คิดว่าเขาจะญาติดีกับข้าหรือ? เขามีกองทัพอันแข็งแกร่งอยู่ภายใต้ปกครอง ทั้งยังแผ่อำนาจไปกว่าครึ่งแผ่นดินของราชวงศ์ฉิน หากข่าวแพร่สะพัดออกไปว่าข้ายังมีชีวิตอยู่ เขาจะต้องล้างแค้นข้าเป็นแน่ อีกอย่างข้าได้ยินมาว่าเซี่ยงอวี้บรรลุขอบเขตเทวะแล้วเช่นกัน เกรงว่าข้าอาจไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา…”

“เช่นนั้นจะทำอย่างไรดี?” ฉินอินเอ่ยถาม

หลินมู่อวี่สูดลมหายใจลึก “ค่อยหาโอกาสบอกให้ทุกคนรู้ทีหลังจะดีกว่า เมื่อทั้งแผ่นดินทราบแล้วว่าข้ายังไม่ตาย ถังหลานคงไม่กล้าทำการใดให้เกิดเรื่องยุ่งยากขึ้นเป็นแน่”

“งานประชุม!” ฉินอินสบตาเขาอย่างอ่อนโยน “มะรืนนี้จะมีงานประชุมที่จัดขึ้นทุกเจ็ดวัน ผู้คนจะมารวมตัวกันที่ตำหนักเจ๋อเทียนเพื่อต้อนรับบรรดารัฐมนตรีกว่าพันคน ข้าจะประกาศว่าท่านพี่ของข้ายังมีชีวิตอยู่…”

“อืม เช่นนั้นก็ได้” หลินมู่อวี่มองไปยังฉินอินก่อนเอ่ยถาม “เสี่ยวอิน เจ้าจะให้ข้าอยู่ในตำแหน่งใด?”

ฉินอินขยับริมฝีปากกล่าว “ข้าจะแต่งตั้งให้อาอวี่ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการแห่งกองทัพทหารองครักษ์อวี้หลิน ช่วยฟื้นฟูกองทัพอวี้หลินและอยู่เคียงข้างข้าอีกครั้ง…”

หลินมู่อวี่สบตาฉินอิน จนทำให้นางเขินอายหน้าแดงระเรื่อ “ข้าเพียงต้องการให้เจ้าอยู่เคียงข้าง ไยถึงมองเช่นนั้นเล่า?”

หลินมู่อวี่ส่งยิ้มอีกครั้งก่อนกล่าว “เจ้ามีท่านพี่เฟิงดำรงตำแหน่งแม่ทัพเคียงคู่แล้ว ตอนนี้เจ้าต้องการผู้ที่สามารถจัดการกับศัตรูของจักรวรรดิได้มากกว่า และคนคนนั้นก็ควรเป็นข้า…ข้าไม่มีสิ่งใดจะขอนอกจากเพิ่มกองกำลังกลุ่มมังกรผงาด เพราะข้าจะอาสาออกไปรบกับพวกจักรวรรดิอี้เหอเอง!”

“ทว่าเจ้าเพิ่งจะกลับมาพบข้า…” ฉินอินกล่าวพลางเบ้ริมผีปากอย่างขัดใจ

“ข้ารู้…” หลินมู่อวี่หันกลับไปสบตานางอีกครั้ง “ข้าเองก็อยากอยู่เคียงข้างเจ้าเช่นกัน บุรุษใดเล่าจะไม่อยากอยู่ท่ามกลางอาหารเลิศรส สุราชั้นดีและสตรีผู้เลอโฉม…”

จางเหว่ยพยักหน้าอย่างเห็นด้วย “ข้าก็พึงใจเช่นนั้น!”

“เงียบไปเลย!” หลินมู่อวี่เอ็ดใส่จางเหว่ยก่อนจะหันมากล่าวกับฉินอินต่อ “การที่เจ้าเป็นจักรพรรดินีในตอนนี้ก็ได้รับความทุกข์ทรมานใจมากพอแล้ว ฉะนั้น…ต่อให้เสด็จพ่อไม่บอกข้าก็จะคอยปกป้องเจ้า สิง่ที่เจ้าสูญเสียไปข้าจะทวงคืนกลับมาให้หมด”

“อืม” ฉินอินพยักหน้า “แต่ถึงอย่างไรเจ้าก็ต้องชดเชยเวลากว่าสามปีให้ข้า เสี่ยวอินคิดถึงเจ้า…”

“ข้ารู้…”

จางเหว่ยถาม “ท่านหลิน จะกลับไปนอนที่ค่ายกองทัพองครักษ์กับข้าหรือ…จะอยู่ร่วมเตียงกับท่านจักรพรรดินีขอรับ?”

ฉินอินหน้าแดงเรื่อ

หลินมู่อวี่รู้สึกประหม่า จางเหว่ยเริ่มพูดจาตรงไปตรงมาขึ้นทุกวัน

“ไม่ ข้าจะกลับไปนอนที่วิหารศักดิ์สิทธิ์ ไม่ได้พบปู่เกอยางมานานแล้ว…”

“เช่นนั้น…”

ฉินอินกะพริบตากล่าว “คืนนี้เสี่ยวอินขอไปวิหารศักดิ์สิทธิ์ด้วยได้หรือไม่…ข้าไม่อยากอยู่ห่างจากพี่อาอวี่…”

หลินมู่อวี่มิอาจกล่าวคำใด “ตาเฒ่าจาง เจ้าพอจะหาทางได้หรือไม่?”

จางเหว่ยยิ้มกริ่ม “วางใจจางเหว่ยผู้นี้เถิดขอรับ…ให้แจ้งไปว่าองค์จักรพรรดินีทรงเหนื่อยล้าจากการทรงงานและกลับไปบรรทมที่จวนหงส์ไฟ จากนั้นให้ปลอมตัวเป็นองครักษ์ตามพวกเราไปที่วิหารศักดิ์สิทธิ์ ก่อนรุ่งสางวันพรุ่งนี้ก็รีบกลับตำหนักเจ๋อเทียนเสีย เท่านี้ก็จะไม่มีผู้ใดรู้แล้วขอรับ”

“ทว่าองครักษ์ของท่านตากำลังจับตาดูอยู่…”

“ถ้าเช่นนั้น…”

หลินมู่อวี่ขมวดคิ้วกล่าว “วางใจเถิด พวกเขาไม่รู้แน่”

“ตกลง”

ฉินอินเข้าไปเปลี่ยนชุด ณ จวนหงส์ไฟ ขณะที่นางกำลังเลือกชุดเกราะมากมายที่อยู่ในตู้เสื้อผ้า หลินมู่อวี่และจางเหว่ยยืนรออยู่ด้านนอกท่ามกลางค่ำคืนสงัดรอบตำหนักเจ๋อเทียน

กลางดึก ณ ถนนทงเทียนนั้นปราศจากความคึกคักเช่นสามปีก่อน แม้ร้านค้าจะบูรณะและกลับมาเปิดใหม่อีกครั้ง ทว่าสภาพบ้านเมืองที่แลกมาด้วยหยาดโลหิตยังคงทำให้ผู้คนรู้สึกโศกเศร้าไม่จางหาย

หลินมู่อวี่เดินทางต่อ ไกลออกไปเป็นวิหารศักดิ์สิทธิ์และสมาพันธ์โอสถที่ซึ่งฉู่เหยาอาศัยอยู่

ฉินอินยิ้ม “หากท่านพี่พบท่านปู่เกอยางแล้ว ข้าจะพาไปพบท่านฉู่เหยาที่สมาพันธ์โอสถ นางต้องยินดีเป็นแน่หากเห็นว่าอาอวี่ของนางยังไม่ตาย”

“ดีเหมือนกัน”

หลินมู่อวี่ควบม้าเข้าไปยังวิหารศักดิ์สิทธิ์อย่างช้าๆ หลุมที่เหล่ยหงถูกสังหารโดนกลบแล้ว สายลมพัดพาใบไม้ร่วงหล่นลง ชวนให้บรรยากาศโดยรอบดูอ้างว้างยิ่ง

หลินมู่อวี่ลงจากหลังม้า ย่ำเท้าไปตามพื้นเย็นของวิหารพลางหันมองรอบตัวด้วยความรู้สึกขมขื่นในหัวใจ หวนนึกถึงคำพูดของเหล่ยหงที่เคยกล่าวไว้ในวันที่เขาเข้ามาวิหารแห่งนี้ครั้งแรกว่า…ให้ผูกใจไว้กับวิหารศักดิ์สิทธิ์ ต่อให้จะบินได้สูงหรือไปได้ไกลสักเพียงใด สักวันก็ต้องกลับมาที่นี่ บัดนี้หลินมู่อวี่กลับมาแล้ว ราวกับโชคชะตาที่ถูกลิขิตไว้จากสวรรค์

เขาถอนหายใจพลางกำหมัดแน่นเมื่อเห็นอักขระสีทองที่จารึกอยู่บนผนังวิหาร

จางเหว่ยเร่งก้าวเข้าไปคุยกับทหารยามสองนาย “ข้าจางเหว่ย…รองผู้บัญชาการกองทัพองครักษ์ ต้องการมาพบท่านผู้นำเกอยาง”

ทหารยามตอบ “ท่านจางเหว่ย ข้าเกรงว่าขณะนี้ท่านผู้นำคงกำลังพักผ่อน…”

“ไปปลุกท่าน…”

จางเหว่ยเผยรอยยิ้มเล็กน้อย “นำความไปบอกท่านว่าจางเหว่ยมีข่าวดีจะแจ้งให้ทราบ”

ทหารยามพินิจอยู่ครู่หนึ่งก่อนกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เช่นนี้นี่เอง…ท่านจางเหว่ยโปรดเข้าไปรอที่ห้องโถงรับแขกก่อนเถิด ข้าน้อยจะไปเรียนท่านผู้นำมาพบ…ท่านสองคนด้านหลัง”

“ข้าพาทั้งสองคนเข้าไปด้วยได้หรือไม่?”

“ได้ขอรับ เชิญเข้ามาก่อนเถิด…”

………………………………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา 350 หวนคืนสู่วิหารศักดิ์สิทธิ์

Now you are reading The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา Chapter 350 หวนคืนสู่วิหารศักดิ์สิทธิ์ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ฉินอินยืนตกตะลึงพลางส่ายศีรษะขณะที่ดวงตาคู่งามปริ่มไปด้วยน้ำตา “ไม่จริง…ท่านไม่ใช่หลินมู่อวี่…”

ฉินอินไม่เชื่อสายตาเมื่อเห็นหลินมู่อวี่ปรากฏตัว หลินมู่อวี่รับรู้ความเจ็บปวดและโหยหาตลอดสามปีที่ผ่านมาของฉินอิน ก่อนจะยิ้มอย่างอ่อนโยนและกล่าว “ข้าเอง…เสี่ยวอิน ข้ายังไม่ตาย หากเจ้าไม่เชื่อก็จงดู…”

หลินมู่อวี่ใช้ฝ่ามือข้างหนึ่งเรียกวิญญาณยุทธ์ก่อนกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “เชื่อในสิ่งที่เจ้าเห็นเถิด…ตลอดสามปีที่หลับใหล ข้าฟื้นฟูร่างกายด้วยความสามารถของแท่งโลหะกระทั่งบาดแผลที่ได้จากลั่วหลานหายดี”

“อาอวี่…อาอวี่…”

ฉินอินมองอีกฝ่ายด้วยน้ำตานองหน้าพลางอ้าแขนโผเข้าสู่อ้อมกอดของกันและกัน “ข้าคิดว่าชาตินี้คงไม่ได้พบท่านอีก…ไม่เชื่อด้วยซ้ำว่าเป็นท่านพี่จริงๆ”

หลินมู่อวี่ลูบหลังฉินอินเพื่อปลอบประโลม “ข้าเคยบอกแล้วว่าจะกลับมาหา”

“อืม…”

“หยุดร้องเถิด…ข้าไม่อยากเห็นเจ้าร้องไห้”

“อืม…”

ฉินอินพยักหน้าตอบทว่าน้ำตายังคงไหลอาบแก้มประหนึ่งต้องการปลดปล่อยความคิดถึงตลอดสามปีที่ผ่านมา ลำคอของหลินมู่อวี่เปียกชื้นไปด้วยหยดน้ำตา

“เกราะทหารอวี้หลินสภาพเก่านัก หากเจ้าร้องไห้นานกว่านี้เกรงว่าข้าคงไม่มีเกราะให้สวมใส่อีกแล้วล่ะ” หลินมู่อวี่กล่าวด้วยความเอ็นดู

ฉินอินซับน้ำตาก่อนช้อนดวงตาที่ปริ่มน้ำขึ้นสบตาอีกฝ่ายพลางยิ้มกว้าง “กระทรวงอุตสาหกรรมคงยินยอมให้เจ้าใช้ชุดเกราะของอวี้หลินต่อ”

“แต่ทหารอวี้หลินไม่มีแล้ว…” หลินมู่อวี่พึมพำ

“ใช่ ทหารอวี้หลินไม่มีอยู่แล้ว…” ฉินอินกล่าวอย่างโศกเศร้า

“เสี่ยวอิน บัดนี้เจ้าเป็นถึงจักรพรรดินี ไม่ใช่องค์หญิง เจ้าพูดคำโกหกไม่ได้อีกต่อไปแล้ว” หลินมู่อวี่กล่าวพลางแตะที่หลังของนางแผ่วเบา

ฉินอินไม่ใส่ใจคำพูดเหล่านั้น ทั้งยังใช้แขนขาวเนียนโอบรอบคอ “แต่ข้าไม่อยากแยกจาก เกรงว่าเจ้าจะหายไปและเรื่องทั้งหมดนี้เป็นเพียงความฝัน…”

“ไม่มีวัน…”

หลินมู่อวี่กล่าวเสียงแผ่ว “ข้ากลับมาครั้งนี้จะไม่จากเจ้าไปไหนอีก จะคอยปกป้องและอยู่เคียงข้างไม่ห่าง ได้โปรดวางใจเถิด”

ท่ามกลางทหารองครักษ์ที่เพิ่งรับตำแหน่งใหม่อยู่รายล้อม ทุกคนต่างเผยสีหน้าอัศจรรย์ใจต่อภาพที่เห็น พวกเขาไม่รู้จักหลินมู่อวี่ ทว่าการที่จักรพรรดินีผู้สูงส่งเทิดทูนและจำนนต่อบุรุษผู้นี้เป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

ฉินอินผละออกจากอ้อมกอดของหลินมู่อวี่ ทว่ายังคงจับมือซ้ายของเขาไว้แน่นราวกลัวว่าหากปล่อยมือ เขาอาจหายไปกับสายลม…

จางเหว่ยกระแอมหนึ่งครั้งก่อนกล่าวด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า “ข้าเพิ่งได้รับสาส์นจากแม่ทัพเฟิงจี้สิงและผู้บัญชาการเว่ยโฉว ระบุว่าพวกเขาสามารถพิชิตภูเขาหลงหยานสำเร็จ! และจะเคลื่อนทัพกลับถึงเมืองหลวงในวันพรุ่ง…”

หลินมู่อวี่ได้ยินดังนั้นก็รู้สึกปีติยิ่ง “พวกเขายังไม่ตาย!”

“ขอรับ กลุ่มมังกรผงาดได้รับการแต่งตั้งให้เป็นกองพลหลักแห่งจักรวรรดิเมื่อสามปีก่อน…ท่านเว่ยโฉวดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการ ส่วนหลัวอวี่ ฉินเหยียนและเฟิงสี่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นรองผู้บัญชาการ…”

“เยี่ยมยอด!” หลินมู่อวี่กล่าวอย่างยินดี “แล้วเสี่ยวซีสบายดีหรือไม่?”

ฉินอินเผยรอยยิ้มกว้าง “เสี่ยวซีและถังเจิ้นนำทหารของกองทัพมังกรผงาดจำนวนห้าหมื่นนายคุ้มกันเมืองหน้าด่านอสูร และน่าจะกลับเมืองหลวงภายในวันพรุ่งนี้ เจ้าคอยอยู่ที่นี่เถิด”

“อืม”

หลินมู่อวี่ขมวดคิ้วขณะกวาดสายตามองบรรดาทหารองครักษ์ ฉินอินรีบยกมือสั่ง “พวกเจ้าจงหลีกทางให้ท่านแม่ทัพจางเหว่ย! ข้ามีบางสิ่งต้องการจะประกาศ!”

หลินมู่อวี่เผยรอยยิ้มบาง “เสี่ยวอิน อย่าประกาศอันใดเกี่ยวกับข้าเลย”

“เหตุใดเล่า?” ฉินอินเผยสงสัยก่อนจะอ้าปากพูด “อาอวี่ ก่อนหน้านี้เจ้าเป็นแม่ทัพพิทักษ์เมืองคนแรกที่สร้างคุณงามความดีแก่เมืองหลวงของเรา บัดนี้ท่านฟื้นคืนชีพแล้ว จึงควรค่าแก่การประกาศให้ทั้งแผ่นดินรับรู้โดยทั่วกัน…เสี่ยวอินต้องการเจ้าจริงๆ มันไม่ถูกต้องหากให้ท่านผู้บัญชาการเฟิงคอยช่วยเหลือข้าเช่นนี้…”

จางเหว่ยกล่าวเสริม “กระหม่อมเห็นด้วยพ่ะย่ะค่ะ ยามนี้พระราชอำนาจของท่านใกล้หมดลงแล้ว เชื้อพระวงศ์ของท่านที่ยังเหลืออยู่ในราชวังก็มีเพียงไม่กี่พระองค์ หากท่านยังหลีกเลี่ยงการดำเนินพระราชกรณียกิจเช่นนี้ต่อไป ตำแหน่งของท่านอาจไร้ซึ่งอำนาจ และอาจออกพระราชโองการใดไม่ได้อีกต่อไป”

“ข้าเปล่าหลีกเลี่ยง!”

หลินมู่อวี่ส่ายศีรษะ “เจ้าก็รู้ว่าถังปินหลานชายของถังหลานตายด้วยเงื้อมมือของข้า คิดว่าเขาจะญาติดีกับข้าหรือ? เขามีกองทัพอันแข็งแกร่งอยู่ภายใต้ปกครอง ทั้งยังแผ่อำนาจไปกว่าครึ่งแผ่นดินของราชวงศ์ฉิน หากข่าวแพร่สะพัดออกไปว่าข้ายังมีชีวิตอยู่ เขาจะต้องล้างแค้นข้าเป็นแน่ อีกอย่างข้าได้ยินมาว่าเซี่ยงอวี้บรรลุขอบเขตเทวะแล้วเช่นกัน เกรงว่าข้าอาจไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา…”

“เช่นนั้นจะทำอย่างไรดี?” ฉินอินเอ่ยถาม

หลินมู่อวี่สูดลมหายใจลึก “ค่อยหาโอกาสบอกให้ทุกคนรู้ทีหลังจะดีกว่า เมื่อทั้งแผ่นดินทราบแล้วว่าข้ายังไม่ตาย ถังหลานคงไม่กล้าทำการใดให้เกิดเรื่องยุ่งยากขึ้นเป็นแน่”

“งานประชุม!” ฉินอินสบตาเขาอย่างอ่อนโยน “มะรืนนี้จะมีงานประชุมที่จัดขึ้นทุกเจ็ดวัน ผู้คนจะมารวมตัวกันที่ตำหนักเจ๋อเทียนเพื่อต้อนรับบรรดารัฐมนตรีกว่าพันคน ข้าจะประกาศว่าท่านพี่ของข้ายังมีชีวิตอยู่…”

“อืม เช่นนั้นก็ได้” หลินมู่อวี่มองไปยังฉินอินก่อนเอ่ยถาม “เสี่ยวอิน เจ้าจะให้ข้าอยู่ในตำแหน่งใด?”

ฉินอินขยับริมฝีปากกล่าว “ข้าจะแต่งตั้งให้อาอวี่ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการแห่งกองทัพทหารองครักษ์อวี้หลิน ช่วยฟื้นฟูกองทัพอวี้หลินและอยู่เคียงข้างข้าอีกครั้ง…”

หลินมู่อวี่สบตาฉินอิน จนทำให้นางเขินอายหน้าแดงระเรื่อ “ข้าเพียงต้องการให้เจ้าอยู่เคียงข้าง ไยถึงมองเช่นนั้นเล่า?”

หลินมู่อวี่ส่งยิ้มอีกครั้งก่อนกล่าว “เจ้ามีท่านพี่เฟิงดำรงตำแหน่งแม่ทัพเคียงคู่แล้ว ตอนนี้เจ้าต้องการผู้ที่สามารถจัดการกับศัตรูของจักรวรรดิได้มากกว่า และคนคนนั้นก็ควรเป็นข้า…ข้าไม่มีสิ่งใดจะขอนอกจากเพิ่มกองกำลังกลุ่มมังกรผงาด เพราะข้าจะอาสาออกไปรบกับพวกจักรวรรดิอี้เหอเอง!”

“ทว่าเจ้าเพิ่งจะกลับมาพบข้า…” ฉินอินกล่าวพลางเบ้ริมผีปากอย่างขัดใจ

“ข้ารู้…” หลินมู่อวี่หันกลับไปสบตานางอีกครั้ง “ข้าเองก็อยากอยู่เคียงข้างเจ้าเช่นกัน บุรุษใดเล่าจะไม่อยากอยู่ท่ามกลางอาหารเลิศรส สุราชั้นดีและสตรีผู้เลอโฉม…”

จางเหว่ยพยักหน้าอย่างเห็นด้วย “ข้าก็พึงใจเช่นนั้น!”

“เงียบไปเลย!” หลินมู่อวี่เอ็ดใส่จางเหว่ยก่อนจะหันมากล่าวกับฉินอินต่อ “การที่เจ้าเป็นจักรพรรดินีในตอนนี้ก็ได้รับความทุกข์ทรมานใจมากพอแล้ว ฉะนั้น…ต่อให้เสด็จพ่อไม่บอกข้าก็จะคอยปกป้องเจ้า สิง่ที่เจ้าสูญเสียไปข้าจะทวงคืนกลับมาให้หมด”

“อืม” ฉินอินพยักหน้า “แต่ถึงอย่างไรเจ้าก็ต้องชดเชยเวลากว่าสามปีให้ข้า เสี่ยวอินคิดถึงเจ้า…”

“ข้ารู้…”

จางเหว่ยถาม “ท่านหลิน จะกลับไปนอนที่ค่ายกองทัพองครักษ์กับข้าหรือ…จะอยู่ร่วมเตียงกับท่านจักรพรรดินีขอรับ?”

ฉินอินหน้าแดงเรื่อ

หลินมู่อวี่รู้สึกประหม่า จางเหว่ยเริ่มพูดจาตรงไปตรงมาขึ้นทุกวัน

“ไม่ ข้าจะกลับไปนอนที่วิหารศักดิ์สิทธิ์ ไม่ได้พบปู่เกอยางมานานแล้ว…”

“เช่นนั้น…”

ฉินอินกะพริบตากล่าว “คืนนี้เสี่ยวอินขอไปวิหารศักดิ์สิทธิ์ด้วยได้หรือไม่…ข้าไม่อยากอยู่ห่างจากพี่อาอวี่…”

หลินมู่อวี่มิอาจกล่าวคำใด “ตาเฒ่าจาง เจ้าพอจะหาทางได้หรือไม่?”

จางเหว่ยยิ้มกริ่ม “วางใจจางเหว่ยผู้นี้เถิดขอรับ…ให้แจ้งไปว่าองค์จักรพรรดินีทรงเหนื่อยล้าจากการทรงงานและกลับไปบรรทมที่จวนหงส์ไฟ จากนั้นให้ปลอมตัวเป็นองครักษ์ตามพวกเราไปที่วิหารศักดิ์สิทธิ์ ก่อนรุ่งสางวันพรุ่งนี้ก็รีบกลับตำหนักเจ๋อเทียนเสีย เท่านี้ก็จะไม่มีผู้ใดรู้แล้วขอรับ”

“ทว่าองครักษ์ของท่านตากำลังจับตาดูอยู่…”

“ถ้าเช่นนั้น…”

หลินมู่อวี่ขมวดคิ้วกล่าว “วางใจเถิด พวกเขาไม่รู้แน่”

“ตกลง”

ฉินอินเข้าไปเปลี่ยนชุด ณ จวนหงส์ไฟ ขณะที่นางกำลังเลือกชุดเกราะมากมายที่อยู่ในตู้เสื้อผ้า หลินมู่อวี่และจางเหว่ยยืนรออยู่ด้านนอกท่ามกลางค่ำคืนสงัดรอบตำหนักเจ๋อเทียน

กลางดึก ณ ถนนทงเทียนนั้นปราศจากความคึกคักเช่นสามปีก่อน แม้ร้านค้าจะบูรณะและกลับมาเปิดใหม่อีกครั้ง ทว่าสภาพบ้านเมืองที่แลกมาด้วยหยาดโลหิตยังคงทำให้ผู้คนรู้สึกโศกเศร้าไม่จางหาย

หลินมู่อวี่เดินทางต่อ ไกลออกไปเป็นวิหารศักดิ์สิทธิ์และสมาพันธ์โอสถที่ซึ่งฉู่เหยาอาศัยอยู่

ฉินอินยิ้ม “หากท่านพี่พบท่านปู่เกอยางแล้ว ข้าจะพาไปพบท่านฉู่เหยาที่สมาพันธ์โอสถ นางต้องยินดีเป็นแน่หากเห็นว่าอาอวี่ของนางยังไม่ตาย”

“ดีเหมือนกัน”

หลินมู่อวี่ควบม้าเข้าไปยังวิหารศักดิ์สิทธิ์อย่างช้าๆ หลุมที่เหล่ยหงถูกสังหารโดนกลบแล้ว สายลมพัดพาใบไม้ร่วงหล่นลง ชวนให้บรรยากาศโดยรอบดูอ้างว้างยิ่ง

หลินมู่อวี่ลงจากหลังม้า ย่ำเท้าไปตามพื้นเย็นของวิหารพลางหันมองรอบตัวด้วยความรู้สึกขมขื่นในหัวใจ หวนนึกถึงคำพูดของเหล่ยหงที่เคยกล่าวไว้ในวันที่เขาเข้ามาวิหารแห่งนี้ครั้งแรกว่า…ให้ผูกใจไว้กับวิหารศักดิ์สิทธิ์ ต่อให้จะบินได้สูงหรือไปได้ไกลสักเพียงใด สักวันก็ต้องกลับมาที่นี่ บัดนี้หลินมู่อวี่กลับมาแล้ว ราวกับโชคชะตาที่ถูกลิขิตไว้จากสวรรค์

เขาถอนหายใจพลางกำหมัดแน่นเมื่อเห็นอักขระสีทองที่จารึกอยู่บนผนังวิหาร

จางเหว่ยเร่งก้าวเข้าไปคุยกับทหารยามสองนาย “ข้าจางเหว่ย…รองผู้บัญชาการกองทัพองครักษ์ ต้องการมาพบท่านผู้นำเกอยาง”

ทหารยามตอบ “ท่านจางเหว่ย ข้าเกรงว่าขณะนี้ท่านผู้นำคงกำลังพักผ่อน…”

“ไปปลุกท่าน…”

จางเหว่ยเผยรอยยิ้มเล็กน้อย “นำความไปบอกท่านว่าจางเหว่ยมีข่าวดีจะแจ้งให้ทราบ”

ทหารยามพินิจอยู่ครู่หนึ่งก่อนกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เช่นนี้นี่เอง…ท่านจางเหว่ยโปรดเข้าไปรอที่ห้องโถงรับแขกก่อนเถิด ข้าน้อยจะไปเรียนท่านผู้นำมาพบ…ท่านสองคนด้านหลัง”

“ข้าพาทั้งสองคนเข้าไปด้วยได้หรือไม่?”

“ได้ขอรับ เชิญเข้ามาก่อนเถิด…”

………………………………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+