The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา 397 คำพยากรณ์

Now you are reading The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา Chapter 397 คำพยากรณ์ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

EP.397 คำพยากรณ์

หลินมู่อวี่ได้ลงมือทำสามสิ่งก่อนออกเดินทางจากมณฑลชางหนาน

สิ่งแรกคือการแอบเข้าเมืองเจียงตงในเวลากลางคืนเพื่อจับหน่วยสอดแนมอสูรเกราะห้าตัว และส่งกลับไปยังเมืองหลันเยี่ยน เนื่องจากเฟิงจี้สิงต้องการสิ่งนี้

สิ่งที่สองคือ ส่งภาพวาดเตาหลอมที่ฉินจื่อหลิงออกแบบไปยังกระทรวงอุตสาหกรรม

และสิ่งที่สามคือ รวบรวมอำนาจทางทหารของกองทหารที่สี่ให้ฉินเหยียน เนื่องจากเขาไม่รู้ว่าจะได้กลับมาอีกเมื่อใด ดังนั้นจึงต้องให้ฉินเหยียนเป็นผู้ควบคุมกองทัพ ส่วนการขยายอำนาจให้ถึงสองหมื่นนาย เขาจะให้กองกำลังศักดิ์สิทธิ์และกองทัพมังกรผงาดรวมกำลังกัน และใช้ตำแหน่งทางทหารของกองทัพมังกรผงาดเป็นหลัก

การเดินทางกลับใช้เวลานาน เมื่อเดินทางมาถึงเมืองหลันเยี่ยนก็กลายเป็นปลายฤดูร้อนต้นฤดูใบไม้ร่วงแล้ว บนถนนเต็มไปด้วยใบเมเปิลสีแดง ฉินอินเห็นดังนั้นก็อดไม่ได้ที่จะตื่นเต้นกับสวยงามของธรรมชาติ รอยยิ้มบางประดับอยู่บนใบหน้า ขณะที่ลมพัดแรงหอบใบเมเปิลสีแดงตกลงมาที่ใต้เท้าม้าของจักรพรรดินีและเหล่าทหาร

ประตูทิศเหนือเมืองหลันเยี่ยนเปิดกว้าง ข้าราชบริพารที่ประจำการอยู่ในเมืองหลวงออกมาต้อนรับกันอย่างคับคั่ง พร้อมพลเมืองที่ส่งเสียง “ทรงพระเจริญ” ดังกึกก้อง

ฉินอินพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม ขณะที่หลินมู่อวี่และเฟิงจี้สิงอารักขาอยู่ด้านข้าง พวกเขาเคลื่อนตัวเข้าไปในเมืองอย่างเชื่องช้า ตามมาด้วยขบวนเกวียนของหลานกงและหยุนกง จากนั้นเว่ยโฉวนำหน้ากองทหารมังกรผงาดสองหมื่นนายไปประจำการที่ค่ายด้านหลังวิหารศักดิ์สิทธิ์ เนื่องจากพวกเขาได้ปฏิบัติภารกิจสำคัญในการปกป้องจักรวรรดิร่วมกับทหารของจักรวรรดิ

เหล่าข้าราชบริพารยศสูงเดินตามจักรพรรดินีเข้าไปยังตำหนักเจ๋อเทียนเพื่อจัดงานเลี้ยงฉลองในตอนเที่ยง และจะหารือกันในช่วงบ่าย

หลังงานเลี้ยง ทุกคนเข้าไปในโถงหลักของตำหนัก

หลินมู่อวี่ เฟิงจี้สิง ฉู่เหยา จางเหว่ย เว่ยโฉว และคนอื่นๆ ต่างมีรอยยิ้มประดับบนหน้า หลินมู่อวี่บอกฉู่เหยาเกี่ยวกับเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นหลังจากแยกกัน จากนั้นฉู่เหยาก็รีบเดินทางไปสำนักงานใหญ่ของสมาพันธ์โอสถในเมืองเหลิ่งซิงของมณฑลชางหนาน เพื่อหาวัตถุดิบในการปรุงโอสถ

ถังหลานมีสีหน้าไม่สู้ดีนัก ขณะที่ถังลู่และถังเทียนรอพระบรมราชวินิจฉัยขององค์จักรพรรดินี คุณความดีและการลงโทษของศึกแม่น้ำต้าวเจียงขึ้นตรงกับเมืองหลันเยี่ยน แม้พวกเขาจะไม่เต็มใจ แต่ก็ต้องทำตามกฎบ้านเมือง

“ฝ่าบาทเสด็จ!” ข้าราชบริหารกล่าวเสียงดัง

สาวใช้ทั้งสองยกชายกระโปรงของฉินอินที่ลากยาว นางสวมเสื้อคลุมจักรพรรดิตัวใหม่ ผมดำยาวถูกม้วนเป็นเกลียวอย่างสวยงาม ขณะที่มงกุฎแห่งจักรพรรดินีส่องแสงเป็นประกาย ฉินอินยืนกรานที่จะใช้กระบี่จื่อยินห้อยไว้ที่เอว นางจับด้ามกระบี่และก้าวเดินขึ้นบัลลังก์ทีละขั้น ก่อนจะหันกลับมาด้วยท่าทางสง่างาม “ทุกคนพยายามอย่างหนักในศึกแม่น้ำต้าวเจียงเพื่อทำให้เผ่าปีศาจล่าถอย ในนามราชวงศ์ฉิน ข้าขอขอบคุณทุกท่านที่สนับสนุนจักรวรรดิเสมอมา!”

ทุกคนคุกเข่าลงพร้อมกล่าวอย่างพร้อมเพรียง “ขอพระองค์ทรงพระเจริญ!”

หลินมู่อวี่และเฟิงจี้สิงคุกเข่าเคียงข้างกัน แม้ว่าเขาจะมาจากยุคสมัยใหม่ซึ่งคุกเข่าต่อสวรรค์และบุพการีเท่านั้น แต่ตอนนี้เขากลับสบายใจขึ้นและรู้ว่าสักวันอาจได้แต่งงานกับฉินอิน เมื่อใดที่สามารถทะลวงขอบเขตเทพจักรพรรดิและชนะการต่อสู้ เขาจะใช้พลังการย้อนเวลาพาฉินอินกลับสู่โลกเดิมที่จากมา ถึงตอนนั้นเขาจะมีแฟนสาวที่งดงามมาก การคุกเข่าจึงกลายเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย

ฉินอินยกมือขึ้นและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ทุกคน โปรดลุกขึ้นเถิด”

จากนั้นทุกคนค่อยๆ ลุกขึ้น

ฉินอินมองเหล่าข้าราชบริพารแล้วยิ้ม “การต่อสู้กับเผ่าปีศาจ แม่ทัพทั้งสามเฟิงจี้สิง หลินมู่อวี่ และเซี่ยงอวี้ ประสบความสำเร็จอย่างมาก และควรแก่การให้รางวัล ดังนั้นข้าจึงตัดสินพระทัยเลื่อนยศให้แก่เฟิงจี้สืงเป็นแม่ทัพสูงสุดพร้อมมอบหนึ่งแสนเหรียญทอง เลื่อนยศหลินมู่อวี่เป็นแม่ทัพองครักษ์อันดับสอง บัญชาการกองทหารมังกรผงาดและปกป้องเมืองหลวงร่วมกับทหารแห่งจักรวรรดิ เลื่อนยศเซี่ยงอวี้เป็นแม่ทัพอันดับหนึ่งพร้อมเงินรางวัลสองแสนเหรียญทอง และมอบชื่อผิงหนานโหว”

ทุกคนต่างแสดงความยินดีกับพวกเขา “ขอแสดงความยินดีกับผู้บัญชาการเฟิงและผู้บัญชาการหลิน และขอแสดงความยินดีกับผู้บัญชาการเซี่ยงอวี้ที่ได้รับบรรดาศักดิ์”

หลินมู่อวี่มองไปยังฉินอินด้วยความประหลาดใจ เขาไม่คาดคิดว่านางจะมอบตำแหน่งโหวให้เซี่ยงอวี้ เนื่องจากคุณความดีของเซี่ยงอวี้ไม่ได้มีมากเท่าเขา ดูเหมือนนางจะได้รับแรงกดดันจากถังหลาน เนื่องจากเซี่ยงอวี้เป็นคนของกงผู้นี้ อีกทั้งการเลื่อนยศของเซี่ยงอวี้หมายถึงอำนาจทางการทหารของถังหลานในจักรวรรดิก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน

ฉินอินกล่าวต่อ “ข้าจะมอบรางวัลแก่แม่ทัพที่เหลือเช่นกัน เผ่าปีศาจแตกต่างจากจักรวรรดิอี้เหอมาก พวกมันดุร้ายและโหดเหี้ยม ดังนั้นข้าจึงแก้ไขระบบคุณความดีทหารที่ได้จากการสังหารอสูร หากสังหารอสูรเกราะสองตัวจะได้เลื่อนยศเป็นผู้บัญชาการกองร้อย สังหารอสูรเกราะห้าตัวจะได้เลื่อนยศเป็นผู้บัญชาการกองพัน สังหารอสูรเกราะมากกว่าสิบตัวจะได้เลื่อนยศเป็นผู้บัญชาการกองหมื่น!”

เว่ยโฉวพลันประสานหมัดและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ท่านผู้บัญชาการหลินต่อสู้กับเฉียนเฟิงที่แม่น้ำต้าวเจียงพร้อมสังหารอสูรเกราะหลายร้อยนายด้วยฝ่ามือเดียว ตามระบบคุณความดีทหารแบบใหม่ เขามีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเลื่อนยศเป็นจอมพล!”

จางเหว่ยกล่าวเสริม “กระหม่อมสนับสนุนให้ฝ่าบาททรงแต่งตั้งผู้บัญชาการหลินเป็นจอมพลแห่งจักรวรรดิ และดูแลอำนาจทางทหารทั้งหมดพ่ะย่ะค่ะ!”

ฉินอินอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ

ขณะเดียวกันถังหลานกล่าวด้วยรอยยิ้ม “แม่ทัพทั้งหลายเพียงล้อเล่นเท่านั้น ตำแหน่งจอมพลแห่งจักรวรรดิมีความสำคัญมาก ผู้ที่จะขึ้นตำแหน่งนี้จำเป็นต้องกล้าหาญและเป็นอมตะ ปัจจุบันยังไม่มีผู้ที่มีคุณสมบัติเหมาะสม ส่วนผู้บัญชาการหลินยังจำเป็นต้องฝึกฝนอีกมาก”

หลินมู่อวี่ประสานหมัดยิ้ม “ท่านหลานกงหมายถึงหลินมู่อวี่ผู้นี้มีพรสวรรค์เพียงน้อยนิด รวมทั้งความรู้ ดังนั้นจึงไม่บังอาจก้าวขึ้นเป็นตำแหน่งจอมพล”

ถังหลานยิ้ม “ผู้บัญชาการหลินถ่อมตัวเกินไป!”

หลินมู่อวี่หันมองเว่ยโฉวและจางเหว่ยให้หยุดพูด มิเช่นนั้นศาลแห่งนี้จะสูญเสียความศักดิ์สิทธิ์ และเพื่อป้องกันไม่ให้ฉินอินต้องลงจากบัลลังก์

ใบหน้างามของฉินอินสงบนิ่ง นางยิ้มกล่าว “แต่การล่าถอยของเผ่าปีศาจไม่ได้หมายถึงความมั่นคงของจักรวรรดิ ดังนั้นเรายังอยู่ในอันตรายเสมอ เนื่องจากมีเผ่าปีศาจทางทิศตะวันออก จักรวรรดิอี้เหอทางทิศใต้ และคนเถื่อนทางทิศเหนือ เช่นนั้นทุกคนโปรดอย่าวางใจ เหล่าเสนาบดีปกครองเมือง พลทหารปกป้องแผ่นดิน จงฝึกฝนกองทัพอยู่เสมอ และสาบานว่าจะปกป้องดินแดน เมื่อใดที่มีความแข็งแกร่งมากพอ เราจะไปยึดทุกตารางนิ้วของแผ่นดินที่เสียไป และทำให้คาบสมุทรทั้งสี่ยอมจำนน รวมแผ่นดินให้เป็นหนึ่งเดียว ผู้คนจะไม่ต้องทนทุกข์กับเปลวเพลิงสงครามอีกต่อไป และจะมีแต่ความสงบสุขทั่วหล้า!”

ซูมู่หยุนมองหลานสาวด้วยแววตาชื่นชม การทำศึกครานี้ทำให้ฉินอินดูสมกับการเป็นจักรพรรดินีมากยิ่งขึ้น

ไม่นานหลังจากนั้นเหล่าข้าราชบริพารต่างแยกย้าย ขณะที่หลินมู่อวี่เดินทางกลับวิหารศักดิ์สิทธิ์

เมื่อถึงเวลาพลบค่ำ ฉินอินเป็นเจ้าภาพจัดงานเลี้ยงภายในตำหนักเจ๋อเทียน มีเพียงไม่กี่คนที่ได้รับเชิญ ซึ่งมีหลินมู่อวี่ เฟิงจี้สิง ฉู่เหยา เว่ยโฉว และจางเหว่ย สองคนหลังรู้สึกปีติอย่างมากที่ถูกรับเชิญ เนื่องจากหมายถึงการยอมรับจากจักรพรรดินี ทุกคนต่างรู้ดีว่างานเลี้ยงค่ำคืนนี้มีเพียงคนสนิทของฉินอินเท่านั้น

ภายในตำหนักสว่างไสวด้วยแสงเทียน เหล่าสาวใช้ยกอาหารมาวางบนโต๊ะจนเต็ม

ฉินอินถือจอกหยกพร้อมมองทุกคนด้วยรอยยิ้ม “อย่าเพิ่งกล่าวสิ่งใด มาดื่มยินดีกันก่อนเถิด”

เฟิงจี้สิงยิ้มรับ “ตกลง…ดื่ม!”

หลังดื่มหมดจอก หลินมู่อวี่เอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “เสี่ยวอินควรจะจัดงานเลี้ยงเพื่อเหล่าทหารในเมืองหลวง เหตุใดจึงเชิญพวกเราเพียงไม่กี่คน?”

ฉินอินกล่าวด้วยดวงตามัวหมอง “เพราะ…เพราะทุกคนที่นี่สูญเสียบุพการีในสงคราม เสี่ยวอินถือว่าพวกท่านเป็นคนในครอบครัวมานานแล้ว หากไม่มีทุกคนอยู่ ชีวิตข้าคงอ้างว้างยิ่ง…”

นางกล่าวอย่างเศร้าสร้อยจนทำให้ฉู่เหยาและหลินมู่อวี่ด้านข้างตาแดงก่ำ

เดิมทีฉู่เหยามีพี่ชายที่คอยห่วงใยอย่างฉู่ฮว๋ายเหมี่ยน แต่ตอนนี้เขาจากไปแล้ว ทุกคนที่นี่จึงกลายเป็นครอบครัวของนางเช่นกัน

ขณะที่หลินมู่อวี่อยู่อย่างโดดเดี่ยวในโลกนี้ เช่นเดียวกับเว่ยโฉวและจางเหว่ย ดูเหมือนว่าคำพูดของฉินอินจะเป็นความเจ็บปวดแสนสาหัสในก้นบึ้งหัวใจของทุกคน จางเหว่ยดื่มสุราจนหมดจอกและกล่าวว่า “จางเหว่ยเป็นคนแข็งกร้าว ไม่ว่านี่จะเป็นพระปรีชาสามารถของพระองค์หรือไม่ แต่ด้วยพระดำรัสของฝ่าบาทเมื่อครู่…จางเหว่ยจะไม่มีวันละทิ้งฝ่าบาทเด็ดขาดพ่ะย่ะค่ะ!”

เฟิงจี้สิงพยักหน้าตาม “กระหม่อมเช่นกันพ่ะย่ะค่ะ”

ฉู่เหยายิ้มเล็กน้อย “เสี่ยวอิน เสี่ยวซีก็เป็นคนในครอบครัว…”

“เสี่ยวซี…” ฉินอินยิ้มเล็กน้อย “เสี่ยวซีต้องปกป้องประตูเมืองอสูรของเมืองชายแดนด้านตะวันตก นางไม่มีเวลาแม้แต่จะมาเยือนเมืองหลวง เนื่องจากมันเป็นงานหนัก นางคง…”

หลินมู่อวี่กล่าว “มันจะไม่เป็นไรเมื่อประตูเมืองอสูรเริ่มมั่นคง หลังจากถังเจิ้นและปราชญ์จิ้งจอกของเผ่าพันธุ์อสูรคุ้นเคยกันมากขึ้น ข้าเชื่อว่าเสี่ยวซีจะสามารถกลับมาอยู่ในเมืองหลวงได้อีกครั้ง”

“อื้ม ข้าจะตั้งตารอวันนั้น!”

“มาเถิด ดื่มและกินเพื่อเฉลิมฉลอง” หลินมู่อวี่จับตะเกียบขึ้นมาคีบขาไก่ฟ้าให้ฉินอินพร้อมกล่าวว่า “ในเมื่อเราเป็นครอบครัวเดียวกัน ก็ต้องทำตัวให้เหมือนครอบครัว กินสิ แล้วหยุดพูดเรื่องของจักรวรรดิ”

“ฮ่าๆๆ ใช่!” เฟิงจี้สิงดมกลิ่นสุราในจอกและกล่าวว่า “สุราที่ฝ่าบาทนำมานั้นกลมกล่อมมาก เหตุใดจึงไม่มอบให้เหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาสักสองสามขวดไว้กลับไปดื่มในค่าย…”

ฉินอินยิ้มกล่าว “มิใช่ว่าห้ามดื่มในกองทัพหรือ?”

“ฮ่าๆ กระหม่อมเพียงทูลขอให้เฒ่าจาง”

จางเหว่ยเบิกตากว้าง “ผู้บัญชาการเฟิง เหตุใดจึงกล่าวเช่นนั้น!?”

หลินมู่อวี่หัวเราะ แต่ทันใดนั้นทุกคนพลันรู้สึกถึงแรงกดทับปกคลุมทั่วท้องนภาพร้อมได้ยินเสียงคล้ายภาษาสันสกฤตแว่วเข้ามาในหู เสียงนั้นเต็มไปด้วยพลังอำนาจที่ไม่อาจต้านทานได้ มันเป็นพลังศักดิ์สิทธิ์ที่แผ่ออกไปอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวก็ปกคลุมทั่วทั้งแผ่นดินราวกับแสงอาทิตย์

“เกิดอะไรขึ้น?” ฉินอินรีบยืนขึ้นด้วยความตกตะลึง “นั่นมันอะไร?”

องครักษ์รักษาพระองค์ด้านนอกรีบวิ่งเขามาประสานหมัดรายงาน “ฝ่าบาท มันคือคำพยากรณ์…คำพยากรณ์มาถึงเมืองหลันเยี่ยนแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”

“ฮะ? คำพยากรณ์…” ฉินอินนิ่งงัน “จักรวรรดิไม่มีคำพยากรณ์มาหลายร้อยปีแล้ว มันเกิดขึ้นได้อย่างไร?”

“คำพยากรณ์คือสิ่งใด?” หลินมู่อวี่สับสน

ฉินอินอธิบาย “สิ่งที่เรียกว่าคำพยากรณ์นั้นเป็นการชี้นำจากเหล่าทวยเทพสู่มนุษยชาติ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือเทพแห่งสวรรค์ต้องการสื่อสารบางสิ่งกับมนุษย์! หยุดพูดแล้วรีบออกไปดูกันเถิด!”

“อื้ม!”

กลุ่มคนพลันวิ่งออกจากตำหนักเจ๋อเทียน พวกเขาเห็นเพียงแสงสีทองส่องสว่างเป็นประกายบนท้องนภา ท่ามกลางความมืดมิดของค่ำคืน ลำแสงสีทองส่องทะลุเมฆาพร้อมอักขระโบราณลอยเวียนวนเสมือนเทพเจ้ากำลังลงมาจุติบนโลก!

………………………………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด