The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา 345 ข้าไม่แต่งกับใครทั้งนั้น

Now you are reading The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา Chapter 345 ข้าไม่แต่งกับใครทั้งนั้น at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

Ep.345 ข้าไม่แต่งกับใครทั้งนั้น

ฤดูหนาวเวียนมาบรรจบ แทนฤดูใบไม้ผลิที่พ้นไป เวลาสามปีผ่านไปเพียงพริบตา

เดือนมกราคมปีเจ็ดพันเจ็ดร้อยสามสิบสี่ ถังหลานและซูมู่หยุนรวบรวมกองกำลังสี่แสนนายจากจักรวรรดิเข้าจู่โจมมณฑลหลิงคงที่อยู่บนสันเขา ทั้งสองถูกจัดการโดยหลงเซียนหลิน หนึ่งในเจ็ดแม่ทัพแห่งหลิงหนาน โดยการยื้อเวลารบในช่วงหิมะตกหนักจนกองทัพขาดแคลนเสบียงก่อนจะเข้าโจมตีทำให้สูญเสียทหารไปกว่าสองแสนนาย มณฑลหลิงตงและมณฑลทงทียนถูกยึดครองโดยจักรวรรดิอี้เหอ บนเทือกเขาฉินเต็มไปด้วยศพทหารเกลื่อนกลาดทุกตารางนิ้ว เป็นครั้งแรกตั้งแต่จักรวรรดิฟื้นฟู แม้แต่เซี่ยงอวี้และแม่ทัพคนอื่นๆ ยังได้รับบาดเจ็บ

เดือนมีนาคม กองทัพทั้งหมดกลับสู่เมืองหลวง

ณ ตำหนักเจ๋อเทียน ฉินอินผู้เลอโฉมดูโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้นเล็กน้อยหลังได้รับการราชาภิเษก นางยืนจับด้ามกระบี่จื่อยินอย่างสง่างามหน้าบัลลังก์ สายตาอันเย็นชามองไปยังเหล่าคนเบื้องล่าง “ท่านตา ท่านหลานกง ข้าอยากทราบว่าเหตุใดจึงยอมแพ้เช่นนี้?”

ถังหลานและซูมู่หยุนคุกเข่าเงียบต่อหน้าฉินอิน

เฟิงจี้สิงยืนขึ้นพลางกระชับดาบที่เอว ก่อนจะก้าวออกมาและประสานหมัด “ข้าแต่ฝ่าพระบาท การศึกครั้งนี้หานับได้ว่าเป็นการรบกันอย่างเท่าเทียมไม่ ทุกการกระทำของเราล้วนถูกควบคุมโดยศัตรู เสบียงอาหารเราถูกพวกมันยึดและเผาจนสิ้น กองทัพกว่าสี่แสนบนภูเขาฉินต้องสูญเสียเสบียง อีกทั้งยังถูกถ่วงเวลาท่ามกลางหิมะที่ตกอย่างหนัก เสื้อผ้าฝ้ายก็มีไม่พอ…ทำให้กองทัพจักรวรรดิเราเสียกำลังรบไปโดยสิ้นเชิงพ่ะย่ะค่ะ”

“เกิดอันใดขึ้น?” ฉินอินถาม

เฟิงจี้สิงกล่าว “เมื่อสามปีก่อน สำนักอัศวินจากหลิงหนานหนีเข้ามายังหลิงเป่ย พวกเราได้ทำการล้อมกำจัดพวกมันไปหลายครั้งหลายคราทว่าก็เปล่าประโยชน์ พวกเจ้าเล่ห์ซ่อนตัวอยู่ในภูเขา ทุกการเคลื่อนไหวของกองทัพถูกรายงานไปยังจักรวรรดิอี้เหอ เป็นเหตุให้เราพ่ายแพ้อย่างใหญ่หลวงครั้งนี้”

ฉินอินถอนหายใจอย่างเงียบๆ “ท่านเซี่ยงอวี้ ส่งกองกำลังไปพิทักษ์ชายแดนมณฑลเทียนชู่และชางหนาน อย่าให้พวกอี้เหอเข้าโจมตีได้อีก ส่วนท่านเฟิงจี้สิงรับผิดชอบเรื่องการกำจัดสำนักอัศวิน ภายในสามปีต้องมีพวกมันเหลืออยู่ในจักรวรรดิอีก”

“ฝ่าบาท แบบนี้มัน…”

“ข้องใจอย่างนั้นรึ?”

“พ่ะย่ะค่ะ” เฟิงจี้สิงประสานหมัดกล่าว “ฝ่าบาทรู้จักหานจวิ้น หลูจ๋าน ฝานอวิ๋น ตวนมู่ฟาง เซี่ยโหวจู้ หยานลี่ และปู้ไห่ เจ็ดปราชญ์แห่งอี้เหอหรือไม่? พวกเขาเป็นรองเพียงลั่วหลานเท่านั้น ขณะนี้สามในเจ็ดได้เข้ามายังอาณาเขตหลิงเป่ยแล้ว พวกมันซ่อนอยู่ในสำนักอัศวินตามภูเขาและป่า นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมเราจึงล้มเหลวในการกำจัดสำนักอัศวินซ้ำแล้วซ้ำเล่า”

“แล้วจะยอมต่อไปเช่นนี้หรือ?”

ฉินอินเอ่ยถาม “เว่ยโฉว จงนำกลุ่มมังกรผงาดเข้าร่วมกับท่านเฟิงจี้สิง ช่วยกันถอนรากถอนโคนพวกมันจากชางหนานและหลิงเป่ยให้สิ้น”

“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท” เว่ยโฉวประสานหมัดพร้อมกับแม่ทัพทั้งสาม ฉินเหยียน หลัวอวี่และเฟิงสี่ ตั้งแต่กลุ่มมังกรผงาดถูกถล่มเมื่อนานมาแล้วนี่จึงเป็นโอกาสที่จะแก้แค้น

เป็นเพราะหลินมู่อวี่สร้างศรเศวตรมณีทิ้งไว้ให้กว่าพันดอก ซึ่งเป็นอาวุธสังหารของกลุ่มมังกรผงาด จึงไม่ใช่เรื่องยากหากจะจัดการกับขอบเขตปราชญ์

“ข้าแต่ฝ่าพระบาท”

ซูมู่หยุนประสานหมัดกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ศึก ณ มณฑลหลิงคง ทำให้จักรวรรดิต้องสูญเสียกำลังทหารไปมาก ความพ่ายแพ้ในครั้งนี้เป็นความผิดของกระหม่อมเอง ขอโปรดประทานโทษทัณฑ์แก่กระหม่อมโดยการยึดตำแหน่งผู้ปกครองมณฑลอวิ้นจงเสียเถิด”

“การที่ท่านตายอมรับผิดเช่นนี้ช่างหายากจริง”

ฉินอินยิ้ม “ย่อมได้ ตามที่ท่านร้องขอ ข้าขอปลดซูมู่หยุนลงจากบัลลังก์อวิ้นจงเพื่อเป็นการลงโทษ เรื่องแพ้ชนะนั้นเป็นเรื่องปกติของการรบ ท่านตาไม่ต้องกังวลนะเจ้าคะ สักวันเราต้องเอาชนะพวกมันให้จงได้ ตอนนี้เมืองชีไห่ อวิ้นจง หลิงเป่ย ชางหนาน และเทียนชู่ ทั้งห้ามณฑลอันอุดมสมบูรณ์อยู่ในกำมือเรา ด้วยเหตุนี้พวกจักรวรรดิอี้เหอคงยื้ออยู่ฝั่งนี้ได้อีกไม่นาน”

“ฝ่าบาททรงพระปรีชายิ่งพ่ะย่ะค่ะ” ซูมู่หยุนก้มลงกราบพื้น

ถังหลานขมวดคิ้วคุกเข่าลง “ข้าแต่ฝ่าพระบาท หากท่านหยุนกงถูกปลด กระหม่อมเองก็สมควรโดนเช่นเดียวกันพ่ะย่ะค่ะ”

“ย่อมได้” ฉินอินตอบอย่างยินดียิ่ง

ช่วงบ่าย ทหารจักรวรรดิห้าพันนายจัดทัพออกจากเมืองไปโดยมีเฟิงจี้สิงเป็นแม่ทัพ ตามด้วยทหารฝีมือดีจากกลุ่มมังกรผงาดอีกพันนาย เพราะถูกขัดขวางจากถังหลานและซูมู่หยุนทำให้กลุ่มมังกรผงาดไม่สามารถขยายอำนาจต่อได้ ถึงกระนั้นก็โชคดีที่ทั้งหนึ่งพันนายนั้นมีอาวุธชั้นยอดช่วยให้ปะทะกับศัตรูได้ดี อีกทั้งทักษะธนูและม้าที่เก่งกาจ ทำให้กำลังทหารของพวกเขาแข็งแกร่งกว่ากองทัพอื่นที่มีจำนวนเท่ากันนัก

“ผู้บัญชาการเว่ยโฉว”

เฟิงจี้สิงดึงบังเหียนม้ากล่าว “เราจะตีเขาลูกไหนกันก่อนดี?”

“ภูเขาหลงหยานขอรับ”

เว่ยโฉวกล่าวด้วยสีหน้าไม่พอใจ “ไอ้พวกชั่วสำนักอัศวินยึดครองภูเขาหลงหยานมาเป็นปี! ความอับอายของกลุ่มมังกรผงาดต้องได้รับการชดใช้”

“ถ้าเช่นนั้น…”

เฟิงจี้สิงกล่าว “แสดงว่าศูนย์หลักของสำนักอัศวินเมืองหลันเยี่ยนตอนนี้ตั้งอยู่บนภูเขาหลงหยาน และมีขอบเขตปราชญ์ที่แข็งแกร่งนามปู้ไห่อยู่ด้วย เพราะเหตุนี้เองการกวาดล้างภูเขาหลงหยานเมื่อครึ่งปีก่อนของเซี่ยงอวี้จึงถูกขัดขวางจนแทบเอาชีวิตไม่รอด”

“เซี่ยงอวี้สู้ปู้ไห่ไม่ได้หรือ?” เว่ยโฉวสงสัย

“อันที่จริง…” เฟิงจี้สิงตอบด้วยน้ำเสียงจริงจัง “เซี่ยงอวี้บรรลุสู่ขอบเขตปราชญ์ได้หนึ่งปีแล้ว ด้านพลังเขาสูสีกับปู้ไห่ ทว่าได้รับคำสั่งจากหลานกงให้ถอยทัพกลับเมืองเสียก่อน”

“หึ!”

เว่ยโฉวกล่าว “หมายความว่าถังหลานเองก็คงไม่ให้อยากสังหารปู้ไห่ใช่หรือไม่?”

“อาจใช่”

เฟิงจี้สิงจับด้ามดาบ ท่ามกลางสายลมที่พัดผ่านเขาเอ่ยขึ้น “ข้าคิดว่าถังหลานรู้ดีถึงพลังของเซี่ยงอวี้ แม่ทัพผู้เก่งกาจ จึงรอกองทัพอื่นๆ จากจักรวรรดิบุกโจมตีภูเขาหลงหยานแทน ซึ่งก็คือกองทัพองครักษ์ที่เป็นกองกำลังเดียวที่มี เพราะกลุ่มมังกรผงาดขึ้นตรงกับจักรพรรดินี”

“ขอรับ”

เว่ยโฉวยิ้ม “น่าเสียดาย ขณะที่กองทัพองครักษ์มีทหารกว่าสองหมื่นนาย ทว่ากลุ่มมังกรผงาดกลับมีเพียงหนึ่งพันคน มิเช่นนั้นคง…”

“อย่าคิดมาก” เฟิงจี้สิงกระชับผ้าคลุม “ค่อยๆ ก้าวไปทีละขั้น ตราบใดที่เรายังอยู่จะไม่มีใครกล้าต่อต้านจักรพรรดินีแน่ เท่านั้นก็เพียงพอแล้ว”

“ขอรับ”

ดวงตาเว่ยโฉวเริ่มปริ่มน้ำ “น่าเสียดาย…ไม่มีท่านผู้บัญชาการหลินอยู่แล้ว มิเช่นนั้นเขาคงวางแผนทุกเรื่องได้อย่างดีเยี่ยม และอย่างน้อยจักรพรรดินีคงไม่ต้องมาทนทุกข์อย่างน่าอัปยศเช่นนี้”

เฟิงจี้สิงเงยหน้ามองท้องฟ้า “ไอ้หนูอาอวี่…เขาเป็นผู้นำที่หาได้อย่างยิ่ง ช่างน่าเสียดายอย่างที่เจ้าว่าจริงๆ”

“เอาเถิด…คืนนี้ข้าจะตั้งค่ายอยู่ตีนเขาหลงหยาน และบุกโจมตีเช้าวันพรุ่งนี้”

“ขอรับ”

ณ สมาพันธ์โอสถแห่งเมืองหลันเยี่ยน กลิ่นหอมของดอกไม้กระจายไปทั่วบริเวณ เหล่านกกระจอก นกนางแอ่นและผีเสื้อต่างเริงระบำ

ตาคู่สวยสงบนิ่งของฉู่เหยาจ้องมองสมุนไพรขณะใช้ฝ่ามือพิศุทธิ์ค่อยๆ กะเทาะแก่นโอสถออกมา กระบี่ดอกหลีฮวาที่อยู่ด้านข้างกวัดแกว่งขึ้นกลางอากาศราวกับเป็นเรื่องปกติ

“ท่านผู้นำ ปรุงโอสถอยู่หรือขอรับ?” ชายแก่สวมชุดผุ้ดูแลยิ้มถาม

“อืม” ฉู่เหยาพยักหน้า “ช่วงนี้เหตุการณ์สงบเงียบ ข้าไม่มีสิ่งใดทำจึงปรุงโอสถเก็บไว้ ผู้ดูแลหลีมีอันใดหรือไม่?”

“ขอรับ”

ผู้ดูแลหลียื่นบางสิ่งในมือให้ “อายุวัฒนะจากวิหารศักดิ์สิทธิ์ใกล้จะหมดแล้ว ทว่ามันเป็นโอสถระดับแปด คนแก่อย่างพวกข้าไม่มีความสามารถมากพอที่จะปรุงมัน จึงมาขอรบกวนท่านผู้นำช่วยปรุงให้หน่อยขอรับ”

“หมายความว่า…” ฉู่เหยากะพริบตากล่าว “ท่านเกอหยางผู้นำแห่งวิหารศักดิ์สิทธิ์ป่วยอีกแล้วหรือ?”

“ขอรับ” ผู้ดูแลหลีตอบรับ “อาการใต้เท้าเกอหยางเริ่มทรุดลงหลังได้รับตำแหน่งผู้นำวิหารศักดิ์สิทธิ์ อย่างที่ท่านรู้ว่าเขายังไม่บรรลุขอบเขตปราชญ์ ซึ่งเป็นขอบเขตที่ต้องใช้เวลาฝึกฝนอย่างยาวนานทำให้ผลาญพลังชีวิตเขาไปมาก ด้วยวัยเก้าสิบปี…ข้าเกรงว่าคงไม่ทันได้บรรลุขอบเขตนั้นเป็นแน่ ทำได้เพียงอาศัยยาอายุวัฒนะช่วยรักษาพลังชีวิตไว้เท่านั้น”

“ข้าทราบแล้ว” ฉู่เหยากล่าว “โอสถระดับแปดนั้นต้องใช้เวลาอย่างมากในการปรุง ท่านค่อยมารับทีหลังแล้วกันนะ”

“ขอรับ”

ผู้ดูแลหลีมองไปข้างๆ สร้อยไข่มุกสีดำอันงดงามแขวนแกว่งไปมาอยู่ตรงขอบโต๊ะ สร้อยเส้นนั้นเป็นสร้อยของฉินอินที่เก็บมันมาจากหลินมู่อวี่และส่งต่อให้ฉู่เหยา

“ท่านผู้นำ เหล่าคนที่สลักบนสร้อยนี้คือใครหรือ?” ผู้ดูแลเฒ่าเอ่ยถามทันใด

ฉู่เหยาชะงัก ร่างงามลุกขึ้นยืนหลังเงียบไปครู่ใหญ่ “พวกเขาคือคนที่ข้าเฝ้าฝันถึง ผู้เป็นที่รักที่พบได้เพียงในฝันเท่านั้น…”

ผู้ดูแลหลีชะงัก รีบประสานหมัดด้วยความเคารพและกล่าว “ดวงวิญญาณของท่านฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนและท่านหลินมู่อวี่ที่อยู่บนสวรรค์ คงอวยพรให้จักรวรรดิรุ่งเรืองมั่งคั่งอยู่เป็นแน่…ท่านผู้นำอย่าได้โศกเศร้าไปเลยขอรับ จริงสิ…ไม่กี่วันก่อนมีคนจากหลิงเป่ยมาขอมั่นหมายอีกแล้วขอรับ…”

ฉู่เหยาตอบ “อย่าได้กวนข้าด้วยเรื่องเช่นนี้อีก ข้าจะไม่แต่งงานกับผู้ใดทั้งนั้น”

“ขอรับ”

ณ วิหารศักดิ์สิทธิ์ ศูนย์รวมจิตใจของนักรบได้รับการก่อสร้างขึ้นใหม่ ทว่าเถ้าเขม่าที่เปรอะเปื้อนบนกำแพงนั้นยังอยู่ ชวนให้หวนระลึกถึงความอัปยศและเกลียดชังที่ครั้งหนึ่งเคยเกิดขึ้น

ในห้องทำงานของผู้นำ ชายผมหงอกจับปากกาเหล็กมือสั่น คอยตอบกลับเอกสารรายงานต่างๆ ครูฝึกดาวเงินคนหนึ่งที่อยู่ข้างๆ ยิ้มเอ่ยขึ้น “ใต้เท้า มือสั่นหมดแล้วครับ”

เกอหยางมองหน้าครูฝึก “อย่ามากวนข้า ข้ารู้ตัวดี…”

เกอหยางวางปากกาและเอนหลังพิงเก้าอี้ “ตอนนี้ข้าแก่มากแล้ว งานพวกนี้ควรเป็นงานของคนหนุ่มสาวมากกว่า น่าเสียดาย…เราได้สูญเสียคนมีพรสวรรค์ที่มีค่าไปอย่างมากตั้งแต่เหตุการณ์โกลาหลเมื่อสามปีที่แล้ว”

ครูฝึกหนุ่มยิ้ม “ท่านผู้นำกำลังพูดถึงใต้เท้าหลินมู่อวี่ใช่หรือไม่? แม้ข้าจะไม่เคยพบเขา ทว่าทุกคนในวิหารนี้ล้วนรู้จักเขาทั้งสิ้น เป็นผู้มีพลังแห่งราชาที่เด็กที่สุดในจักรวรรดิ”

“ไม่ใช่เพียงพลังแห่งราชา…” เกอหยางน้ำตาปริ่ม “หากอาอวี่ยังไม่ตาย ด้วยไหวพริบอันชาญฉลาด เขาคงก้าวสู่ขอบเขตปราชญ์แล้วตอนนี้”

“คำขอลาออกจากตำแหน่งของใต้เท้าถูกจักรพรรดินีปฏิเสธอีกแล้วขอรับ พระองค์ทรงตรัสว่ากลุ่มมังกรผงาดกำลังต้องการคนเช่นกัน ทำให้ท่านฉินเหยียนกลับมารับตำแหน่งแทนไม่ได้”

“ข้าเองก็ต้องการแท้ๆ…”

เกอหยางถอนหายใจก่อนหยิบปากกาเหล็กขึ้นมาอีกครั้ง

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา 345 ข้าไม่แต่งกับใครทั้งนั้น

Now you are reading The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา Chapter 345 ข้าไม่แต่งกับใครทั้งนั้น at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

Ep.345 ข้าไม่แต่งกับใครทั้งนั้น

ฤดูหนาวเวียนมาบรรจบ แทนฤดูใบไม้ผลิที่พ้นไป เวลาสามปีผ่านไปเพียงพริบตา

เดือนมกราคมปีเจ็ดพันเจ็ดร้อยสามสิบสี่ ถังหลานและซูมู่หยุนรวบรวมกองกำลังสี่แสนนายจากจักรวรรดิเข้าจู่โจมมณฑลหลิงคงที่อยู่บนสันเขา ทั้งสองถูกจัดการโดยหลงเซียนหลิน หนึ่งในเจ็ดแม่ทัพแห่งหลิงหนาน โดยการยื้อเวลารบในช่วงหิมะตกหนักจนกองทัพขาดแคลนเสบียงก่อนจะเข้าโจมตีทำให้สูญเสียทหารไปกว่าสองแสนนาย มณฑลหลิงตงและมณฑลทงทียนถูกยึดครองโดยจักรวรรดิอี้เหอ บนเทือกเขาฉินเต็มไปด้วยศพทหารเกลื่อนกลาดทุกตารางนิ้ว เป็นครั้งแรกตั้งแต่จักรวรรดิฟื้นฟู แม้แต่เซี่ยงอวี้และแม่ทัพคนอื่นๆ ยังได้รับบาดเจ็บ

เดือนมีนาคม กองทัพทั้งหมดกลับสู่เมืองหลวง

ณ ตำหนักเจ๋อเทียน ฉินอินผู้เลอโฉมดูโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้นเล็กน้อยหลังได้รับการราชาภิเษก นางยืนจับด้ามกระบี่จื่อยินอย่างสง่างามหน้าบัลลังก์ สายตาอันเย็นชามองไปยังเหล่าคนเบื้องล่าง “ท่านตา ท่านหลานกง ข้าอยากทราบว่าเหตุใดจึงยอมแพ้เช่นนี้?”

ถังหลานและซูมู่หยุนคุกเข่าเงียบต่อหน้าฉินอิน

เฟิงจี้สิงยืนขึ้นพลางกระชับดาบที่เอว ก่อนจะก้าวออกมาและประสานหมัด “ข้าแต่ฝ่าพระบาท การศึกครั้งนี้หานับได้ว่าเป็นการรบกันอย่างเท่าเทียมไม่ ทุกการกระทำของเราล้วนถูกควบคุมโดยศัตรู เสบียงอาหารเราถูกพวกมันยึดและเผาจนสิ้น กองทัพกว่าสี่แสนบนภูเขาฉินต้องสูญเสียเสบียง อีกทั้งยังถูกถ่วงเวลาท่ามกลางหิมะที่ตกอย่างหนัก เสื้อผ้าฝ้ายก็มีไม่พอ…ทำให้กองทัพจักรวรรดิเราเสียกำลังรบไปโดยสิ้นเชิงพ่ะย่ะค่ะ”

“เกิดอันใดขึ้น?” ฉินอินถาม

เฟิงจี้สิงกล่าว “เมื่อสามปีก่อน สำนักอัศวินจากหลิงหนานหนีเข้ามายังหลิงเป่ย พวกเราได้ทำการล้อมกำจัดพวกมันไปหลายครั้งหลายคราทว่าก็เปล่าประโยชน์ พวกเจ้าเล่ห์ซ่อนตัวอยู่ในภูเขา ทุกการเคลื่อนไหวของกองทัพถูกรายงานไปยังจักรวรรดิอี้เหอ เป็นเหตุให้เราพ่ายแพ้อย่างใหญ่หลวงครั้งนี้”

ฉินอินถอนหายใจอย่างเงียบๆ “ท่านเซี่ยงอวี้ ส่งกองกำลังไปพิทักษ์ชายแดนมณฑลเทียนชู่และชางหนาน อย่าให้พวกอี้เหอเข้าโจมตีได้อีก ส่วนท่านเฟิงจี้สิงรับผิดชอบเรื่องการกำจัดสำนักอัศวิน ภายในสามปีต้องมีพวกมันเหลืออยู่ในจักรวรรดิอีก”

“ฝ่าบาท แบบนี้มัน…”

“ข้องใจอย่างนั้นรึ?”

“พ่ะย่ะค่ะ” เฟิงจี้สิงประสานหมัดกล่าว “ฝ่าบาทรู้จักหานจวิ้น หลูจ๋าน ฝานอวิ๋น ตวนมู่ฟาง เซี่ยโหวจู้ หยานลี่ และปู้ไห่ เจ็ดปราชญ์แห่งอี้เหอหรือไม่? พวกเขาเป็นรองเพียงลั่วหลานเท่านั้น ขณะนี้สามในเจ็ดได้เข้ามายังอาณาเขตหลิงเป่ยแล้ว พวกมันซ่อนอยู่ในสำนักอัศวินตามภูเขาและป่า นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมเราจึงล้มเหลวในการกำจัดสำนักอัศวินซ้ำแล้วซ้ำเล่า”

“แล้วจะยอมต่อไปเช่นนี้หรือ?”

ฉินอินเอ่ยถาม “เว่ยโฉว จงนำกลุ่มมังกรผงาดเข้าร่วมกับท่านเฟิงจี้สิง ช่วยกันถอนรากถอนโคนพวกมันจากชางหนานและหลิงเป่ยให้สิ้น”

“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท” เว่ยโฉวประสานหมัดพร้อมกับแม่ทัพทั้งสาม ฉินเหยียน หลัวอวี่และเฟิงสี่ ตั้งแต่กลุ่มมังกรผงาดถูกถล่มเมื่อนานมาแล้วนี่จึงเป็นโอกาสที่จะแก้แค้น

เป็นเพราะหลินมู่อวี่สร้างศรเศวตรมณีทิ้งไว้ให้กว่าพันดอก ซึ่งเป็นอาวุธสังหารของกลุ่มมังกรผงาด จึงไม่ใช่เรื่องยากหากจะจัดการกับขอบเขตปราชญ์

“ข้าแต่ฝ่าพระบาท”

ซูมู่หยุนประสานหมัดกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ศึก ณ มณฑลหลิงคง ทำให้จักรวรรดิต้องสูญเสียกำลังทหารไปมาก ความพ่ายแพ้ในครั้งนี้เป็นความผิดของกระหม่อมเอง ขอโปรดประทานโทษทัณฑ์แก่กระหม่อมโดยการยึดตำแหน่งผู้ปกครองมณฑลอวิ้นจงเสียเถิด”

“การที่ท่านตายอมรับผิดเช่นนี้ช่างหายากจริง”

ฉินอินยิ้ม “ย่อมได้ ตามที่ท่านร้องขอ ข้าขอปลดซูมู่หยุนลงจากบัลลังก์อวิ้นจงเพื่อเป็นการลงโทษ เรื่องแพ้ชนะนั้นเป็นเรื่องปกติของการรบ ท่านตาไม่ต้องกังวลนะเจ้าคะ สักวันเราต้องเอาชนะพวกมันให้จงได้ ตอนนี้เมืองชีไห่ อวิ้นจง หลิงเป่ย ชางหนาน และเทียนชู่ ทั้งห้ามณฑลอันอุดมสมบูรณ์อยู่ในกำมือเรา ด้วยเหตุนี้พวกจักรวรรดิอี้เหอคงยื้ออยู่ฝั่งนี้ได้อีกไม่นาน”

“ฝ่าบาททรงพระปรีชายิ่งพ่ะย่ะค่ะ” ซูมู่หยุนก้มลงกราบพื้น

ถังหลานขมวดคิ้วคุกเข่าลง “ข้าแต่ฝ่าพระบาท หากท่านหยุนกงถูกปลด กระหม่อมเองก็สมควรโดนเช่นเดียวกันพ่ะย่ะค่ะ”

“ย่อมได้” ฉินอินตอบอย่างยินดียิ่ง

ช่วงบ่าย ทหารจักรวรรดิห้าพันนายจัดทัพออกจากเมืองไปโดยมีเฟิงจี้สิงเป็นแม่ทัพ ตามด้วยทหารฝีมือดีจากกลุ่มมังกรผงาดอีกพันนาย เพราะถูกขัดขวางจากถังหลานและซูมู่หยุนทำให้กลุ่มมังกรผงาดไม่สามารถขยายอำนาจต่อได้ ถึงกระนั้นก็โชคดีที่ทั้งหนึ่งพันนายนั้นมีอาวุธชั้นยอดช่วยให้ปะทะกับศัตรูได้ดี อีกทั้งทักษะธนูและม้าที่เก่งกาจ ทำให้กำลังทหารของพวกเขาแข็งแกร่งกว่ากองทัพอื่นที่มีจำนวนเท่ากันนัก

“ผู้บัญชาการเว่ยโฉว”

เฟิงจี้สิงดึงบังเหียนม้ากล่าว “เราจะตีเขาลูกไหนกันก่อนดี?”

“ภูเขาหลงหยานขอรับ”

เว่ยโฉวกล่าวด้วยสีหน้าไม่พอใจ “ไอ้พวกชั่วสำนักอัศวินยึดครองภูเขาหลงหยานมาเป็นปี! ความอับอายของกลุ่มมังกรผงาดต้องได้รับการชดใช้”

“ถ้าเช่นนั้น…”

เฟิงจี้สิงกล่าว “แสดงว่าศูนย์หลักของสำนักอัศวินเมืองหลันเยี่ยนตอนนี้ตั้งอยู่บนภูเขาหลงหยาน และมีขอบเขตปราชญ์ที่แข็งแกร่งนามปู้ไห่อยู่ด้วย เพราะเหตุนี้เองการกวาดล้างภูเขาหลงหยานเมื่อครึ่งปีก่อนของเซี่ยงอวี้จึงถูกขัดขวางจนแทบเอาชีวิตไม่รอด”

“เซี่ยงอวี้สู้ปู้ไห่ไม่ได้หรือ?” เว่ยโฉวสงสัย

“อันที่จริง…” เฟิงจี้สิงตอบด้วยน้ำเสียงจริงจัง “เซี่ยงอวี้บรรลุสู่ขอบเขตปราชญ์ได้หนึ่งปีแล้ว ด้านพลังเขาสูสีกับปู้ไห่ ทว่าได้รับคำสั่งจากหลานกงให้ถอยทัพกลับเมืองเสียก่อน”

“หึ!”

เว่ยโฉวกล่าว “หมายความว่าถังหลานเองก็คงไม่ให้อยากสังหารปู้ไห่ใช่หรือไม่?”

“อาจใช่”

เฟิงจี้สิงจับด้ามดาบ ท่ามกลางสายลมที่พัดผ่านเขาเอ่ยขึ้น “ข้าคิดว่าถังหลานรู้ดีถึงพลังของเซี่ยงอวี้ แม่ทัพผู้เก่งกาจ จึงรอกองทัพอื่นๆ จากจักรวรรดิบุกโจมตีภูเขาหลงหยานแทน ซึ่งก็คือกองทัพองครักษ์ที่เป็นกองกำลังเดียวที่มี เพราะกลุ่มมังกรผงาดขึ้นตรงกับจักรพรรดินี”

“ขอรับ”

เว่ยโฉวยิ้ม “น่าเสียดาย ขณะที่กองทัพองครักษ์มีทหารกว่าสองหมื่นนาย ทว่ากลุ่มมังกรผงาดกลับมีเพียงหนึ่งพันคน มิเช่นนั้นคง…”

“อย่าคิดมาก” เฟิงจี้สิงกระชับผ้าคลุม “ค่อยๆ ก้าวไปทีละขั้น ตราบใดที่เรายังอยู่จะไม่มีใครกล้าต่อต้านจักรพรรดินีแน่ เท่านั้นก็เพียงพอแล้ว”

“ขอรับ”

ดวงตาเว่ยโฉวเริ่มปริ่มน้ำ “น่าเสียดาย…ไม่มีท่านผู้บัญชาการหลินอยู่แล้ว มิเช่นนั้นเขาคงวางแผนทุกเรื่องได้อย่างดีเยี่ยม และอย่างน้อยจักรพรรดินีคงไม่ต้องมาทนทุกข์อย่างน่าอัปยศเช่นนี้”

เฟิงจี้สิงเงยหน้ามองท้องฟ้า “ไอ้หนูอาอวี่…เขาเป็นผู้นำที่หาได้อย่างยิ่ง ช่างน่าเสียดายอย่างที่เจ้าว่าจริงๆ”

“เอาเถิด…คืนนี้ข้าจะตั้งค่ายอยู่ตีนเขาหลงหยาน และบุกโจมตีเช้าวันพรุ่งนี้”

“ขอรับ”

ณ สมาพันธ์โอสถแห่งเมืองหลันเยี่ยน กลิ่นหอมของดอกไม้กระจายไปทั่วบริเวณ เหล่านกกระจอก นกนางแอ่นและผีเสื้อต่างเริงระบำ

ตาคู่สวยสงบนิ่งของฉู่เหยาจ้องมองสมุนไพรขณะใช้ฝ่ามือพิศุทธิ์ค่อยๆ กะเทาะแก่นโอสถออกมา กระบี่ดอกหลีฮวาที่อยู่ด้านข้างกวัดแกว่งขึ้นกลางอากาศราวกับเป็นเรื่องปกติ

“ท่านผู้นำ ปรุงโอสถอยู่หรือขอรับ?” ชายแก่สวมชุดผุ้ดูแลยิ้มถาม

“อืม” ฉู่เหยาพยักหน้า “ช่วงนี้เหตุการณ์สงบเงียบ ข้าไม่มีสิ่งใดทำจึงปรุงโอสถเก็บไว้ ผู้ดูแลหลีมีอันใดหรือไม่?”

“ขอรับ”

ผู้ดูแลหลียื่นบางสิ่งในมือให้ “อายุวัฒนะจากวิหารศักดิ์สิทธิ์ใกล้จะหมดแล้ว ทว่ามันเป็นโอสถระดับแปด คนแก่อย่างพวกข้าไม่มีความสามารถมากพอที่จะปรุงมัน จึงมาขอรบกวนท่านผู้นำช่วยปรุงให้หน่อยขอรับ”

“หมายความว่า…” ฉู่เหยากะพริบตากล่าว “ท่านเกอหยางผู้นำแห่งวิหารศักดิ์สิทธิ์ป่วยอีกแล้วหรือ?”

“ขอรับ” ผู้ดูแลหลีตอบรับ “อาการใต้เท้าเกอหยางเริ่มทรุดลงหลังได้รับตำแหน่งผู้นำวิหารศักดิ์สิทธิ์ อย่างที่ท่านรู้ว่าเขายังไม่บรรลุขอบเขตปราชญ์ ซึ่งเป็นขอบเขตที่ต้องใช้เวลาฝึกฝนอย่างยาวนานทำให้ผลาญพลังชีวิตเขาไปมาก ด้วยวัยเก้าสิบปี…ข้าเกรงว่าคงไม่ทันได้บรรลุขอบเขตนั้นเป็นแน่ ทำได้เพียงอาศัยยาอายุวัฒนะช่วยรักษาพลังชีวิตไว้เท่านั้น”

“ข้าทราบแล้ว” ฉู่เหยากล่าว “โอสถระดับแปดนั้นต้องใช้เวลาอย่างมากในการปรุง ท่านค่อยมารับทีหลังแล้วกันนะ”

“ขอรับ”

ผู้ดูแลหลีมองไปข้างๆ สร้อยไข่มุกสีดำอันงดงามแขวนแกว่งไปมาอยู่ตรงขอบโต๊ะ สร้อยเส้นนั้นเป็นสร้อยของฉินอินที่เก็บมันมาจากหลินมู่อวี่และส่งต่อให้ฉู่เหยา

“ท่านผู้นำ เหล่าคนที่สลักบนสร้อยนี้คือใครหรือ?” ผู้ดูแลเฒ่าเอ่ยถามทันใด

ฉู่เหยาชะงัก ร่างงามลุกขึ้นยืนหลังเงียบไปครู่ใหญ่ “พวกเขาคือคนที่ข้าเฝ้าฝันถึง ผู้เป็นที่รักที่พบได้เพียงในฝันเท่านั้น…”

ผู้ดูแลหลีชะงัก รีบประสานหมัดด้วยความเคารพและกล่าว “ดวงวิญญาณของท่านฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนและท่านหลินมู่อวี่ที่อยู่บนสวรรค์ คงอวยพรให้จักรวรรดิรุ่งเรืองมั่งคั่งอยู่เป็นแน่…ท่านผู้นำอย่าได้โศกเศร้าไปเลยขอรับ จริงสิ…ไม่กี่วันก่อนมีคนจากหลิงเป่ยมาขอมั่นหมายอีกแล้วขอรับ…”

ฉู่เหยาตอบ “อย่าได้กวนข้าด้วยเรื่องเช่นนี้อีก ข้าจะไม่แต่งงานกับผู้ใดทั้งนั้น”

“ขอรับ”

ณ วิหารศักดิ์สิทธิ์ ศูนย์รวมจิตใจของนักรบได้รับการก่อสร้างขึ้นใหม่ ทว่าเถ้าเขม่าที่เปรอะเปื้อนบนกำแพงนั้นยังอยู่ ชวนให้หวนระลึกถึงความอัปยศและเกลียดชังที่ครั้งหนึ่งเคยเกิดขึ้น

ในห้องทำงานของผู้นำ ชายผมหงอกจับปากกาเหล็กมือสั่น คอยตอบกลับเอกสารรายงานต่างๆ ครูฝึกดาวเงินคนหนึ่งที่อยู่ข้างๆ ยิ้มเอ่ยขึ้น “ใต้เท้า มือสั่นหมดแล้วครับ”

เกอหยางมองหน้าครูฝึก “อย่ามากวนข้า ข้ารู้ตัวดี…”

เกอหยางวางปากกาและเอนหลังพิงเก้าอี้ “ตอนนี้ข้าแก่มากแล้ว งานพวกนี้ควรเป็นงานของคนหนุ่มสาวมากกว่า น่าเสียดาย…เราได้สูญเสียคนมีพรสวรรค์ที่มีค่าไปอย่างมากตั้งแต่เหตุการณ์โกลาหลเมื่อสามปีที่แล้ว”

ครูฝึกหนุ่มยิ้ม “ท่านผู้นำกำลังพูดถึงใต้เท้าหลินมู่อวี่ใช่หรือไม่? แม้ข้าจะไม่เคยพบเขา ทว่าทุกคนในวิหารนี้ล้วนรู้จักเขาทั้งสิ้น เป็นผู้มีพลังแห่งราชาที่เด็กที่สุดในจักรวรรดิ”

“ไม่ใช่เพียงพลังแห่งราชา…” เกอหยางน้ำตาปริ่ม “หากอาอวี่ยังไม่ตาย ด้วยไหวพริบอันชาญฉลาด เขาคงก้าวสู่ขอบเขตปราชญ์แล้วตอนนี้”

“คำขอลาออกจากตำแหน่งของใต้เท้าถูกจักรพรรดินีปฏิเสธอีกแล้วขอรับ พระองค์ทรงตรัสว่ากลุ่มมังกรผงาดกำลังต้องการคนเช่นกัน ทำให้ท่านฉินเหยียนกลับมารับตำแหน่งแทนไม่ได้”

“ข้าเองก็ต้องการแท้ๆ…”

เกอหยางถอนหายใจก่อนหยิบปากกาเหล็กขึ้นมาอีกครั้ง

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+