The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา 335 แต่งตั้งเจ็ดแม่ทัพเทพ

Now you are reading The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา Chapter 335 แต่งตั้งเจ็ดแม่ทัพเทพ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ห้าวันผันผ่านไปในพริบตา สงครามในเมืองหลันเยี่ยนยังไม่จบสิ้น

พลังต่อสู้ของกองทัพอสูรครึ่งอสรพิษและอสูรครึ่งกิ้งก่ามีความได้เปรียบในพื้นที่ที่เต็มไปด้วยหิน ในทางตรงกันข้ามทหารม้าแห่งจักรวรรดิอี้เหอไม่สามารถแปรทัพบุกได้ เวลาล่วงเลยกว่าห้าวันก็ไม่มีวี่แววว่าจะขับไล่กองทัพเผ่าพันธุ์อสูรออกไปได้ และยังสูญเสียม้าศึกเกือบสามหมื่นตัว

กำแพงเมืองถูกซ่อมแซมอย่างเชื่องช้า ภายใต้ชายคา ฉินอี้ราชาผู้พิชิตมองไปยังสนามรบด้วยสีหน้าบึ้งตึง “ไอ้พวกขยะใช้เวลานานถึงเพียงนี้ก็ยังไม่สามารถขับไล่เผ่าพันธุ์อสูรไปได้ พวกมันเป็นเพียงขยะไร้ค่าอย่างแท้จริง!”

จื่อเย่ากล่าวอย่างเฉยเมย “แม่ทัพลู่จ่าวทำดีที่สุดแล้ว…”

“ทำดีที่สุดแล้ว?”

ฉินอี้ยิ้มอย่างเย็นชา “ทำดีที่สุดในการร้องเพลงสรรเสริญตัวเองอย่างนั้นเหรอ? ตัดหัวฉินเหลยและส่งไปยังหลิงหนาน สิ่งนี้คือการพิสูจน์ว่าลู่จ่าวเป็นคนของจักรวรรดิอี้เหออย่างแท้จริง?”

“ฝ่าบาททรงทราบเรื่องนี้ด้วย…”

“เหอะ! กระนั้นฉินเหลยก็เป็นหลานของข้า…เขาทะนงตัวจึงสมควรตาย ทว่าการทำกับร่างกายฉินเหลยเช่นนี้ ลู่จ่าวทำให้ข้าผิดหวังยิ่งนัก”

จื่อเย่าประสานหมัด “ความจริงเนื่องจาก…ฉินเหลยเป็นหนึ่งในแม่ทัพที่ได้รับการไว้วางใจมากที่สุดจากฉินจิ้น อีกทั้งเป็นหนึ่งในสี่วีรบุรุษแห่งเมืองหลันเยี่ยน ดังนั้นแม่ทัพลู่จ่าวจึงต้องการใช้ชื่อเสียงของฉินเหลยเพื่อเพิ่มขวัญกำลังใจในมณฑลหลิงหนาน!”

“ไร้สาระ!”

ฉินอี้รู้สึกรำคาญเล็กน้อยและกล่าวว่า “ไปเรียกหลงเซียนหลินกลับมานำทัพ มิเช่นนั้นคงไม่มีผู้ใดสามารถเอาชนะกองทัพเผ่าพันธุ์อสูรของถังเสี่ยวซีได้”

“พ่ะย่ะค่ะ!”

จื่อเย่าพยักหน้าและเงยหน้ามองฉินอี้พร้อมทำท่าลังเลว่าจะกล่าวดีหรือไม่

“พูดมา”

จื่อเย่าพยักหน้า “แผ่นดินส่วนใหญ่รวมกันเป็นปึกแผ่น ในเมื่อจักรวรรดิอี้เหอมีเมืองหลวงอยู่ที่เมืองไป๋หลิง ดังนั้นเมืองหลันเยี่ยนจึงมิใช่เมืองหลวงของจักรวรรดิอีกต่อไป อีกทั้ง…พวกเราเข่นฆ่าชาวบ้านในเมืองไปกว่าหนึ่งลานคน จนเกิดความเคียดแค้นมากมาย เมืองหลันเยี่ยนไร้ค่าเกินกว่าที่จะอยู่ต่อ…ข้าเกรงว่าจะเป็นการสิ้นเปลืองกองทัพและเสบียง เดิมทีพืชพันธุ์ต่างๆ ของเราถูกส่งมาจากมณฑลหลิงหนานซึ่งเดินทางไม่สะดวกนัก รวมทั้งเมืองหลันเยี่ยนอยู่ใกล้กับเมืองชีไห่และเมืองหยาดสายัณห์ กระหม่อมแนะนำให้ถอนทัพออกจากเมืองหลันเยี่ยนและตั้งฐานที่มั่นในเมืองห้าหุบเขาในมณฑลชางหนานทางใต้แทนพ่ะย่ะค่ะ”

“นั่น…”

ฉินอี้หรี่ตา “เมืองหลันเยี่ยนอยู่ในสภาพเสื่อมโทรมอยู่แล้ว เช่นนั้นปล่อยถังเสี่ยวซีไป…รอจนกว่าจะรวบรวมกองทัพแล้วมาจัดการเด็กสาวผู้นี้อีกครั้ง!”

“ราชาผู้พิชิตช่างปราดเปรื่อง!” จื่อเย่าก้มลงคำนับอย่างระมัดระวัง “ท่านราชาผู้พิชิต เรื่องการจัดตั้งเจ็ดแม่ทัพเทพ…มิทราบว่าจะเริ่มเมื่อใดพ่ะย่ะค่ะ?”

“เรื่องนี้…” ฉินอี้สูดหายใจลึกและกล่าวว่า “ข้าไม่รู้ว่าแม่ทัพแห่งจักรวรรดิอี้เหอคนใดมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเรียกว่า ‘เจ็ดแม่ทัพเทพ’ ได้”

“กระหม่อมคงมิกล่าวสิ่งใดไปมากกว่านี้ ให้ฝ่าบาททรงตัดสินพระทัยเองพ่ะย่ะค่ะ! ไม่สิ…ควรจะต้องเป็นฝ่าบาทอยู่แล้ว…”

ฉินอี้ยิ้มเล็กน้อยก่อนจะมองไปรอบบริเวณ “ชื่อนี้…ห้ามเรียกอีกในภายภาคหน้าต่อหน้าผู้คน อย่าลืมว่าจักรวรรดิอี้เหอเป็นของคนทั้งปวง เราถือว่าทุกคนมีความกรุณาและเท่าเทียมกัน อีกทั้งไม่มีจักรพรรดิเป็นผู้ปกครอง”

“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”

“สั่งหลงเซียนหลินนำกองทัพไปต่อต้านเผ่าพันธุ์อสูรของถังเสี่ยวซี จากนั้นจัดพิธีประดับยศในช่วงเที่ยงวันพรุ่ง”

“พ่ะย่ะค่ะ!”

วันรุ่งขึ้นเวลาเที่ยง ภายในโถงหลักตำหนักเจ๋อเทียนเหล่าทหารของจักรวรรดิอี้เหอมารวมตัวกันอย่างหนาแน่น เนื่องจากวันนี้เป็นวันมอบรางวัลตอบแทนคุณงามความดี โดยมิสนใจว่าจะมีกองทัพเผ่าพันธุ์อสูรโจมตีอยู่นอกเมือง ฉินอี้เล็งเห็นความสำคัญว่าต้องสร้างขวัญกำลังใจให้แก่ทหารที่ต่อสู้เป็นเวลาหลายเดือนติดต่อกัน

“พิธีประดับยศเริ่มขึ้นแล้ว!” นายทหารตะโกนดัง “ต่อจากนี้จะเป็นการประกาศรายชื่อเจ็ดแม่ทัพเทพแห่งจักรวรรดิอี้เหอ!”

ฉินอี้ถือกระบี่ไร้วิญญาณพร้อมถือม้วนหนังสือด้วยมืออีกข้าง เขาเดินไปหน้าบัลลังก์และกล่าวเสียงดัง “ในวันนี้ทั่วทั้งแผ่นดินเป็นของจักรวรรดิอี้เหอ เพื่อเหล่าแม่ทัพที่ทำงานหนัก ฉินอี้ได้รับสาส์นจากสวรรค์เพื่อแต่งตั้งเจ็ดแม่ทัพเทพ จงจำไว้ว่า…จงปฏิบัติต่อทุกผู้อย่างเท่าเทียม สนธิสัญญาแห่งไป๋หลิง ผูกมัดด้วยชีวิต ใต้สรวงสวรรค์ บนพื้นปฐพี คำสาบานเลือดบังเกิดขึ้น!”

ฉินอี้หยุดพูดเล็กน้อย “จื่อเย่า…ตลอดทางจากมณฑลหลิงหนานถึงมณฑลหลิงเป่ย เขามีส่วนร่วมต่อความสำเร็จนี้มากมาย จึงได้รับการขนานนามว่า ‘แม่ทัพใหญ่’ ฉินหวน…ในฐานะแม่ทัพแนวหน้าผู้บุกแผ่นดินหนาวเหน็บ กระทั่งพื้นที่สูงเสียดฟ้า จะได้รับการขนานนามว่า ‘แม่ทัพระดับสอง’ ลู่จ่าว…ได้รับชัยชนะในการต่อสู้มากมาย จะได้รับการขนานนามว่า ‘แม่ทัพระดับสาม’ หม่านฟาง…บุตรชายหม่านหนิงผู้เก่งกล้า จะได้รับการขนานนามว่า ‘แม่ทัพระดับสี่’ หลี่เฉียนซุน…วีรบุรุษแห่งเมืองหลิงหนาน จะได้รับการขนานนามว่า ‘แม่ทัพระดับห้า’ ติงซี่…แม่ทัพชื่อเสียงเกรียงไกรจากเมืองสายัณห์ผู้ต่อสู้อย่างกล้าหาญ จะได้รับการขนานนามว่า ‘แม่ทัพระดับหก’ หลงเซียนหลิน…หลังจากยอมจำนนก็สร้างชื่อเสียงมากมาย จะได้รับการขนานนามว่า ‘แม่ทัพระดับเจ็ด’”

ทันใดนั้นเหล่าทหารต่างแสดงความยินดี ทั้งเจ็ดแม่ทัพกลายเป็นผู้นำแห่งจักรวรรดิอี้เหอและได้รับการยกย่องจากทุกคน

ลู่จ่าวยิ้มเย็นชา “ข้าคิดว่าตนเองมีความสามารถมากพอที่จะเป็นถึงแม่ทัพระดับสอง ข้าไม่ต้องการเป็นเพียงแม่ทัพระดับสาม”

จื่อเย่าอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ “ฉินหวนเป็นบุตรของราชาผู้พิชิต แม่ทัพลู่จ่าวไม่พอใจหรือ?”

“มิบังอาจ”

ลู่จ่าวมองหลงเซียนหลินด้านหลังและยิ้ม “แม่ทัพหลงเซียนหลินยกทัพไปเมืองหลันเยี่ยนเพื่อต่อต้านศัตรูอย่างฉู่ฮว๋ายเหมี่ยน เฟิงจี้สิง หลินมู่อวี่ และอีกมากมาย ท่ามกลางแม่ทัพผู้ชื่อดัง เขาเป็นแม่ทัพที่มีความสามารถ ทว่าคงไม่คาดคิดว่าจะได้ระดับสุดท้าย ฮ่าๆ…”

หลงเซียนหลินกดด้ามดาบด้วยสายตาสงบนิ่ง “แม่ทัพลู่จ่าวพูดถึงสิ่งใด หลงเซียนหลินมิได้เคืองขุ่น นอกจากจะเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้เป็นหนึ่งในเจ็ดคนผู้รับใช้คนทั้งแผ่นดิน และมิได้ต้องการชื่อเสียงแต่อย่างใด ข้าได้ยินมาว่าแม่ทัพลู่จ่าวมีกองทหารสองแสนนาย แต่ก็ยังไม่สามารถขับไล่กองทัพเผ่าพันธุ์อสูร เป็นเรื่องจริงหรือไม่?”

ลู่จ่าวพูดอย่างโกรธเกรี้ยว “หลงเซียนหลิน ระวังปากเจ้าด้วย!”

หลงเซียนหลินกล่าวอย่างภาคภูมิใจ “ข้าจะไม่ใส่ใจเวลาพูดได้อย่างไร?”

จื่อเย่ากล่าวด้วยรอยยิ้ม “ทั้งสองต่างก็เป็นแม่ทัพผู้มีชื่อเสียงแห่งจักรวรรดิอี้เหอ จงอย่าแสดงกิริยาเช่นนั้น แม่ทัพหลง…กองทัพแห่งจักรวรรดิอี้เหอกำลังถอนทัพจากเมืองหลันเยี่ยน การป้องกันศัตรูที่นี่จึงตกเป็นความรับผิดชอบของเจ้าแต่เพียงผู้เดียว ฝ่าบาท…ไม่ ราชาผู้พิชิตได้มอบทหารม้าห้าหมื่นนายให้เจ้า ข้าไม่รู้ว่าจะสามารถหยุดกองกำลังกว่าหนึ่งแสนของถังเสี่ยวซีได้หรือไม่”

“เหตุใดจึงไม่ได้?”

หลงเซียนหลินกล่าวด้วยรอยยิ้ม “แม้กำลังพลห้าพันนายก็เพียงพอแล้ว”

จื่อเย่าหัวเราะและมองไปยังติงซี่และกล่าวว่า “นี่ก็เป็นวันที่หกแล้ว หากแม่ทัพติงซี่ไม่สามารถบุกภูเขาหลงหยานและจับฉินอินผู้เป็นรัชทายาทของจักรพรรดิทรราช ข้าเกรงว่าพวกเราเจ็ดแม่ทัพคงไม่สามารถเผชิญหน้ากับคนทั้งแผ่นดินได้”

ดวงตาติงซี่สงบนิ่ง เขาประสานหมัดกล่าว “ข้าเป็นแม่ทัพไร้ความสามารถ และไม่มีทางยึดภูเขาหลงหยานได้ โปรดอภัยแก่ข้าน้อยด้วย”

จื่อเย่าหัวเราะ “เจ้าและข้าต่างก็ทำเพื่อจักรวรรดิอี้เหอ ทว่าแม่ทัพติงซี่คงต้องเร่งทำให้สำเร็จ ข้าได้ยินมาว่า…มณฑลอวิ้นจงมีการระดมกำลังทหารบ่อยครั้ง ซูมู่หยุน…ไอ้จิ้งจอกเฒ่าคงเริ่มเคลื่อนไหวในเร็ววันนี้”

“ขอรับ…”

ในช่วงบ่ายกองทัพแห่งจักรวรรดิอี้เหอเริ่มอพยพออกจากเมืองหลันเยี่ยน พร้อมรื้อค้นทรัพย์สินในเมืองขนกลับไปด้วย ขบวนกองทัพทอดยาวเป็นระยะหลายร้อยไมล์มุ่งหน้าไปยังเมืองห้าหุบเขาดั่งสายน้ำ ขณะเดียวกันหน่วยลาดตระเวนถือดาบเหล็กไล่ฟันผู้คนไปตลอดทาง ทำให้หมอกแห่งความตายยังคงลอยเหนือเมืองหลันเยี่ยน

ผู้บัญชาการระดับเจ็ดหลงเซียนหลินนำทหารม้าห้าหมื่นนายเผชิญหน้ากับกองทัพเผ่าพันธุ์อสูรของถังเสี่ยวซีนอกเมืองหลันเยี่ยน

วันรุ่งขึ้นมีข่าวส่งมาว่ากองกำลังสองแสนนายจากมณฑลอวิ้นจงเคลื่อนทัพสังหารกองทัพแห่งจักรวรรดิอี้เหอตลอดทางมายังเมืองหลันเยี่ยน ซูอวี่ผู้เป็นบุตรีของซูมู่หยุนนำทัพด้วยตนเอง กองทัพแห่งจักรวรรดิอี้เหอเป็นฝ่ายพ่ายแพ้พร้อมสูญเสียม้าเกือบห้าหมื่นตัว ส่วนที่เหลือหลบหนีกลับเมืองห้าหุบเขาด้วยความอัปยศ ขณะเดียวกันทหารม้าหลายหมื่นนายที่ปิดล้อมภูเขาหลงหยานก็ล่าถอยกลับไปยังเมืองห้าหุบเขาโดยการนำของติงซี่

กระดาษปลิวว่อนทั่วเมือง หลงเซียนหลินพิงซากกำแพงและหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง “ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!!”

นายพลด้านข้างมองอย่างตกตะลึง “ท่านแม่ทัพ จักรวรรดิอี้เหอพ่ายแพ้ครั้งใหญ่ เหตุใดท่านจึงหัวเราะเช่นนี้?”

“กรรมตามสนอง!”

หลงเซียนหลินถือก้อนอิฐและกล่าวด้วยเสียงเย้ยหยัน “จักรวรรดิอี้เหอเริ่มต้นด้วยการเข่นฆ่าผู้คนในเมืองหลันเยี่ยน ก็ต้องได้รับกรรมตามสนองเช่นนี้ ฮ่าๆๆ ซูมู่หยุนจิ้งจอกเฒ่ายอมส่งกองทัพออกมาในที่สุด ข้าเกรงว่า…แผ่นดินนี้คงมิใช่ของจักรวรรดิอี้เหออีกต่อไป!”

ขณะเดียวกันหน่วยสอดแนมก็เข้ามาจากระยะไกล ชายผู้นั้นประสานหมัดรายงาน “แม่ทัพหลง เพิ่งมีข่าวใหม่จากเมืองชีไห่ ถังหลานนำทัพหนึ่งแสนนายตรงมายังเมืองหลันเยี่ยนขอรับ!”

“หึ!”

หลงเซียนหลินตะลึงเล็กน้อย “ในที่สุดถังหลานจิ้งจอกเฒ่าก็อดทนไม่ได้อีกต่อไป ฮ่า…คงไม่ง่ายที่จะรอมาจนถึงตอนนี้”

นายพลด้านข้างกล่าว “แม่ทัพหลง เมืองชีไห่และเมืองหยาดสายัณห์กำลังเคลื่อนทัพมาพร้อมกัน เราคงไม่สามารถป้องกันได้”

“อืม”

หลงเซียนหลินพยักหน้า “รู้หรือไม่ว่าเหตุใดข้าจึงต้องการทหารม้าห้าหมื่นนายที่เหลือของจักรวรรดิอี้เหอ? มิใช่เพื่อขับไล่กองทัพเผ่าพันธุ์อสูร ทว่าพื่อ…วิ่งหนีให้เร็วขึ้น!”

นายพลตกตะลึง “แม่ทัพหลง ท่านรู้ตั้งแต่เมื่อสามวันก่อนแล้วหรือว่าจักรวรรดิอี้เหอจะพ่ายแพ้?”

“ฉินจิ้นตายไปแล้ว และไม่มีผู้ใดปกครองจักรวรรดิอีกต่อไป ถึงเวลาที่ถังหลานและซูมู่หยุนจะออกจากถ้ำเพื่อแบ่งปันอาหารชั้นเลิศใช่หรือไม่?”

“ขอรับ ท่านแม่ทัพช่างปราดเปรื่อง พวกเราควรทำอย่างไรในตอนนี้?”

“สั่งให้ทุกคนนำอาหารแห้งขึ้นม้าและออกจากเมืองทางประตูทิศตะวันออก อีกทั้งห้ามผู้ใดเข่นฆ่าคนในเมือง มิเช่นนั้นข้าจะสังหารอย่างไม่ปรานี!”

“พวกเราจะไปที่แห่งใด?”

“กลับมณฑลหลิงหนาน”

“มิต้องการกลับไปยังเมืองห้าหุบเขาหรือขอรับ?” นายพลเอ่ยถาม

“เมืองห้าหุบเขาไม่เหมาะที่จะอยู่อาศัยอีกต่อไป” หลงเซียนหลินเอ่ยเสียงแผ่วเบา “แทนที่จะกลับไปยังเมืองห้าหุบเขาเพื่อตายเอาดาบหน้า ไม่ดีกว่าหรือหากเราติดตามราชาผู้พิชิตกลับมณฑลหลิงหนาน”

“ขอรับ!”

เป็นเวลาดึกสงัด ทหารม้าแห่งจักรวรรดิอี้เหอทั้งห้าหมื่นนายออกจากเมืองหลันเยี่ยน และทิ้งถังเสี่ยวซีไว้ด้านนอกเมือง

เช้าวันรุ่งขึ้น น้ำค้างหล่อเลี้ยงแผ่นดินเมืองหลันเยี่ยนเพื่อเยียวยาบาดแผลของเมืองแห่งนี้

ถังเสี่ยวซีขี่ม้าเข้าไปในเมืองอย่างเชื่องช้าขณะที่มองประตูเมืองที่กลายเป็นซากปรักหักพัง น้ำตาพลันเอ่อล้นออกมา “มู่มู่ เจ้าจะต้องไม่ตาย…บอกเสี่ยวซีทีว่าเจ้ายังไม่ตายใช่หรือไม่?”

ดวงตาถังเจิ้นแดงระเรื่อ “องค์หญิง…แม่ทัพหลินมู่อวี่…เขาสมควรได้รับเกียรติและชื่อเสียงเกรียงไกร ทว่าเขาจากไปแล้ว…”

“ไม่ เขายังไม่ได้ไปไหน…”

ถังเสี่ยวซีพึมพำ

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา 335 แต่งตั้งเจ็ดแม่ทัพเทพ

Now you are reading The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา Chapter 335 แต่งตั้งเจ็ดแม่ทัพเทพ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ห้าวันผันผ่านไปในพริบตา สงครามในเมืองหลันเยี่ยนยังไม่จบสิ้น

พลังต่อสู้ของกองทัพอสูรครึ่งอสรพิษและอสูรครึ่งกิ้งก่ามีความได้เปรียบในพื้นที่ที่เต็มไปด้วยหิน ในทางตรงกันข้ามทหารม้าแห่งจักรวรรดิอี้เหอไม่สามารถแปรทัพบุกได้ เวลาล่วงเลยกว่าห้าวันก็ไม่มีวี่แววว่าจะขับไล่กองทัพเผ่าพันธุ์อสูรออกไปได้ และยังสูญเสียม้าศึกเกือบสามหมื่นตัว

กำแพงเมืองถูกซ่อมแซมอย่างเชื่องช้า ภายใต้ชายคา ฉินอี้ราชาผู้พิชิตมองไปยังสนามรบด้วยสีหน้าบึ้งตึง “ไอ้พวกขยะใช้เวลานานถึงเพียงนี้ก็ยังไม่สามารถขับไล่เผ่าพันธุ์อสูรไปได้ พวกมันเป็นเพียงขยะไร้ค่าอย่างแท้จริง!”

จื่อเย่ากล่าวอย่างเฉยเมย “แม่ทัพลู่จ่าวทำดีที่สุดแล้ว…”

“ทำดีที่สุดแล้ว?”

ฉินอี้ยิ้มอย่างเย็นชา “ทำดีที่สุดในการร้องเพลงสรรเสริญตัวเองอย่างนั้นเหรอ? ตัดหัวฉินเหลยและส่งไปยังหลิงหนาน สิ่งนี้คือการพิสูจน์ว่าลู่จ่าวเป็นคนของจักรวรรดิอี้เหออย่างแท้จริง?”

“ฝ่าบาททรงทราบเรื่องนี้ด้วย…”

“เหอะ! กระนั้นฉินเหลยก็เป็นหลานของข้า…เขาทะนงตัวจึงสมควรตาย ทว่าการทำกับร่างกายฉินเหลยเช่นนี้ ลู่จ่าวทำให้ข้าผิดหวังยิ่งนัก”

จื่อเย่าประสานหมัด “ความจริงเนื่องจาก…ฉินเหลยเป็นหนึ่งในแม่ทัพที่ได้รับการไว้วางใจมากที่สุดจากฉินจิ้น อีกทั้งเป็นหนึ่งในสี่วีรบุรุษแห่งเมืองหลันเยี่ยน ดังนั้นแม่ทัพลู่จ่าวจึงต้องการใช้ชื่อเสียงของฉินเหลยเพื่อเพิ่มขวัญกำลังใจในมณฑลหลิงหนาน!”

“ไร้สาระ!”

ฉินอี้รู้สึกรำคาญเล็กน้อยและกล่าวว่า “ไปเรียกหลงเซียนหลินกลับมานำทัพ มิเช่นนั้นคงไม่มีผู้ใดสามารถเอาชนะกองทัพเผ่าพันธุ์อสูรของถังเสี่ยวซีได้”

“พ่ะย่ะค่ะ!”

จื่อเย่าพยักหน้าและเงยหน้ามองฉินอี้พร้อมทำท่าลังเลว่าจะกล่าวดีหรือไม่

“พูดมา”

จื่อเย่าพยักหน้า “แผ่นดินส่วนใหญ่รวมกันเป็นปึกแผ่น ในเมื่อจักรวรรดิอี้เหอมีเมืองหลวงอยู่ที่เมืองไป๋หลิง ดังนั้นเมืองหลันเยี่ยนจึงมิใช่เมืองหลวงของจักรวรรดิอีกต่อไป อีกทั้ง…พวกเราเข่นฆ่าชาวบ้านในเมืองไปกว่าหนึ่งลานคน จนเกิดความเคียดแค้นมากมาย เมืองหลันเยี่ยนไร้ค่าเกินกว่าที่จะอยู่ต่อ…ข้าเกรงว่าจะเป็นการสิ้นเปลืองกองทัพและเสบียง เดิมทีพืชพันธุ์ต่างๆ ของเราถูกส่งมาจากมณฑลหลิงหนานซึ่งเดินทางไม่สะดวกนัก รวมทั้งเมืองหลันเยี่ยนอยู่ใกล้กับเมืองชีไห่และเมืองหยาดสายัณห์ กระหม่อมแนะนำให้ถอนทัพออกจากเมืองหลันเยี่ยนและตั้งฐานที่มั่นในเมืองห้าหุบเขาในมณฑลชางหนานทางใต้แทนพ่ะย่ะค่ะ”

“นั่น…”

ฉินอี้หรี่ตา “เมืองหลันเยี่ยนอยู่ในสภาพเสื่อมโทรมอยู่แล้ว เช่นนั้นปล่อยถังเสี่ยวซีไป…รอจนกว่าจะรวบรวมกองทัพแล้วมาจัดการเด็กสาวผู้นี้อีกครั้ง!”

“ราชาผู้พิชิตช่างปราดเปรื่อง!” จื่อเย่าก้มลงคำนับอย่างระมัดระวัง “ท่านราชาผู้พิชิต เรื่องการจัดตั้งเจ็ดแม่ทัพเทพ…มิทราบว่าจะเริ่มเมื่อใดพ่ะย่ะค่ะ?”

“เรื่องนี้…” ฉินอี้สูดหายใจลึกและกล่าวว่า “ข้าไม่รู้ว่าแม่ทัพแห่งจักรวรรดิอี้เหอคนใดมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเรียกว่า ‘เจ็ดแม่ทัพเทพ’ ได้”

“กระหม่อมคงมิกล่าวสิ่งใดไปมากกว่านี้ ให้ฝ่าบาททรงตัดสินพระทัยเองพ่ะย่ะค่ะ! ไม่สิ…ควรจะต้องเป็นฝ่าบาทอยู่แล้ว…”

ฉินอี้ยิ้มเล็กน้อยก่อนจะมองไปรอบบริเวณ “ชื่อนี้…ห้ามเรียกอีกในภายภาคหน้าต่อหน้าผู้คน อย่าลืมว่าจักรวรรดิอี้เหอเป็นของคนทั้งปวง เราถือว่าทุกคนมีความกรุณาและเท่าเทียมกัน อีกทั้งไม่มีจักรพรรดิเป็นผู้ปกครอง”

“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”

“สั่งหลงเซียนหลินนำกองทัพไปต่อต้านเผ่าพันธุ์อสูรของถังเสี่ยวซี จากนั้นจัดพิธีประดับยศในช่วงเที่ยงวันพรุ่ง”

“พ่ะย่ะค่ะ!”

วันรุ่งขึ้นเวลาเที่ยง ภายในโถงหลักตำหนักเจ๋อเทียนเหล่าทหารของจักรวรรดิอี้เหอมารวมตัวกันอย่างหนาแน่น เนื่องจากวันนี้เป็นวันมอบรางวัลตอบแทนคุณงามความดี โดยมิสนใจว่าจะมีกองทัพเผ่าพันธุ์อสูรโจมตีอยู่นอกเมือง ฉินอี้เล็งเห็นความสำคัญว่าต้องสร้างขวัญกำลังใจให้แก่ทหารที่ต่อสู้เป็นเวลาหลายเดือนติดต่อกัน

“พิธีประดับยศเริ่มขึ้นแล้ว!” นายทหารตะโกนดัง “ต่อจากนี้จะเป็นการประกาศรายชื่อเจ็ดแม่ทัพเทพแห่งจักรวรรดิอี้เหอ!”

ฉินอี้ถือกระบี่ไร้วิญญาณพร้อมถือม้วนหนังสือด้วยมืออีกข้าง เขาเดินไปหน้าบัลลังก์และกล่าวเสียงดัง “ในวันนี้ทั่วทั้งแผ่นดินเป็นของจักรวรรดิอี้เหอ เพื่อเหล่าแม่ทัพที่ทำงานหนัก ฉินอี้ได้รับสาส์นจากสวรรค์เพื่อแต่งตั้งเจ็ดแม่ทัพเทพ จงจำไว้ว่า…จงปฏิบัติต่อทุกผู้อย่างเท่าเทียม สนธิสัญญาแห่งไป๋หลิง ผูกมัดด้วยชีวิต ใต้สรวงสวรรค์ บนพื้นปฐพี คำสาบานเลือดบังเกิดขึ้น!”

ฉินอี้หยุดพูดเล็กน้อย “จื่อเย่า…ตลอดทางจากมณฑลหลิงหนานถึงมณฑลหลิงเป่ย เขามีส่วนร่วมต่อความสำเร็จนี้มากมาย จึงได้รับการขนานนามว่า ‘แม่ทัพใหญ่’ ฉินหวน…ในฐานะแม่ทัพแนวหน้าผู้บุกแผ่นดินหนาวเหน็บ กระทั่งพื้นที่สูงเสียดฟ้า จะได้รับการขนานนามว่า ‘แม่ทัพระดับสอง’ ลู่จ่าว…ได้รับชัยชนะในการต่อสู้มากมาย จะได้รับการขนานนามว่า ‘แม่ทัพระดับสาม’ หม่านฟาง…บุตรชายหม่านหนิงผู้เก่งกล้า จะได้รับการขนานนามว่า ‘แม่ทัพระดับสี่’ หลี่เฉียนซุน…วีรบุรุษแห่งเมืองหลิงหนาน จะได้รับการขนานนามว่า ‘แม่ทัพระดับห้า’ ติงซี่…แม่ทัพชื่อเสียงเกรียงไกรจากเมืองสายัณห์ผู้ต่อสู้อย่างกล้าหาญ จะได้รับการขนานนามว่า ‘แม่ทัพระดับหก’ หลงเซียนหลิน…หลังจากยอมจำนนก็สร้างชื่อเสียงมากมาย จะได้รับการขนานนามว่า ‘แม่ทัพระดับเจ็ด’”

ทันใดนั้นเหล่าทหารต่างแสดงความยินดี ทั้งเจ็ดแม่ทัพกลายเป็นผู้นำแห่งจักรวรรดิอี้เหอและได้รับการยกย่องจากทุกคน

ลู่จ่าวยิ้มเย็นชา “ข้าคิดว่าตนเองมีความสามารถมากพอที่จะเป็นถึงแม่ทัพระดับสอง ข้าไม่ต้องการเป็นเพียงแม่ทัพระดับสาม”

จื่อเย่าอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ “ฉินหวนเป็นบุตรของราชาผู้พิชิต แม่ทัพลู่จ่าวไม่พอใจหรือ?”

“มิบังอาจ”

ลู่จ่าวมองหลงเซียนหลินด้านหลังและยิ้ม “แม่ทัพหลงเซียนหลินยกทัพไปเมืองหลันเยี่ยนเพื่อต่อต้านศัตรูอย่างฉู่ฮว๋ายเหมี่ยน เฟิงจี้สิง หลินมู่อวี่ และอีกมากมาย ท่ามกลางแม่ทัพผู้ชื่อดัง เขาเป็นแม่ทัพที่มีความสามารถ ทว่าคงไม่คาดคิดว่าจะได้ระดับสุดท้าย ฮ่าๆ…”

หลงเซียนหลินกดด้ามดาบด้วยสายตาสงบนิ่ง “แม่ทัพลู่จ่าวพูดถึงสิ่งใด หลงเซียนหลินมิได้เคืองขุ่น นอกจากจะเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้เป็นหนึ่งในเจ็ดคนผู้รับใช้คนทั้งแผ่นดิน และมิได้ต้องการชื่อเสียงแต่อย่างใด ข้าได้ยินมาว่าแม่ทัพลู่จ่าวมีกองทหารสองแสนนาย แต่ก็ยังไม่สามารถขับไล่กองทัพเผ่าพันธุ์อสูร เป็นเรื่องจริงหรือไม่?”

ลู่จ่าวพูดอย่างโกรธเกรี้ยว “หลงเซียนหลิน ระวังปากเจ้าด้วย!”

หลงเซียนหลินกล่าวอย่างภาคภูมิใจ “ข้าจะไม่ใส่ใจเวลาพูดได้อย่างไร?”

จื่อเย่ากล่าวด้วยรอยยิ้ม “ทั้งสองต่างก็เป็นแม่ทัพผู้มีชื่อเสียงแห่งจักรวรรดิอี้เหอ จงอย่าแสดงกิริยาเช่นนั้น แม่ทัพหลง…กองทัพแห่งจักรวรรดิอี้เหอกำลังถอนทัพจากเมืองหลันเยี่ยน การป้องกันศัตรูที่นี่จึงตกเป็นความรับผิดชอบของเจ้าแต่เพียงผู้เดียว ฝ่าบาท…ไม่ ราชาผู้พิชิตได้มอบทหารม้าห้าหมื่นนายให้เจ้า ข้าไม่รู้ว่าจะสามารถหยุดกองกำลังกว่าหนึ่งแสนของถังเสี่ยวซีได้หรือไม่”

“เหตุใดจึงไม่ได้?”

หลงเซียนหลินกล่าวด้วยรอยยิ้ม “แม้กำลังพลห้าพันนายก็เพียงพอแล้ว”

จื่อเย่าหัวเราะและมองไปยังติงซี่และกล่าวว่า “นี่ก็เป็นวันที่หกแล้ว หากแม่ทัพติงซี่ไม่สามารถบุกภูเขาหลงหยานและจับฉินอินผู้เป็นรัชทายาทของจักรพรรดิทรราช ข้าเกรงว่าพวกเราเจ็ดแม่ทัพคงไม่สามารถเผชิญหน้ากับคนทั้งแผ่นดินได้”

ดวงตาติงซี่สงบนิ่ง เขาประสานหมัดกล่าว “ข้าเป็นแม่ทัพไร้ความสามารถ และไม่มีทางยึดภูเขาหลงหยานได้ โปรดอภัยแก่ข้าน้อยด้วย”

จื่อเย่าหัวเราะ “เจ้าและข้าต่างก็ทำเพื่อจักรวรรดิอี้เหอ ทว่าแม่ทัพติงซี่คงต้องเร่งทำให้สำเร็จ ข้าได้ยินมาว่า…มณฑลอวิ้นจงมีการระดมกำลังทหารบ่อยครั้ง ซูมู่หยุน…ไอ้จิ้งจอกเฒ่าคงเริ่มเคลื่อนไหวในเร็ววันนี้”

“ขอรับ…”

ในช่วงบ่ายกองทัพแห่งจักรวรรดิอี้เหอเริ่มอพยพออกจากเมืองหลันเยี่ยน พร้อมรื้อค้นทรัพย์สินในเมืองขนกลับไปด้วย ขบวนกองทัพทอดยาวเป็นระยะหลายร้อยไมล์มุ่งหน้าไปยังเมืองห้าหุบเขาดั่งสายน้ำ ขณะเดียวกันหน่วยลาดตระเวนถือดาบเหล็กไล่ฟันผู้คนไปตลอดทาง ทำให้หมอกแห่งความตายยังคงลอยเหนือเมืองหลันเยี่ยน

ผู้บัญชาการระดับเจ็ดหลงเซียนหลินนำทหารม้าห้าหมื่นนายเผชิญหน้ากับกองทัพเผ่าพันธุ์อสูรของถังเสี่ยวซีนอกเมืองหลันเยี่ยน

วันรุ่งขึ้นมีข่าวส่งมาว่ากองกำลังสองแสนนายจากมณฑลอวิ้นจงเคลื่อนทัพสังหารกองทัพแห่งจักรวรรดิอี้เหอตลอดทางมายังเมืองหลันเยี่ยน ซูอวี่ผู้เป็นบุตรีของซูมู่หยุนนำทัพด้วยตนเอง กองทัพแห่งจักรวรรดิอี้เหอเป็นฝ่ายพ่ายแพ้พร้อมสูญเสียม้าเกือบห้าหมื่นตัว ส่วนที่เหลือหลบหนีกลับเมืองห้าหุบเขาด้วยความอัปยศ ขณะเดียวกันทหารม้าหลายหมื่นนายที่ปิดล้อมภูเขาหลงหยานก็ล่าถอยกลับไปยังเมืองห้าหุบเขาโดยการนำของติงซี่

กระดาษปลิวว่อนทั่วเมือง หลงเซียนหลินพิงซากกำแพงและหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง “ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!!”

นายพลด้านข้างมองอย่างตกตะลึง “ท่านแม่ทัพ จักรวรรดิอี้เหอพ่ายแพ้ครั้งใหญ่ เหตุใดท่านจึงหัวเราะเช่นนี้?”

“กรรมตามสนอง!”

หลงเซียนหลินถือก้อนอิฐและกล่าวด้วยเสียงเย้ยหยัน “จักรวรรดิอี้เหอเริ่มต้นด้วยการเข่นฆ่าผู้คนในเมืองหลันเยี่ยน ก็ต้องได้รับกรรมตามสนองเช่นนี้ ฮ่าๆๆ ซูมู่หยุนจิ้งจอกเฒ่ายอมส่งกองทัพออกมาในที่สุด ข้าเกรงว่า…แผ่นดินนี้คงมิใช่ของจักรวรรดิอี้เหออีกต่อไป!”

ขณะเดียวกันหน่วยสอดแนมก็เข้ามาจากระยะไกล ชายผู้นั้นประสานหมัดรายงาน “แม่ทัพหลง เพิ่งมีข่าวใหม่จากเมืองชีไห่ ถังหลานนำทัพหนึ่งแสนนายตรงมายังเมืองหลันเยี่ยนขอรับ!”

“หึ!”

หลงเซียนหลินตะลึงเล็กน้อย “ในที่สุดถังหลานจิ้งจอกเฒ่าก็อดทนไม่ได้อีกต่อไป ฮ่า…คงไม่ง่ายที่จะรอมาจนถึงตอนนี้”

นายพลด้านข้างกล่าว “แม่ทัพหลง เมืองชีไห่และเมืองหยาดสายัณห์กำลังเคลื่อนทัพมาพร้อมกัน เราคงไม่สามารถป้องกันได้”

“อืม”

หลงเซียนหลินพยักหน้า “รู้หรือไม่ว่าเหตุใดข้าจึงต้องการทหารม้าห้าหมื่นนายที่เหลือของจักรวรรดิอี้เหอ? มิใช่เพื่อขับไล่กองทัพเผ่าพันธุ์อสูร ทว่าพื่อ…วิ่งหนีให้เร็วขึ้น!”

นายพลตกตะลึง “แม่ทัพหลง ท่านรู้ตั้งแต่เมื่อสามวันก่อนแล้วหรือว่าจักรวรรดิอี้เหอจะพ่ายแพ้?”

“ฉินจิ้นตายไปแล้ว และไม่มีผู้ใดปกครองจักรวรรดิอีกต่อไป ถึงเวลาที่ถังหลานและซูมู่หยุนจะออกจากถ้ำเพื่อแบ่งปันอาหารชั้นเลิศใช่หรือไม่?”

“ขอรับ ท่านแม่ทัพช่างปราดเปรื่อง พวกเราควรทำอย่างไรในตอนนี้?”

“สั่งให้ทุกคนนำอาหารแห้งขึ้นม้าและออกจากเมืองทางประตูทิศตะวันออก อีกทั้งห้ามผู้ใดเข่นฆ่าคนในเมือง มิเช่นนั้นข้าจะสังหารอย่างไม่ปรานี!”

“พวกเราจะไปที่แห่งใด?”

“กลับมณฑลหลิงหนาน”

“มิต้องการกลับไปยังเมืองห้าหุบเขาหรือขอรับ?” นายพลเอ่ยถาม

“เมืองห้าหุบเขาไม่เหมาะที่จะอยู่อาศัยอีกต่อไป” หลงเซียนหลินเอ่ยเสียงแผ่วเบา “แทนที่จะกลับไปยังเมืองห้าหุบเขาเพื่อตายเอาดาบหน้า ไม่ดีกว่าหรือหากเราติดตามราชาผู้พิชิตกลับมณฑลหลิงหนาน”

“ขอรับ!”

เป็นเวลาดึกสงัด ทหารม้าแห่งจักรวรรดิอี้เหอทั้งห้าหมื่นนายออกจากเมืองหลันเยี่ยน และทิ้งถังเสี่ยวซีไว้ด้านนอกเมือง

เช้าวันรุ่งขึ้น น้ำค้างหล่อเลี้ยงแผ่นดินเมืองหลันเยี่ยนเพื่อเยียวยาบาดแผลของเมืองแห่งนี้

ถังเสี่ยวซีขี่ม้าเข้าไปในเมืองอย่างเชื่องช้าขณะที่มองประตูเมืองที่กลายเป็นซากปรักหักพัง น้ำตาพลันเอ่อล้นออกมา “มู่มู่ เจ้าจะต้องไม่ตาย…บอกเสี่ยวซีทีว่าเจ้ายังไม่ตายใช่หรือไม่?”

ดวงตาถังเจิ้นแดงระเรื่อ “องค์หญิง…แม่ทัพหลินมู่อวี่…เขาสมควรได้รับเกียรติและชื่อเสียงเกรียงไกร ทว่าเขาจากไปแล้ว…”

“ไม่ เขายังไม่ได้ไปไหน…”

ถังเสี่ยวซีพึมพำ

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+