The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา 370 อสูรปีก

Now you are reading The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา Chapter 370 อสูรปีก at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

EP.370 อสูรปีก

ฉินเหยียนและเฉินฮั่นออกมาต้อนรับเมื่อหลินมู่อวี่มาถึงใต้เมือง ทุกคนเข้าไปด้านในก่อนที่ประตูจะปิดลง ดูเหมือนว่าหมินยวี่หลินตัดสินใจละทิ้งกองทหารแห่งจักรวรรดิไว้กับกลุ่ม ‘สัตว์ประหลาด’ ที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ และล้อมรอบกองทหารของตู้ไห่ ดูเหมือนว่าตู้ไห่และกองทหารคงไม่สามารถกลับออกมาได้อีก…

หลินมู่อวี่เลือดไหลกบปากพร้อมความเจ็บปวดที่แล่นผ่านทั่วร่างกาย ฉินเหยียนช่วยพยุงหลินมู่อวี่เข้ามาถึงประตูเมืองด้านใน ขณะที่เหล่านายพลรอบบริเวณมองมาด้วยสายตาเฉยเมย

“ท่านหลินมู่อวี่บาดเจ็บหรือไม่?” หมินจ้านผู้บัญชาการกองทัพเทียนฉงเดินเข้ามาเอ่ยถาม

“ไม่เป็นไรขอรับ ขอบคุณท่านแม่ทัพที่เป็นกังวล”

ใบหน้าหลินมู่อวี่หม่นหมองขณะเดินมาหาหมินยวี่หลิน “ท่านเซินเว่ยโหว พวกเราพ่ายแพ้…”

ใบหน้าหมินยวี่หลินซีดเผือดและพยักหน้ารับ “ข้ารู้…ท่านผิดข้าก็ผิดเช่นเดียวกัน…ขอบคุณแม่ทัพหลินที่พยายามอย่างหนัก”

หมินยวี่หลินขมวดคิ้วและกล่าวอย่างเจ็บปวด “เจ้าพวก…สัตว์อสูร แข็งแกร่งถึงเพียงนั้นเลยรึ?”

“ขอรับ”

หลินมู่อวี่นั่งลงพร้อมประสานหมัด “สัตว์ประหลาดทั่วไปมีพลังยุทธ์เทียบเท่ากับขอบเขตปฐพี พวกมันมีหนังหนาและหยาบกร้าน ซึ่งดาบธรรมดาไม่สามารถเจาะได้ ส่วนจ่าฝูง…มีพลังที่แข็งแกร่งยิ่งกว่า อาจเทียบเท่ากับจอมยุทธ์ขอบเขตนภาชั้นที่สามจนถึงขอบเขตปราชญ์ และบางทีอาจใกล้เคียงกับเทพเจ้า…”

“ใกล้เคียงกับเทพเจ้า…” หมินยวี่หลินตะลึง “พวกมันมาจากที่แห่งใด?”

“ข้าไม่ทราบขอรับ”

เมื่อหลินมู่อวี่มองไปทางประตูเมือง เขารู้สึกปวดร้าวดั่งลูกศรนับหมื่นแทงทะลุหัวใจ “แม่ทัพตู้ไห่…เสียชีวิตแล้ว แม่ทัพเทพอันดับหนึ่งแห่งจักรวรรดิจากไปแล้ว…”

“อาจไม่เป็นเช่นนั้น”

หมินจ้านกล่าว “แม่ทัพตู้ไห่มีพลังขอบเขตปราชญ์ บางทีเขาอาจฝ่าวงล้อมออกมาได้…”

“ไม่ขอรับ”

หลินมู่อวี่ยืนขึ้นพร้อมวางมือเปื้อนเลือดบนกำแพง เมื่อมองออกไปนอกเมือง…พบว่าการต่อสู้ใกล้สิ้นสุดลงแล้ว กองทหารหยางเว่ยทั้งสองหมื่นนายถูกกองทัพสัตว์อสูรกวาดล้างจนสิ้น ทว่าฝ่ายศัตรูกลับสูญเสียไปเพียงสองพันตัวเท่านั้น

เสียงกลองสงครามค่อยๆ หยุดลง สัตว์อสูรบางตนกำลังกัดกินซากทหาร ขณะที่บางตนยึดชุดเกราะและอาวุธ

หนึ่งในสัตว์ประหลาดเดินเข้าอย่างเชื่องช้า มันคือตัวจ่าฝูงที่ถือหัวชุ่มเลือดในมือ สัตว์ร้ายพลันยกหัวนั้นขึ้นเมื่อมาถึงใต้เมือง…นั่นคือหัวของตู้ไห่!

หมินยวี่หลินอดไม่ได้ที่จะหลับตาและเบือนหน้าหนี ขณะที่ร่างกายสั่นเทิ้ม

“ไอ้ปีศาจพวกนี้…”

ฉินเหยียนกัดฟันแน่น “พวกมันสังหารท่านแม่ทัพตู้ไห่…ไอ้สารเลว…”

ขณะเดียวกันทหารนายหนึ่งรีบวิ่งเข้ามารายงาน “ท่านเซินเว่ยโหว พวกสัตว์อสูรปรากฏตัวทางทิศใต้ ตะวันออก และตะวันตกของเมือง พวกเราถูกปิดล้อมแล้วขอรับ!”

หมินยวี่หลินตัวสั่นเล็กน้อยและเอ่ยถาม “พวกมันมีจำนวนเท่าใด…”

“มากกว่าห้าหมื่นตัวขอรับ”

“อืม รอดูท่าทีมันก่อน”

“ขอรับ!”

หมินยวี่หลินหน้าตามัวหมองและดูแก่ขึ้นไปหลายปี เขามองทุกคนด้วยสายตาขุ่นมัว “ท่านแม่ทัพทั้งหลาย มาหารือกันเถิด ขณะนี้เราควรทำสิ่งใด?”

ใบหน้าซูเหวินเทียนแปรเปลี่ยนเป็นสีเทา “กองกำลังของเราเหลือเพียงครึ่งเดียว ข้าเกรงว่าอาจไม่สามารถต่อกรกับศัตรูได้อีกต่อไป ดังนั้นคงทำได้เพียงขอกำลังเสริม ข้าหวังว่าหลานกงและหยุนกงจะสามารถส่งกองทัพมาได้ หากมีทหารแห่งจักรวรรดิสามแสนนาย พวกเราคงสามารถเอาชนะสัตว์ประหลาดห้าหมื่นตัวนี้ได้อย่างแน่นอน!”

หลินมู่อวี่เหลือบมองและกล่าวว่า “จักรวรรดิไม่มีกองกำลังมากมายอีกต่อไป มีเพียงทหารเกณฑ์เท่านั้น หากต้องต่อสู้กับสัตว์อสูรที่แข็งแกร่ง คงเท่ากับการส่งพวกเขาไปสู่ความตาย”

“เช่นนั้นเราจะทำสิ่งใดได้อีก เพียงรอความตายรึ?” ซูเหวินเทียนกัดฟัน

หลินมู่อวี่ไม่ต้องการโต้เถียงกับเขา

ขณะนี้แม้แต่นายพลอย่างหวังซีและฉือยิงก็ทำสิ่งใดไม่ถูก สัตว์ประหลาดเหล่านี้แข็งแกร่งมากราวกับเป็นสัตว์จากสรวงสวรรค์

ทันใดนั้นทหารนายหนึ่งเข้ามารายงาน “ท่านเซินเว่ยโหว พวกมันส่งทูตมาที่นี่ขอรับ”

“โอ้?”

หมินยวี่หลินกล่าว “ให้มันเข้ามา”

“ขอรับ!”

คันศรถูกง้างเล็งไปยังประตู ด้านใต้เมืองมี ‘มนุษย์’ ขี่ม้าศึกพร้อมมี ‘อสูร’ สองตนติดตามมา คนผู้นั้นถอดผ้าคลุมมองกลุ่มทหารมนุษย์บนกำแพงเมืองตงฉวง ก่อนจะควบม้าผ่านประตูเข้าไปขณะที่ริมฝีปากยกขึ้นราวกับเหยียดหยาม

กลุ่มนายพลของจักรวรรดิมองสัตว์ประหลาดอย่างใกล้ชิด พวกเขาอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วเมื่อได้กลิ่นเหม็นลอยมาแตะจมูก พวกมันกลิ่นเหมือนแมลงสาบอย่างแท้จริง!

“ดูเหมือนว่าเจ้าจะเป็นผู้บัญชาการกองทัพมนุษย์” ผู้มาเยือนกล่าวด้วยรอยยิ้ม

หมินยวี่หลินพยักหน้าและกล่าวอย่างเคร่งขรึม “ข้าคือหมินยวี่หลิน เซินเว่ยโหวแห่งจักรวรรดิฉิน และผู้บัญชาการสูงสุดของกองทัพในเมืองตงฉวง แล้วเจ้าเป็นใคร?”

ชายผู้นั้นประสานหมัดกล่าวด้วยความสุภาพ “ข้ามีนามว่าเชินเซี่ยง ข้ามาพบท่านเซินเว่ยโหวในนามของเผ่าเทพ”

“เผ่าเทพ?”

หมินยวี่หลินขมวดคิ้ว “สิ่งมีชีวิตน่าเกลียดเหล่านี้สมควรเรียกว่าเผ่าเทพรึ?”

เชินเซี่ยงมองไปยังสัตว์ประหลาดทั้งสองและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “พวกเขา…ข้าจะไม่ปิดบัง พวกเขาเป็นเพียงเผ่าพันธุ์ที่ด้อยที่สุดและเป็นนักรบในเผ่าเทพซึ่งมีชื่อว่า ‘อสูรเกราะ’ ข้าคิดว่าท่านเซินเว่ยโหวคงได้เห็นแล้ว แม่ทัพอสูรเกราะด้านใต้เมืองมีนามว่าเหล่ยฉง เขาเป็นจอมพลของกองทัพเผ่าเทพ”

เชินเซี่ยงหันมองหลินมู่อวี่และประสานหมัดเคารพ “แม่ทัพผู้นี้ จอมพลเหล่ยฉงยกย่องวิทยายุทธ์ที่ยอดเยี่ยมของท่านมาก…แต่เขาฝากมาบอกว่าจะปลิดหัวท่านในเร็ววัน”

หลินมู่อวี่ขมวดคิ้ว “เจ้าไม่คู่ควรกับชื่อเรียกเผ่าเทพ”

“ถูกต้อง”

เชินเซี่ยงยิ้มและตอบกลับ “เมื่อคราที่เราปกครองแผ่นดินนี้ มนุษย์เช่นท่านเรียกเราว่าเผ่าปีศาจ”

“เผ่าปีศาจ…” หมินยวี่หลินตัวสั่นเทิ้มพึมพำ “มิใช่ว่าเผ่าปีศาจถูกสังหารและผนึกไปแล้วหรือ?”

“จะเป็นไปได้รึ?” เชินเซี่ยงยิ้มและกล่าวว่า “เป็นเวลาหลายหมื่นปีที่เผ่าปีศาจอยู่อย่างหลบซ่อน สิ่งที่พวกเรารอคอยมาตลอดคือวันนี้ ถึงเวลาแล้วที่พวกมนุษย์จะคืนผืนแผ่นดินกลับให้พวกเรา”

“สิ่งใดคือจุดประสงค์ของเจ้า?” หมินยวี่หลินเอ่ยถามเสียงแผ่วเบา

เชินเซี่ยงตอบ “ขอให้ท่านเซินเว่ยโหวยอมจำนนต่อเผ่าเทพ และหากพวกท่านยอมเป็นทาส เราจักไว้ชีวิตให้”

“แล้วหากข้าไม่ยินยอมล่ะ?”

“เช่นนั้นก็รอกลายเป็นเถ้าถ่านได้เลย!” เชินเซี่ยงพูดด้วยรอยยิ้ม

“บังอาจ!” หมินจ้านตะโกนดัง “จัดการมันซะ!”

เชินเซี่ยงหัวเราะเสียงดัง ทันใดนั้นปราณยุทธ์สีดำพวยพุ่งปกคลุมร่างกาย ก่อนจะกระโดดขึ้นกำแพงพร้อมชักดาบสกัดกั้นลูกศรที่ยิงตามหลังมา และหนีหายไป

ด้านในเมือง อสูรเกราะสองตนถูกหลินมู่อวี่ ฉินเหยียน และคนอื่นๆ จัดการจนเลือดสาดเต็มพื้น

“ตอนนี้เราควรทำสิ่งใดต่อ?” หวังซีกล่าวด้วยสายหวาดหวั่น

หมินยวี่หลินมองไปทางฝูงชน “เหล่าท่านแม่ทัพคิดว่าพวกเราควรทำอย่างไร?”

ฉือยิงประสานหมัด “ตามประสบการณ์ของข้าน้อย สถานที่แห่งนี้ห่างจากเมืองหลันเยี่ยนหลายพันไมล์ และมีภูมิศาสตร์ที่โหดร้าย รวมทั้งสภาพอากาศที่ไม่แน่นอน ข้าเกรงว่าคงยากเกินกว่าจะใช้นกส่งสารกลับไปยังเมืองหลวง จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะรอกำลังเสริม ทางเดียวที่จะรอดคือรีบถอยทัพ ทหารราบตายกันหมด ส่วนทหารม้าอาจเหลือรอด”

“ทหารราบตาย ทหารม้ารอด…” หมินยวี่หลินหลับตาด้วยความเจ็บปวด “ข้าไม่คาดคิดเลยว่าชีวิตของหมินยวี่หลินที่มีผลงานโดดเด่นมาทั้งชีวิต สุดท้ายต้องจบลงเช่นนี้…”

ซูเหวินเทียนกล่าว “เราได้ปล่อยนกพิราบส่งสารออกไปกว่าร้อยตัว ข้าเชื่อว่ามณฑลชางหนานและมณฑลเทียนชู่จะได้รับมัน…ท่านเซินเว่ยโหว สิ่งที่เราต้องทำตอนนี้คือการรอ”

หมินยวี่หลินมิได้กล่าวสิ่งใด เขาพลันถอนหายใจและกล่าวว่า “นำชามสองใบพร้อมก้อนหิน จากนั้นให้ผู้บัญชาการกองพันขึ้นไปลงคะแนนเสียงว่าจะบุกโจมตีหรือปกป้องเมืองและรอคอยความช่วยเหลือ”

หลังจากนั้นไม่นาน ชามทั้งสองเต็มไปด้วยหิน แต่เห็นได้ชัดว่าพวกเขาต้องการอยู่ปกป้องเมือง ทุกคนต่างเห็นพลังต่อสู้ของเผ่าปีศาจแล้ว การบุกทะลวงเข้าไปเป็นเพียงการฆ่าตัวตายเท่านั้น!

เมื่อสองวันก่อนทุกคนเพิ่งเฉลิมฉลองความสำเร็จที่ได้รับชัยชนะจากจักรวรรดิอี้เหอ ทว่าวันนี้ทั้งเมืองตงฉวงกลับตกอยู่ในความเงียบสงัด…

ลมหนาวกลางดึกพัดผ่านเมือง ขณะที่แสงคบเพลิงสั่นไหว หมินยวี่หลินเข้าไปในค่ายทหารส่งเสบียงพร้อมทหารคนสนิท เมื่อเฉินฮั่นผู้ที่กำลังลาดตระเวนเห็น ก็รีบเข้ามาทักทาย “คารวะท่านเซินเว่ยโหว!”

“ท่านผู้นำวิหารอยู่ไหน?”

“พักผ่อนอยู่ขอรับ”

“พาข้าไป”

“ขอรับ!”

ขณะที่หมินยวี่หลินกำลังเดินเข้าไป หลินมู่อวี่พลันเดินสวนออกมาพร้อมผ้าพันแผลรอบแขนและใบหน้าซีดเซียว เขากล่าวทักทายอย่างเคารพ “ข้าไม่ทราบว่าท่านเซินเว่ยโหวจะมา เช่นนั้นข้าจะออกไปต้อนรับ”

“ไม่ต้องมากพิธีไป”

หมินยวี่หลินเอ่ยถาม “ไม่ทราบว่ากองทัพจะเหลือเสบียงใช้อีกนานเพียงใด?”

“ไม่เกินแปดวันขอรับ”

“น้อยยิ่งนัก”

“เนื่องจากธัญพืชและหญ้าตามมาไม่ทัน ข้าได้ส่งคนเข้าเมืองแลกเหรียญทองเป็นอาหารสำหรับผู้คนแล้ว ทว่าจำนวนประชากรในเมืองตงฉวงมีไม่ถึงหนึ่งหมื่นคน พื้นดินที่นี่ค่อนข้างแห้งแล้ง อีกทั้งเพิ่งผ่านพ้นฤดูหนาว ทำให้พืชผลเติบโตไม่ทัน มีผู้คนอดตายทุกวัน พวกเขาไม่เหลืออาหารแบ่งปันให้เรา”

หมินยวี่หลินพยักหน้า “เริ่มตั้งแต่วันนี้ ปันส่วนของทุกคนจะถูกหักครึ่งหนึ่ง ขอให้ทุกคนอดทนรอ มิเช่นนั้นเราอาจไม่รอดกระทั่งกำลังเสริมมาถึง”

“ขอรับ!”

สามวันผันผ่านในพริบตา แม้ทุกคนจะไม่พอใจที่ปันส่วนหายไปครึ่งหนึ่ง ทว่าโชคดีที่ไม่มีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้น

กลางดึกขณะที่หลินมู่อวี่หลับตาฝึกฝนยุทธ์ เขากินเล่าปิ่งเพียงหนึ่งแผ่นในตอนเย็น ทำให้ท้องร้องเสียงดังด้วยความหิวโหย ฉินเหยียนเปิดประตูกระโจมและกล่าวอย่างเร่งรีบ “พี่ใหญ่ เกิดเรื่องขึ้นแล้ว มีไฟไหม้ในค่าย!”

“ไฟ?”

หลินมู่อวี่สั่นสะท้าน “สั่งทุกคนช่วยกันดับไฟเร็ว!”

“ขอรับ!”

เมื่อมาถึงก็พบว่าทั้งค่ายตกอยู่ในกองเพลิง เฉินฮั่นและคนอื่นๆ ช่วยกันสาดน้ำ ทว่าจะดับไฟที่โหมกระหน่ำเช่นนี้ได้อย่างไร…

เมื่อเห็นธัญพืชในยุ้งฉางกลายเป็นเถ้าถ่าน หลินมู่อวี่รู้สึกเย็นยะเยือกในใจ “เหตุใดจึงเกิดไฟไหม้?”

“มีไฟตกจากท้องฟ้าขอรับ”

“ท้องฟ้า?”

หลินมู่อวี่มองขึ้นไปและพบเปลวไฟขนาดเล็กตกลงจากฟ้า มีกลุ่มคนอยู่บนอากาศ ขณะที่ทหารแห่งจักรวรรดิพยายามยิงธนูจากพื้นดิน ทว่าลูกศรไม่สามารถขึ้นไปสูงกว่าร้อยเมตรและไม่สามารถทำร้ายกลุ่มคนบนฟ้าได้เลย

“บัดซบ…”

หลินมู่อวี่พุ่งตัวไปด้านหน้าเพื่อคว้าหอก ก่อนจะหมุนตัวส่งแรงและขว้างออกไปอย่างรวดเร็ว!

“ฟิ้ว!”

หอกพุ่งทะยานขึ้นท้องนภา ทันใดนั้น! เสียงคำรามแผ่วเบาดังจากระยะไกล ก่อนที่เงาสีดำจะตกลงมายังสระน้ำด้านใต้ของเมือง เหล่าทหารรีบถือคบเพลิงเข้าไปดูและพบว่ามันคือสิ่งมีชีวิตสองปีก ซึ่งคงไม่ใช่มนุษย์ อีกทั้งมีรูปร่างน่าเกลียดคล้ายกับอสูรเกราะ

“เผ่าปีศาจ…”

ฉินเหยียนกัดฟันแน่นและกล่าวว่า “เผ่าปีศาจมีปีกและบินได้…ไอ้พวกสารเลวตั้งใจทำให้พวกเราอดตายชัดๆ!”

………………………………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด