The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา 340 มาตรการ

Now you are reading The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา Chapter 340 มาตรการ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เมื่อฤดูหนาวผันผ่านไป ฤดูใบไม้ผลิก็มาเยือนหมู่บ้านแบดเจอร์ไฟ ทว่ากลับรู้สึกถึงเพียงความตายอยู่รอบบริเวณ หญ้าใหม่ในดินกลายเป็นเถ้าถ่าน ขณะเดียวกันกองทัพองครักษ์สามหมื่นชีวิตก็สูญหายไป หมาในหลายตัวรุมทึ้งกินขาของทหารกองทัพองครักษ์พร้อมของเหลวจากศพเน่าเปื่อยสาดกระเซ็น

“ไอ้สัตว์เดรัจฉาน!”

ดาบตวัดไปในอากาศพร้อมตัดหมาในทั้งสองกลายเป็นสองส่วนทันที เฟิงจี้สิงเดินไปหยิบขาของศพมาวางไว้ในหลุมลึก ก่อนจะลากศพอื่นต่อไป

ใบหน้าที่เคยหล่อเหลา ปัจจุบันช่างดูไร้ชีวิต มีจุดสีดำปรากฏขึ้นบนข้อมือและใบหน้า เป็นสัญญาณการติดเชื้อโรคจากศพเหล่านี้ ทว่าด้วยพลังยุทธ์ที่แข็งแกร่งทำให้ยังคงมีชีวิตอยู่ หากเป็นคนธรรมดาท่ามกลางสภาพแวดล้อมเช่นนี้คงเสียชีวิตไปนานแล้ว

‘กุบกับ…’

เสียงเกือกม้าดังขึ้น ขณะที่กองทหารจากเมืองหยาดสายัณห์เคลื่อนทัพเข้ามายังหมู่บ้านแบดเจอร์ไฟ ซูอวี่เห็นบางสิ่งเบื้องหน้าจึงชี้ออกไป “ท่านพ่อ นั่นเฟิงจี้สิง! ทว่าที่นี่…มีกลิ่น…”

“อืม”

ซูมู่หยุนกล่าว “เข้าไปเถิด”

กองทหารเดินไปหาเฟิงจี้สิงพร้อมหลีกเลี่ยงซากศพของกองทัพองครักษ์ที่กำลังเน่าเปื่อย

เมื่อไปถึงซูอวี่ประสานหมัด “ผู้บัญชาการเฟิงจี้สิง จำข้าได้หรือไม่? ข้าคือซูอวี่ บุตรีของหยุนกงจากมณฑลอวิ้นจง”

เฟิงจี้สิงยังคงขุดหลุมลึกและลากซากศพลงไปฝัง ดูเหมือนว่าเขาจะไม่รับรู้ถึงการมาถึงของซูอวี่และคนอื่นๆ

ซูอวี่ขมวดคิ้ว “ผู้บัญชาการเฟิงจี้สิง…ท่าน…”

เฟิงจี้สิงคว้าดาบสะบั้นวาโยและพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาทันที “เจ้า…เจ้าจะมาเอาศพพวกเขาไปใช่หรือไม่? ถอยไปซะ! มิเช่นนั้นอย่าหาว่าข้าไม่ปรานี!”

ซูอวี่ยืนนิ่งงัน “ผู้บัญชาการเฟิงจี้สิง…ท่าน…”

ซูมู่หยุนลงจากม้าพร้อมถือไม้เท้าสีทองมองไปยังเฟิงจี้สิงอย่างไม่แยแส “แม่ทัพเฟิงจี้สิง ทหารสามหมื่นนายของกองทัพองครักษ์ต่างเป็นความภาคภูมิใจของจักรวรรดิ ท่านจะปล่อยให้พวกเขาหลับไหลอยู่ที่นี่หรือ…จะปล่อยให้สัตว์ป่ามาขุดหลุมและกัดกินร่างพวกเขาใช่หรือไม่?”

เฟิงจี้สิงหยุดกะทันหัน ดวงตาเหม่อมองไปยังพื้นที่เต็มไปด้วยเลือดสีเข้ม

ซูมู่หยุนกล่าวต่อ “ผู้บัญชาการเฟิง องค์หญิงอินยังไม่สิ้นพระชนม์ พระองค์ได้กลับไปยังตำหนักเจ๋อเทียน และทำให้เมืองหลันเยี่ยนตกอยู่ในมือจักรวรรดิอีกครั้ง กองกำลังหลายแสนนายจากมณฑลอวิ้นจงและมณฑลชีไห่กำลังปกป้องเมืองหลันเยี่ยน ส่วนจักรวรรดิอี้เหอได้ถอนกำลังออกไปยังเมืองห้าหุบเขาแล้ว อีกทั้งองค์หญิงอินทรงออกราชโองการให้สร้างอนุสรณ์สถานแห่งจักรวรรดิเพื่อฝังศพทหารของจักรวรรดิผู้สละชีพให้แก่แผ่นดิน ข้าคิดว่านักรบทั้งสามหมื่นนายของกองทัพองครักษ์ควรถูกฝังในอนุสรณ์สถานแห่งจักรวรรดิ ผู้บัญชาการเฟิงคิดว่าอย่างไร?”

เฟิงจี้สิงหันหน้ามองซูมู่หยุนด้วยสายตาแข็งกร้าวราวกับสัตว์ป่า “ซูมู่หยุน ขณะที่จักรพรรดิถูกล้อมหลายวันและผู้คนถูกเข่นฆ่า เจ้ากลับปล่อยให้เมืองหลันเยี่ยนถูกจักรวรรดิอี้เหอทำลาย ตอนนี้องค์จักรพรรดิฉินสิ้นพระชนม์แล้ว ข้าเกรงว่าอำนาจของทั้งแผ่นดินคงจะตกเป็นของซูมู่หยุนใช่หรือไม่?”

ซูมู่หยุนประหลาดใจเล็กน้อย “ผู้บัญชาการเฟิง ในฐานะผู้ปกครองมณฑลอวิ้นจง ข้ายังมิได้ตรวจสอบถึงการฆาตกรรมบุตรของข้าซูฉิน เช่นนั้นเหตุใดท่านจึงกล้าเค้นหาความรับผิดชอบจากข้า หากท่านเป็นพ่อคน ก็คงทำสิ่งเดียวกัน ตอนนี้หลานอินเป็นความหวังเดียวของซูมู่หยุน ข้าจะทำทุกวิถีทางเพื่อให้เสี่ยวอินขึ้นเป็นผู้ปกครองแผ่นดินและกำจัดกองโจรอย่างจักรวรรดิอี้เหอ!”

“ต้องการให้ข้าทำอะไร?” เฟิงจี้สิงถามอย่างไม่แยแส

ซูมู่หยุนยิ้มเล็กน้อย “นำกองทัพเมืองหยาดสายัณห์ไปกวาดล้าง สถานที่แรกคือจักรวรรดิอี้เหอในมณฑลหลิงหนานซึ่งอยู่ทางใต้ของภูเขาฉิน ถึงเวลาที่จักรวรรดิจะกำจัดขยะเหล่านั้นแล้ว เซี่ยงอวี้ถูกถังหลานใช้งานอยู่ ขณะที่ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนและหลินมู่อวี่เสียชีวิตในสนามรบ มีเพียงข้าและเสี่ยวอินที่สามารถปฏิบัติภารกิจนี้ได้ หากผู้บัญชาการเฟิงจี้สิงกลับเข้าร่วมกองทัพจักรวรรดิ คงจะเป็นที่พึ่งให้แก่คนทั้งแผ่นดิน”

“สหายเฒ่าฉู่…อาอวี่…”

ดาบของเฟิงจี้สิงร่วงลงพื้น เขาก้มหน้าขมวดคิ้วพร้อมน้ำตาที่ไหลริน ผ่านไปชั่วครู่ในที่สุดเฟิงจี้สิงก็เงยหน้าขึ้นมองซูมู่หยุนและซูอวี่ “เฟิงจี้สิงต้องรับผิดชอบฝังพี่น้องสามหมื่นนายก่อนจากไป ข้าจะไม่เชื่อคำของท่านและรับใช้ใครจนกว่าจะได้เห็นอนุสรณ์สถานแห่งจักรวรรดิและองค์หญิงอิน”

“ข้ารู้”

ซูมู่หยุนพยักหน้า “ข้าจะพิสูจน์ให้ท่านเห็นเอง”

พูดจบซูมู่หยุนก็หันม้ากลับออกคำสั่งเสียงดังกับเหล่าองครักษ์ “พวกเจ้าอยู่เก็บเถ้ากระดูกพี่น้องกองทัพองครักษ์และนำกลับไปฝังในอนุสรณ์สถานแห่งจักรวรรดิในเมืองหลันเยี่ยน อีกทั้งไปหาผู้ดูแลฉู่เหยาสมาชิกสมาพันธ์โอสถให้มารักษาอาการบาดเจ็บของท่านเฟิงจี้สิง ห้ามผู้ใดละเลยคำสั่งเด็ดขาด!”

ทุกคนประสานหมัดพร้อมกัน “ขอรับท่านหยุนกง”

ระหว่างทางกลับ เงาต้นไม้ทอดยาวลงบนพื้นถนน ซูอวี่กุมบังเหียนพร้อมขมวดคิ้ว ขณะที่ผ้าคลุมสีดำปลิวไสวไปมาด้านหลัง

“อาอวี่เจ้าคิดสิ่งใดอยู่?” ซูมู่หยุนเอ่ยถาม

ซูอวี่ยิ้มจางๆ “ท่านพ่อ ข้ากำลังคิดว่า เฟิงจี้สิง หลินมู่อวี่ ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยน ฉินเหลย ทั้งสี่ต่างก็เป็นวีรบุรุษของโลกนี้ ทว่าช่างน่าเสียดาย…เทพเจ้าอิจฉาในความสามารถนั้น จึงทำให้เหลือเพียงเฟิงจี้สิงผู้เดียว”

“วีรบุรุษ…”

ซูมู่หยุนครุ่นคิด “วีรบุรุษมิสามารถต่อต้านชะตากรรมแห่งสวรรค์และกฎของจักรวาลได้ การเสียชีวิตของฉู่ฮว๋ายเหมี่ยน หลินมู่อวี่ และฉินเหลยเป็นสิ่งที่สวรรค์ได้กำหนดไว้แล้ว กระนั้นก็ถือว่าจักรวรรดิฉินยังเป็นที่โปรดปรานของสวรรค์ มิเช่นนั้นคงไม่เหลือแม่ทัพผู้เก่งกล้าให้เราไปต่อสู้กับจักรวรรดิอี้เหอที่ทรงพลังได้”

“เจ้าค่ะ” ซูอวี่พยักหน้า “ท่านพ่อคิดว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป…บอกข้าได้หรือไม่?”

“ข้า?” ซูมู่หยุนะลึง “เรื่องใดหรือ?”

“จักรวรรดิในภายภาคหน้า”

“เฮ้อ…” ซูมู่หยุนถอนหายใจแผ่วเบา “เสี่ยวอินยังเป็นเด็ก ทว่าต้องแบกรับทุกสิ่งอย่าง จักรวรรดิอี้เหอจะต้องกลับมาโจมตีอีกครั้งเป็นแน่ ถังหลานจิ้งจอกเฒ่าคงตั้งหน้าตั้งตารอ…สิ่งที่เราทำได้คือการปกป้องเสี่ยวอินและเมืองหลันเยี่ยน พร้อมทั้งไม่ปล่อยให้ถังหลานฉวยโอกาสได้ ข้าเกรงว่าจิ้งจอกเฒ่าถังหลานจะทอดทิ้งเสี่ยวอิน และแต่งตั้งให้ถังเสี่ยวซีเป็นจักรพรรดินีแทน”

“อา…” ซูอวี่อ้าปากค้างด้วยความตกใจ “คงไม่เป็นเช่นนั้น เสี่ยวอินมีสายเลือดตระกูลฉิน ทว่าถังเสี่ยวซีไม่มี”

“อนาคตไม่แน่นอน หลักฐานที่สมเหตุสมผลที่สุดคือกองกำลังที่แข็งแกร่ง ขณะนี้เราไม่มีความสามารถที่เหนือกว่าเมืองชีไห่ ดังนั้นทุกสิ่งสามารถเกิดขึ้นได้ อาอวี่…เราควรชะลอการส่งกองกำลังไปยังเมืองห้าหุบเขา เราต้องถ่วงเวลาจนกว่าเฟิงจี้สิงจะออกจากภูเขาแห่งนี้…”

“ท่านพ่อไม่เชื่อใจให้หลิงหนานเทียนนำทัพหรือเจ้าคะ?”

“ฮ่าๆ…” ซูมู่หยุนยิ้มเล็กน้อย “หากหลิงหนานเทียนเป็นแม่ทัพผู้เก่งกล้า เมืองหลันเยี่ยนคงไม่ตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ ทว่าอาอวี่…จงส่งคนไปยังชายแดนทางใต้และตะวันตกเพื่อค้นหากองกำลังที่หายไปของตู้ไห่ เขาเป็นแม่ทัพอันดับหนึ่งของจักรวรรดิ หากสามารถใช้งานตู้ไห่ได้ เราจะยิ่งทรงพลังมากขึ้น”

“เจ้าค่ะท่านพ่อ”

วันที่สิบเอ็ดพฤษภาคมมีข่าวดีว่าเซี่ยงอวี้พิชิตเมืองเหลิ่งซิงรวมทั้งสิบเอ็ดเมืองเล็กในมณฑลดาราด้วยกองกำลังทหารม้าสามพันนาย แม้จะมีการต่อต้านจากเมืองเหลิ่งซิงเล็กน้อย ทว่าท้ายที่สุดก็ตกอยู่ในกำมือของจักรวรรดิ

เช้าตรู่วันที่สิบสอง เซี่ยงอวี้นำกองทัพกลับมาเมืองหลันเยี่ยน และได้รับการต้อนรับอย่างล้นหลามจากชาวเมือง

ณ ตำหนักเจ๋อเทียน เซี่ยงอวี้นำนายพลที่เชื่อถือได้เข้ามาในโถงหลัก เขาประสานหมัดและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เซี่ยงอวี้ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะ”

ฉินอินพยักหน้าและกล่าว “ครานี้ผู้บัญชาการเซี่ยงอวี้ได้ปราบปรามกบฏและคืนความสงบสุขแก่ประชาชน ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ายินดี”

ถังหลานประสานหมัดกล่าว “องค์หญิง แม่ทัพเซี่ยงอวี้ได้ทำคุณงามความดีแก่จักรวรรดิ และขณะนี้จักรวรรดิเองก็ต้องการทหารผู้มีความสามารถ กระหม่อมแนะนำว่าควรเลื่อนยศแม่ทัพเซี่ยงอวี้ให้เป็นแม่ทัพองครักษ์ระดับสองแห่งจักรวรรดิ”

ซูมู่หยุนขมวดคิ้ว “หลานกง แม้ว่านายพลเซี่ยงอวี้จะทำผลงานดีเยี่ยม ทว่าเขาก็ยังเป็นคนบาป มันคงมากเกินไปที่จะแต่งตั้งให้เป็นแม่ทัพองครักษ์ด้วยการพิชิตเมืองเพียงครั้งเดียว”

ถังหลานยิ้ม “หยุนกง กองทัพจักรวรรดิอี้เหอได้กลืนกินดินแดนจักรวรรดิของเรา ตอนนี้มิใช่เรื่องง่ายที่จะทวงคืนแผ่นดินทุกตารางนิ้ว กระนั้นแม่ทัพเซี่ยงอวี้ก็พิชิตมณฑลดาราได้ทั้งหมด”

ซูอวี่พูด “แม้สิ่งที่หลานกงกล่าวมาจะมีเหตุผล ทว่าหากเขาพิชิตหนึ่งมณฑลแล้วได้เป็นแม่ทัพองครักษ์ เช่นนั้นข้าเกรงว่าเขาคงได้เลื่อนยศเป็นแม่ทัพระดับสูงเมื่อพิชิตสองมณฑลติดต่อกัน”

“ฮ่าๆ…” ถังหลานหัวเราะ “แม่ทัพเซี่ยงอวี้คงมิปล่อยให้หญิงสาวต้องขมวดคิ้ว สิ่งที่ท่านพูดนั้นมีเหตุผล เช่นนั้นกระหม่อมแนะนำว่าให้แต่งตั้งแม่ทัพเซี่ยงอวี้เป็นแม่ทัพพิทักษ์เมืองระดับสามของจักรวรรดิ เป็นอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ?”

เว่ยโฉวรู้สึกไม่พอใจ เขาพลันประสานหมัดกล่าว “องค์หญิง ตำแหน่งแม่ทัพพิทักษ์เมือง…เดิมทีเป็นของท่านหลินมู่อวี่…”

ถังหลานมองอย่างเย็นชา “หลินมู่อวี่เสียสละชีวิตเพื่อแผ่นดิน กระนั้นเขาก็เป็นเพียงคนที่ตายไปแล้ว เหตุใดเซี่ยงอวี้จึงรับตำแหน่งนี้ไม่ได้?”

ฉินอินยืนขึ้นและกล่าว “เนื่องจากหลานกงยืนยันจะยอมรับเซี่ยงอวี้ เช่นนั้นมาเถิด จงรับเหรียญตราแม่ทัพพิทักษ์เมือง ข้าหวังว่าแม่ทัพเซี่ยงอวี้จะภักดีและรับใช้จักรวรรดิต่อไป”

“น้อมรับพระราชโองการพ่ะย่ะค่ะ” เซี่ยงอวี้ยิ้มและก้มลงคุกเข่าหนึ่งข้างอย่างเคารพ

ฉินอินมองไปยังฝูงชนและเอ่ยถาม “เกิดสิ่งใดขึ้นกับการต่อสู้ในเมืองห้าหุบเขา?”

ซูมู่หยุนประสานหมัด “แม่ทัพหลิงหนานเทียนนำกองทัพหนึ่งแสนนายไปยังเมืองห้าหุบเขา และมีรายงานว่ากำลังบุกเข้าโจมตี ทว่าเมืองห้าหุบเขาได้รับการคุ้มกันอย่างแน่นหนาโดยแม่ทัพติงซี่ผู้มีชื่อเสียงจากมณฑลหลิงหนาน ซึ่งมีกองกำลังกว่าสองแสนนาย จึงทำให้ต้องใช้เวลาในการยึดเมืองห้าหุบเขาพ่ะย่ะค่ะ”

“อืม เช่นนั้นเตรียมกองกำลังในเมืองหลันเยี่ยนให้พร้อม เพื่อป้องกันการรุกรานของจักรวรรดิอี้เหอทุกเมื่อ”

“พ่ะย่ะค่ะองค์หญิง โปรดวางพระทัย ทุกสิ่งจะดำเนินไปด้วยดี”

ซูอวี่มีความมั่นใจมาก หากต้องนำทัพกว่าหนึ่งแสนโจมตีเมือง อาจเป็นเรื่องยากสำหรับนาง ทว่าการนำกองทัพหมื่นนายป้องกันเมืองนั้นเป็นสิ่งที่ซูอวี่ควบคุมได้อย่างแน่นอน

………………..………………..

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา 340 มาตรการ

Now you are reading The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา Chapter 340 มาตรการ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เมื่อฤดูหนาวผันผ่านไป ฤดูใบไม้ผลิก็มาเยือนหมู่บ้านแบดเจอร์ไฟ ทว่ากลับรู้สึกถึงเพียงความตายอยู่รอบบริเวณ หญ้าใหม่ในดินกลายเป็นเถ้าถ่าน ขณะเดียวกันกองทัพองครักษ์สามหมื่นชีวิตก็สูญหายไป หมาในหลายตัวรุมทึ้งกินขาของทหารกองทัพองครักษ์พร้อมของเหลวจากศพเน่าเปื่อยสาดกระเซ็น

“ไอ้สัตว์เดรัจฉาน!”

ดาบตวัดไปในอากาศพร้อมตัดหมาในทั้งสองกลายเป็นสองส่วนทันที เฟิงจี้สิงเดินไปหยิบขาของศพมาวางไว้ในหลุมลึก ก่อนจะลากศพอื่นต่อไป

ใบหน้าที่เคยหล่อเหลา ปัจจุบันช่างดูไร้ชีวิต มีจุดสีดำปรากฏขึ้นบนข้อมือและใบหน้า เป็นสัญญาณการติดเชื้อโรคจากศพเหล่านี้ ทว่าด้วยพลังยุทธ์ที่แข็งแกร่งทำให้ยังคงมีชีวิตอยู่ หากเป็นคนธรรมดาท่ามกลางสภาพแวดล้อมเช่นนี้คงเสียชีวิตไปนานแล้ว

‘กุบกับ…’

เสียงเกือกม้าดังขึ้น ขณะที่กองทหารจากเมืองหยาดสายัณห์เคลื่อนทัพเข้ามายังหมู่บ้านแบดเจอร์ไฟ ซูอวี่เห็นบางสิ่งเบื้องหน้าจึงชี้ออกไป “ท่านพ่อ นั่นเฟิงจี้สิง! ทว่าที่นี่…มีกลิ่น…”

“อืม”

ซูมู่หยุนกล่าว “เข้าไปเถิด”

กองทหารเดินไปหาเฟิงจี้สิงพร้อมหลีกเลี่ยงซากศพของกองทัพองครักษ์ที่กำลังเน่าเปื่อย

เมื่อไปถึงซูอวี่ประสานหมัด “ผู้บัญชาการเฟิงจี้สิง จำข้าได้หรือไม่? ข้าคือซูอวี่ บุตรีของหยุนกงจากมณฑลอวิ้นจง”

เฟิงจี้สิงยังคงขุดหลุมลึกและลากซากศพลงไปฝัง ดูเหมือนว่าเขาจะไม่รับรู้ถึงการมาถึงของซูอวี่และคนอื่นๆ

ซูอวี่ขมวดคิ้ว “ผู้บัญชาการเฟิงจี้สิง…ท่าน…”

เฟิงจี้สิงคว้าดาบสะบั้นวาโยและพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาทันที “เจ้า…เจ้าจะมาเอาศพพวกเขาไปใช่หรือไม่? ถอยไปซะ! มิเช่นนั้นอย่าหาว่าข้าไม่ปรานี!”

ซูอวี่ยืนนิ่งงัน “ผู้บัญชาการเฟิงจี้สิง…ท่าน…”

ซูมู่หยุนลงจากม้าพร้อมถือไม้เท้าสีทองมองไปยังเฟิงจี้สิงอย่างไม่แยแส “แม่ทัพเฟิงจี้สิง ทหารสามหมื่นนายของกองทัพองครักษ์ต่างเป็นความภาคภูมิใจของจักรวรรดิ ท่านจะปล่อยให้พวกเขาหลับไหลอยู่ที่นี่หรือ…จะปล่อยให้สัตว์ป่ามาขุดหลุมและกัดกินร่างพวกเขาใช่หรือไม่?”

เฟิงจี้สิงหยุดกะทันหัน ดวงตาเหม่อมองไปยังพื้นที่เต็มไปด้วยเลือดสีเข้ม

ซูมู่หยุนกล่าวต่อ “ผู้บัญชาการเฟิง องค์หญิงอินยังไม่สิ้นพระชนม์ พระองค์ได้กลับไปยังตำหนักเจ๋อเทียน และทำให้เมืองหลันเยี่ยนตกอยู่ในมือจักรวรรดิอีกครั้ง กองกำลังหลายแสนนายจากมณฑลอวิ้นจงและมณฑลชีไห่กำลังปกป้องเมืองหลันเยี่ยน ส่วนจักรวรรดิอี้เหอได้ถอนกำลังออกไปยังเมืองห้าหุบเขาแล้ว อีกทั้งองค์หญิงอินทรงออกราชโองการให้สร้างอนุสรณ์สถานแห่งจักรวรรดิเพื่อฝังศพทหารของจักรวรรดิผู้สละชีพให้แก่แผ่นดิน ข้าคิดว่านักรบทั้งสามหมื่นนายของกองทัพองครักษ์ควรถูกฝังในอนุสรณ์สถานแห่งจักรวรรดิ ผู้บัญชาการเฟิงคิดว่าอย่างไร?”

เฟิงจี้สิงหันหน้ามองซูมู่หยุนด้วยสายตาแข็งกร้าวราวกับสัตว์ป่า “ซูมู่หยุน ขณะที่จักรพรรดิถูกล้อมหลายวันและผู้คนถูกเข่นฆ่า เจ้ากลับปล่อยให้เมืองหลันเยี่ยนถูกจักรวรรดิอี้เหอทำลาย ตอนนี้องค์จักรพรรดิฉินสิ้นพระชนม์แล้ว ข้าเกรงว่าอำนาจของทั้งแผ่นดินคงจะตกเป็นของซูมู่หยุนใช่หรือไม่?”

ซูมู่หยุนประหลาดใจเล็กน้อย “ผู้บัญชาการเฟิง ในฐานะผู้ปกครองมณฑลอวิ้นจง ข้ายังมิได้ตรวจสอบถึงการฆาตกรรมบุตรของข้าซูฉิน เช่นนั้นเหตุใดท่านจึงกล้าเค้นหาความรับผิดชอบจากข้า หากท่านเป็นพ่อคน ก็คงทำสิ่งเดียวกัน ตอนนี้หลานอินเป็นความหวังเดียวของซูมู่หยุน ข้าจะทำทุกวิถีทางเพื่อให้เสี่ยวอินขึ้นเป็นผู้ปกครองแผ่นดินและกำจัดกองโจรอย่างจักรวรรดิอี้เหอ!”

“ต้องการให้ข้าทำอะไร?” เฟิงจี้สิงถามอย่างไม่แยแส

ซูมู่หยุนยิ้มเล็กน้อย “นำกองทัพเมืองหยาดสายัณห์ไปกวาดล้าง สถานที่แรกคือจักรวรรดิอี้เหอในมณฑลหลิงหนานซึ่งอยู่ทางใต้ของภูเขาฉิน ถึงเวลาที่จักรวรรดิจะกำจัดขยะเหล่านั้นแล้ว เซี่ยงอวี้ถูกถังหลานใช้งานอยู่ ขณะที่ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนและหลินมู่อวี่เสียชีวิตในสนามรบ มีเพียงข้าและเสี่ยวอินที่สามารถปฏิบัติภารกิจนี้ได้ หากผู้บัญชาการเฟิงจี้สิงกลับเข้าร่วมกองทัพจักรวรรดิ คงจะเป็นที่พึ่งให้แก่คนทั้งแผ่นดิน”

“สหายเฒ่าฉู่…อาอวี่…”

ดาบของเฟิงจี้สิงร่วงลงพื้น เขาก้มหน้าขมวดคิ้วพร้อมน้ำตาที่ไหลริน ผ่านไปชั่วครู่ในที่สุดเฟิงจี้สิงก็เงยหน้าขึ้นมองซูมู่หยุนและซูอวี่ “เฟิงจี้สิงต้องรับผิดชอบฝังพี่น้องสามหมื่นนายก่อนจากไป ข้าจะไม่เชื่อคำของท่านและรับใช้ใครจนกว่าจะได้เห็นอนุสรณ์สถานแห่งจักรวรรดิและองค์หญิงอิน”

“ข้ารู้”

ซูมู่หยุนพยักหน้า “ข้าจะพิสูจน์ให้ท่านเห็นเอง”

พูดจบซูมู่หยุนก็หันม้ากลับออกคำสั่งเสียงดังกับเหล่าองครักษ์ “พวกเจ้าอยู่เก็บเถ้ากระดูกพี่น้องกองทัพองครักษ์และนำกลับไปฝังในอนุสรณ์สถานแห่งจักรวรรดิในเมืองหลันเยี่ยน อีกทั้งไปหาผู้ดูแลฉู่เหยาสมาชิกสมาพันธ์โอสถให้มารักษาอาการบาดเจ็บของท่านเฟิงจี้สิง ห้ามผู้ใดละเลยคำสั่งเด็ดขาด!”

ทุกคนประสานหมัดพร้อมกัน “ขอรับท่านหยุนกง”

ระหว่างทางกลับ เงาต้นไม้ทอดยาวลงบนพื้นถนน ซูอวี่กุมบังเหียนพร้อมขมวดคิ้ว ขณะที่ผ้าคลุมสีดำปลิวไสวไปมาด้านหลัง

“อาอวี่เจ้าคิดสิ่งใดอยู่?” ซูมู่หยุนเอ่ยถาม

ซูอวี่ยิ้มจางๆ “ท่านพ่อ ข้ากำลังคิดว่า เฟิงจี้สิง หลินมู่อวี่ ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยน ฉินเหลย ทั้งสี่ต่างก็เป็นวีรบุรุษของโลกนี้ ทว่าช่างน่าเสียดาย…เทพเจ้าอิจฉาในความสามารถนั้น จึงทำให้เหลือเพียงเฟิงจี้สิงผู้เดียว”

“วีรบุรุษ…”

ซูมู่หยุนครุ่นคิด “วีรบุรุษมิสามารถต่อต้านชะตากรรมแห่งสวรรค์และกฎของจักรวาลได้ การเสียชีวิตของฉู่ฮว๋ายเหมี่ยน หลินมู่อวี่ และฉินเหลยเป็นสิ่งที่สวรรค์ได้กำหนดไว้แล้ว กระนั้นก็ถือว่าจักรวรรดิฉินยังเป็นที่โปรดปรานของสวรรค์ มิเช่นนั้นคงไม่เหลือแม่ทัพผู้เก่งกล้าให้เราไปต่อสู้กับจักรวรรดิอี้เหอที่ทรงพลังได้”

“เจ้าค่ะ” ซูอวี่พยักหน้า “ท่านพ่อคิดว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป…บอกข้าได้หรือไม่?”

“ข้า?” ซูมู่หยุนะลึง “เรื่องใดหรือ?”

“จักรวรรดิในภายภาคหน้า”

“เฮ้อ…” ซูมู่หยุนถอนหายใจแผ่วเบา “เสี่ยวอินยังเป็นเด็ก ทว่าต้องแบกรับทุกสิ่งอย่าง จักรวรรดิอี้เหอจะต้องกลับมาโจมตีอีกครั้งเป็นแน่ ถังหลานจิ้งจอกเฒ่าคงตั้งหน้าตั้งตารอ…สิ่งที่เราทำได้คือการปกป้องเสี่ยวอินและเมืองหลันเยี่ยน พร้อมทั้งไม่ปล่อยให้ถังหลานฉวยโอกาสได้ ข้าเกรงว่าจิ้งจอกเฒ่าถังหลานจะทอดทิ้งเสี่ยวอิน และแต่งตั้งให้ถังเสี่ยวซีเป็นจักรพรรดินีแทน”

“อา…” ซูอวี่อ้าปากค้างด้วยความตกใจ “คงไม่เป็นเช่นนั้น เสี่ยวอินมีสายเลือดตระกูลฉิน ทว่าถังเสี่ยวซีไม่มี”

“อนาคตไม่แน่นอน หลักฐานที่สมเหตุสมผลที่สุดคือกองกำลังที่แข็งแกร่ง ขณะนี้เราไม่มีความสามารถที่เหนือกว่าเมืองชีไห่ ดังนั้นทุกสิ่งสามารถเกิดขึ้นได้ อาอวี่…เราควรชะลอการส่งกองกำลังไปยังเมืองห้าหุบเขา เราต้องถ่วงเวลาจนกว่าเฟิงจี้สิงจะออกจากภูเขาแห่งนี้…”

“ท่านพ่อไม่เชื่อใจให้หลิงหนานเทียนนำทัพหรือเจ้าคะ?”

“ฮ่าๆ…” ซูมู่หยุนยิ้มเล็กน้อย “หากหลิงหนานเทียนเป็นแม่ทัพผู้เก่งกล้า เมืองหลันเยี่ยนคงไม่ตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ ทว่าอาอวี่…จงส่งคนไปยังชายแดนทางใต้และตะวันตกเพื่อค้นหากองกำลังที่หายไปของตู้ไห่ เขาเป็นแม่ทัพอันดับหนึ่งของจักรวรรดิ หากสามารถใช้งานตู้ไห่ได้ เราจะยิ่งทรงพลังมากขึ้น”

“เจ้าค่ะท่านพ่อ”

วันที่สิบเอ็ดพฤษภาคมมีข่าวดีว่าเซี่ยงอวี้พิชิตเมืองเหลิ่งซิงรวมทั้งสิบเอ็ดเมืองเล็กในมณฑลดาราด้วยกองกำลังทหารม้าสามพันนาย แม้จะมีการต่อต้านจากเมืองเหลิ่งซิงเล็กน้อย ทว่าท้ายที่สุดก็ตกอยู่ในกำมือของจักรวรรดิ

เช้าตรู่วันที่สิบสอง เซี่ยงอวี้นำกองทัพกลับมาเมืองหลันเยี่ยน และได้รับการต้อนรับอย่างล้นหลามจากชาวเมือง

ณ ตำหนักเจ๋อเทียน เซี่ยงอวี้นำนายพลที่เชื่อถือได้เข้ามาในโถงหลัก เขาประสานหมัดและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เซี่ยงอวี้ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะ”

ฉินอินพยักหน้าและกล่าว “ครานี้ผู้บัญชาการเซี่ยงอวี้ได้ปราบปรามกบฏและคืนความสงบสุขแก่ประชาชน ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ายินดี”

ถังหลานประสานหมัดกล่าว “องค์หญิง แม่ทัพเซี่ยงอวี้ได้ทำคุณงามความดีแก่จักรวรรดิ และขณะนี้จักรวรรดิเองก็ต้องการทหารผู้มีความสามารถ กระหม่อมแนะนำว่าควรเลื่อนยศแม่ทัพเซี่ยงอวี้ให้เป็นแม่ทัพองครักษ์ระดับสองแห่งจักรวรรดิ”

ซูมู่หยุนขมวดคิ้ว “หลานกง แม้ว่านายพลเซี่ยงอวี้จะทำผลงานดีเยี่ยม ทว่าเขาก็ยังเป็นคนบาป มันคงมากเกินไปที่จะแต่งตั้งให้เป็นแม่ทัพองครักษ์ด้วยการพิชิตเมืองเพียงครั้งเดียว”

ถังหลานยิ้ม “หยุนกง กองทัพจักรวรรดิอี้เหอได้กลืนกินดินแดนจักรวรรดิของเรา ตอนนี้มิใช่เรื่องง่ายที่จะทวงคืนแผ่นดินทุกตารางนิ้ว กระนั้นแม่ทัพเซี่ยงอวี้ก็พิชิตมณฑลดาราได้ทั้งหมด”

ซูอวี่พูด “แม้สิ่งที่หลานกงกล่าวมาจะมีเหตุผล ทว่าหากเขาพิชิตหนึ่งมณฑลแล้วได้เป็นแม่ทัพองครักษ์ เช่นนั้นข้าเกรงว่าเขาคงได้เลื่อนยศเป็นแม่ทัพระดับสูงเมื่อพิชิตสองมณฑลติดต่อกัน”

“ฮ่าๆ…” ถังหลานหัวเราะ “แม่ทัพเซี่ยงอวี้คงมิปล่อยให้หญิงสาวต้องขมวดคิ้ว สิ่งที่ท่านพูดนั้นมีเหตุผล เช่นนั้นกระหม่อมแนะนำว่าให้แต่งตั้งแม่ทัพเซี่ยงอวี้เป็นแม่ทัพพิทักษ์เมืองระดับสามของจักรวรรดิ เป็นอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ?”

เว่ยโฉวรู้สึกไม่พอใจ เขาพลันประสานหมัดกล่าว “องค์หญิง ตำแหน่งแม่ทัพพิทักษ์เมือง…เดิมทีเป็นของท่านหลินมู่อวี่…”

ถังหลานมองอย่างเย็นชา “หลินมู่อวี่เสียสละชีวิตเพื่อแผ่นดิน กระนั้นเขาก็เป็นเพียงคนที่ตายไปแล้ว เหตุใดเซี่ยงอวี้จึงรับตำแหน่งนี้ไม่ได้?”

ฉินอินยืนขึ้นและกล่าว “เนื่องจากหลานกงยืนยันจะยอมรับเซี่ยงอวี้ เช่นนั้นมาเถิด จงรับเหรียญตราแม่ทัพพิทักษ์เมือง ข้าหวังว่าแม่ทัพเซี่ยงอวี้จะภักดีและรับใช้จักรวรรดิต่อไป”

“น้อมรับพระราชโองการพ่ะย่ะค่ะ” เซี่ยงอวี้ยิ้มและก้มลงคุกเข่าหนึ่งข้างอย่างเคารพ

ฉินอินมองไปยังฝูงชนและเอ่ยถาม “เกิดสิ่งใดขึ้นกับการต่อสู้ในเมืองห้าหุบเขา?”

ซูมู่หยุนประสานหมัด “แม่ทัพหลิงหนานเทียนนำกองทัพหนึ่งแสนนายไปยังเมืองห้าหุบเขา และมีรายงานว่ากำลังบุกเข้าโจมตี ทว่าเมืองห้าหุบเขาได้รับการคุ้มกันอย่างแน่นหนาโดยแม่ทัพติงซี่ผู้มีชื่อเสียงจากมณฑลหลิงหนาน ซึ่งมีกองกำลังกว่าสองแสนนาย จึงทำให้ต้องใช้เวลาในการยึดเมืองห้าหุบเขาพ่ะย่ะค่ะ”

“อืม เช่นนั้นเตรียมกองกำลังในเมืองหลันเยี่ยนให้พร้อม เพื่อป้องกันการรุกรานของจักรวรรดิอี้เหอทุกเมื่อ”

“พ่ะย่ะค่ะองค์หญิง โปรดวางพระทัย ทุกสิ่งจะดำเนินไปด้วยดี”

ซูอวี่มีความมั่นใจมาก หากต้องนำทัพกว่าหนึ่งแสนโจมตีเมือง อาจเป็นเรื่องยากสำหรับนาง ทว่าการนำกองทัพหมื่นนายป้องกันเมืองนั้นเป็นสิ่งที่ซูอวี่ควบคุมได้อย่างแน่นอน

………………..………………..

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+