The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา 222 เข้าสู่รอบแปดคนสุดท้าย

Now you are reading The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา Chapter 222 เข้าสู่รอบแปดคนสุดท้าย at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“ท่านพี่ฉู๋ เราลงไปกันเลยดีไหม?”

หลินมู่อวี่ขึ้นไปบนลานประลองเพื่อช่วยพยุงฉู๋ฮว๋ายเหมี่ยนที่ยังไม่ได้สติลงไปข้างล่าง แม้จะเอาชนะมาได้ก็อาการสาหัส ถึงกระนั้นบาดแผลบนกายตอนนี้คงไม่เท่ากับบาดแผลในใจ เพราะระหว่างต่อสู้ฉู๋ฮว๋ายเหมี่ยนบังเอิญไปทำลายทะเลจิตของเจิ้งฟางเข้า จนทำให้ฝั่งจวนเสินโหวเสียใจเป็นอย่างมาก และจากนี้เขาและเจิ้งเซียงคงไม่ได้เจอกันอีก…

เพราะฉู๋ฮว๋ายเหมี่ยนไม่รู้จะสู้หน้าเจิ้งเซียงได้อย่างไร

เมื่อกลับถึงอัฒจันทร์หลินมู่อวี่จึงพูดปลอบ “นี่ไม่ใช่ความผิดของท่านพี่ ท่านไม่จำเป็นต้องโทษตัวเอง”

“ใช่ ไอ้สารเลวเจิ้งฟางนั่นคิดจะลอบโจมตีเจ้าก่อน หน้าไม่อายเสียจริง!” ฉินเหลยพูดอย่างฉุนเฉียว “เจิ้งอี้ฝานคิดว่ามันเป็นใครกันถึงกล้าคิดจะสังหารเจ้า ณ ตำหนักเจ๋อเทียนแห่งนี้ หึ! ดีแล้วที่ทะเลจิตของไอ้เจิ้งฟางถูกทำลาย…พอเอ็นมังกรของเจิ้งอี้ฝานขาด เราจึงได้เห็นสันดานที่แท้จริงของมัน!”

เฟิงจี้สิงผู้เข้าใจฉู๋ฮว๋ายเหมี่ยนที่สุดถอนหายใจก่อนจะเอ่ยขึ้น “ท่านพี่ฉู๋อย่าได้สิ้นหวังไป ทุกอย่างล้วนเป็นไปตามสวรรค์กำหนด…ไม่แน่พรุ่งนี้อาจดีกว่าวันนี้ก็เป็นได้”

“ข้าก็ภาวนาให้เป็นเช่นนั้น…” ฉู๋ฮว๋ายเหมียนนั่งลงด้วยสีหน้าหดหู่

จักรพรรดิฉินจิ้นเดินไปยังอัฒจันทร์คนดูฝั่งเสินโหวก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ขุนนางเจิ้งไม่ต้องรู้สึกแย่ไป ฉู๋ฮว๋ายเหมี่ยนไม่ได้ตั้งใจทำให้เจิ้งฟางบาดเจ็บเช่นนี้ และข้าก็ได้สั่งให้สมาพันธ์โอสถจัดหายารักษาแล้ว รับรองว่าทะเลจิตของเจิ้งฟางต้องหายดีแน่นอน”

เจิ้งอี้ฝานถวายบังคมและเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเศร้าโศก “เป็นพระมหากรุณาธิคุณยิ่งพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท…ที่ทรงห่วงใยชายแก่ผู้นี้และฟางเอ้อ”

ฉินจิ้นพยักหน้า “ข้าจะมอบฉายาทูตสวรรค์และตำแหน่งแม่ทัพตะวันออกอันดับสี่ให้เจิ้งฟาง พร้อมทั้งแต่งตั้งให้เป็นขุนนางอันดับที่สิบสามแห่งจักรวรรดิ โดยฉายานี้จะคงอยู่และสืบทอดแก่ทายาทต่อไป นอกจากนั้นข้าจะมอบเหรียญทองให้อีกสองแสนเหรียญเป็นรางวัล…”

“เป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างหามิได้พ่ะย่ะค่ะ…” เจิ้งอี้ฝานโค้งคำนับด้วยความซาบซึ้ง ทว่าแววตายังคงเศร้าหมองก่อนจะตะโกนขึ้น “ใครก็ได้พาเจิ้งฟางไปยังสมาพันธ์โอสถเดี๋ยวนี้!”

เมื่อได้รับคำสั่งทหารเสินเว่ยก็พาเจิ้งฟางไปรักษาทันที เจิ้งอี้ฝานหันมาโค้งคำนับให้ฉินจิ้นอีกครั้งก่อนจะเร่งตามไป

รถม้ากำลังวิ่งผ่านถนนทงเทียน เจิ้งอี้ฝานนั่งในรถม้าโดยมีเจิ้งฟางที่ยังคงหน้าซีดเผือดอยู่ข้างๆ กระทั่งผู้บัญชาการกองพันของทหารเสินเว่ยที่อยู่ด้วยกันเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเกลียดชัง “ทางฝั่งฉู๋ฮว๋ายเหมี่ยนเล่นสกปรกทำลายทะเลจิตของท่านเจิ้งฟางถึงเพียงนี้ แต่องค์จักรพรรดิกลับปลอบใจด้วยฉายา เงินทอง และตำแหน่งทหารอันต่ำต้อย ช่างไม่ไว้หน้าจวนเสินโหวของเราเลย…ท่านเสินโหวยอมรับสิ่งนี้ได้หรือขอรับ?”

“แล้วเจ้าจะให้ข้าทำเช่นไร?”

เจิ้งอี้ฝานจ้องหน้าเอาความ “ว่าอย่างไร?”

“ข้าคิดว่า…” สี่กงหนานคำนับและกล่าวต่อ “ข้าคิดว่าเราควรรวมพลทหารเสินเว่ยและส่งสาส์นแจ้งแก่ผู้บัญชาการทุกหมู่เหล่าในมณฑลเทียนชู่ ชางหนาน และตี่ฉิงเพื่อเข้าโจมตีเมืองหลวงขอรับ ในเมืองหลวงมีทหารทั้งสิ้นประมาณสองแสนสามหมื่นกว่านายบวกกับองครักษ์อวี้อีกไม่เกินห้าหมื่นนาย ด้วยจำนวนเท่านี้เราสามารถทำลายพวกมันได้ภายในครึ่งเดือนและหลังจากนั้น…”

สี่กงหนานตื่นเต้นอย่างมากขณะพูด ทว่าเมื่อเจิ้งอี้ฝานมองเขาด้วยสายตาอันเย็นชา ร่างกายก็เริ่มสั่นเทิ้มด้วยความกลัว “ท่านเสินโหว…ข้ากล่าวสิ่งใดผิดไปหรือไม่ขอรับ?”

เจิ้งอี้ฝานกล้าวอย่างไม่สบอารมณ์ “สี่กงหนานเจ้าจงจำใส่กะโหลกไว้ให้ดี ข้า…เจิ้งอี้ฝานผู้นี้ได้รับการอวยยศโดยตรงจากจักรพรรดิฉินจิ้นให้เป็นจ้าวแห่งจวนเสินโหว เช่นนั้นต่อให้เกิดอะไรขึ้นข้าก็จะอยู่ข้างราชวงศ์ฉินเสมอ และใครก็ตามที่คิดปองร้ายองค์จักรพรรดิจะต้องข้ามศพข้าไปก่อน นับแต่นี้ไปหากข้าได้ยินเจ้าพูดเช่นนั้นอีก เจ้าจะพบว่าตัวเองถูกส่งไปให้เซี่ยงอวี่แห่งสารวัตรทหารจัดการ!”

“ท่านขอรับ ข้า…”

สี่กงหนานสั่นเทา “ข้ามิบังอาจแล้วขอรับ!”

“อืม…”

เจิ้งอี้ฝานก้มมองเจิ้งฟางที่นอนขมวดคิ้วอยู่ก่อนจะเหม่อมองผืนฟ้าด้วยท่าทีหม่นหมองพร้อมกับถอนหายใจให้กับความชราที่เพิ่มขึ้นของตน

ณ ลานกว้าง งานประลองยุทธ์ยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง กระทั่งเที่ยงวันการประลองก็เข้าสู่ช่วงสิบสองคนสุดท้ายเสียที ซึ่งคนที่จะได้ครอบครองตำแหน่งผู้ชนะคือหนึ่งในสิบสองคนนี้

รอบชิงสิบสองคนที่จัดขึ้นในช่วงบ่ายนั้น จะถูกเคลื่อนย้ายไปแข่งขันต่อในตำหนักเจ๋อเทียนโดยมีจักรพรรดิฉินจิ้นเป็นเจ้าภาพ

ทว่าก่อนถึงศึกตัดสินรอบต่อไป แขกผู้มีเกียรติได้รับเชิญให้เข้าร่วมงานเลี้ยงมื้อเที่ยง สำรับหน้าตาน่ากินถูกนำมาจัดเรียงด้วยจานทองสวยงาม อาหารเหล่านี้ล้วนเป็นเครื่องบรรณาการจากทั้งสิบเอ็ดมณฑล มีทั้งผลไม้หลากชนิดจากมณฑลหลิงหนาน เนื้อกวางเมฆาป่าจากมณฑลทงเทียน อุ้งเท้าหมีจากมณฑลหลิงตง เนื้อหงส์จากมณฑลอวิ้นจง เนื้อนากเจ็ดหัวใจจากมณฑลชีไห่ และยังมีอื่นๆ อีกมาก เมื่อเสียงเครื่องดนตรีถูกบรรเลงเป็นสัญญาณ งานเลี้ยงอันหรูหราก็ได้เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ

มีบรรดาข้ารับใช้คุกเข่าอยู่โดยรอบเพื่อคอยรินไวน์และอำนวยความสะดวกต่างๆ แก่ผู้ร่วมงาน

หลินมู่อวี่นั่งลงข้างเฟิงจี้สิงและฉู๋ฮว๋ายเหมี่ยนอย่างสงบเสงี่ยม ไม่ค่อยคุ้นชินกับงานเลี้ยง ‘แบบคนรวย’ นัก ราชวงศ์นี้ช่างกินอยู่อย่างฟุ่มเฟือย แม้หลินมู่อวี่จะไม่ใช่คนรักษ์โลกยังลำบากใจที่ต้องกินของดีพวกนี้

“เชิญ!”

ฉินจิ้นชูแก้วไวน์สีเงินในมือขึ้นด้วยรอยยิ้ม “มาเถิด! ข้าขอดื่มอวยพรให้แก่จอมยุทธ์ทุกท่าน และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าตลอดบ่ายวันนี้พวกท่านจะเพลิดเพลินไปกับการประลองและคว้าตำแหน่งอันทรงเกียรติมาได้!”

ว่าแล้วองค์จักรพรรดิก็ยกแก้วไวน์ขึ้นดื่มจนหมด หลินมู่อวี่และคนอื่นๆ เมื่อเห็นดังนั้นก็ยกดื่มตามจนหมดแก้ว

“เสี่ยวอิน?” ฉินจิ้นหันไปมองลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนพลางขยิบตา

ฉินอินรีบลุกขึ้นและชูแก้วไวน์ก่อนจะเอ่ยขึ้น “เสี่ยวอินขอร่วมดื่มอวยพรแก่ผู้กล้าทั้งหลาย ขอให้ทุกท่านจงโชคดีเจ้าค่ะ!”

เนื่องจากฉินอินเป็นรัชทายาทที่คนทั้งสิบสองเคารพในฐานะผู้ปกครองคนถัดไป ฉินจิ้นจึงอยากให้นางกล่าวอวยพรแก่เหล่าผู้ประลองยุทธ์ในครั้งนี้ เพื่อสอนมารยาทต่างๆ ดูแลผู้คนได้ในฐานะผู้สืบทอด

หลังจากนั้นฉินอินก็สร้างความประทับใจด้วยการเข้าทักทายและอวยพรผู้ประลองทีละคน กระทั่งเมื่อมาถึงหน้าหลินมู่อวี่ ฉินอินก็แสดงสีหน้าไม่พอใจ “ท่านพี่อย่าดื่มให้มากนักสิเจ้าคะ…”

หลินมู่อวี่มองดูใบหน้าบูดบึ้งและเอ่ยขึ้น “เจ้าต่างหากคือคนที่ควรดื่มให้น้อย ดูทีคงเมาเสียแล้วกระมัง…”

ฉินอินหัวเราะคิกคัก ปรากฏริ้วแดงระเรื่อบนใบหน้าราวกับสีพระอาทิตย์ตก…ดูงดงามยิ่งนัก “ข้าไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ท่านพี่ห่วงตัวเองก่อนเถิด…หากดื่มมากบ่ายนี้อาจแพ้เอาได้นะเจ้าคะ…”

“วางใจเถิด…ข้าจะสู้สุดความสามารถ” หลินมู่อวี่ยิ้มตอบ

“อืม…เสี่ยวอินผู้นี้ขอให้ท่านพี่ได้ที่หนึ่งเจ้าค่ะ!” ฉินอินยกไวน์ดื่มจนหมดแก้ว “เช่นนั้นมาดื่มกับข้าอีกสักแก้วไหมเจ้าคะ”

“อืม” ว่าจบหลินมู่อวี่ก็ยกไวน์ขึ้นดื่มจนหมด

ด้วยเหตุนี้จึงทำให้อวี่เหวินเหลี่ยนและลูกขุนนางคนอื่นๆ ไม่พอใจอย่างมาก เพราะฉินอินเข้ามาชนแก้วกับพวกเขาแค่คนละครั้งเท่านนั้น ทว่ากลับไปนั่งดื่มกับหลินมู่อวี่เสียหลายแก้ว ภาพรักหวานชื่นทำพวกเขาริษยาจนตัวสั่น ถึงกระนั้นก็ทำได้เพียงนิ่งเงียบ…เพราะต่างรู้ดีว่าหลินมู่อวี่เป็นถึงบุตรบุญธรรมของจักรพรรดิ จึงไม่แปลกหากจะได้ใกล้ชิดสนิทสนมกับฉินอินเช่นนี้

จวนใกล้เวลาอันสมควรในช่วงบ่าย ฉินอินที่มีอาการเมาเล็กน้อยนั่งลง ณ ที่นั่งสำหรับชมการประลองด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ เฝ้ามองไปยังลานกว้างรอให้งานเริ่ม

ผู้เข้าประลองสิบสองคนสุดท้ายต่างขึ้นชื่อเรื่องความบ้าบิ่น

เมื่อถูกจับมารวมตัวกันจึงค่อนข้างดูแปลกเล็กน้อย ตารางการแข่งขันถูกแบ่งไว้สองกลุ่ม กลุ่มละสี่คนเพื่อหาผู้ชนะแปดคนสุดท้าย นั่นหมายความว่าสี่ในสิบสองคนที่ไม่ได้อยู่ในกลุ่มจะผ่านเข้ารอบแปดคนทันที! และโชคดีที่หลินมู่อวี่ เฟิงจี้สิง และฉู๋ฮว๋ายเหมี่ยนคือสามในสี่ที่ผ่านเข้ารอบ! เฟิงจี้สิงดีใจมากที่ตนไม่ต้องต่อสู้ในรอบนี้

หลินมู่อวี่เองก็แอบดีใจที่ผ่านเข้ารอบได้โดยที่ไม่ต้องเสียแรง ในการประลองช่วงเช้าเขาใช้ปราณยุทธ์ไปบ้างแล้ว และการต่อสู้หลังจากนี้คงต้องใช้พลังอย่างมากเพราะต้องเจอกับยอดฝีมืออีกหลายคน

การประลองทั้งสี่คู่จบลงอย่างรวดเร็ว โดยมีท่านพี่ฉินที่ชนะเข้ารอบแปดคนอย่างสวยงาม…ตามด้วยอวี่เหวินเหลียน หลินฉางชิง และมู่หรงโจว กระดานทองคำประกาศชื่อของผู้เข้ารอบทั้งแปด ได้แก่ เฟิงจี้สิง ฉู๋ฮว๋ายเหมี่ยน ฉินเหลย ฉินเหยียน หลินมู่อวี่ อวี่เหวินเหลียน หลินฉางชิง และมู่หรงโจว ซึ่งหลินฉางชิงและมู่หรงโจวเป็นถึงแม่ทัพระดับสี่ในเขตมณฑลของตน เข้าร่วมกองทัพตั้งแต่อายุยังน้อยและขัดเกลาฝีมือเรื่อยมากระทั่งมีคุณสมบัติเข้าร่วมงานประลองยุทธ์

รายชื่อการประลองรอบแปดคนสุดท้ายถูกประกาศอย่างรวดเร็ว!

เฟิงจี้สิง ปะทะ หลินฉางชิง

อวี่เหวินเหลียน ปะทะ ฉินเหลย

หลินมู่อวี่ ปะทะ ฉินเหยียน.

มู่หรงโจว ปะทะ ฉู๋ฮว๋ายเหมี่ยน

“ข้าได้ประลองกับท่านพี่หลินมู่อวี่จริงหรือนี่…”

ฉินเหยียนเผยท่าทีกังวล “เป็นเช่นนี้ได้อย่างไรกัน…โธ่! ข้าคิดว่าต้องได้เจอกับหลินฉางชิงไม่ก็อวี่เหวินเหลียนเพื่อเข้ารอบสี่คนแท้ๆ!”

ฉินเหลยเอ่ยขึ้น “ได้เข้ารอบแปดคนทั้งที่อายุเพียงสิบแปดก็ถือว่าเก่งมากแล้วนะอาเหยียน หากเจ้าฝึกฝนไปอีกสักเจ็ดถึงแปดปีคงท้าสู้พวกข้าได้แล้วกระมัง?”

ฉินเหยียนยิ้มออกทันที “ใช่! ข้าเห็นด้วยกับท่านพี่!”

ไอ้เด็กบ้า…ช่างไม่รู้จักเจียมตัวเอาเสียเลย

การประลองคู่แรกเริ่มด้วยเฟิงจี้สองปะทะหลินฉางชิง ทั้งคู่เป็นถึงผู้บัญชาการและเชี่ยวชาญทักษะดาบสังหารอย่างมากเพราะผ่านศึกมาอย่างโชกโชน ถึงกระนั้นทักษะดาบและพลังยุทธ์ของเฟิงจี้สิงดูจะเหนือกว่าหลินฉางชิงอยู่ไม่น้อย ทำให้การประลองใช้เวลาไม่นานและจบด้วยการพ่ายแพ้ของหลินฉางชิง

ต่อด้วยคู่ที่สองของอวี่เหวินเหลียนบุตรแห่งแม่ทัพพิทักษ์เมืองอวี่เหวินเซี่ยและฉินเหลยบุตรราชาแห่งสันติ ด้วยความต่างของพลัง…ไม่ถึงสิบยกอวี่เหวินเหลียนก็เจ็บหนักและแพ้ไปในที่สุด พลังโซ่เทวะระดับเจ็ดของฉินเหลยนั้นทรงพลังมาก ทำให้อวี่เหวินเหลียนทำได้เพียงตั้งรับการโจมตีตั้งแต่ยกแรกกระทั่งแพ้ไป

คู่ที่สาม…หลินมุ่อวี่ปะทะฉินเหยียน

แม้จะเป็นคู่ต่อสู้ในลานประลองทว่าทั้งสองก็ยังเป็นสหายกันอยู่ หลินมู่อวี่ชักกระบี่วิญญาณมังกรออกมาพร้อมกับฉินเหยียนที่ตั้งท่าด้วยหอกเขี้ยวอัคคี เสียงร้องของผู้ชมบนอัฒจันทร์ดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ หลินมู่อวี่ที่เป็นถึงบุตรบุญธรรมของจักรพรรดิถูกบรรดาสาวน้อยใหญ่จับจ้องและโบกมือให้กำลังใจเป็นพิเศษ “ท่านหลินมู่อวี่สู้ๆ!”

“ตุบ!”

หังเสี่ยวซีกระแทกถ้วยชาลงบนโต๊ะและแสดงท่าทีไม่พอใจก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยสายตาริษยา “หึ! หลินมู่อวี่เป็นอะไรกับพวกหล่อนงั้นหรือจึงส่งเสียงอย่างออกหน้าออกตาถึงเพียงนี้…ข้าไม่ชอบใจเลย!”

ฉินอินหัวเราะลั่น “เจ้าช่างขี้แยเสียจริงนะเสี่ยวซี…”

“ข้า…ข้า…”

ถังเสี่ยวซีเม้มริมฝีปาก ด้วยไม่อยากยอมรับว่าตัวเองเป็นคนขี้แยจึงเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเง้างอด “เสี่ยวอินล้อเลียนข้า! เจ้ามีความสุขนักรึที่ผู้หญิงพวกนั้นเอ่ยชมมู่มู่?!”

ฉินอินส่ายหัวก่อนจะกล่าวด้วยแววตาอันอ่อนโยน “ไม่เลย…ข้าดีใจที่ทุกคนต่างชื่นชอบท่านพี่ ทว่าเมื่อไรก็ตามที่ข้าได้ครองราชย์…ข้าจะลดเงินเดือนพ่อของพวกนางให้หมด”

ถังเสี่ยวซีมองอย่างนับถือ “สมกับเป็นเจ้าจริงนะเสี่ยวอิน…”

……………………

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา 222 เข้าสู่รอบแปดคนสุดท้าย

Now you are reading The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา Chapter 222 เข้าสู่รอบแปดคนสุดท้าย at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“ท่านพี่ฉู๋ เราลงไปกันเลยดีไหม?”

หลินมู่อวี่ขึ้นไปบนลานประลองเพื่อช่วยพยุงฉู๋ฮว๋ายเหมี่ยนที่ยังไม่ได้สติลงไปข้างล่าง แม้จะเอาชนะมาได้ก็อาการสาหัส ถึงกระนั้นบาดแผลบนกายตอนนี้คงไม่เท่ากับบาดแผลในใจ เพราะระหว่างต่อสู้ฉู๋ฮว๋ายเหมี่ยนบังเอิญไปทำลายทะเลจิตของเจิ้งฟางเข้า จนทำให้ฝั่งจวนเสินโหวเสียใจเป็นอย่างมาก และจากนี้เขาและเจิ้งเซียงคงไม่ได้เจอกันอีก…

เพราะฉู๋ฮว๋ายเหมี่ยนไม่รู้จะสู้หน้าเจิ้งเซียงได้อย่างไร

เมื่อกลับถึงอัฒจันทร์หลินมู่อวี่จึงพูดปลอบ “นี่ไม่ใช่ความผิดของท่านพี่ ท่านไม่จำเป็นต้องโทษตัวเอง”

“ใช่ ไอ้สารเลวเจิ้งฟางนั่นคิดจะลอบโจมตีเจ้าก่อน หน้าไม่อายเสียจริง!” ฉินเหลยพูดอย่างฉุนเฉียว “เจิ้งอี้ฝานคิดว่ามันเป็นใครกันถึงกล้าคิดจะสังหารเจ้า ณ ตำหนักเจ๋อเทียนแห่งนี้ หึ! ดีแล้วที่ทะเลจิตของไอ้เจิ้งฟางถูกทำลาย…พอเอ็นมังกรของเจิ้งอี้ฝานขาด เราจึงได้เห็นสันดานที่แท้จริงของมัน!”

เฟิงจี้สิงผู้เข้าใจฉู๋ฮว๋ายเหมี่ยนที่สุดถอนหายใจก่อนจะเอ่ยขึ้น “ท่านพี่ฉู๋อย่าได้สิ้นหวังไป ทุกอย่างล้วนเป็นไปตามสวรรค์กำหนด…ไม่แน่พรุ่งนี้อาจดีกว่าวันนี้ก็เป็นได้”

“ข้าก็ภาวนาให้เป็นเช่นนั้น…” ฉู๋ฮว๋ายเหมียนนั่งลงด้วยสีหน้าหดหู่

จักรพรรดิฉินจิ้นเดินไปยังอัฒจันทร์คนดูฝั่งเสินโหวก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ขุนนางเจิ้งไม่ต้องรู้สึกแย่ไป ฉู๋ฮว๋ายเหมี่ยนไม่ได้ตั้งใจทำให้เจิ้งฟางบาดเจ็บเช่นนี้ และข้าก็ได้สั่งให้สมาพันธ์โอสถจัดหายารักษาแล้ว รับรองว่าทะเลจิตของเจิ้งฟางต้องหายดีแน่นอน”

เจิ้งอี้ฝานถวายบังคมและเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเศร้าโศก “เป็นพระมหากรุณาธิคุณยิ่งพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท…ที่ทรงห่วงใยชายแก่ผู้นี้และฟางเอ้อ”

ฉินจิ้นพยักหน้า “ข้าจะมอบฉายาทูตสวรรค์และตำแหน่งแม่ทัพตะวันออกอันดับสี่ให้เจิ้งฟาง พร้อมทั้งแต่งตั้งให้เป็นขุนนางอันดับที่สิบสามแห่งจักรวรรดิ โดยฉายานี้จะคงอยู่และสืบทอดแก่ทายาทต่อไป นอกจากนั้นข้าจะมอบเหรียญทองให้อีกสองแสนเหรียญเป็นรางวัล…”

“เป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างหามิได้พ่ะย่ะค่ะ…” เจิ้งอี้ฝานโค้งคำนับด้วยความซาบซึ้ง ทว่าแววตายังคงเศร้าหมองก่อนจะตะโกนขึ้น “ใครก็ได้พาเจิ้งฟางไปยังสมาพันธ์โอสถเดี๋ยวนี้!”

เมื่อได้รับคำสั่งทหารเสินเว่ยก็พาเจิ้งฟางไปรักษาทันที เจิ้งอี้ฝานหันมาโค้งคำนับให้ฉินจิ้นอีกครั้งก่อนจะเร่งตามไป

รถม้ากำลังวิ่งผ่านถนนทงเทียน เจิ้งอี้ฝานนั่งในรถม้าโดยมีเจิ้งฟางที่ยังคงหน้าซีดเผือดอยู่ข้างๆ กระทั่งผู้บัญชาการกองพันของทหารเสินเว่ยที่อยู่ด้วยกันเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเกลียดชัง “ทางฝั่งฉู๋ฮว๋ายเหมี่ยนเล่นสกปรกทำลายทะเลจิตของท่านเจิ้งฟางถึงเพียงนี้ แต่องค์จักรพรรดิกลับปลอบใจด้วยฉายา เงินทอง และตำแหน่งทหารอันต่ำต้อย ช่างไม่ไว้หน้าจวนเสินโหวของเราเลย…ท่านเสินโหวยอมรับสิ่งนี้ได้หรือขอรับ?”

“แล้วเจ้าจะให้ข้าทำเช่นไร?”

เจิ้งอี้ฝานจ้องหน้าเอาความ “ว่าอย่างไร?”

“ข้าคิดว่า…” สี่กงหนานคำนับและกล่าวต่อ “ข้าคิดว่าเราควรรวมพลทหารเสินเว่ยและส่งสาส์นแจ้งแก่ผู้บัญชาการทุกหมู่เหล่าในมณฑลเทียนชู่ ชางหนาน และตี่ฉิงเพื่อเข้าโจมตีเมืองหลวงขอรับ ในเมืองหลวงมีทหารทั้งสิ้นประมาณสองแสนสามหมื่นกว่านายบวกกับองครักษ์อวี้อีกไม่เกินห้าหมื่นนาย ด้วยจำนวนเท่านี้เราสามารถทำลายพวกมันได้ภายในครึ่งเดือนและหลังจากนั้น…”

สี่กงหนานตื่นเต้นอย่างมากขณะพูด ทว่าเมื่อเจิ้งอี้ฝานมองเขาด้วยสายตาอันเย็นชา ร่างกายก็เริ่มสั่นเทิ้มด้วยความกลัว “ท่านเสินโหว…ข้ากล่าวสิ่งใดผิดไปหรือไม่ขอรับ?”

เจิ้งอี้ฝานกล้าวอย่างไม่สบอารมณ์ “สี่กงหนานเจ้าจงจำใส่กะโหลกไว้ให้ดี ข้า…เจิ้งอี้ฝานผู้นี้ได้รับการอวยยศโดยตรงจากจักรพรรดิฉินจิ้นให้เป็นจ้าวแห่งจวนเสินโหว เช่นนั้นต่อให้เกิดอะไรขึ้นข้าก็จะอยู่ข้างราชวงศ์ฉินเสมอ และใครก็ตามที่คิดปองร้ายองค์จักรพรรดิจะต้องข้ามศพข้าไปก่อน นับแต่นี้ไปหากข้าได้ยินเจ้าพูดเช่นนั้นอีก เจ้าจะพบว่าตัวเองถูกส่งไปให้เซี่ยงอวี่แห่งสารวัตรทหารจัดการ!”

“ท่านขอรับ ข้า…”

สี่กงหนานสั่นเทา “ข้ามิบังอาจแล้วขอรับ!”

“อืม…”

เจิ้งอี้ฝานก้มมองเจิ้งฟางที่นอนขมวดคิ้วอยู่ก่อนจะเหม่อมองผืนฟ้าด้วยท่าทีหม่นหมองพร้อมกับถอนหายใจให้กับความชราที่เพิ่มขึ้นของตน

ณ ลานกว้าง งานประลองยุทธ์ยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง กระทั่งเที่ยงวันการประลองก็เข้าสู่ช่วงสิบสองคนสุดท้ายเสียที ซึ่งคนที่จะได้ครอบครองตำแหน่งผู้ชนะคือหนึ่งในสิบสองคนนี้

รอบชิงสิบสองคนที่จัดขึ้นในช่วงบ่ายนั้น จะถูกเคลื่อนย้ายไปแข่งขันต่อในตำหนักเจ๋อเทียนโดยมีจักรพรรดิฉินจิ้นเป็นเจ้าภาพ

ทว่าก่อนถึงศึกตัดสินรอบต่อไป แขกผู้มีเกียรติได้รับเชิญให้เข้าร่วมงานเลี้ยงมื้อเที่ยง สำรับหน้าตาน่ากินถูกนำมาจัดเรียงด้วยจานทองสวยงาม อาหารเหล่านี้ล้วนเป็นเครื่องบรรณาการจากทั้งสิบเอ็ดมณฑล มีทั้งผลไม้หลากชนิดจากมณฑลหลิงหนาน เนื้อกวางเมฆาป่าจากมณฑลทงเทียน อุ้งเท้าหมีจากมณฑลหลิงตง เนื้อหงส์จากมณฑลอวิ้นจง เนื้อนากเจ็ดหัวใจจากมณฑลชีไห่ และยังมีอื่นๆ อีกมาก เมื่อเสียงเครื่องดนตรีถูกบรรเลงเป็นสัญญาณ งานเลี้ยงอันหรูหราก็ได้เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ

มีบรรดาข้ารับใช้คุกเข่าอยู่โดยรอบเพื่อคอยรินไวน์และอำนวยความสะดวกต่างๆ แก่ผู้ร่วมงาน

หลินมู่อวี่นั่งลงข้างเฟิงจี้สิงและฉู๋ฮว๋ายเหมี่ยนอย่างสงบเสงี่ยม ไม่ค่อยคุ้นชินกับงานเลี้ยง ‘แบบคนรวย’ นัก ราชวงศ์นี้ช่างกินอยู่อย่างฟุ่มเฟือย แม้หลินมู่อวี่จะไม่ใช่คนรักษ์โลกยังลำบากใจที่ต้องกินของดีพวกนี้

“เชิญ!”

ฉินจิ้นชูแก้วไวน์สีเงินในมือขึ้นด้วยรอยยิ้ม “มาเถิด! ข้าขอดื่มอวยพรให้แก่จอมยุทธ์ทุกท่าน และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าตลอดบ่ายวันนี้พวกท่านจะเพลิดเพลินไปกับการประลองและคว้าตำแหน่งอันทรงเกียรติมาได้!”

ว่าแล้วองค์จักรพรรดิก็ยกแก้วไวน์ขึ้นดื่มจนหมด หลินมู่อวี่และคนอื่นๆ เมื่อเห็นดังนั้นก็ยกดื่มตามจนหมดแก้ว

“เสี่ยวอิน?” ฉินจิ้นหันไปมองลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนพลางขยิบตา

ฉินอินรีบลุกขึ้นและชูแก้วไวน์ก่อนจะเอ่ยขึ้น “เสี่ยวอินขอร่วมดื่มอวยพรแก่ผู้กล้าทั้งหลาย ขอให้ทุกท่านจงโชคดีเจ้าค่ะ!”

เนื่องจากฉินอินเป็นรัชทายาทที่คนทั้งสิบสองเคารพในฐานะผู้ปกครองคนถัดไป ฉินจิ้นจึงอยากให้นางกล่าวอวยพรแก่เหล่าผู้ประลองยุทธ์ในครั้งนี้ เพื่อสอนมารยาทต่างๆ ดูแลผู้คนได้ในฐานะผู้สืบทอด

หลังจากนั้นฉินอินก็สร้างความประทับใจด้วยการเข้าทักทายและอวยพรผู้ประลองทีละคน กระทั่งเมื่อมาถึงหน้าหลินมู่อวี่ ฉินอินก็แสดงสีหน้าไม่พอใจ “ท่านพี่อย่าดื่มให้มากนักสิเจ้าคะ…”

หลินมู่อวี่มองดูใบหน้าบูดบึ้งและเอ่ยขึ้น “เจ้าต่างหากคือคนที่ควรดื่มให้น้อย ดูทีคงเมาเสียแล้วกระมัง…”

ฉินอินหัวเราะคิกคัก ปรากฏริ้วแดงระเรื่อบนใบหน้าราวกับสีพระอาทิตย์ตก…ดูงดงามยิ่งนัก “ข้าไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ท่านพี่ห่วงตัวเองก่อนเถิด…หากดื่มมากบ่ายนี้อาจแพ้เอาได้นะเจ้าคะ…”

“วางใจเถิด…ข้าจะสู้สุดความสามารถ” หลินมู่อวี่ยิ้มตอบ

“อืม…เสี่ยวอินผู้นี้ขอให้ท่านพี่ได้ที่หนึ่งเจ้าค่ะ!” ฉินอินยกไวน์ดื่มจนหมดแก้ว “เช่นนั้นมาดื่มกับข้าอีกสักแก้วไหมเจ้าคะ”

“อืม” ว่าจบหลินมู่อวี่ก็ยกไวน์ขึ้นดื่มจนหมด

ด้วยเหตุนี้จึงทำให้อวี่เหวินเหลี่ยนและลูกขุนนางคนอื่นๆ ไม่พอใจอย่างมาก เพราะฉินอินเข้ามาชนแก้วกับพวกเขาแค่คนละครั้งเท่านนั้น ทว่ากลับไปนั่งดื่มกับหลินมู่อวี่เสียหลายแก้ว ภาพรักหวานชื่นทำพวกเขาริษยาจนตัวสั่น ถึงกระนั้นก็ทำได้เพียงนิ่งเงียบ…เพราะต่างรู้ดีว่าหลินมู่อวี่เป็นถึงบุตรบุญธรรมของจักรพรรดิ จึงไม่แปลกหากจะได้ใกล้ชิดสนิทสนมกับฉินอินเช่นนี้

จวนใกล้เวลาอันสมควรในช่วงบ่าย ฉินอินที่มีอาการเมาเล็กน้อยนั่งลง ณ ที่นั่งสำหรับชมการประลองด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ เฝ้ามองไปยังลานกว้างรอให้งานเริ่ม

ผู้เข้าประลองสิบสองคนสุดท้ายต่างขึ้นชื่อเรื่องความบ้าบิ่น

เมื่อถูกจับมารวมตัวกันจึงค่อนข้างดูแปลกเล็กน้อย ตารางการแข่งขันถูกแบ่งไว้สองกลุ่ม กลุ่มละสี่คนเพื่อหาผู้ชนะแปดคนสุดท้าย นั่นหมายความว่าสี่ในสิบสองคนที่ไม่ได้อยู่ในกลุ่มจะผ่านเข้ารอบแปดคนทันที! และโชคดีที่หลินมู่อวี่ เฟิงจี้สิง และฉู๋ฮว๋ายเหมี่ยนคือสามในสี่ที่ผ่านเข้ารอบ! เฟิงจี้สิงดีใจมากที่ตนไม่ต้องต่อสู้ในรอบนี้

หลินมู่อวี่เองก็แอบดีใจที่ผ่านเข้ารอบได้โดยที่ไม่ต้องเสียแรง ในการประลองช่วงเช้าเขาใช้ปราณยุทธ์ไปบ้างแล้ว และการต่อสู้หลังจากนี้คงต้องใช้พลังอย่างมากเพราะต้องเจอกับยอดฝีมืออีกหลายคน

การประลองทั้งสี่คู่จบลงอย่างรวดเร็ว โดยมีท่านพี่ฉินที่ชนะเข้ารอบแปดคนอย่างสวยงาม…ตามด้วยอวี่เหวินเหลียน หลินฉางชิง และมู่หรงโจว กระดานทองคำประกาศชื่อของผู้เข้ารอบทั้งแปด ได้แก่ เฟิงจี้สิง ฉู๋ฮว๋ายเหมี่ยน ฉินเหลย ฉินเหยียน หลินมู่อวี่ อวี่เหวินเหลียน หลินฉางชิง และมู่หรงโจว ซึ่งหลินฉางชิงและมู่หรงโจวเป็นถึงแม่ทัพระดับสี่ในเขตมณฑลของตน เข้าร่วมกองทัพตั้งแต่อายุยังน้อยและขัดเกลาฝีมือเรื่อยมากระทั่งมีคุณสมบัติเข้าร่วมงานประลองยุทธ์

รายชื่อการประลองรอบแปดคนสุดท้ายถูกประกาศอย่างรวดเร็ว!

เฟิงจี้สิง ปะทะ หลินฉางชิง

อวี่เหวินเหลียน ปะทะ ฉินเหลย

หลินมู่อวี่ ปะทะ ฉินเหยียน.

มู่หรงโจว ปะทะ ฉู๋ฮว๋ายเหมี่ยน

“ข้าได้ประลองกับท่านพี่หลินมู่อวี่จริงหรือนี่…”

ฉินเหยียนเผยท่าทีกังวล “เป็นเช่นนี้ได้อย่างไรกัน…โธ่! ข้าคิดว่าต้องได้เจอกับหลินฉางชิงไม่ก็อวี่เหวินเหลียนเพื่อเข้ารอบสี่คนแท้ๆ!”

ฉินเหลยเอ่ยขึ้น “ได้เข้ารอบแปดคนทั้งที่อายุเพียงสิบแปดก็ถือว่าเก่งมากแล้วนะอาเหยียน หากเจ้าฝึกฝนไปอีกสักเจ็ดถึงแปดปีคงท้าสู้พวกข้าได้แล้วกระมัง?”

ฉินเหยียนยิ้มออกทันที “ใช่! ข้าเห็นด้วยกับท่านพี่!”

ไอ้เด็กบ้า…ช่างไม่รู้จักเจียมตัวเอาเสียเลย

การประลองคู่แรกเริ่มด้วยเฟิงจี้สองปะทะหลินฉางชิง ทั้งคู่เป็นถึงผู้บัญชาการและเชี่ยวชาญทักษะดาบสังหารอย่างมากเพราะผ่านศึกมาอย่างโชกโชน ถึงกระนั้นทักษะดาบและพลังยุทธ์ของเฟิงจี้สิงดูจะเหนือกว่าหลินฉางชิงอยู่ไม่น้อย ทำให้การประลองใช้เวลาไม่นานและจบด้วยการพ่ายแพ้ของหลินฉางชิง

ต่อด้วยคู่ที่สองของอวี่เหวินเหลียนบุตรแห่งแม่ทัพพิทักษ์เมืองอวี่เหวินเซี่ยและฉินเหลยบุตรราชาแห่งสันติ ด้วยความต่างของพลัง…ไม่ถึงสิบยกอวี่เหวินเหลียนก็เจ็บหนักและแพ้ไปในที่สุด พลังโซ่เทวะระดับเจ็ดของฉินเหลยนั้นทรงพลังมาก ทำให้อวี่เหวินเหลียนทำได้เพียงตั้งรับการโจมตีตั้งแต่ยกแรกกระทั่งแพ้ไป

คู่ที่สาม…หลินมุ่อวี่ปะทะฉินเหยียน

แม้จะเป็นคู่ต่อสู้ในลานประลองทว่าทั้งสองก็ยังเป็นสหายกันอยู่ หลินมู่อวี่ชักกระบี่วิญญาณมังกรออกมาพร้อมกับฉินเหยียนที่ตั้งท่าด้วยหอกเขี้ยวอัคคี เสียงร้องของผู้ชมบนอัฒจันทร์ดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ หลินมู่อวี่ที่เป็นถึงบุตรบุญธรรมของจักรพรรดิถูกบรรดาสาวน้อยใหญ่จับจ้องและโบกมือให้กำลังใจเป็นพิเศษ “ท่านหลินมู่อวี่สู้ๆ!”

“ตุบ!”

หังเสี่ยวซีกระแทกถ้วยชาลงบนโต๊ะและแสดงท่าทีไม่พอใจก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยสายตาริษยา “หึ! หลินมู่อวี่เป็นอะไรกับพวกหล่อนงั้นหรือจึงส่งเสียงอย่างออกหน้าออกตาถึงเพียงนี้…ข้าไม่ชอบใจเลย!”

ฉินอินหัวเราะลั่น “เจ้าช่างขี้แยเสียจริงนะเสี่ยวซี…”

“ข้า…ข้า…”

ถังเสี่ยวซีเม้มริมฝีปาก ด้วยไม่อยากยอมรับว่าตัวเองเป็นคนขี้แยจึงเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเง้างอด “เสี่ยวอินล้อเลียนข้า! เจ้ามีความสุขนักรึที่ผู้หญิงพวกนั้นเอ่ยชมมู่มู่?!”

ฉินอินส่ายหัวก่อนจะกล่าวด้วยแววตาอันอ่อนโยน “ไม่เลย…ข้าดีใจที่ทุกคนต่างชื่นชอบท่านพี่ ทว่าเมื่อไรก็ตามที่ข้าได้ครองราชย์…ข้าจะลดเงินเดือนพ่อของพวกนางให้หมด”

ถังเสี่ยวซีมองอย่างนับถือ “สมกับเป็นเจ้าจริงนะเสี่ยวอิน…”

……………………

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+