The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา 367 ชัยชนะ

Now you are reading The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา Chapter 367 ชัยชนะ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

EP.367 ชัยชนะ

สี่วันผันผ่านในพริบตา เสียงกลองศึกดังระงมจากระยะไกลขณะที่กองทัพจักรวรรดิอี้เหอเจ็ดหมื่นนายเรียงแถวเดินเข้ามาจนฝุ่นคละคลุ้งรอบบริเวณ ขณะที่ธงรบปลิวไสวตามสายลมพร้อมคมอาวุธสะท้อนแสงระยิบระยับดูน่าเกรงขาม

“ตึง ตึง ตึง”

กลองศึกดังขึ้นเหนือเมือง ก่อนที่ประตูทั้งสี่บานจะเปิดออกพร้อมกัน ทหารม้าหนึ่งหมื่นนายเคลื่อนตัวออกไปเป็นทัพแรก ตามด้วยทหารราบเกราะหนักสองหมื่นนาย กองทัพเทียนฉงห้าพันนาย และกองทัพขวานศึกหนึ่งหมื่นห้าพันนาย ไม่นานทหารฝีมือดีทั้งห้าหมื่นนายแบ่งออกเป็นสองทัพเพื่อโจมตีศัตรูนอกเมือง

เซินเว่ยโหวหมินยวี่หลินยืนตระหง่านบนประตูเมือง ขณะที่มือจับด้ามอาวุธและมองดูกองทัพจักรวรรดิอี้เหอจากระยะไกล ด้านหลังของเขามีกลุ่มนายพลยืนเป็นแถว

ซูเหวินเทียนเอ่ยถามอย่างเคารพ “ท่านเซินเว่ยโหว พวกเรา…จะต่อสู้กับกลุ่มกบฏจักรวรรดิอี้เหอนอกเมืองจริงหรือขอรับ?”

“ใช่”

ความเกลียดชังสะท้อนผ่านดวงตาคมของหมินยวี่หลิน “พวกกบฏจักรวรรดิอี้เหอไม่เพียงปลงพระชนม์ฝ่าบาท แต่ยังแยกจักรวรรดิออกจากกัน วันนี้ข้าจะต้องพิชิตมันให้ได้ ดูสิว่าพวกมันจะแข็งแกร่งสักเพียงใด”

ซูเหวินเทียนผงะ ก่อนจะประสานหมัดกล่าว “ท่านเซินเว่ยโหวช่างปราดเปรื่อง”

หวังซีผู้นำเมืองชีไห่ด้านข้างเพียงจ้องมองและไม่ได้กล่าวสิ่งใด ทุกคนต่างมีความคิดเป็นของตนเอง บางคนหวังว่ากองทัพของหมินยวี่หลินจะได้รับชัยชนะ ขณะที่บางคนหวังให้เขาพ่ายแพ้

ห่างออกไปหนึ่งร้อยเมตรจากหมินยวี่หลิน หลินมู่อวี่ ฉินเหยียน และคนอื่นๆ จากกองกำลังศักดิ์สิทธิ์ยืนดูการต่อสู้นอกกำแพงเมือง เมื่อกลองศึกดังรัว การต่อสู้ก็เริ่มต้นขึ้นพร้อมฝุ่นตลบ เช่อเถี่ยเฟิงถือธงรบปลิวไสว ขณะที่ทหารราบเกราะเหล็กถือโล่และหอกเคลื่อนตัวไป ขณะที่คุ้มกันกองทัพเฉินกงด้านหลังทั้งหมดในเวลาเดียวกัน ส่วนจักรวรรดิอี้เหอส่งทหารม้าเหล็กสองหมื่นนายเข้าโจมตี

เสียงกีบเท้าม้าดังก้องจนแผ่นดินสะเทือน ขณะที่กองทัพทั้งสองฝ่ายเข้าปะทะกัน

ฉินเหยียนเอ่ยถามขณะที่จ้องมองสนามรบ “พี่ใหญ่คิดว่าฝ่ายใดจะชนะ?”

“เรา” เสียงหลินมู่อวี่สงบนิ่ง

“โอ้ พี่ใหญ่มั่นใจถึงเพียงนั้นเลยหรือ?” ฉินเหยียนยิ้มเล็กน้อย

หลินมู่อวี่ขยับริมฝีปากขณะที่มือกำด้ามกระบี่แน่น “กองกำลังหลักห้าหมื่นนายของกองทัพหยางเว่ยถอนทัพกลับมาจากเมืองง้าวไฟแล้ว แม้พวกจักรวรรดิอี้เหอจะมีอาวุธครบมือ ทว่าส่วนใหญ่ไม่ได้มีประสบการณ์ในสนามรบจริง อย่างมากที่สุดคงมีส่วนร่วมในเหตุการณ์นองเลือดของเมืองหลันเยี่ยน ทว่าความต่างของพลังยังมีมากเกินไป ดังนั้นกองทหารหยางเว่ยจะเป็นฝ่ายได้รับชัยชนะ อีกทั้งจักรวรรดิอี้เหอจะต้องล่มสลายอย่างแน่นอน…ทั้งหมดขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น”

“อื้ม” ฉินเหยียนพยักหน้าและทอดสายตาออกไป

เฉินฮั่นประสานหมัดกล่าว “ท่านผู้นำหลิน ทหารทั้งหนึ่งพันนายของกองกำลังศักดิ์สิทธิ์พร้อมโจมตีทุกเมื่อ เราจะเคลื่อนทัพออกไปเมื่อใดขอรับ?”

“เราไม่สามารถเคลื่อนทัพโดยปราศจากคำสั่งของเซินเว่ยโหว”

หลินมู่อวี่ส่ายหัวและกล่าวว่า “รอก่อน ข้ารู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย ราวกับว่าจะต้องเกิดเรื่องร้ายขึ้น ทุกคนระวังตัวให้ดี”

“ขอรับ…”

หลังจากการต่อสู้ผ่านไปเกือบครึ่งวัน ทหารม้าเหล็กสองหมื่นนายของจักรวรรดิอี้เหอถูกโจมตีอย่างต่อเนื่องด้วยรูปแบบการต่อสู้ของทหารราบเกราะหนักและกองทัพเฉินกงจนแตกพ่าย พวกมันถูกแทงจนพรุนและกรีดร้องโหยหวนท่ามกลางสนามรบ และเมื่อจักรวรรดิอี้เหอส่งทหารราบห้าหมื่นนายมาเสริม ก็ถูกกองทัพขวานศึกขัดขวางไว้ ซึ่งกองทัพขวานศึกเป็นกองกำลังที่ใช้ขวานยาวและมีพละกำลังมหาศาล อีกทั้งขวานบางเล่มคมพอที่จะผ่าเกราะหนักให้แยกออกจากกัน

ในช่วงบ่ายขณะที่ดวงอาทิตย์กำลังลับขอบฟ้า กองทัพเทียนฉงเคลื่อนทัพเบี่ยงไปทางทิศตะวันตกเพื่อโจมตี จึงทำให้กองทัพจักรวรรดิอี้เหอไม่สามารถทนมองแสงแดดที่ด้านหลังคู่ต่อสู้โดยตรง และไม่สามารถป้องกันการโจมตีได้ กระทั่งกองทหารเจ็ดหมื่นนายของจักรวรรดิอี้เหอได้รับความพ่ายแพ้ในที่สุด

“เราชนะ…เราชนะแล้ว…” ฉินเหยียนกล่าวด้วยความตื่นเต้น

“ใช่ เราชนะ” ใบหน้าของหลินมู่อวี่ยังคงสงบนิ่ง ราวกับว่าชัยชนะครานี้ไม่ได้เกี่ยวกับเขา

เฉินฮั่นพูดขึ้น “ท่านผู้นำขอรับ ท่านเซินเว่ยโหวออกคำสั่งให้ไล่ล่าศัตรู พวกเราจะเคลื่อนทัพออกไปหรือไม่?”

หลินมู่อวี่ตอบกลับ “ออกนอกเมืองไปเก็บกวาดสนามรบ และไม่ต้องไล่ตามไป”

“เพราะเหตุใด?”

เฉินฮั่นตกตะลึง “นี่เป็นโอกาสทองที่เราจะแสดงศักยภาพ ท่านผู้นำไม่เคยอ่านพระราชกฤษฎีกาการได้รับรางวัลและการลงโทษของจักรวรรดิหรือขอรับ? หากสังหารศัตรูหนึ่งคนจะได้ขึ้นผู้นำ สังหารสิบคนได้เลื่อนยศเป็นผู้บัญชาการกองร้อย สังหารหนึ่งร้อยคนได้เลื่อนยศเป็นผู้บัญชาการกองพัน สังหารหนึ่งพันคนแรกได้เลื่อนยศเป็นผู้บัญชาการกองหมื่น ด้วยพลังยุทธ์ของท่านผู้นำวิหาร การสังหารศัตรูหนึ่งร้อยคนคงไม่เป็นปัญหาใช่หรือไม่? อีกทั้งจักรวรรดิอี้เหอพ่ายแพ้แล้ว มณฑลหลิงตงและมณฑลทงเทียนกำลังจะกลายเป็นดินแดนของเรา และจะไม่มีผู้ใดสามารถหยุดกองทหารหยางเว่ยได้”

“อืม” หลินมู่อวี่หยักหน้า “เฉินฮั่นนำทหารห้าร้อยนายออกจากเมืองเพื่อไล่ล่าทหารจักรวรรดิอี้เหอ ส่วนทหารที่เหลือจงอยู่ในเมืองและห้ามกระทำการใดโดยไม่ได้รับอนุญาต”

“ขอรับ…”

เมื่อถึงเวลาพลบค่ำ เฉินฮั่นกลับมาพร้อมศีรษะทหารเกือบร้อยนายของจักรวรรดิอี้เหอ ศีรษะส่วนใหญ่ถูกแขวนอยู่บนคอของม้า ขณะเดียวกันหลินมู่อวี่ขี่ม้าออกไปสนามรบนอกเมืองอย่างเชื่องช้า คบเพลิงสว่างไสวทั่วบริเวณมองเห็นทหารแห่งจักรวรรดิมากมายกำลังเก็บกวาดสนามรบ บางคนต่อสู้กันแย่งหัวของศัตรูเพื่อนำไปรับรางวัล ท้ายที่สุดพวกเขาใช้ขวานแบ่งกันคนละครึ่ง

กลิ่นเลือดลอยตลบอบอวล หลินมู่อวี่จับบังเหียนพร้อมแผ่ทักษะชีพจรวิญญาณ ปราณที่ตรวจจับได้ในรัศมีเป็นของทหารแห่งจักรวรรดิทั้งสิ้น ซึ่งมีทั้งปราณที่อ่อนแอและปราณที่แข็งแกร่ง ตู้ไห่ในฐานะอดีตทหารกองหน้า เขาเป็นชายที่แข็งแกร่งซึ่งอยู่ขอบเขตปราชญ์ และอาจเป็นผู้ที่ทรงพลังมากที่สุดในกองทัพหยางเว่ยนี้

ภายใต้แสงไฟจากคบเพลิง ตู้ไห่ลากศพขึ้นหลังและยิ้มให้หลินมู่อวี่ “ท่านผู้ดูแลวิหารก็ออกจากเมืองด้วยหรือ?”

หลินมู่อวี่ยิ้ม “คนอื่นต่างใช้หัวศัตรูเพื่อรับรางวัล เหตุใดท่านจึงลากศพไปทั้งร่างเช่นนั้น?”

“นี่ไม่ใช่ศพทหารธรรมดา”

ตู้ไห่ไม่สามารถซ่อนความรู้สึกตื่นเต้นได้ “ท่านผู้นำคิดว่าข้ากำลังไล่ล่าผู้ใดอยู่?”

“ผู้ใดหรือ?”

ตู้ไห่โยนศพลงตรงหน้าหลินมู่อวี่และกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ดูเอาเองสิ”

ใบหน้าชายผู้นั้นดูเลือนรางเล็กน้อย ทว่าตราสัญลักษณ์จักรวรรดิอี้เหอบนคอเสื้อแวววาวมาก ด้านหลังตรามีดาวหกแฉกสีทองสามดวง ซึ่งบ่งบอกว่าเป็นทหารอาวุโสระดับผู้บัญชาการ

“นั่นหม่านฟาง?” หลินมู่อวี่เอ่ยถาม

ตู้ไห่พยักหน้าและยิ้ม “ใช่ มันคือหม่านฟาง ฮ่าๆ…จักรวรรดิอี้เหอพ่ายแพ้ยับเยิน กองทัพเจ็ดหมื่นนายถูกพวกเราสังหารมากกว่าแปดสิบเปอร์เซ็นต์ ดูสิว่าไอ้หมาขี้แพ้ตัวไหนจะกล้าข้ามเทือกเขาฉินมาท้าทายจักรวรรดิอีก ฮ่า…พูดถึงเรื่องนี้ ท่านเซินเว่ยโหวเก่งกล้าในการนำทัพยิ่งนัก คนอย่างหม่านฟางไม่สามารถเปรียบเทียบได้แม้แต่น้อย”

หลินมู่อวี่พยักหน้า “เอาล่ะท่านตู้ไห่ ไปรับรางวัลเถิด…”

ตู้ไห่ตอบกลับ “รอสักครู่ ยังมีศพอีกมากด้านหลัง ข้าจะขนพวกมันขึ้นเกวียนก่อน”

“โอ้?”

ไม่กี่นาทีต่อมา เกวียนบรรทุกเสบียงหลายเล่มเคลื่อนตัวผ่านพร้อมเลือดไหลนอง หลินมู่อวี่อดไม่ได้ที่จะใจเต้นแรง “คนเหล่านี้…เป็นผู้ที่ถูกท่านตู้ไห่สังหารรึ?”

“ใช่”

ผู้บัญชาการกองพันกล่าวด้วยความภาคภูมิใจ “ข้าเป็นผู้นำกองทัพไปสังหารทหารแห่งจักรวรรดิอี้เหอเกือบหนึ่งหมื่นนาย นี่คงเพียงพอที่จะได้รับชื่อว่าเป็น ‘ผู้บัญชากองหมื่นคนแรก’”

หลินมู่อวี่อดไม่ได้ที่จะยิ้มและประสานหมัด “ขอแสดงความยินดีกับท่านตู้ไห่ล่วงหน้า เมื่อกลับไปเมืองหลันเยี่ยน องค์จักรพรรดินีคงเลื่อนยศให้ท่านกลับไปสู่ตำแหน่งผู้บัญชาการอีกครั้งเป็นแน่”

ตู้ไห่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ขอบคุณสำหรับคำกล่าวดีๆ จากท่านผู้นำวิหาร ฮ่าๆ หากเป็นไปได้ท่านคงต้องกล่าวต่อหน้าองค์จักรพรรดินีเพื่อข้าบ้าง…”

“ตกลง หากไม่มีสิ่งใดแล้ว ข้าจะพาเหล่าทหารออกลาดตระเวนต่อ”

“อืม…”

หลินมู่อวี่ขี่ม้าลาดตระเวนรอบสนามรบอย่างเชื่องช้า มันช่างไร้เหตุผลยิ่งนัก…ท้ายที่สุดตำแหน่งผู้นำวิหารศักดิ์สิทธิ์ในสงครามครานี้มีหน้าที่ลาดตระเวนหลังสงครามเสร็จสิ้น ดูเหมือนว่าหมินยวี่หลินไม่ต้องการให้หลินมู่อวี่เป็นผู้นำทัพ แต่เป็นเพียงทหารส่งเสบียงที่มีพลังยุทธ์ไม่ธรรมดาเท่านั้น

ฉินเหยียนรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อยขณะที่ถือหอกเขี้ยวอัคคีในมือ เขาไม่ได้ทำสิ่งใดเลยในศึกครานี้…

ส่วนเฉินฮั่วนำหัวของศัตรูมารับรางวัล

สายลมพัดผ่านยามราตรีช่างหนาวเหน็บ หลินมู่อวี่สูดหายใจลึกได้กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้ง กระนั้นเขาเริ่มคุ้นชินกับมันแล้ว หลังจากลาดตระเวนรอบเมืองหนึ่งสัปดาห์ ก็ไม่พบสิ่งผิดปกติ กองทัพสนับสนุนกลับจากในเมืองตงฉวงพร้อมหัวศัตรู ขณะที่ใบหน้าทุกคนเต็มไปด้วยความยินดี

กระทั่งดึกสงัด ทหารราบเกราะหนักยังคงไม่กลับมา…

ท่ามกลางแสงคบเพลิง กลุ่มทหารม้าของกองทัพเทียนฉงควบม้าไปด้านหน้า หลินมู่อวี่พลันเข้าไปทักทาย เมื่ออีกฝ่ายเห็นหลินมู่อวี่ก็จำได้ทันที เขาจึงกล่าวอย่างเคารพ “ท่านผู้นำวิหารมีสิ่งใดหรือ?”

หลินมู่อวี่เอ่ยถาม “เช่อเถี่ยเฟิงนำทหารราบเกราะหนักกลับมาหรือไม่?”

“ไม่ พวกเขาไล่ล่าออกไปไกล จึงทำให้เดินทางกลับช้า พวกเขาอาจมาถึงในวันรุ่งขึ้น”

“อืม พวกท่านคงลำบากกันมาก”

อีกฝ่ายประสานหมัดและยิ้ม “ไม่ใช่งานหนักถึงเพียงนั้นขอรับ กลับเข้าเมืองไปรับรางวัลกันเถิด”

“อืม”

หลังกลุ่มทหารจากไป ฉินเหยียนอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม “พี่ใหญ่ ท่านกังวลเกี่ยวกับทหารราบเกราะหนักหรือ?”

“ใช่”

“ทหารราบเกราะหนักมีทั้งหมดสองหมื่นนาย แม้ว่าพวกเขาอาจสูญเสียบางส่วนระหว่างวัน ทว่าก็ยังคงเหลืออย่างน้อยหนึ่งหมื่นห้าพันนาย เช่นนั้นอย่างกังวลเลย”

“อาเหยียน เจ้าลืมแล้วหรือว่าขบวนขนส่งเสบียงถูกโจมตีและกวาดล้างทั้งหมด? ทหารสองพันนายต้องเสียชีวิตอย่างเงียบงัน ไม่ว่าทหารราบเกราะหนักจะแข็งแกร่งมากเพียงใด…แต่พวกเขาจะต่อกรกับศัตรูทรงพลังได้หรือ?”

“พี่ใหญ่กำลังกังวลเกี่ยวกับสัตว์ประหลาดพวกนั้น?”

“อืม”

หลินมู่อวี่พยักหน้าและเงยหน้ามองท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยก้อนเมฆมืดครึ้ม “เกรงว่าฝนกำลังจะตก เช่นนั้นกลับเข้าเมืองกันเถิด”

“ขอรับ”

………………………………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา 367 ชัยชนะ

Now you are reading The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา Chapter 367 ชัยชนะ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

EP.367 ชัยชนะ

สี่วันผันผ่านในพริบตา เสียงกลองศึกดังระงมจากระยะไกลขณะที่กองทัพจักรวรรดิอี้เหอเจ็ดหมื่นนายเรียงแถวเดินเข้ามาจนฝุ่นคละคลุ้งรอบบริเวณ ขณะที่ธงรบปลิวไสวตามสายลมพร้อมคมอาวุธสะท้อนแสงระยิบระยับดูน่าเกรงขาม

“ตึง ตึง ตึง”

กลองศึกดังขึ้นเหนือเมือง ก่อนที่ประตูทั้งสี่บานจะเปิดออกพร้อมกัน ทหารม้าหนึ่งหมื่นนายเคลื่อนตัวออกไปเป็นทัพแรก ตามด้วยทหารราบเกราะหนักสองหมื่นนาย กองทัพเทียนฉงห้าพันนาย และกองทัพขวานศึกหนึ่งหมื่นห้าพันนาย ไม่นานทหารฝีมือดีทั้งห้าหมื่นนายแบ่งออกเป็นสองทัพเพื่อโจมตีศัตรูนอกเมือง

เซินเว่ยโหวหมินยวี่หลินยืนตระหง่านบนประตูเมือง ขณะที่มือจับด้ามอาวุธและมองดูกองทัพจักรวรรดิอี้เหอจากระยะไกล ด้านหลังของเขามีกลุ่มนายพลยืนเป็นแถว

ซูเหวินเทียนเอ่ยถามอย่างเคารพ “ท่านเซินเว่ยโหว พวกเรา…จะต่อสู้กับกลุ่มกบฏจักรวรรดิอี้เหอนอกเมืองจริงหรือขอรับ?”

“ใช่”

ความเกลียดชังสะท้อนผ่านดวงตาคมของหมินยวี่หลิน “พวกกบฏจักรวรรดิอี้เหอไม่เพียงปลงพระชนม์ฝ่าบาท แต่ยังแยกจักรวรรดิออกจากกัน วันนี้ข้าจะต้องพิชิตมันให้ได้ ดูสิว่าพวกมันจะแข็งแกร่งสักเพียงใด”

ซูเหวินเทียนผงะ ก่อนจะประสานหมัดกล่าว “ท่านเซินเว่ยโหวช่างปราดเปรื่อง”

หวังซีผู้นำเมืองชีไห่ด้านข้างเพียงจ้องมองและไม่ได้กล่าวสิ่งใด ทุกคนต่างมีความคิดเป็นของตนเอง บางคนหวังว่ากองทัพของหมินยวี่หลินจะได้รับชัยชนะ ขณะที่บางคนหวังให้เขาพ่ายแพ้

ห่างออกไปหนึ่งร้อยเมตรจากหมินยวี่หลิน หลินมู่อวี่ ฉินเหยียน และคนอื่นๆ จากกองกำลังศักดิ์สิทธิ์ยืนดูการต่อสู้นอกกำแพงเมือง เมื่อกลองศึกดังรัว การต่อสู้ก็เริ่มต้นขึ้นพร้อมฝุ่นตลบ เช่อเถี่ยเฟิงถือธงรบปลิวไสว ขณะที่ทหารราบเกราะเหล็กถือโล่และหอกเคลื่อนตัวไป ขณะที่คุ้มกันกองทัพเฉินกงด้านหลังทั้งหมดในเวลาเดียวกัน ส่วนจักรวรรดิอี้เหอส่งทหารม้าเหล็กสองหมื่นนายเข้าโจมตี

เสียงกีบเท้าม้าดังก้องจนแผ่นดินสะเทือน ขณะที่กองทัพทั้งสองฝ่ายเข้าปะทะกัน

ฉินเหยียนเอ่ยถามขณะที่จ้องมองสนามรบ “พี่ใหญ่คิดว่าฝ่ายใดจะชนะ?”

“เรา” เสียงหลินมู่อวี่สงบนิ่ง

“โอ้ พี่ใหญ่มั่นใจถึงเพียงนั้นเลยหรือ?” ฉินเหยียนยิ้มเล็กน้อย

หลินมู่อวี่ขยับริมฝีปากขณะที่มือกำด้ามกระบี่แน่น “กองกำลังหลักห้าหมื่นนายของกองทัพหยางเว่ยถอนทัพกลับมาจากเมืองง้าวไฟแล้ว แม้พวกจักรวรรดิอี้เหอจะมีอาวุธครบมือ ทว่าส่วนใหญ่ไม่ได้มีประสบการณ์ในสนามรบจริง อย่างมากที่สุดคงมีส่วนร่วมในเหตุการณ์นองเลือดของเมืองหลันเยี่ยน ทว่าความต่างของพลังยังมีมากเกินไป ดังนั้นกองทหารหยางเว่ยจะเป็นฝ่ายได้รับชัยชนะ อีกทั้งจักรวรรดิอี้เหอจะต้องล่มสลายอย่างแน่นอน…ทั้งหมดขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น”

“อื้ม” ฉินเหยียนพยักหน้าและทอดสายตาออกไป

เฉินฮั่นประสานหมัดกล่าว “ท่านผู้นำหลิน ทหารทั้งหนึ่งพันนายของกองกำลังศักดิ์สิทธิ์พร้อมโจมตีทุกเมื่อ เราจะเคลื่อนทัพออกไปเมื่อใดขอรับ?”

“เราไม่สามารถเคลื่อนทัพโดยปราศจากคำสั่งของเซินเว่ยโหว”

หลินมู่อวี่ส่ายหัวและกล่าวว่า “รอก่อน ข้ารู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย ราวกับว่าจะต้องเกิดเรื่องร้ายขึ้น ทุกคนระวังตัวให้ดี”

“ขอรับ…”

หลังจากการต่อสู้ผ่านไปเกือบครึ่งวัน ทหารม้าเหล็กสองหมื่นนายของจักรวรรดิอี้เหอถูกโจมตีอย่างต่อเนื่องด้วยรูปแบบการต่อสู้ของทหารราบเกราะหนักและกองทัพเฉินกงจนแตกพ่าย พวกมันถูกแทงจนพรุนและกรีดร้องโหยหวนท่ามกลางสนามรบ และเมื่อจักรวรรดิอี้เหอส่งทหารราบห้าหมื่นนายมาเสริม ก็ถูกกองทัพขวานศึกขัดขวางไว้ ซึ่งกองทัพขวานศึกเป็นกองกำลังที่ใช้ขวานยาวและมีพละกำลังมหาศาล อีกทั้งขวานบางเล่มคมพอที่จะผ่าเกราะหนักให้แยกออกจากกัน

ในช่วงบ่ายขณะที่ดวงอาทิตย์กำลังลับขอบฟ้า กองทัพเทียนฉงเคลื่อนทัพเบี่ยงไปทางทิศตะวันตกเพื่อโจมตี จึงทำให้กองทัพจักรวรรดิอี้เหอไม่สามารถทนมองแสงแดดที่ด้านหลังคู่ต่อสู้โดยตรง และไม่สามารถป้องกันการโจมตีได้ กระทั่งกองทหารเจ็ดหมื่นนายของจักรวรรดิอี้เหอได้รับความพ่ายแพ้ในที่สุด

“เราชนะ…เราชนะแล้ว…” ฉินเหยียนกล่าวด้วยความตื่นเต้น

“ใช่ เราชนะ” ใบหน้าของหลินมู่อวี่ยังคงสงบนิ่ง ราวกับว่าชัยชนะครานี้ไม่ได้เกี่ยวกับเขา

เฉินฮั่นพูดขึ้น “ท่านผู้นำขอรับ ท่านเซินเว่ยโหวออกคำสั่งให้ไล่ล่าศัตรู พวกเราจะเคลื่อนทัพออกไปหรือไม่?”

หลินมู่อวี่ตอบกลับ “ออกนอกเมืองไปเก็บกวาดสนามรบ และไม่ต้องไล่ตามไป”

“เพราะเหตุใด?”

เฉินฮั่นตกตะลึง “นี่เป็นโอกาสทองที่เราจะแสดงศักยภาพ ท่านผู้นำไม่เคยอ่านพระราชกฤษฎีกาการได้รับรางวัลและการลงโทษของจักรวรรดิหรือขอรับ? หากสังหารศัตรูหนึ่งคนจะได้ขึ้นผู้นำ สังหารสิบคนได้เลื่อนยศเป็นผู้บัญชาการกองร้อย สังหารหนึ่งร้อยคนได้เลื่อนยศเป็นผู้บัญชาการกองพัน สังหารหนึ่งพันคนแรกได้เลื่อนยศเป็นผู้บัญชาการกองหมื่น ด้วยพลังยุทธ์ของท่านผู้นำวิหาร การสังหารศัตรูหนึ่งร้อยคนคงไม่เป็นปัญหาใช่หรือไม่? อีกทั้งจักรวรรดิอี้เหอพ่ายแพ้แล้ว มณฑลหลิงตงและมณฑลทงเทียนกำลังจะกลายเป็นดินแดนของเรา และจะไม่มีผู้ใดสามารถหยุดกองทหารหยางเว่ยได้”

“อืม” หลินมู่อวี่หยักหน้า “เฉินฮั่นนำทหารห้าร้อยนายออกจากเมืองเพื่อไล่ล่าทหารจักรวรรดิอี้เหอ ส่วนทหารที่เหลือจงอยู่ในเมืองและห้ามกระทำการใดโดยไม่ได้รับอนุญาต”

“ขอรับ…”

เมื่อถึงเวลาพลบค่ำ เฉินฮั่นกลับมาพร้อมศีรษะทหารเกือบร้อยนายของจักรวรรดิอี้เหอ ศีรษะส่วนใหญ่ถูกแขวนอยู่บนคอของม้า ขณะเดียวกันหลินมู่อวี่ขี่ม้าออกไปสนามรบนอกเมืองอย่างเชื่องช้า คบเพลิงสว่างไสวทั่วบริเวณมองเห็นทหารแห่งจักรวรรดิมากมายกำลังเก็บกวาดสนามรบ บางคนต่อสู้กันแย่งหัวของศัตรูเพื่อนำไปรับรางวัล ท้ายที่สุดพวกเขาใช้ขวานแบ่งกันคนละครึ่ง

กลิ่นเลือดลอยตลบอบอวล หลินมู่อวี่จับบังเหียนพร้อมแผ่ทักษะชีพจรวิญญาณ ปราณที่ตรวจจับได้ในรัศมีเป็นของทหารแห่งจักรวรรดิทั้งสิ้น ซึ่งมีทั้งปราณที่อ่อนแอและปราณที่แข็งแกร่ง ตู้ไห่ในฐานะอดีตทหารกองหน้า เขาเป็นชายที่แข็งแกร่งซึ่งอยู่ขอบเขตปราชญ์ และอาจเป็นผู้ที่ทรงพลังมากที่สุดในกองทัพหยางเว่ยนี้

ภายใต้แสงไฟจากคบเพลิง ตู้ไห่ลากศพขึ้นหลังและยิ้มให้หลินมู่อวี่ “ท่านผู้ดูแลวิหารก็ออกจากเมืองด้วยหรือ?”

หลินมู่อวี่ยิ้ม “คนอื่นต่างใช้หัวศัตรูเพื่อรับรางวัล เหตุใดท่านจึงลากศพไปทั้งร่างเช่นนั้น?”

“นี่ไม่ใช่ศพทหารธรรมดา”

ตู้ไห่ไม่สามารถซ่อนความรู้สึกตื่นเต้นได้ “ท่านผู้นำคิดว่าข้ากำลังไล่ล่าผู้ใดอยู่?”

“ผู้ใดหรือ?”

ตู้ไห่โยนศพลงตรงหน้าหลินมู่อวี่และกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ดูเอาเองสิ”

ใบหน้าชายผู้นั้นดูเลือนรางเล็กน้อย ทว่าตราสัญลักษณ์จักรวรรดิอี้เหอบนคอเสื้อแวววาวมาก ด้านหลังตรามีดาวหกแฉกสีทองสามดวง ซึ่งบ่งบอกว่าเป็นทหารอาวุโสระดับผู้บัญชาการ

“นั่นหม่านฟาง?” หลินมู่อวี่เอ่ยถาม

ตู้ไห่พยักหน้าและยิ้ม “ใช่ มันคือหม่านฟาง ฮ่าๆ…จักรวรรดิอี้เหอพ่ายแพ้ยับเยิน กองทัพเจ็ดหมื่นนายถูกพวกเราสังหารมากกว่าแปดสิบเปอร์เซ็นต์ ดูสิว่าไอ้หมาขี้แพ้ตัวไหนจะกล้าข้ามเทือกเขาฉินมาท้าทายจักรวรรดิอีก ฮ่า…พูดถึงเรื่องนี้ ท่านเซินเว่ยโหวเก่งกล้าในการนำทัพยิ่งนัก คนอย่างหม่านฟางไม่สามารถเปรียบเทียบได้แม้แต่น้อย”

หลินมู่อวี่พยักหน้า “เอาล่ะท่านตู้ไห่ ไปรับรางวัลเถิด…”

ตู้ไห่ตอบกลับ “รอสักครู่ ยังมีศพอีกมากด้านหลัง ข้าจะขนพวกมันขึ้นเกวียนก่อน”

“โอ้?”

ไม่กี่นาทีต่อมา เกวียนบรรทุกเสบียงหลายเล่มเคลื่อนตัวผ่านพร้อมเลือดไหลนอง หลินมู่อวี่อดไม่ได้ที่จะใจเต้นแรง “คนเหล่านี้…เป็นผู้ที่ถูกท่านตู้ไห่สังหารรึ?”

“ใช่”

ผู้บัญชาการกองพันกล่าวด้วยความภาคภูมิใจ “ข้าเป็นผู้นำกองทัพไปสังหารทหารแห่งจักรวรรดิอี้เหอเกือบหนึ่งหมื่นนาย นี่คงเพียงพอที่จะได้รับชื่อว่าเป็น ‘ผู้บัญชากองหมื่นคนแรก’”

หลินมู่อวี่อดไม่ได้ที่จะยิ้มและประสานหมัด “ขอแสดงความยินดีกับท่านตู้ไห่ล่วงหน้า เมื่อกลับไปเมืองหลันเยี่ยน องค์จักรพรรดินีคงเลื่อนยศให้ท่านกลับไปสู่ตำแหน่งผู้บัญชาการอีกครั้งเป็นแน่”

ตู้ไห่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ขอบคุณสำหรับคำกล่าวดีๆ จากท่านผู้นำวิหาร ฮ่าๆ หากเป็นไปได้ท่านคงต้องกล่าวต่อหน้าองค์จักรพรรดินีเพื่อข้าบ้าง…”

“ตกลง หากไม่มีสิ่งใดแล้ว ข้าจะพาเหล่าทหารออกลาดตระเวนต่อ”

“อืม…”

หลินมู่อวี่ขี่ม้าลาดตระเวนรอบสนามรบอย่างเชื่องช้า มันช่างไร้เหตุผลยิ่งนัก…ท้ายที่สุดตำแหน่งผู้นำวิหารศักดิ์สิทธิ์ในสงครามครานี้มีหน้าที่ลาดตระเวนหลังสงครามเสร็จสิ้น ดูเหมือนว่าหมินยวี่หลินไม่ต้องการให้หลินมู่อวี่เป็นผู้นำทัพ แต่เป็นเพียงทหารส่งเสบียงที่มีพลังยุทธ์ไม่ธรรมดาเท่านั้น

ฉินเหยียนรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อยขณะที่ถือหอกเขี้ยวอัคคีในมือ เขาไม่ได้ทำสิ่งใดเลยในศึกครานี้…

ส่วนเฉินฮั่วนำหัวของศัตรูมารับรางวัล

สายลมพัดผ่านยามราตรีช่างหนาวเหน็บ หลินมู่อวี่สูดหายใจลึกได้กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้ง กระนั้นเขาเริ่มคุ้นชินกับมันแล้ว หลังจากลาดตระเวนรอบเมืองหนึ่งสัปดาห์ ก็ไม่พบสิ่งผิดปกติ กองทัพสนับสนุนกลับจากในเมืองตงฉวงพร้อมหัวศัตรู ขณะที่ใบหน้าทุกคนเต็มไปด้วยความยินดี

กระทั่งดึกสงัด ทหารราบเกราะหนักยังคงไม่กลับมา…

ท่ามกลางแสงคบเพลิง กลุ่มทหารม้าของกองทัพเทียนฉงควบม้าไปด้านหน้า หลินมู่อวี่พลันเข้าไปทักทาย เมื่ออีกฝ่ายเห็นหลินมู่อวี่ก็จำได้ทันที เขาจึงกล่าวอย่างเคารพ “ท่านผู้นำวิหารมีสิ่งใดหรือ?”

หลินมู่อวี่เอ่ยถาม “เช่อเถี่ยเฟิงนำทหารราบเกราะหนักกลับมาหรือไม่?”

“ไม่ พวกเขาไล่ล่าออกไปไกล จึงทำให้เดินทางกลับช้า พวกเขาอาจมาถึงในวันรุ่งขึ้น”

“อืม พวกท่านคงลำบากกันมาก”

อีกฝ่ายประสานหมัดและยิ้ม “ไม่ใช่งานหนักถึงเพียงนั้นขอรับ กลับเข้าเมืองไปรับรางวัลกันเถิด”

“อืม”

หลังกลุ่มทหารจากไป ฉินเหยียนอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม “พี่ใหญ่ ท่านกังวลเกี่ยวกับทหารราบเกราะหนักหรือ?”

“ใช่”

“ทหารราบเกราะหนักมีทั้งหมดสองหมื่นนาย แม้ว่าพวกเขาอาจสูญเสียบางส่วนระหว่างวัน ทว่าก็ยังคงเหลืออย่างน้อยหนึ่งหมื่นห้าพันนาย เช่นนั้นอย่างกังวลเลย”

“อาเหยียน เจ้าลืมแล้วหรือว่าขบวนขนส่งเสบียงถูกโจมตีและกวาดล้างทั้งหมด? ทหารสองพันนายต้องเสียชีวิตอย่างเงียบงัน ไม่ว่าทหารราบเกราะหนักจะแข็งแกร่งมากเพียงใด…แต่พวกเขาจะต่อกรกับศัตรูทรงพลังได้หรือ?”

“พี่ใหญ่กำลังกังวลเกี่ยวกับสัตว์ประหลาดพวกนั้น?”

“อืม”

หลินมู่อวี่พยักหน้าและเงยหน้ามองท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยก้อนเมฆมืดครึ้ม “เกรงว่าฝนกำลังจะตก เช่นนั้นกลับเข้าเมืองกันเถิด”

“ขอรับ”

………………………………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+