The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา 337 ความภาคภูมิใจของหลานกง

Now you are reading The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา Chapter 337 ความภาคภูมิใจของหลานกง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

วัชพืชเติบโตอยู่ในช่องว่างระหว่างกำแพง มันลู่ไปตามสายลมฤดูใบไม้ผลิที่พัดผ่าน ถังเจิ้นยืนนิ่งบนกำแพง กำด้ามดาบที่แขวนอยู่ตรงเอวไว้ราวกับรูปปั้นหิน เฝ้ามองดูผู้คนช่วยกันซ่อมแซมกำแพงเมือง ท่ามกลางฝุ่นควันโขมง ซากอิฐที่พังทลายได้รับการต่อเติมใหม่จนแล้วเสร็จไปกว่าครึ่ง ใกล้กันมีทหารจากสมาพันธ์โอสถกำลังเตรียมอาหารกลางวันให้ประชาชนอยู่

ทันใดนั้นทหารนายหนึ่งก็ชี้นิ้ว “ท่านผู้บัญชาการดูนั่น มีคนกำลังมาจากเมืองชีไห่!”

ถังเจิ้นชะงักเล็กน้อย เมื่อเพ่งมองท่ามกลางกลุ่มควันก็พบว่าไม่ใช่เพียงคนเดียว ทว่าเป็นกองทัพชีไห่กว่าแสนคนกำลังยกทัพมาเมืองหลันเยี่ยน ในที่สุดหลังจากยี่สิบวันแห่งการล่มสลายก็มาเสียที

“ไปตามองค์หญิงซีมา!”

“ขอรับ!”

ไม่นาน ถังเสี่ยวซีก็เดินขึ้นมาบนกำแพงในชุดคลุมสีขาวสง่างาม ตามมาด้วยเหล่าผู้บัญชาการทหารแห่งชีไห่ ตรงไปหาถังเจิ้น “ปิดประตูเมืองและส่งทหารม้าออกไปถามว่าพวกเขามาจากที่ใด เราจะเชื่อใจใครไม่ได้”

“พ่ะย่ะค่ะองค์หญิง”

ถังเจิ้นส่งทหารออกจากเมืองไปตามคำสั่ง ใช้เวลาไม่นานก่อนจะกลับมารายงาน นายทหารประสานกำปั้นคำนับต่อถังเสี่ยวซี “องค์หญิงซี ท่านแม่ทัพถัง กองทัพจากเมืองชีไห่ที่มาเป็นของท่านถังลู่กับท่านถังเว่ย ตามมาด้วยท่านถังเทียนและท่านถังหลานขอรับ กองทัพหนึ่งแสนนายใกล้เข้ามาแล้ว ท่านถังลู่สั่งให้ข้ามารายงานแก่ท่านถังเสี่ยวซี ให้ท่านเปิดประตูเมืองและออกไปพบท่านถังหลานขอรับ”

“ถังลู่กับถังเว่ยรึ?”

ถังเสี่ยวซีทำหน้าครุ่นคิด “ท่านถังเจิ้น ออกคำสั่งให้จำกัดการเข้าออกประตูเมืองทุกแห่ง ส่งทหารม้าออกไปตั้งแนวป้องกัน ห้ามเชื้อพระวงศ์หรือทหารคนใดเข้าเมืองเด็ดขาด”

“กระหม่อมไม่เข้าใจพ่ะย่ะค่ะ” ถังเจิ้นเผยสีหน้าสงสัย “เหตุใดองค์หญิงจึงต้องทำเช่นนี้? เราทุกคนล้วนเป็นทหารของเมืองชีไห่ ท่านถังหลานอุตส่าห์นำกองทัพมาเสริมกำลังให้เมืองหลันเยี่ยนด้วยตนเอง แล้วท่านจะปิดประตูเมืองอย่างนั้นหรือ?”

ถังเสี่ยวซีตอบอย่างไม่แยแส “ผู้ปกครองเมืองหลันเยี่ยนมีเพียงคนเดียวเท่านั้น และนางมีนามว่าฉินอิน ต่อให้ฉินอินจะไม่กลับมา ข้าก็จะไม่มีวันมอบตำหนักเจ๋อเทียนให้ใคร ท่านถังเจิ้นอย่าลืมสิว่ากว่าเราจะชิงเมืองหลันเยี่ยนคืนมาจากพวกอี้เหอได้ เราต้องเสียกำลังทหารไปกว่าหมื่นนาย ตอนนี้ข้าเป็นเจ้าเมืองแห่งนี้แล้ว”

“กระหม่อมเข้าใจแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

ถังเจิ้นลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะประสานกำปั้นคำนับแก่ถังเสี่ยวซี “กระหม่อมพร้อมจะติดตามองค์หญิงจนกว่าชีวิตจะหาไม่พ่ะย่ะค่ะ!”

“เยี่ยมมาก เช่นนั้นรีบทำตามที่ข้าสั่ง!”

“พ่ะย่ะค่ะ!”

ประตูเมืองหลันเยี่ยนถูกปิดอย่างแน่นหนา

ถังเสี่ยวซียืนมองกองทัพจากเมืองชีไห่ที่รวมตัวกันอย่างเนืองแน่น

ครึ่งชั่วโมงต่อมา ทหารเมืองชีไห่กว่าสามหมื่นนายก็จัดขบวนทัพหน้าเมืองหลันเยี่ยนพร้อมกับสองแม่ทัพถังลู่และถังเว่ยควบม้าศึกสีขาวนำหน้าขบวนมา ทำให้ถังเสี่ยวซีรู้สึกอึดอัดใจอย่างมาก ถังหลานมีบุตรชายสามคน พี่ใหญ่คือพ่อของถังเสี่ยวซีที่ตายไปแล้ว คนที่สองคือถังจินซึ่งมีลูกสามคนคือถังปินที่ถูกฆ่าโดยหลินมู่อวี่ในป่าล่ามังกร คนรองคือถังลู่ และลูกสาวคนสุดท้องถังเว่ย

ถังลู่ในชุดเกราะสีเงินเมืองเห็นถังเสี่ยวซีก็ลงจากม้า “เสี่ยวซี เปิดประตูเมือง กองทัพของท่านปู่ใกล้มาถึงแล้ว เจ้ารอสิ่งใดอยู่?”

ถังเสี่ยวซีก้าวออกมาจากกำแพงเมือง “โปรดกลับไปบอกท่านปู่ว่าเมืองหลันเยี่ยนเพิ่งได้รับการสูญเสียจากสงคราม ยังไม่พร้อมจะต้อนรับกองทัพใหญ่ ให้ท่านปู่ตั้งค่ายรออยู่นอกเมืองไปก่อน”

“เจ้าหมายความว่าอย่างไรเสี่ยวซี?” ถังลู่ขมวดคิ้วถาม

“น่ารำคาญจริง”

ถังเสี่ยวซียิ้มมุมปาก “ท่านพี่รอง เห็นหรือไม่ว่าสองข้างทางนอกกำแพงเมืองนั่นคือสิ่งใด?”

ถังลู่หัวเราะก่อนจะตอบอย่างใจเย็น “กองศพอย่างไรเล่า?”

ถังเสี่ยวซียิ้ม “ในเมื่อท่านพี่รองรู้ว่าพวกเขาคือศพ เช่นนั้นก็คงพอจะรู้ใช่หรือไม่เจ้าคะว่าเหตุใดพวกเขาจึงลงเอยเช่นนั้น? ใช่…เพราะกองทัพเมืองชีไห่มาช้าเกินไปอย่างไรเล่า หากกองทัพสองแสนของชีไห่มาทันเวลา…พวกเขาคงไม่ต้องตายเช่นนี้ ท่านฉู่ฮว๋ายเหมี่ยน ท่านฉินเหลยและมู่มู่เองก็คงมีชีวิตอยู่”

“เจ้ากำลังพูดเรื่องไร้สาระอันใดอยู่?”

ถังลู่กล่าวด้วยแววตาเคร่งขรึม “เมืองชีไห่คือต้นกำเนิดของตระกูลถัง หากเราต่อต้านจักรวรรดิอี้เหอที่ทรงพลังนั่นก็คงไม่ต่างจากเอาไม้ซีกไปงัดไม้ซุง เปิดประตูเมืองเสียเสี่ยวซี มิเช่นนั้นข้าจะ…”

“จะอะไรหรือเจ้าคะ?” ถังเสี่ยวซีหาได้เกรงกลัวไม่

“มิเช่นนั้นข้าจะทำลายซากเมืองนี้เสีย!”

ถังลู่ชูหอกในมือก่อนจะตะโกนลั่น “เหล่าทหารในเมืองจงฟัง พวกเจ้าเป็นคนของตระกูลถัง ลืมกฎเหล็กของตระกูลไปแล้วรึ? จงเปิดประตูเมืองให้ท่านหลานกงเข้าไปบัดเดี๋ยวนี้!”

ทว่าทหารในเมืองหาได้มีปฏิกิริยาใดไม่ ทุกคนต่างหลบตาถังลู่

ถังเสี่ยวซีอดหัวเราะไม่ได้ “ท่านพี่รองอย่าได้ตกใจไปเจ้าค่ะ แม้พวกเขาจะเป็นทหารของตระกูลถัง ทว่าพวกเขาก็เป็นทหารของจักรวรรดิเช่นเดียวกัน ไม่ใช้ทุกคนจะคิดกบฏและโหยหาอำนาจ ท่านจงกลับไปบอกท่านปู่เสีย ต่อให้เสี่ยวอินจะไม่กลับมาเมืองหลันเยี่ยนอีก ข้าก็จะไม่มีวันเปิดประตูเมืองให้ใครหน้าไหนทั้งนั้น หากพวกท่านอยากจะเข้าเมืองนัก ก็จงทำสงครามกับข้าเสีย! พลธนูเตรียมยิง!”

“ฟึบ!”

พลธนูตั้งแถวเตรียมยิงเล็งไปยังถังลู่กับถังเว่ยและทหารที่อยู่ด้านล่าง

ถังลู่นั้นถูกเลี้ยงดูอย่างตามใจมาตั้งแต่เด็ก เขาไม่เคยถูกปฏิบัติเช่นนี้มาก่อน เขากล่าวด้วยสีหน้าซีดเซียว “หากเจ้าต้องการเช่นนี้ก็ย่อมได้! ในฐานะสมาชิกตระกูลถัง เจ้ากล้าเล็งปลายศรใส่ข้ารึ…แม่ทัพถัง? อย่าคิดว่าข้าจะจำเจ้าไม่ได้!”

ถังเจิ้นประสานกำปั้นคำนับจากบนกำแพง “ขอประทานอภัยพ่ะย่ะค่ะท่านอ๋องที่สอง กระหม่อมยังคงยึดถือคำสอนจากนิกายถังเสมอ ทว่าในตอนนี้…กระหม่อมรับใช้ต่อองค์หญิงซีแต่เพียงผู้เดียว และถังเจิ้นผู้นี้จะขอภักดีต่อองค์จักรพรรดิแห่งจักรวรรดินี้จนตัวตาย!”

“บัดซบ!”

ถังลู่ชูหอกขึ้น “เตรียมชักรอก! ข้าจะบุกโจมตีเมืองนี้!” ถังเว่ยมองอยู่ด้านข้างก่อนจะรีบรั้งแขนของถังลู่ไว้ “ท่านพี่หยุดเพียงเท่านี้เถิด รีบกลับไปแจ้งแก่ท่านปู่จะดีกว่า หากเรายืนกรานจะทำศึกกับเสี่ยวซี ข้าเกรงว่า…เรื่องคงไม่จบแค่นั้นแน่”

“หึ!”

ถังลู่กัดฟันกรอดก่อนจะขึ้นควบม้าแล้วจากไป

ถังลู่และถังเว่ยกลับไปยังค่ายกองทัพชีไห่ด้วยสีหน้าไม่สู้ดีก่อนเข้าพบถังหลาน “ท่านปู่ เมืองหลันเยี่ยนปฏิเสธที่จะเปิดประตูเมืองให้กองทัพชีไห่ของเราขอรับ”

“เกิดอันใดขึ้น?” ถังหลานกระชับผ้าคลุม หน้าซีดตัวสั่นด้วยความหนาวเย็นของสายลมที่พัดผ่านยามค่ำ “ไม่ใช่ว่าเสี่ยวซีและถังเจิ้นยึดเมืองหลันเยี่ยนได้แล้วหรือ?”

“ยายเด็กนั่นกับถังเจิ้นหักหลังเรา!” ถังลู่ตอบเสียงแข็ง “ถังเสี่ยวซีสั่งให้คนหันคมธนูใส่และขับไล่เราของจากเมือง! มันยั่วโมโหข้า”

“หักหลังหรือ?” ถังหลานยิ้ม “เสี่ยวซีแอบติดต่อกับกองทัพของถังเจิ้นและเรียกกองทัพเผ่าอสูรมาเพื่อทวงคืนเมืองหลันเยี่ยนจากจักรวรรดิอี้เหอ หากนั่นคือสิ่งที่เรียกว่าการหักหลัง เช่นนั้นเราทั้งหมดก็คงไม่ต่างจากพวกปล้นชาติ”

“ท่านปู่…” ถังลู่สับสนกับความคิดของถังหลาน “ตอนนี้เสี่ยวซีผู้ทรยศวงศ์ตระกูลกำลังกีดกันเราจากเมืองหลันเยี่ยนนะขอรับ!”

ถังหลานถอนหายใจกล่าว “แล้วเสี่ยวซีพูดว่าอย่างไร?”

ถังเว่ยตอบ “ท่านพี่เสี่ยวซีกล่าวว่าหากองค์หญิงฉินอินไม่กลับเมือง นางจะไม่เปิดประตูเมืองหลันเยี่ยนให้ผู้ใด เพราะเมืองหลันเยี่ยนเป็นของฉินอินหาใช่ใครอื่นเจ้าค่ะ ด้วยเหตุนี้นางจึงฝากมาบอกท่านปู่ว่าให้ตั้งค่ายรอการกลับมาขององค์หญิงฉินอินอยู่นอกเมืองนี้ จากนั้นจึงจะอนุญาตให้เข้าเมืองได้เจ้าค่ะ”

“อย่างนั้นหรือ…”

ถังหลานขมวดคิ้วพลางโบกมือ “ถังลู่ ถังเว่ย พวกเจ้าจงจัดตั้งค่ายอยู่นอกเมืองตามที่นางบอก หากเสี่ยวซีไม่ต้อนรับข้าก็จะรออยู่ตรงนี้!”

“ขอรับ!”

เมื่อถังลู่และถังเว่ยควบม้าจากไปแล้ว ถังหลานก็ทำได้เพียงนั่งถอนหายใจอยู่เงียบๆ

ผู้บัญชาการทหารนายหนึ่งที่สวมผ้าคลุมปิดหน้ายิ้มและเอ่ยขึ้น “ช่างน่าขัน หลานสาวยึดเมืองได้ ทว่ากลับไม่ให้ปู่ของตนเข้าเมือง ช่างเป็นเรื่องแปลกเสียจริง ถึงกระนั้นดูเหมือน…ท่านหลานกงกลับไม่มีทีท่าโมโหเลยแม้แต่น้อย เพราะเหตุใดกัน?”

ถังหลานหันไปมองหน้าและยิ้มจางๆ “แม่ทัพเซี่ยงก็เห็นแล้วมิใช่หรือ? คนของตระกูลถังทุกคนล้วนเป็นคนธรรมดายกเว้นเสี่ยวซี แม่นางจะเป็นเพียงหญิงสาวแต่กลับกล้ายืนกรานปะทะกับทหารจักรวรรดิอี้เหอกว่าครึ่งล้านที่อยู่รอบเมืองหลันเยี่ยน จะมีผู้ใดในแผ่นดินนี้อีกนอกจากเสี่ยวซีหลานสาวจอมดื้อรั้นของข้าที่เผชิญหน้ากับจื่อเย่า หลงเซียนหลิน ติงซี่และแม่ทัพอีกหลายคนแล้วยังรอดมาได้”

แม่ทัพปริศนายิ้ม “อันที่จริงในบรรดาคนตระกูลถัง คงมีแต่เพียงถังเสี่ยวซีเท่านั้นที่มีความกล้าเช่นนี้”

“อืม…”

ถังหลานถอนหายใจ “ต่อให้เสียวซีจะแข็งขืนข้าอีกกี่ครั้ง ข้าก็คงโกรธนางไม่ลง…เพราะนางเป็นความภาคภูมิใจเดียวของถังหลานผู้นี้ เป็นความหวังของตระกูลถัง”

“แล้วท่านหลานกงคิดจะทำสิ่งใดต่อหรือขอรับ? คิดจะรออยู่นอกเมืองต่อไปเช่นนี้หรือ?”

“ไม่”

ถังหลานกะพริบตากล่าว “จักรวรรดิอี้เหอใช้กำลังยึดดินแดนของจักรวรรดิฉินไปมากมาย กระทั่งจบสงคราม…เราทวงคืนมาได้เพียงหนึ่งเท่านั้น ตอนนี้พวกมันถอยทัพไปพร้อมกับกองทัพเมืองสายัณห์ที่ทรยศเราแล้ว เราต้องรีบชิงดินแดนอื่นกลับคืนมาก่อนที่ฉินอินจะหวนคืนบัลลังก์ จะมัวรีรอไม่ได้”

“ท่านหลานกงผู้ปราดเปรื่อง ไม่ทราบว่าท่านอยากให้เซี่ยงอวี้ผู้นี้ช่วยจัดการหรือไม่?”

“ข้าจะมอบทหารและม้าให้เจ้า จงมุ่งไปทางมณฑลดาราที่อยู่ทิศใต้ของเมืองหลันเยี่ยน ตรงเข้ายึดเมืองเหลิ่งซิงให้มาอยู่ใต้อำนาจเราเสีย เจ้าอยากได้คนเท่าไร?”

“ทหารม้าสองพันนายก็พอขอรับ” เซี่ยงอวี้ยิ้มมุมปากอย่างมั่นใจ

“สองพันเองหรือ?”

ถังหลานหัวเราะลั่น “เจ้าช่างสมกับเป็นทายาทแห่งเทพทหารเซี่ยงเหวินเทียนเสียจริง ความมั่นใจนี้หาได้มีผู้ใดเทียบไม่ ชายแก่ผู้นี้จะให้ทหารม้าแก่เจ้าสามพันนาย เจ้าจะยึดเมืองเหลิ่งซิงแห่งมณฑลดารามาให้ได้ในสามวันหรือไม่?”

“ขอรับ! เชื่อมือข้าได้เลย!”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา 337 ความภาคภูมิใจของหลานกง

Now you are reading The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา Chapter 337 ความภาคภูมิใจของหลานกง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

วัชพืชเติบโตอยู่ในช่องว่างระหว่างกำแพง มันลู่ไปตามสายลมฤดูใบไม้ผลิที่พัดผ่าน ถังเจิ้นยืนนิ่งบนกำแพง กำด้ามดาบที่แขวนอยู่ตรงเอวไว้ราวกับรูปปั้นหิน เฝ้ามองดูผู้คนช่วยกันซ่อมแซมกำแพงเมือง ท่ามกลางฝุ่นควันโขมง ซากอิฐที่พังทลายได้รับการต่อเติมใหม่จนแล้วเสร็จไปกว่าครึ่ง ใกล้กันมีทหารจากสมาพันธ์โอสถกำลังเตรียมอาหารกลางวันให้ประชาชนอยู่

ทันใดนั้นทหารนายหนึ่งก็ชี้นิ้ว “ท่านผู้บัญชาการดูนั่น มีคนกำลังมาจากเมืองชีไห่!”

ถังเจิ้นชะงักเล็กน้อย เมื่อเพ่งมองท่ามกลางกลุ่มควันก็พบว่าไม่ใช่เพียงคนเดียว ทว่าเป็นกองทัพชีไห่กว่าแสนคนกำลังยกทัพมาเมืองหลันเยี่ยน ในที่สุดหลังจากยี่สิบวันแห่งการล่มสลายก็มาเสียที

“ไปตามองค์หญิงซีมา!”

“ขอรับ!”

ไม่นาน ถังเสี่ยวซีก็เดินขึ้นมาบนกำแพงในชุดคลุมสีขาวสง่างาม ตามมาด้วยเหล่าผู้บัญชาการทหารแห่งชีไห่ ตรงไปหาถังเจิ้น “ปิดประตูเมืองและส่งทหารม้าออกไปถามว่าพวกเขามาจากที่ใด เราจะเชื่อใจใครไม่ได้”

“พ่ะย่ะค่ะองค์หญิง”

ถังเจิ้นส่งทหารออกจากเมืองไปตามคำสั่ง ใช้เวลาไม่นานก่อนจะกลับมารายงาน นายทหารประสานกำปั้นคำนับต่อถังเสี่ยวซี “องค์หญิงซี ท่านแม่ทัพถัง กองทัพจากเมืองชีไห่ที่มาเป็นของท่านถังลู่กับท่านถังเว่ย ตามมาด้วยท่านถังเทียนและท่านถังหลานขอรับ กองทัพหนึ่งแสนนายใกล้เข้ามาแล้ว ท่านถังลู่สั่งให้ข้ามารายงานแก่ท่านถังเสี่ยวซี ให้ท่านเปิดประตูเมืองและออกไปพบท่านถังหลานขอรับ”

“ถังลู่กับถังเว่ยรึ?”

ถังเสี่ยวซีทำหน้าครุ่นคิด “ท่านถังเจิ้น ออกคำสั่งให้จำกัดการเข้าออกประตูเมืองทุกแห่ง ส่งทหารม้าออกไปตั้งแนวป้องกัน ห้ามเชื้อพระวงศ์หรือทหารคนใดเข้าเมืองเด็ดขาด”

“กระหม่อมไม่เข้าใจพ่ะย่ะค่ะ” ถังเจิ้นเผยสีหน้าสงสัย “เหตุใดองค์หญิงจึงต้องทำเช่นนี้? เราทุกคนล้วนเป็นทหารของเมืองชีไห่ ท่านถังหลานอุตส่าห์นำกองทัพมาเสริมกำลังให้เมืองหลันเยี่ยนด้วยตนเอง แล้วท่านจะปิดประตูเมืองอย่างนั้นหรือ?”

ถังเสี่ยวซีตอบอย่างไม่แยแส “ผู้ปกครองเมืองหลันเยี่ยนมีเพียงคนเดียวเท่านั้น และนางมีนามว่าฉินอิน ต่อให้ฉินอินจะไม่กลับมา ข้าก็จะไม่มีวันมอบตำหนักเจ๋อเทียนให้ใคร ท่านถังเจิ้นอย่าลืมสิว่ากว่าเราจะชิงเมืองหลันเยี่ยนคืนมาจากพวกอี้เหอได้ เราต้องเสียกำลังทหารไปกว่าหมื่นนาย ตอนนี้ข้าเป็นเจ้าเมืองแห่งนี้แล้ว”

“กระหม่อมเข้าใจแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

ถังเจิ้นลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะประสานกำปั้นคำนับแก่ถังเสี่ยวซี “กระหม่อมพร้อมจะติดตามองค์หญิงจนกว่าชีวิตจะหาไม่พ่ะย่ะค่ะ!”

“เยี่ยมมาก เช่นนั้นรีบทำตามที่ข้าสั่ง!”

“พ่ะย่ะค่ะ!”

ประตูเมืองหลันเยี่ยนถูกปิดอย่างแน่นหนา

ถังเสี่ยวซียืนมองกองทัพจากเมืองชีไห่ที่รวมตัวกันอย่างเนืองแน่น

ครึ่งชั่วโมงต่อมา ทหารเมืองชีไห่กว่าสามหมื่นนายก็จัดขบวนทัพหน้าเมืองหลันเยี่ยนพร้อมกับสองแม่ทัพถังลู่และถังเว่ยควบม้าศึกสีขาวนำหน้าขบวนมา ทำให้ถังเสี่ยวซีรู้สึกอึดอัดใจอย่างมาก ถังหลานมีบุตรชายสามคน พี่ใหญ่คือพ่อของถังเสี่ยวซีที่ตายไปแล้ว คนที่สองคือถังจินซึ่งมีลูกสามคนคือถังปินที่ถูกฆ่าโดยหลินมู่อวี่ในป่าล่ามังกร คนรองคือถังลู่ และลูกสาวคนสุดท้องถังเว่ย

ถังลู่ในชุดเกราะสีเงินเมืองเห็นถังเสี่ยวซีก็ลงจากม้า “เสี่ยวซี เปิดประตูเมือง กองทัพของท่านปู่ใกล้มาถึงแล้ว เจ้ารอสิ่งใดอยู่?”

ถังเสี่ยวซีก้าวออกมาจากกำแพงเมือง “โปรดกลับไปบอกท่านปู่ว่าเมืองหลันเยี่ยนเพิ่งได้รับการสูญเสียจากสงคราม ยังไม่พร้อมจะต้อนรับกองทัพใหญ่ ให้ท่านปู่ตั้งค่ายรออยู่นอกเมืองไปก่อน”

“เจ้าหมายความว่าอย่างไรเสี่ยวซี?” ถังลู่ขมวดคิ้วถาม

“น่ารำคาญจริง”

ถังเสี่ยวซียิ้มมุมปาก “ท่านพี่รอง เห็นหรือไม่ว่าสองข้างทางนอกกำแพงเมืองนั่นคือสิ่งใด?”

ถังลู่หัวเราะก่อนจะตอบอย่างใจเย็น “กองศพอย่างไรเล่า?”

ถังเสี่ยวซียิ้ม “ในเมื่อท่านพี่รองรู้ว่าพวกเขาคือศพ เช่นนั้นก็คงพอจะรู้ใช่หรือไม่เจ้าคะว่าเหตุใดพวกเขาจึงลงเอยเช่นนั้น? ใช่…เพราะกองทัพเมืองชีไห่มาช้าเกินไปอย่างไรเล่า หากกองทัพสองแสนของชีไห่มาทันเวลา…พวกเขาคงไม่ต้องตายเช่นนี้ ท่านฉู่ฮว๋ายเหมี่ยน ท่านฉินเหลยและมู่มู่เองก็คงมีชีวิตอยู่”

“เจ้ากำลังพูดเรื่องไร้สาระอันใดอยู่?”

ถังลู่กล่าวด้วยแววตาเคร่งขรึม “เมืองชีไห่คือต้นกำเนิดของตระกูลถัง หากเราต่อต้านจักรวรรดิอี้เหอที่ทรงพลังนั่นก็คงไม่ต่างจากเอาไม้ซีกไปงัดไม้ซุง เปิดประตูเมืองเสียเสี่ยวซี มิเช่นนั้นข้าจะ…”

“จะอะไรหรือเจ้าคะ?” ถังเสี่ยวซีหาได้เกรงกลัวไม่

“มิเช่นนั้นข้าจะทำลายซากเมืองนี้เสีย!”

ถังลู่ชูหอกในมือก่อนจะตะโกนลั่น “เหล่าทหารในเมืองจงฟัง พวกเจ้าเป็นคนของตระกูลถัง ลืมกฎเหล็กของตระกูลไปแล้วรึ? จงเปิดประตูเมืองให้ท่านหลานกงเข้าไปบัดเดี๋ยวนี้!”

ทว่าทหารในเมืองหาได้มีปฏิกิริยาใดไม่ ทุกคนต่างหลบตาถังลู่

ถังเสี่ยวซีอดหัวเราะไม่ได้ “ท่านพี่รองอย่าได้ตกใจไปเจ้าค่ะ แม้พวกเขาจะเป็นทหารของตระกูลถัง ทว่าพวกเขาก็เป็นทหารของจักรวรรดิเช่นเดียวกัน ไม่ใช้ทุกคนจะคิดกบฏและโหยหาอำนาจ ท่านจงกลับไปบอกท่านปู่เสีย ต่อให้เสี่ยวอินจะไม่กลับมาเมืองหลันเยี่ยนอีก ข้าก็จะไม่มีวันเปิดประตูเมืองให้ใครหน้าไหนทั้งนั้น หากพวกท่านอยากจะเข้าเมืองนัก ก็จงทำสงครามกับข้าเสีย! พลธนูเตรียมยิง!”

“ฟึบ!”

พลธนูตั้งแถวเตรียมยิงเล็งไปยังถังลู่กับถังเว่ยและทหารที่อยู่ด้านล่าง

ถังลู่นั้นถูกเลี้ยงดูอย่างตามใจมาตั้งแต่เด็ก เขาไม่เคยถูกปฏิบัติเช่นนี้มาก่อน เขากล่าวด้วยสีหน้าซีดเซียว “หากเจ้าต้องการเช่นนี้ก็ย่อมได้! ในฐานะสมาชิกตระกูลถัง เจ้ากล้าเล็งปลายศรใส่ข้ารึ…แม่ทัพถัง? อย่าคิดว่าข้าจะจำเจ้าไม่ได้!”

ถังเจิ้นประสานกำปั้นคำนับจากบนกำแพง “ขอประทานอภัยพ่ะย่ะค่ะท่านอ๋องที่สอง กระหม่อมยังคงยึดถือคำสอนจากนิกายถังเสมอ ทว่าในตอนนี้…กระหม่อมรับใช้ต่อองค์หญิงซีแต่เพียงผู้เดียว และถังเจิ้นผู้นี้จะขอภักดีต่อองค์จักรพรรดิแห่งจักรวรรดินี้จนตัวตาย!”

“บัดซบ!”

ถังลู่ชูหอกขึ้น “เตรียมชักรอก! ข้าจะบุกโจมตีเมืองนี้!” ถังเว่ยมองอยู่ด้านข้างก่อนจะรีบรั้งแขนของถังลู่ไว้ “ท่านพี่หยุดเพียงเท่านี้เถิด รีบกลับไปแจ้งแก่ท่านปู่จะดีกว่า หากเรายืนกรานจะทำศึกกับเสี่ยวซี ข้าเกรงว่า…เรื่องคงไม่จบแค่นั้นแน่”

“หึ!”

ถังลู่กัดฟันกรอดก่อนจะขึ้นควบม้าแล้วจากไป

ถังลู่และถังเว่ยกลับไปยังค่ายกองทัพชีไห่ด้วยสีหน้าไม่สู้ดีก่อนเข้าพบถังหลาน “ท่านปู่ เมืองหลันเยี่ยนปฏิเสธที่จะเปิดประตูเมืองให้กองทัพชีไห่ของเราขอรับ”

“เกิดอันใดขึ้น?” ถังหลานกระชับผ้าคลุม หน้าซีดตัวสั่นด้วยความหนาวเย็นของสายลมที่พัดผ่านยามค่ำ “ไม่ใช่ว่าเสี่ยวซีและถังเจิ้นยึดเมืองหลันเยี่ยนได้แล้วหรือ?”

“ยายเด็กนั่นกับถังเจิ้นหักหลังเรา!” ถังลู่ตอบเสียงแข็ง “ถังเสี่ยวซีสั่งให้คนหันคมธนูใส่และขับไล่เราของจากเมือง! มันยั่วโมโหข้า”

“หักหลังหรือ?” ถังหลานยิ้ม “เสี่ยวซีแอบติดต่อกับกองทัพของถังเจิ้นและเรียกกองทัพเผ่าอสูรมาเพื่อทวงคืนเมืองหลันเยี่ยนจากจักรวรรดิอี้เหอ หากนั่นคือสิ่งที่เรียกว่าการหักหลัง เช่นนั้นเราทั้งหมดก็คงไม่ต่างจากพวกปล้นชาติ”

“ท่านปู่…” ถังลู่สับสนกับความคิดของถังหลาน “ตอนนี้เสี่ยวซีผู้ทรยศวงศ์ตระกูลกำลังกีดกันเราจากเมืองหลันเยี่ยนนะขอรับ!”

ถังหลานถอนหายใจกล่าว “แล้วเสี่ยวซีพูดว่าอย่างไร?”

ถังเว่ยตอบ “ท่านพี่เสี่ยวซีกล่าวว่าหากองค์หญิงฉินอินไม่กลับเมือง นางจะไม่เปิดประตูเมืองหลันเยี่ยนให้ผู้ใด เพราะเมืองหลันเยี่ยนเป็นของฉินอินหาใช่ใครอื่นเจ้าค่ะ ด้วยเหตุนี้นางจึงฝากมาบอกท่านปู่ว่าให้ตั้งค่ายรอการกลับมาขององค์หญิงฉินอินอยู่นอกเมืองนี้ จากนั้นจึงจะอนุญาตให้เข้าเมืองได้เจ้าค่ะ”

“อย่างนั้นหรือ…”

ถังหลานขมวดคิ้วพลางโบกมือ “ถังลู่ ถังเว่ย พวกเจ้าจงจัดตั้งค่ายอยู่นอกเมืองตามที่นางบอก หากเสี่ยวซีไม่ต้อนรับข้าก็จะรออยู่ตรงนี้!”

“ขอรับ!”

เมื่อถังลู่และถังเว่ยควบม้าจากไปแล้ว ถังหลานก็ทำได้เพียงนั่งถอนหายใจอยู่เงียบๆ

ผู้บัญชาการทหารนายหนึ่งที่สวมผ้าคลุมปิดหน้ายิ้มและเอ่ยขึ้น “ช่างน่าขัน หลานสาวยึดเมืองได้ ทว่ากลับไม่ให้ปู่ของตนเข้าเมือง ช่างเป็นเรื่องแปลกเสียจริง ถึงกระนั้นดูเหมือน…ท่านหลานกงกลับไม่มีทีท่าโมโหเลยแม้แต่น้อย เพราะเหตุใดกัน?”

ถังหลานหันไปมองหน้าและยิ้มจางๆ “แม่ทัพเซี่ยงก็เห็นแล้วมิใช่หรือ? คนของตระกูลถังทุกคนล้วนเป็นคนธรรมดายกเว้นเสี่ยวซี แม่นางจะเป็นเพียงหญิงสาวแต่กลับกล้ายืนกรานปะทะกับทหารจักรวรรดิอี้เหอกว่าครึ่งล้านที่อยู่รอบเมืองหลันเยี่ยน จะมีผู้ใดในแผ่นดินนี้อีกนอกจากเสี่ยวซีหลานสาวจอมดื้อรั้นของข้าที่เผชิญหน้ากับจื่อเย่า หลงเซียนหลิน ติงซี่และแม่ทัพอีกหลายคนแล้วยังรอดมาได้”

แม่ทัพปริศนายิ้ม “อันที่จริงในบรรดาคนตระกูลถัง คงมีแต่เพียงถังเสี่ยวซีเท่านั้นที่มีความกล้าเช่นนี้”

“อืม…”

ถังหลานถอนหายใจ “ต่อให้เสียวซีจะแข็งขืนข้าอีกกี่ครั้ง ข้าก็คงโกรธนางไม่ลง…เพราะนางเป็นความภาคภูมิใจเดียวของถังหลานผู้นี้ เป็นความหวังของตระกูลถัง”

“แล้วท่านหลานกงคิดจะทำสิ่งใดต่อหรือขอรับ? คิดจะรออยู่นอกเมืองต่อไปเช่นนี้หรือ?”

“ไม่”

ถังหลานกะพริบตากล่าว “จักรวรรดิอี้เหอใช้กำลังยึดดินแดนของจักรวรรดิฉินไปมากมาย กระทั่งจบสงคราม…เราทวงคืนมาได้เพียงหนึ่งเท่านั้น ตอนนี้พวกมันถอยทัพไปพร้อมกับกองทัพเมืองสายัณห์ที่ทรยศเราแล้ว เราต้องรีบชิงดินแดนอื่นกลับคืนมาก่อนที่ฉินอินจะหวนคืนบัลลังก์ จะมัวรีรอไม่ได้”

“ท่านหลานกงผู้ปราดเปรื่อง ไม่ทราบว่าท่านอยากให้เซี่ยงอวี้ผู้นี้ช่วยจัดการหรือไม่?”

“ข้าจะมอบทหารและม้าให้เจ้า จงมุ่งไปทางมณฑลดาราที่อยู่ทิศใต้ของเมืองหลันเยี่ยน ตรงเข้ายึดเมืองเหลิ่งซิงให้มาอยู่ใต้อำนาจเราเสีย เจ้าอยากได้คนเท่าไร?”

“ทหารม้าสองพันนายก็พอขอรับ” เซี่ยงอวี้ยิ้มมุมปากอย่างมั่นใจ

“สองพันเองหรือ?”

ถังหลานหัวเราะลั่น “เจ้าช่างสมกับเป็นทายาทแห่งเทพทหารเซี่ยงเหวินเทียนเสียจริง ความมั่นใจนี้หาได้มีผู้ใดเทียบไม่ ชายแก่ผู้นี้จะให้ทหารม้าแก่เจ้าสามพันนาย เจ้าจะยึดเมืองเหลิ่งซิงแห่งมณฑลดารามาให้ได้ในสามวันหรือไม่?”

“ขอรับ! เชื่อมือข้าได้เลย!”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+