The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา 330 ลำนำฤดูใบ้ไม้ร่วง

Now you are reading The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา Chapter 330 ลำนำฤดูใบ้ไม้ร่วง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

Ep.330 ลำนำฤดูใบ้ไม้ร่วง

หลินมู่อวี่ดึงธนูที่ปักแขนฉินเหลยออกก่อนจะสวมกอดและพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “ไม่เป็นไรแล้วท่านพี่ฉินเหลย…ข้าจะรับช่วงต่อจากท่าน ข้าจะปกป้องนาง…ไม่ให้ผู้ใดทำร้ายนางได้อีก”

ฉินเหลยไม่ตอบสิ่งใด ร่างกายเริ่มเย็นลง…ในที่สุดลมหายใจสุดท้ายของเขาก็หมดไป

เว่ยโฉว เซี่ยโหวซางและทหารอวี้หลินคนอื่นๆ ลงจากม้าคุกเข่ากับพื้นเพื่อเป็นการเคารพ น้ำตาหลั่งรินอย่างมิอาจห้ามได้

ฉินเหลยผู้นำองครักษ์อวี้หลินแห่งจักรวรรดิฉินสิ้นชีพแล้ว!

“ขึ้นมาและไปตามหาองค์หญิงอิน!”

หลินมู่อวี่ปาดน้ำตาและขึ้นควบม้า แต่ก่อนเขาเคยคิดว่าตนเป็นเพียงผู้มาเยือนโลกแห่งนี้ บัดนี้ไม่ใช่อีกแล้ว…

บริเวณข้างถนนมีกลุ่มคนกำลังอพยพจากเมืองหลันเยี่ยน ทว่าที่รออยู่คงมีแต่ทหารไล่ล่าเท่านั้น

หลินมู่อวี่ที่ถือกระบี่วิญญาณมังกรอยู่ควบม้านำพวกเว่ยโฉวไปโดยไม่คิดสังหารผู้ใดกระทั่งมาหยุดอยู่ด้านหน้ากลุ่มอพยพ ชาวบ้านเสื้อผ้าขาดวิ่นเมื่อเห็นทหารสวมชุดทหารจักรวรรดิอี้เหอก็พากันหยุดวิ่ง นั่งร้องไห้อยู่ในป่าอย่างหวาดกลัว

หลินมู่อวี่สูดหายใจลึกก่อนจะกล่าว “ไม่ต้องร้อง เราไม่ใช่ทหารของอี้เหอ ข้าเพียงอยากจะถามว่ามีใครเห็นองค์หญิงฉินอินบ้างหรือไม่?”

“ท่าน…ไม่ใช่ทหารของจักรวรรดิอี้เหอหรือเจ้าคะ?” หญิงสาวอายุยี่สิบปีเอ่ยถามทั้งน้ำตา

“ใช่ ข้าเป็นคนของจักรวรรดิ แค่ปลอมตัวด้วยชุดของอี้เหอเท่านั้น”

“เช่นนั้นพวกท่าน…” หญิงสาวระเบิดเสียงร้องไห้อย่างหนักก่อนจะพุ่งเข้ามาทุบหลินมู่อวี่ “พวกท่านเป็นเพียงเศษสวะ! คนของจักรวรรดิที่ไหนกัน…ถึงปล่อยให้ไอ้พวกสารเลวจากอี้เหอไล่สังหารคนบริสุทธิ์อย่างพวกข้าถึงเพียงนี้ พวกท่านไม่ใช่คนของจักรวรรดิ…เป็นเพียงเศษขยะ ขยะที่ไร้ค่า!”

หลินมู่อวี่ปล่อยให้หญิงสาวทุบตีโดยไม่ตอบโต้ หลังจากเมืองหลันเยี่ยนแตกพ่าย บางที…นี่อาจเป็นสิ่งที่เขาสมควรได้รับ เป็นสิ่งที่ทหารจักรวรรดิทุกคนสมควรต้องแบกรับอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้

เว่ยโฉวที่อยู่ด้านข้างมองอย่างเหลืออด “พอได้แล้ว! เจ้าคิดว่าเราไม่สู้อย่างนั้นรึ? เจ้ารู้หรือไม่ว่ามีทหารตายไปกี่คน? รู้หรือไม่ว่ากองทัพค่ายเขาเหินกว่าหมื่นเจ็ดคนถูกกวาดล้าง? เพื่อที่จะช่วยพวกเจ้า…ทหารมังกรผงาดกว่าสองหมื่นเหลืออยู่เพียงแค่หยิบมือเดียว รวมไปถึงท่านฉินเหลยผู้บัญชาการทัพไพรสัณฑ์และท่านฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนผู้บัญชาการค่ายเขาเหินที่ยอมพลีชีพอีก! แล้วชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าเจ้าตอนนี้ รู้หรือไม่ว่าเขาได้สังหารพวกอี้เหอไปกี่ร้อยศพ? เมืองหลันเยี่ยนก็บ้านของพวกข้าเช่นเดียวกัน ในขณะที่พวกเจ้าเป็นพลเมือง…ประชาชนทั่วไปที่ไม่ต้องเข้าร่วมสงครามอันโหดร้ายนี้ กลับกันกับพวกข้าที่เป็นทหาร ต้องทำหน้าที่ปกป้องจักรวรรดิอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ฉะนั้นได้โปรด…อย่าได้ดูหมิ่นศักดิ์ศรีของทหารเช่นนี้อีก!”

หญิงสาวยืนอึ้งก่อนจะร้องไห้อีกครา “แล้วเรา…เราจะกลับบ้านของเราได้อีกหรือไม่เจ้าคะ?”

“ได้สิ”

หลินมู่อวี่กล่าว “อีกไม่นานเมืองหลันเยี่ยนจะต้องกลับมาเป็นเหมือนเดิม ในตอนนี้พวกเจ้าจงหนีไปให้ไกลเท่าที่จะทำได้ กระทั่งได้ยินข่าวว่าเมืองฟื้นฟูแล้วค่อยกลับมา”

“ขอบพระคุณมากเจ้าค่ะ”

“รีบไป”

ขณะที่กลุ่มอพยพกำลังจากจากไป ชายชราถือไม้เท้าคนหนึ่งก็เอ่ยขึ้น “นายท่าน องค์หญิงฉินอินที่ท่านกำลังตามหา…ข้าไม่รู้จักนางหรอกขอรับ ทว่าก่อนหน้านี้มีทหารกลุ่มหนึ่งผ่านพวกเราไป หนึ่งในนั้นเป็นหญิงสาวดูอาจหาญต่างจากคนอื่น นางมีกู่ฉินติดตัวไปด้วย…”

“กู่ฉินหรือ?”

หลินมู่อวี่ชะงัก “นางไปทางไหน?”

“เข้าไปในป่าทางตะวันออกเมื่อไม่นานมานี้”

“ขอบคุณมาตาเฒ่า”

หลินมู่อวี่หันไปออกคำสั่งกับพวกเว่ยโฉว “เคลื่อนทัพเต็มกำลัง! เราต้องหาเสี่ยวอินให้เจอ!”

“ขอรับ!”

กลุ่มอพยพกว่าสองร้อยคนวิ่งตัดป่าไปอย่างทุลักทุเล อาณาเขตของเมืองหลันเยี่ยนนั้นกว้างเกินกว่าจะข้ามพ้นได้ในทันที ฉินอินเริ่มเหนื่อยหอบ…ทว่ายังถูกทหารจักรวรรดิอี้เหอจำนวนนับไม่ถ้วนไล่ตามอยู่

หญิงชราคนหนึ่งหันมาเห็นหลินมู่อวี่กับพรรคพวก “แย่แน่…ท่าไม่ดีแล้ว พวกปีศาจอี้เหอมันตามเรามาแล้ว!”

ทว่าทุกคนไปต่อกันไม่ไหวแล้ว ชายวัยกลางคนหนึ่งในนั้นจึงหยิบพลั่วขึ้นมา “สู้พวกเลย!”

“เออ! สู้กับพวกมัน!”

ขณะที่หลินมู่อวี่กำลังควบม้าเข้าใกล้ ชายถือพลั่วที่ดักอยู่ก็ฟาดพลั่วเข้าใจเจี๋ยดี่ทันที ทว่าเจี๋ยดี่เป็นม้าชั้นยอดจากป่านิรันดร์ มันกระโดดหลบการโจมตีได้ หลินมู่อวี่รีบหันมาปราม “หยุดก่อน! พวกเราไม่ใช่ทหารอาสา!”

ด้านหลังหลินมู่อวี่มีเสียงชักดาบออกจากฝัก เมื่อหันไปก็พบว่าปลายดาบนั้นมีวิญญาณยุทธ์โซ่เทวะสีทองเรืองแสงพันอยู่ หลินมู่อวี่จึงรีบเปิดผ้าคลุมออกก่อนจะตะโกนบอก “เสี่ยวอิน นี่ข้าเอง!”

“เอ๊ะ…”

ฉินอินตกตะลึงปล่อยกระบี่จื่อยินกับกู่ฉินลงกับพื้นก่อนจะโผเข้าใส่หลินมู่อวี่และร้องไห้อย่างหนักโดยไม่พูดคำใดสักคำ

หลินมู่อวี่โอบกอดพลางลูบหลังฉินอิน กระทั่งสิบนาทีผ่านไปนางจึงปล่อยแขน “เมืองหลันเยี่ยนพังทลาย…จักรวรรดิล่มสลายแล้ว…”

“ไม่ จักรวรรดิและเมืองของเราจะถูกสร้างขึ้นใหม่ แต่ตอนนี้เราจะเสียขวัญไม่ได้” หลินมู่อวี่มองหน้าฉินอิน “เสี่ยวอิน เจ้าต้องเข้มแข็งเข้าไว้ เราทุกคนต่างรอให้เจ้ากลับไปสร้างจักรวรรดิใหม่อีกครั้ง”

ฉินอินพูดพลางร้องไห้ไม่หยุด “แล้วเมืองหลันเยี่ยนเป็นอย่างไรบ้าง?”

“กำแพงเมืองทั้งสี่ทิศถูกถล่มแล้ว”

หลินมู่อวี่ร่างสั่นเทิ้ม “ท่านฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนและท่านฉินเหลยพลีชีพ…”

“ว่าอย่างไรนะ…”

ฉินอินตัวสั่นน้ำตาไหลหันไปมองทิศที่เมืองหลันเยี่ยนตั้งอยู่ “เกิดอะไรขึ้นกันแน่อาอวี่? ได้ข่าวท่านเฟิงจี้สิงได้หรือไม่?”

“ไม่เลย”

หลินมู่อวี่ส่ายหัว “เสี่ยวอินได้ข่าวผู้เฒ่าชวี ผู้นำเหล่ยหง หรือฉู่เหยาบ้างหรือไม่? “

ฉินอินตอบ “ก่อนหน้านี้ท่านผู้เฒ่าชวีอยู่กับพวกเรา แต่ท่านแยกตัวออกไปเพื่อล่อพวกทหารอาสา ส่วนท่านผู้นำเหล่ยหงช่วยรวบรวมหน่วยพยาบาลแล้วพาอพยพไปอยู่ในวิหารศักดิ์สิทธิ์ ท่านพี่ฉู่เหยาก็ไปกับเขาด้วย แต่…ข้าได้ยินมาว่าลั่วหลานชายผู้ขอบเขตเทวะได้ไปทางวิหาร ข้าเกรงว่า…”

“ท่านพี่ฉู่เหยาต้องปลอดภัยแน่…” ถึงหลินมู่อวี่ตอบเช่นนั้นทว่ากลับเป็นกังวลเสียเอง

ทันใดนั้นเว่ยโฉวก็เอ่ยขึ้น “ท่านแม่ทัพขอรับ มีคนจากจักรวรรดิอี้เหอกำลังมาทางนี้ เป็นกองทหารม้าราวหนึ่งพันนาย เราจะทำอย่างไรกันดีขอรับ? หากเราหนี ข้าเกรงว่าองค์หญิงอินกับคนอื่นๆ จะ…”

“เราจะไม่ไปไหนทั้งสิ้น!”

หลินมู่อวี่ตอบอย่างแน่วแน่ “ต่อให้ตายก็ต้องปกป้องทุกคนให้ได้ ถึงกระนั้นก็อย่าได้ประมาท เราจะสู้กับกองทัพพันคนซึ่งหน้าไม่ได้”

“ขอรับ!”

หลินมู่อวี่ขึ้นควบม้าและหันไปทางกองทัพอี้เหอ ผู้บัญชาการกองหมื่นคนหนึ่งเมื่อเห็นยศจากชุดของหลินมู่อวี่ก็รีบคำนับทันที “เป็นท่านแม่ทัพเองหรือขอรับ ข้าน้อยมีนามว่าติงซี่ เป็นผู้นำของทหารเมืองสายัณห์ ไม่ทราบว่าเหตุใดท่านจึงมาอยู่กับพวกจักรวรรดิต่ำตมนี้ได้เล่า?”

“อ้อ…แม่ทัพติงซี่นี่เอง”

หลินมู่อวี่ยิ้มตอบ “ตลอดหลายวันมานี้ข้ารบอย่างหนักหน่วงร่างกายจึงเหนื่อยล้า ข้ากำลังไล่ล่าพวกมันอยู่กระทั่งได้เจอกับแม่หญิงที่เล่นกู่ฉินคนนี้ หากไม่รังเกียจ…ก็มาฟังกับข้าสักเพลงสองเพลงสิ”

ติงซี่กวาดสายตามองกลุ่มคนเบื้องหน้าด้วยท่าทีประหลาดใจเล็กน้อย “ท่านแม่ทัพช่างตาถึงเสียจริง ตามคำสั่งท่านนายพลที่ให้ล้างบางทั้งเมือง หากท่านพึงใจแม่หญิงผู้นี้ ท่านพานางไปได้เลย ส่วนที่เหลือข้าจะจัดการให้เอง!”

“ไม่ต้อง”

หลินมู่อวี่ยกมือห้าม “อย่าให้เลือดต้องเปื้อนมือท่านเลย เชิญท่านแม่ทัพล่วงหน้าไปก่อนเถิด เดี๋ยวข้าจะจัดการพวกมันเองอย่าได้ห่วง!”

“เช่นนั้นก็ย่อมได้ ทว่าข้าขออยู่ฟังเพลงกับท่านเสียก่อนค่อยออกเดินทางต่อ”

“ไม่มีปัญหา”

หลินมู่อวี่นั่งขัดสมาธิกับพวกเว่ยโฉว มองฉินอินค่อยๆ ถอดผ้าคลุมหน้าออกและนั่งลงบนหญ้าอย่างเรียบร้อยก่อนจะเริ่มบรรเลงกู่ฉิน ปลายนิ้วเรียวดีดเครื่องสายอย่างช้าๆ พลางขยับริมฝีปากร้องเพลงสรรเสริญแห่งจักรวรรดิฉิน ‘ลำนำฤดูใบไม้ร่วง’ทุกถ้อยคำที่เอื้อนเอ่ยออกมาราวกับมีสายฝนโปรยปรายอยู่ในใจของพลเมืองแห่งจักรวรรดิที่ได้ฟัง

‘ผืนดินกว้างเปี่ยมแอ่งน้ำเทือกเขาใหญ่

แสงจันทร์ไล้อาบทั่วสนามศึก

ทุ่งนาข้าวลู่ลมหนาวใต้ควันคึก

ฝืนใจนึกนักรบกล้าสู่สงคราม

ฆ่าปลิดชีพศัตรูชาติสวะ

ไม่ลดละเกิดบาดแผลไร้ใครถาม

จากบ้านมาแสนไกลไม่รู้ยาม

จนวู่วามเพลี่ยงพล้ำแทบสิ้นลม

เพื่อปกปักยอมพลีชีพรักษ์ถิ่นฐาน

หวังวิญญาณกลับสู่บ้านอย่างสุขสม

ฝังเกราะพังร่างไร้ชีพจิตทุกข์ตรม

โปรดเถิดลมฤดูสารทพาข้าไป’

จวบจนบทเพลงจบ เว่ยโฉว เซี่ยโหวซางและคนอื่นๆ ต่างน้ำตานองหน้า แม้แต่หลินมู่อวี่เองยังต้องพยายามกลั้นไว้ หวนนึกถึงการตายของฉู่ฮว๋ายเหมี่ยน ฉินเหลย และทหารอีกหลายนาย บางทีเพลงของฉันอินคงช่วยปลอบประโลมวิญญาณของพวกเขาได้ รวมไปถึงทหารทุกนายที่ออกจากจักรวรรดิมาเช่นเดียวกับเขา…และศัตรูเบื้องหน้า?

ติงซี่ตาแดงก่ำกระโดดขึ้นม้าก่อนจะประสานกำปั้นคำนับ “ท่านแม่ทัพ จุดจบได้ใกล้เข้ามาแล้ว…ข้าหวังว่าท่านจะดูแลสมบัติของท่านได้อย่างดี ตราบใดที่ยังมีความหวังอันริบหรี่ทุกอย่างย่อมเป็นไปได้!”

หลินมู่อวี่ชะงัก หรือติงซี่จะรู้แล้วว่านางคือฉินอิน?!

หากเป็นเช่นนั้นแสดงว่าติงซี่ตั้งใจปล่อยนางไป

ไม่นานนักหลังจากติงซี่จากไป ก็มีเสียงเกือกม้าวิ่งมาจากทางตะวันออกก่อนจะปรากฏเป็นทหารกลุ่มใหญ่ประดับธงมังกรผงาด ใต้แสงอาทิตย์ยามเช้า เหรียญตราจักรพรรดินั้นน่าหลงใหลอย่างยิ่ง ทหารที่มาหาพวกหลินมู่อวี่คือหลัวอวี่กับพรรคพวกนั่นเอง!

“ท่านผู้บัญชาการ!”

ทันทีที่เห็นว่าเป็นหลินมู่อวี่ หลัวอวี่กับคนอื่นๆ ก็ลงจากม้าและคุกเข่า “เรา…เราหาองค์หญิงอินไม่พบขอรับ…”

“ไม่เป็นไร ข้าเจอนางแล้ว”

หลินมู่อวี่ผายมือไปด้านหลัง “ทักทายนางเสียสิ”

ทันใดนั้นทหารมังกรผงาดทั้งพันคนก็เข้าถวายบังคมแก่ฉินอิน “ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะองค์หญิงอิน!”

ฉินอินทำมือเป็นเชิง “ลุกขึ้นเถิด!”

หลินมู่อวี่กล่าว “ตอนนี้เป็นเวลาเร่งด่วน เราจะชักช้าไม่ได้ เว่ยโฉว หลัวอวี่ พวกเจ้าจงรวมกำลังพลและพาองค์หญิงอินออกไปจากเมืองหลันเยี่ยน”

“ไปที่ใดเล่าขอรับ?” หลัวอวี่ถาม

“ภูเขาหลงหยาน…”

หลินมู่อวี่นิ่งคิดก่อนจะกล่าวต่อ “เมื่อติดต่อกับมณฑลอวิ้นจงได้ ให้พาองค์หญิงไปส่งที่นั่น ถึงอย่างไรท่านหยุนกงก็เป็นตาของนาง เขาต้องปกป้องนางได้แน่”

“ขอรับ”

เมื่อเห็นหลินมู่อวี่ขึ้นควบม้า หลัวอวี่ก็สงสัย “ท่านผู้บัญชาการจะไปไหนหรือขอรับ?”

“ข้า…ข้าจะไปตามหาฉู่เหยา”

หลินมู่อวี่แสดงสีหน้าเศร้าหมอง “หลังจากท่านพี่ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนตาย ข้าก็เหลือพี่ฉู่เหยาเป็นญาติเพียงคนเดียว ข้าจึงต้องตามหานาง…มิเช่นนั้นข้าคงรู้สึกผิดต่อท่านพี่ฉู่ที่อยู่บนสวรรค์”

“ข้าจะไปกับท่านด้วย”

“อย่ามัวเสียเวลาเลย เจ้าไปองค์หญิงเถิด ข้าจะไปของข้าเอง หากเจ้าตามข้าไปจะเป็นภาระเสียเปล่า”

“ขอรับท่าน…”

“อาอวี่” ฉินอินเอ่ยขึ้นอย่างกะทันหัน

“ว่าอย่างไรเสี่ยวอิน?” หลินมู่อวี่ยิ้มถาม

แม้ฉินอินจะมีคำถามในใจมากมาย ทว่านางทำเพียงยิ้มอย่างอ่อนโยนให้หลินมู่อวี่ “แม้หนทางจะยาวไกลสักเพียงไหน ข้าจะต้องได้เจอเจ้าอีก”

“อืม เราจะต้องได้เจอกันอีกครั้ง!”

หลินมู่อวี่พยักหน้าและควบม้าจากไป

…………………………………..

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา 330 ลำนำฤดูใบ้ไม้ร่วง

Now you are reading The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา Chapter 330 ลำนำฤดูใบ้ไม้ร่วง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

Ep.330 ลำนำฤดูใบ้ไม้ร่วง

หลินมู่อวี่ดึงธนูที่ปักแขนฉินเหลยออกก่อนจะสวมกอดและพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “ไม่เป็นไรแล้วท่านพี่ฉินเหลย…ข้าจะรับช่วงต่อจากท่าน ข้าจะปกป้องนาง…ไม่ให้ผู้ใดทำร้ายนางได้อีก”

ฉินเหลยไม่ตอบสิ่งใด ร่างกายเริ่มเย็นลง…ในที่สุดลมหายใจสุดท้ายของเขาก็หมดไป

เว่ยโฉว เซี่ยโหวซางและทหารอวี้หลินคนอื่นๆ ลงจากม้าคุกเข่ากับพื้นเพื่อเป็นการเคารพ น้ำตาหลั่งรินอย่างมิอาจห้ามได้

ฉินเหลยผู้นำองครักษ์อวี้หลินแห่งจักรวรรดิฉินสิ้นชีพแล้ว!

“ขึ้นมาและไปตามหาองค์หญิงอิน!”

หลินมู่อวี่ปาดน้ำตาและขึ้นควบม้า แต่ก่อนเขาเคยคิดว่าตนเป็นเพียงผู้มาเยือนโลกแห่งนี้ บัดนี้ไม่ใช่อีกแล้ว…

บริเวณข้างถนนมีกลุ่มคนกำลังอพยพจากเมืองหลันเยี่ยน ทว่าที่รออยู่คงมีแต่ทหารไล่ล่าเท่านั้น

หลินมู่อวี่ที่ถือกระบี่วิญญาณมังกรอยู่ควบม้านำพวกเว่ยโฉวไปโดยไม่คิดสังหารผู้ใดกระทั่งมาหยุดอยู่ด้านหน้ากลุ่มอพยพ ชาวบ้านเสื้อผ้าขาดวิ่นเมื่อเห็นทหารสวมชุดทหารจักรวรรดิอี้เหอก็พากันหยุดวิ่ง นั่งร้องไห้อยู่ในป่าอย่างหวาดกลัว

หลินมู่อวี่สูดหายใจลึกก่อนจะกล่าว “ไม่ต้องร้อง เราไม่ใช่ทหารของอี้เหอ ข้าเพียงอยากจะถามว่ามีใครเห็นองค์หญิงฉินอินบ้างหรือไม่?”

“ท่าน…ไม่ใช่ทหารของจักรวรรดิอี้เหอหรือเจ้าคะ?” หญิงสาวอายุยี่สิบปีเอ่ยถามทั้งน้ำตา

“ใช่ ข้าเป็นคนของจักรวรรดิ แค่ปลอมตัวด้วยชุดของอี้เหอเท่านั้น”

“เช่นนั้นพวกท่าน…” หญิงสาวระเบิดเสียงร้องไห้อย่างหนักก่อนจะพุ่งเข้ามาทุบหลินมู่อวี่ “พวกท่านเป็นเพียงเศษสวะ! คนของจักรวรรดิที่ไหนกัน…ถึงปล่อยให้ไอ้พวกสารเลวจากอี้เหอไล่สังหารคนบริสุทธิ์อย่างพวกข้าถึงเพียงนี้ พวกท่านไม่ใช่คนของจักรวรรดิ…เป็นเพียงเศษขยะ ขยะที่ไร้ค่า!”

หลินมู่อวี่ปล่อยให้หญิงสาวทุบตีโดยไม่ตอบโต้ หลังจากเมืองหลันเยี่ยนแตกพ่าย บางที…นี่อาจเป็นสิ่งที่เขาสมควรได้รับ เป็นสิ่งที่ทหารจักรวรรดิทุกคนสมควรต้องแบกรับอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้

เว่ยโฉวที่อยู่ด้านข้างมองอย่างเหลืออด “พอได้แล้ว! เจ้าคิดว่าเราไม่สู้อย่างนั้นรึ? เจ้ารู้หรือไม่ว่ามีทหารตายไปกี่คน? รู้หรือไม่ว่ากองทัพค่ายเขาเหินกว่าหมื่นเจ็ดคนถูกกวาดล้าง? เพื่อที่จะช่วยพวกเจ้า…ทหารมังกรผงาดกว่าสองหมื่นเหลืออยู่เพียงแค่หยิบมือเดียว รวมไปถึงท่านฉินเหลยผู้บัญชาการทัพไพรสัณฑ์และท่านฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนผู้บัญชาการค่ายเขาเหินที่ยอมพลีชีพอีก! แล้วชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าเจ้าตอนนี้ รู้หรือไม่ว่าเขาได้สังหารพวกอี้เหอไปกี่ร้อยศพ? เมืองหลันเยี่ยนก็บ้านของพวกข้าเช่นเดียวกัน ในขณะที่พวกเจ้าเป็นพลเมือง…ประชาชนทั่วไปที่ไม่ต้องเข้าร่วมสงครามอันโหดร้ายนี้ กลับกันกับพวกข้าที่เป็นทหาร ต้องทำหน้าที่ปกป้องจักรวรรดิอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ฉะนั้นได้โปรด…อย่าได้ดูหมิ่นศักดิ์ศรีของทหารเช่นนี้อีก!”

หญิงสาวยืนอึ้งก่อนจะร้องไห้อีกครา “แล้วเรา…เราจะกลับบ้านของเราได้อีกหรือไม่เจ้าคะ?”

“ได้สิ”

หลินมู่อวี่กล่าว “อีกไม่นานเมืองหลันเยี่ยนจะต้องกลับมาเป็นเหมือนเดิม ในตอนนี้พวกเจ้าจงหนีไปให้ไกลเท่าที่จะทำได้ กระทั่งได้ยินข่าวว่าเมืองฟื้นฟูแล้วค่อยกลับมา”

“ขอบพระคุณมากเจ้าค่ะ”

“รีบไป”

ขณะที่กลุ่มอพยพกำลังจากจากไป ชายชราถือไม้เท้าคนหนึ่งก็เอ่ยขึ้น “นายท่าน องค์หญิงฉินอินที่ท่านกำลังตามหา…ข้าไม่รู้จักนางหรอกขอรับ ทว่าก่อนหน้านี้มีทหารกลุ่มหนึ่งผ่านพวกเราไป หนึ่งในนั้นเป็นหญิงสาวดูอาจหาญต่างจากคนอื่น นางมีกู่ฉินติดตัวไปด้วย…”

“กู่ฉินหรือ?”

หลินมู่อวี่ชะงัก “นางไปทางไหน?”

“เข้าไปในป่าทางตะวันออกเมื่อไม่นานมานี้”

“ขอบคุณมาตาเฒ่า”

หลินมู่อวี่หันไปออกคำสั่งกับพวกเว่ยโฉว “เคลื่อนทัพเต็มกำลัง! เราต้องหาเสี่ยวอินให้เจอ!”

“ขอรับ!”

กลุ่มอพยพกว่าสองร้อยคนวิ่งตัดป่าไปอย่างทุลักทุเล อาณาเขตของเมืองหลันเยี่ยนนั้นกว้างเกินกว่าจะข้ามพ้นได้ในทันที ฉินอินเริ่มเหนื่อยหอบ…ทว่ายังถูกทหารจักรวรรดิอี้เหอจำนวนนับไม่ถ้วนไล่ตามอยู่

หญิงชราคนหนึ่งหันมาเห็นหลินมู่อวี่กับพรรคพวก “แย่แน่…ท่าไม่ดีแล้ว พวกปีศาจอี้เหอมันตามเรามาแล้ว!”

ทว่าทุกคนไปต่อกันไม่ไหวแล้ว ชายวัยกลางคนหนึ่งในนั้นจึงหยิบพลั่วขึ้นมา “สู้พวกเลย!”

“เออ! สู้กับพวกมัน!”

ขณะที่หลินมู่อวี่กำลังควบม้าเข้าใกล้ ชายถือพลั่วที่ดักอยู่ก็ฟาดพลั่วเข้าใจเจี๋ยดี่ทันที ทว่าเจี๋ยดี่เป็นม้าชั้นยอดจากป่านิรันดร์ มันกระโดดหลบการโจมตีได้ หลินมู่อวี่รีบหันมาปราม “หยุดก่อน! พวกเราไม่ใช่ทหารอาสา!”

ด้านหลังหลินมู่อวี่มีเสียงชักดาบออกจากฝัก เมื่อหันไปก็พบว่าปลายดาบนั้นมีวิญญาณยุทธ์โซ่เทวะสีทองเรืองแสงพันอยู่ หลินมู่อวี่จึงรีบเปิดผ้าคลุมออกก่อนจะตะโกนบอก “เสี่ยวอิน นี่ข้าเอง!”

“เอ๊ะ…”

ฉินอินตกตะลึงปล่อยกระบี่จื่อยินกับกู่ฉินลงกับพื้นก่อนจะโผเข้าใส่หลินมู่อวี่และร้องไห้อย่างหนักโดยไม่พูดคำใดสักคำ

หลินมู่อวี่โอบกอดพลางลูบหลังฉินอิน กระทั่งสิบนาทีผ่านไปนางจึงปล่อยแขน “เมืองหลันเยี่ยนพังทลาย…จักรวรรดิล่มสลายแล้ว…”

“ไม่ จักรวรรดิและเมืองของเราจะถูกสร้างขึ้นใหม่ แต่ตอนนี้เราจะเสียขวัญไม่ได้” หลินมู่อวี่มองหน้าฉินอิน “เสี่ยวอิน เจ้าต้องเข้มแข็งเข้าไว้ เราทุกคนต่างรอให้เจ้ากลับไปสร้างจักรวรรดิใหม่อีกครั้ง”

ฉินอินพูดพลางร้องไห้ไม่หยุด “แล้วเมืองหลันเยี่ยนเป็นอย่างไรบ้าง?”

“กำแพงเมืองทั้งสี่ทิศถูกถล่มแล้ว”

หลินมู่อวี่ร่างสั่นเทิ้ม “ท่านฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนและท่านฉินเหลยพลีชีพ…”

“ว่าอย่างไรนะ…”

ฉินอินตัวสั่นน้ำตาไหลหันไปมองทิศที่เมืองหลันเยี่ยนตั้งอยู่ “เกิดอะไรขึ้นกันแน่อาอวี่? ได้ข่าวท่านเฟิงจี้สิงได้หรือไม่?”

“ไม่เลย”

หลินมู่อวี่ส่ายหัว “เสี่ยวอินได้ข่าวผู้เฒ่าชวี ผู้นำเหล่ยหง หรือฉู่เหยาบ้างหรือไม่? “

ฉินอินตอบ “ก่อนหน้านี้ท่านผู้เฒ่าชวีอยู่กับพวกเรา แต่ท่านแยกตัวออกไปเพื่อล่อพวกทหารอาสา ส่วนท่านผู้นำเหล่ยหงช่วยรวบรวมหน่วยพยาบาลแล้วพาอพยพไปอยู่ในวิหารศักดิ์สิทธิ์ ท่านพี่ฉู่เหยาก็ไปกับเขาด้วย แต่…ข้าได้ยินมาว่าลั่วหลานชายผู้ขอบเขตเทวะได้ไปทางวิหาร ข้าเกรงว่า…”

“ท่านพี่ฉู่เหยาต้องปลอดภัยแน่…” ถึงหลินมู่อวี่ตอบเช่นนั้นทว่ากลับเป็นกังวลเสียเอง

ทันใดนั้นเว่ยโฉวก็เอ่ยขึ้น “ท่านแม่ทัพขอรับ มีคนจากจักรวรรดิอี้เหอกำลังมาทางนี้ เป็นกองทหารม้าราวหนึ่งพันนาย เราจะทำอย่างไรกันดีขอรับ? หากเราหนี ข้าเกรงว่าองค์หญิงอินกับคนอื่นๆ จะ…”

“เราจะไม่ไปไหนทั้งสิ้น!”

หลินมู่อวี่ตอบอย่างแน่วแน่ “ต่อให้ตายก็ต้องปกป้องทุกคนให้ได้ ถึงกระนั้นก็อย่าได้ประมาท เราจะสู้กับกองทัพพันคนซึ่งหน้าไม่ได้”

“ขอรับ!”

หลินมู่อวี่ขึ้นควบม้าและหันไปทางกองทัพอี้เหอ ผู้บัญชาการกองหมื่นคนหนึ่งเมื่อเห็นยศจากชุดของหลินมู่อวี่ก็รีบคำนับทันที “เป็นท่านแม่ทัพเองหรือขอรับ ข้าน้อยมีนามว่าติงซี่ เป็นผู้นำของทหารเมืองสายัณห์ ไม่ทราบว่าเหตุใดท่านจึงมาอยู่กับพวกจักรวรรดิต่ำตมนี้ได้เล่า?”

“อ้อ…แม่ทัพติงซี่นี่เอง”

หลินมู่อวี่ยิ้มตอบ “ตลอดหลายวันมานี้ข้ารบอย่างหนักหน่วงร่างกายจึงเหนื่อยล้า ข้ากำลังไล่ล่าพวกมันอยู่กระทั่งได้เจอกับแม่หญิงที่เล่นกู่ฉินคนนี้ หากไม่รังเกียจ…ก็มาฟังกับข้าสักเพลงสองเพลงสิ”

ติงซี่กวาดสายตามองกลุ่มคนเบื้องหน้าด้วยท่าทีประหลาดใจเล็กน้อย “ท่านแม่ทัพช่างตาถึงเสียจริง ตามคำสั่งท่านนายพลที่ให้ล้างบางทั้งเมือง หากท่านพึงใจแม่หญิงผู้นี้ ท่านพานางไปได้เลย ส่วนที่เหลือข้าจะจัดการให้เอง!”

“ไม่ต้อง”

หลินมู่อวี่ยกมือห้าม “อย่าให้เลือดต้องเปื้อนมือท่านเลย เชิญท่านแม่ทัพล่วงหน้าไปก่อนเถิด เดี๋ยวข้าจะจัดการพวกมันเองอย่าได้ห่วง!”

“เช่นนั้นก็ย่อมได้ ทว่าข้าขออยู่ฟังเพลงกับท่านเสียก่อนค่อยออกเดินทางต่อ”

“ไม่มีปัญหา”

หลินมู่อวี่นั่งขัดสมาธิกับพวกเว่ยโฉว มองฉินอินค่อยๆ ถอดผ้าคลุมหน้าออกและนั่งลงบนหญ้าอย่างเรียบร้อยก่อนจะเริ่มบรรเลงกู่ฉิน ปลายนิ้วเรียวดีดเครื่องสายอย่างช้าๆ พลางขยับริมฝีปากร้องเพลงสรรเสริญแห่งจักรวรรดิฉิน ‘ลำนำฤดูใบไม้ร่วง’ทุกถ้อยคำที่เอื้อนเอ่ยออกมาราวกับมีสายฝนโปรยปรายอยู่ในใจของพลเมืองแห่งจักรวรรดิที่ได้ฟัง

‘ผืนดินกว้างเปี่ยมแอ่งน้ำเทือกเขาใหญ่

แสงจันทร์ไล้อาบทั่วสนามศึก

ทุ่งนาข้าวลู่ลมหนาวใต้ควันคึก

ฝืนใจนึกนักรบกล้าสู่สงคราม

ฆ่าปลิดชีพศัตรูชาติสวะ

ไม่ลดละเกิดบาดแผลไร้ใครถาม

จากบ้านมาแสนไกลไม่รู้ยาม

จนวู่วามเพลี่ยงพล้ำแทบสิ้นลม

เพื่อปกปักยอมพลีชีพรักษ์ถิ่นฐาน

หวังวิญญาณกลับสู่บ้านอย่างสุขสม

ฝังเกราะพังร่างไร้ชีพจิตทุกข์ตรม

โปรดเถิดลมฤดูสารทพาข้าไป’

จวบจนบทเพลงจบ เว่ยโฉว เซี่ยโหวซางและคนอื่นๆ ต่างน้ำตานองหน้า แม้แต่หลินมู่อวี่เองยังต้องพยายามกลั้นไว้ หวนนึกถึงการตายของฉู่ฮว๋ายเหมี่ยน ฉินเหลย และทหารอีกหลายนาย บางทีเพลงของฉันอินคงช่วยปลอบประโลมวิญญาณของพวกเขาได้ รวมไปถึงทหารทุกนายที่ออกจากจักรวรรดิมาเช่นเดียวกับเขา…และศัตรูเบื้องหน้า?

ติงซี่ตาแดงก่ำกระโดดขึ้นม้าก่อนจะประสานกำปั้นคำนับ “ท่านแม่ทัพ จุดจบได้ใกล้เข้ามาแล้ว…ข้าหวังว่าท่านจะดูแลสมบัติของท่านได้อย่างดี ตราบใดที่ยังมีความหวังอันริบหรี่ทุกอย่างย่อมเป็นไปได้!”

หลินมู่อวี่ชะงัก หรือติงซี่จะรู้แล้วว่านางคือฉินอิน?!

หากเป็นเช่นนั้นแสดงว่าติงซี่ตั้งใจปล่อยนางไป

ไม่นานนักหลังจากติงซี่จากไป ก็มีเสียงเกือกม้าวิ่งมาจากทางตะวันออกก่อนจะปรากฏเป็นทหารกลุ่มใหญ่ประดับธงมังกรผงาด ใต้แสงอาทิตย์ยามเช้า เหรียญตราจักรพรรดินั้นน่าหลงใหลอย่างยิ่ง ทหารที่มาหาพวกหลินมู่อวี่คือหลัวอวี่กับพรรคพวกนั่นเอง!

“ท่านผู้บัญชาการ!”

ทันทีที่เห็นว่าเป็นหลินมู่อวี่ หลัวอวี่กับคนอื่นๆ ก็ลงจากม้าและคุกเข่า “เรา…เราหาองค์หญิงอินไม่พบขอรับ…”

“ไม่เป็นไร ข้าเจอนางแล้ว”

หลินมู่อวี่ผายมือไปด้านหลัง “ทักทายนางเสียสิ”

ทันใดนั้นทหารมังกรผงาดทั้งพันคนก็เข้าถวายบังคมแก่ฉินอิน “ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะองค์หญิงอิน!”

ฉินอินทำมือเป็นเชิง “ลุกขึ้นเถิด!”

หลินมู่อวี่กล่าว “ตอนนี้เป็นเวลาเร่งด่วน เราจะชักช้าไม่ได้ เว่ยโฉว หลัวอวี่ พวกเจ้าจงรวมกำลังพลและพาองค์หญิงอินออกไปจากเมืองหลันเยี่ยน”

“ไปที่ใดเล่าขอรับ?” หลัวอวี่ถาม

“ภูเขาหลงหยาน…”

หลินมู่อวี่นิ่งคิดก่อนจะกล่าวต่อ “เมื่อติดต่อกับมณฑลอวิ้นจงได้ ให้พาองค์หญิงไปส่งที่นั่น ถึงอย่างไรท่านหยุนกงก็เป็นตาของนาง เขาต้องปกป้องนางได้แน่”

“ขอรับ”

เมื่อเห็นหลินมู่อวี่ขึ้นควบม้า หลัวอวี่ก็สงสัย “ท่านผู้บัญชาการจะไปไหนหรือขอรับ?”

“ข้า…ข้าจะไปตามหาฉู่เหยา”

หลินมู่อวี่แสดงสีหน้าเศร้าหมอง “หลังจากท่านพี่ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนตาย ข้าก็เหลือพี่ฉู่เหยาเป็นญาติเพียงคนเดียว ข้าจึงต้องตามหานาง…มิเช่นนั้นข้าคงรู้สึกผิดต่อท่านพี่ฉู่ที่อยู่บนสวรรค์”

“ข้าจะไปกับท่านด้วย”

“อย่ามัวเสียเวลาเลย เจ้าไปองค์หญิงเถิด ข้าจะไปของข้าเอง หากเจ้าตามข้าไปจะเป็นภาระเสียเปล่า”

“ขอรับท่าน…”

“อาอวี่” ฉินอินเอ่ยขึ้นอย่างกะทันหัน

“ว่าอย่างไรเสี่ยวอิน?” หลินมู่อวี่ยิ้มถาม

แม้ฉินอินจะมีคำถามในใจมากมาย ทว่านางทำเพียงยิ้มอย่างอ่อนโยนให้หลินมู่อวี่ “แม้หนทางจะยาวไกลสักเพียงไหน ข้าจะต้องได้เจอเจ้าอีก”

“อืม เราจะต้องได้เจอกันอีกครั้ง!”

หลินมู่อวี่พยักหน้าและควบม้าจากไป

…………………………………..

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา 330 ลำนำฤดูใบ้ไม้ร่วง

Now you are reading The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา Chapter 330 ลำนำฤดูใบ้ไม้ร่วง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

Ep.330 ลำนำฤดูใบ้ไม้ร่วง

หลินมู่อวี่ดึงธนูที่ปักแขนฉินเหลยออกก่อนจะสวมกอดและพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “ไม่เป็นไรแล้วท่านพี่ฉินเหลย…ข้าจะรับช่วงต่อจากท่าน ข้าจะปกป้องนาง…ไม่ให้ผู้ใดทำร้ายนางได้อีก”

ฉินเหลยไม่ตอบสิ่งใด ร่างกายเริ่มเย็นลง…ในที่สุดลมหายใจสุดท้ายของเขาก็หมดไป

เว่ยโฉว เซี่ยโหวซางและทหารอวี้หลินคนอื่นๆ ลงจากม้าคุกเข่ากับพื้นเพื่อเป็นการเคารพ น้ำตาหลั่งรินอย่างมิอาจห้ามได้

ฉินเหลยผู้นำองครักษ์อวี้หลินแห่งจักรวรรดิฉินสิ้นชีพแล้ว!

“ขึ้นมาและไปตามหาองค์หญิงอิน!”

หลินมู่อวี่ปาดน้ำตาและขึ้นควบม้า แต่ก่อนเขาเคยคิดว่าตนเป็นเพียงผู้มาเยือนโลกแห่งนี้ บัดนี้ไม่ใช่อีกแล้ว…

บริเวณข้างถนนมีกลุ่มคนกำลังอพยพจากเมืองหลันเยี่ยน ทว่าที่รออยู่คงมีแต่ทหารไล่ล่าเท่านั้น

หลินมู่อวี่ที่ถือกระบี่วิญญาณมังกรอยู่ควบม้านำพวกเว่ยโฉวไปโดยไม่คิดสังหารผู้ใดกระทั่งมาหยุดอยู่ด้านหน้ากลุ่มอพยพ ชาวบ้านเสื้อผ้าขาดวิ่นเมื่อเห็นทหารสวมชุดทหารจักรวรรดิอี้เหอก็พากันหยุดวิ่ง นั่งร้องไห้อยู่ในป่าอย่างหวาดกลัว

หลินมู่อวี่สูดหายใจลึกก่อนจะกล่าว “ไม่ต้องร้อง เราไม่ใช่ทหารของอี้เหอ ข้าเพียงอยากจะถามว่ามีใครเห็นองค์หญิงฉินอินบ้างหรือไม่?”

“ท่าน…ไม่ใช่ทหารของจักรวรรดิอี้เหอหรือเจ้าคะ?” หญิงสาวอายุยี่สิบปีเอ่ยถามทั้งน้ำตา

“ใช่ ข้าเป็นคนของจักรวรรดิ แค่ปลอมตัวด้วยชุดของอี้เหอเท่านั้น”

“เช่นนั้นพวกท่าน…” หญิงสาวระเบิดเสียงร้องไห้อย่างหนักก่อนจะพุ่งเข้ามาทุบหลินมู่อวี่ “พวกท่านเป็นเพียงเศษสวะ! คนของจักรวรรดิที่ไหนกัน…ถึงปล่อยให้ไอ้พวกสารเลวจากอี้เหอไล่สังหารคนบริสุทธิ์อย่างพวกข้าถึงเพียงนี้ พวกท่านไม่ใช่คนของจักรวรรดิ…เป็นเพียงเศษขยะ ขยะที่ไร้ค่า!”

หลินมู่อวี่ปล่อยให้หญิงสาวทุบตีโดยไม่ตอบโต้ หลังจากเมืองหลันเยี่ยนแตกพ่าย บางที…นี่อาจเป็นสิ่งที่เขาสมควรได้รับ เป็นสิ่งที่ทหารจักรวรรดิทุกคนสมควรต้องแบกรับอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้

เว่ยโฉวที่อยู่ด้านข้างมองอย่างเหลืออด “พอได้แล้ว! เจ้าคิดว่าเราไม่สู้อย่างนั้นรึ? เจ้ารู้หรือไม่ว่ามีทหารตายไปกี่คน? รู้หรือไม่ว่ากองทัพค่ายเขาเหินกว่าหมื่นเจ็ดคนถูกกวาดล้าง? เพื่อที่จะช่วยพวกเจ้า…ทหารมังกรผงาดกว่าสองหมื่นเหลืออยู่เพียงแค่หยิบมือเดียว รวมไปถึงท่านฉินเหลยผู้บัญชาการทัพไพรสัณฑ์และท่านฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนผู้บัญชาการค่ายเขาเหินที่ยอมพลีชีพอีก! แล้วชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าเจ้าตอนนี้ รู้หรือไม่ว่าเขาได้สังหารพวกอี้เหอไปกี่ร้อยศพ? เมืองหลันเยี่ยนก็บ้านของพวกข้าเช่นเดียวกัน ในขณะที่พวกเจ้าเป็นพลเมือง…ประชาชนทั่วไปที่ไม่ต้องเข้าร่วมสงครามอันโหดร้ายนี้ กลับกันกับพวกข้าที่เป็นทหาร ต้องทำหน้าที่ปกป้องจักรวรรดิอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ฉะนั้นได้โปรด…อย่าได้ดูหมิ่นศักดิ์ศรีของทหารเช่นนี้อีก!”

หญิงสาวยืนอึ้งก่อนจะร้องไห้อีกครา “แล้วเรา…เราจะกลับบ้านของเราได้อีกหรือไม่เจ้าคะ?”

“ได้สิ”

หลินมู่อวี่กล่าว “อีกไม่นานเมืองหลันเยี่ยนจะต้องกลับมาเป็นเหมือนเดิม ในตอนนี้พวกเจ้าจงหนีไปให้ไกลเท่าที่จะทำได้ กระทั่งได้ยินข่าวว่าเมืองฟื้นฟูแล้วค่อยกลับมา”

“ขอบพระคุณมากเจ้าค่ะ”

“รีบไป”

ขณะที่กลุ่มอพยพกำลังจากจากไป ชายชราถือไม้เท้าคนหนึ่งก็เอ่ยขึ้น “นายท่าน องค์หญิงฉินอินที่ท่านกำลังตามหา…ข้าไม่รู้จักนางหรอกขอรับ ทว่าก่อนหน้านี้มีทหารกลุ่มหนึ่งผ่านพวกเราไป หนึ่งในนั้นเป็นหญิงสาวดูอาจหาญต่างจากคนอื่น นางมีกู่ฉินติดตัวไปด้วย…”

“กู่ฉินหรือ?”

หลินมู่อวี่ชะงัก “นางไปทางไหน?”

“เข้าไปในป่าทางตะวันออกเมื่อไม่นานมานี้”

“ขอบคุณมาตาเฒ่า”

หลินมู่อวี่หันไปออกคำสั่งกับพวกเว่ยโฉว “เคลื่อนทัพเต็มกำลัง! เราต้องหาเสี่ยวอินให้เจอ!”

“ขอรับ!”

กลุ่มอพยพกว่าสองร้อยคนวิ่งตัดป่าไปอย่างทุลักทุเล อาณาเขตของเมืองหลันเยี่ยนนั้นกว้างเกินกว่าจะข้ามพ้นได้ในทันที ฉินอินเริ่มเหนื่อยหอบ…ทว่ายังถูกทหารจักรวรรดิอี้เหอจำนวนนับไม่ถ้วนไล่ตามอยู่

หญิงชราคนหนึ่งหันมาเห็นหลินมู่อวี่กับพรรคพวก “แย่แน่…ท่าไม่ดีแล้ว พวกปีศาจอี้เหอมันตามเรามาแล้ว!”

ทว่าทุกคนไปต่อกันไม่ไหวแล้ว ชายวัยกลางคนหนึ่งในนั้นจึงหยิบพลั่วขึ้นมา “สู้พวกเลย!”

“เออ! สู้กับพวกมัน!”

ขณะที่หลินมู่อวี่กำลังควบม้าเข้าใกล้ ชายถือพลั่วที่ดักอยู่ก็ฟาดพลั่วเข้าใจเจี๋ยดี่ทันที ทว่าเจี๋ยดี่เป็นม้าชั้นยอดจากป่านิรันดร์ มันกระโดดหลบการโจมตีได้ หลินมู่อวี่รีบหันมาปราม “หยุดก่อน! พวกเราไม่ใช่ทหารอาสา!”

ด้านหลังหลินมู่อวี่มีเสียงชักดาบออกจากฝัก เมื่อหันไปก็พบว่าปลายดาบนั้นมีวิญญาณยุทธ์โซ่เทวะสีทองเรืองแสงพันอยู่ หลินมู่อวี่จึงรีบเปิดผ้าคลุมออกก่อนจะตะโกนบอก “เสี่ยวอิน นี่ข้าเอง!”

“เอ๊ะ…”

ฉินอินตกตะลึงปล่อยกระบี่จื่อยินกับกู่ฉินลงกับพื้นก่อนจะโผเข้าใส่หลินมู่อวี่และร้องไห้อย่างหนักโดยไม่พูดคำใดสักคำ

หลินมู่อวี่โอบกอดพลางลูบหลังฉินอิน กระทั่งสิบนาทีผ่านไปนางจึงปล่อยแขน “เมืองหลันเยี่ยนพังทลาย…จักรวรรดิล่มสลายแล้ว…”

“ไม่ จักรวรรดิและเมืองของเราจะถูกสร้างขึ้นใหม่ แต่ตอนนี้เราจะเสียขวัญไม่ได้” หลินมู่อวี่มองหน้าฉินอิน “เสี่ยวอิน เจ้าต้องเข้มแข็งเข้าไว้ เราทุกคนต่างรอให้เจ้ากลับไปสร้างจักรวรรดิใหม่อีกครั้ง”

ฉินอินพูดพลางร้องไห้ไม่หยุด “แล้วเมืองหลันเยี่ยนเป็นอย่างไรบ้าง?”

“กำแพงเมืองทั้งสี่ทิศถูกถล่มแล้ว”

หลินมู่อวี่ร่างสั่นเทิ้ม “ท่านฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนและท่านฉินเหลยพลีชีพ…”

“ว่าอย่างไรนะ…”

ฉินอินตัวสั่นน้ำตาไหลหันไปมองทิศที่เมืองหลันเยี่ยนตั้งอยู่ “เกิดอะไรขึ้นกันแน่อาอวี่? ได้ข่าวท่านเฟิงจี้สิงได้หรือไม่?”

“ไม่เลย”

หลินมู่อวี่ส่ายหัว “เสี่ยวอินได้ข่าวผู้เฒ่าชวี ผู้นำเหล่ยหง หรือฉู่เหยาบ้างหรือไม่? “

ฉินอินตอบ “ก่อนหน้านี้ท่านผู้เฒ่าชวีอยู่กับพวกเรา แต่ท่านแยกตัวออกไปเพื่อล่อพวกทหารอาสา ส่วนท่านผู้นำเหล่ยหงช่วยรวบรวมหน่วยพยาบาลแล้วพาอพยพไปอยู่ในวิหารศักดิ์สิทธิ์ ท่านพี่ฉู่เหยาก็ไปกับเขาด้วย แต่…ข้าได้ยินมาว่าลั่วหลานชายผู้ขอบเขตเทวะได้ไปทางวิหาร ข้าเกรงว่า…”

“ท่านพี่ฉู่เหยาต้องปลอดภัยแน่…” ถึงหลินมู่อวี่ตอบเช่นนั้นทว่ากลับเป็นกังวลเสียเอง

ทันใดนั้นเว่ยโฉวก็เอ่ยขึ้น “ท่านแม่ทัพขอรับ มีคนจากจักรวรรดิอี้เหอกำลังมาทางนี้ เป็นกองทหารม้าราวหนึ่งพันนาย เราจะทำอย่างไรกันดีขอรับ? หากเราหนี ข้าเกรงว่าองค์หญิงอินกับคนอื่นๆ จะ…”

“เราจะไม่ไปไหนทั้งสิ้น!”

หลินมู่อวี่ตอบอย่างแน่วแน่ “ต่อให้ตายก็ต้องปกป้องทุกคนให้ได้ ถึงกระนั้นก็อย่าได้ประมาท เราจะสู้กับกองทัพพันคนซึ่งหน้าไม่ได้”

“ขอรับ!”

หลินมู่อวี่ขึ้นควบม้าและหันไปทางกองทัพอี้เหอ ผู้บัญชาการกองหมื่นคนหนึ่งเมื่อเห็นยศจากชุดของหลินมู่อวี่ก็รีบคำนับทันที “เป็นท่านแม่ทัพเองหรือขอรับ ข้าน้อยมีนามว่าติงซี่ เป็นผู้นำของทหารเมืองสายัณห์ ไม่ทราบว่าเหตุใดท่านจึงมาอยู่กับพวกจักรวรรดิต่ำตมนี้ได้เล่า?”

“อ้อ…แม่ทัพติงซี่นี่เอง”

หลินมู่อวี่ยิ้มตอบ “ตลอดหลายวันมานี้ข้ารบอย่างหนักหน่วงร่างกายจึงเหนื่อยล้า ข้ากำลังไล่ล่าพวกมันอยู่กระทั่งได้เจอกับแม่หญิงที่เล่นกู่ฉินคนนี้ หากไม่รังเกียจ…ก็มาฟังกับข้าสักเพลงสองเพลงสิ”

ติงซี่กวาดสายตามองกลุ่มคนเบื้องหน้าด้วยท่าทีประหลาดใจเล็กน้อย “ท่านแม่ทัพช่างตาถึงเสียจริง ตามคำสั่งท่านนายพลที่ให้ล้างบางทั้งเมือง หากท่านพึงใจแม่หญิงผู้นี้ ท่านพานางไปได้เลย ส่วนที่เหลือข้าจะจัดการให้เอง!”

“ไม่ต้อง”

หลินมู่อวี่ยกมือห้าม “อย่าให้เลือดต้องเปื้อนมือท่านเลย เชิญท่านแม่ทัพล่วงหน้าไปก่อนเถิด เดี๋ยวข้าจะจัดการพวกมันเองอย่าได้ห่วง!”

“เช่นนั้นก็ย่อมได้ ทว่าข้าขออยู่ฟังเพลงกับท่านเสียก่อนค่อยออกเดินทางต่อ”

“ไม่มีปัญหา”

หลินมู่อวี่นั่งขัดสมาธิกับพวกเว่ยโฉว มองฉินอินค่อยๆ ถอดผ้าคลุมหน้าออกและนั่งลงบนหญ้าอย่างเรียบร้อยก่อนจะเริ่มบรรเลงกู่ฉิน ปลายนิ้วเรียวดีดเครื่องสายอย่างช้าๆ พลางขยับริมฝีปากร้องเพลงสรรเสริญแห่งจักรวรรดิฉิน ‘ลำนำฤดูใบไม้ร่วง’ทุกถ้อยคำที่เอื้อนเอ่ยออกมาราวกับมีสายฝนโปรยปรายอยู่ในใจของพลเมืองแห่งจักรวรรดิที่ได้ฟัง

‘ผืนดินกว้างเปี่ยมแอ่งน้ำเทือกเขาใหญ่

แสงจันทร์ไล้อาบทั่วสนามศึก

ทุ่งนาข้าวลู่ลมหนาวใต้ควันคึก

ฝืนใจนึกนักรบกล้าสู่สงคราม

ฆ่าปลิดชีพศัตรูชาติสวะ

ไม่ลดละเกิดบาดแผลไร้ใครถาม

จากบ้านมาแสนไกลไม่รู้ยาม

จนวู่วามเพลี่ยงพล้ำแทบสิ้นลม

เพื่อปกปักยอมพลีชีพรักษ์ถิ่นฐาน

หวังวิญญาณกลับสู่บ้านอย่างสุขสม

ฝังเกราะพังร่างไร้ชีพจิตทุกข์ตรม

โปรดเถิดลมฤดูสารทพาข้าไป’

จวบจนบทเพลงจบ เว่ยโฉว เซี่ยโหวซางและคนอื่นๆ ต่างน้ำตานองหน้า แม้แต่หลินมู่อวี่เองยังต้องพยายามกลั้นไว้ หวนนึกถึงการตายของฉู่ฮว๋ายเหมี่ยน ฉินเหลย และทหารอีกหลายนาย บางทีเพลงของฉันอินคงช่วยปลอบประโลมวิญญาณของพวกเขาได้ รวมไปถึงทหารทุกนายที่ออกจากจักรวรรดิมาเช่นเดียวกับเขา…และศัตรูเบื้องหน้า?

ติงซี่ตาแดงก่ำกระโดดขึ้นม้าก่อนจะประสานกำปั้นคำนับ “ท่านแม่ทัพ จุดจบได้ใกล้เข้ามาแล้ว…ข้าหวังว่าท่านจะดูแลสมบัติของท่านได้อย่างดี ตราบใดที่ยังมีความหวังอันริบหรี่ทุกอย่างย่อมเป็นไปได้!”

หลินมู่อวี่ชะงัก หรือติงซี่จะรู้แล้วว่านางคือฉินอิน?!

หากเป็นเช่นนั้นแสดงว่าติงซี่ตั้งใจปล่อยนางไป

ไม่นานนักหลังจากติงซี่จากไป ก็มีเสียงเกือกม้าวิ่งมาจากทางตะวันออกก่อนจะปรากฏเป็นทหารกลุ่มใหญ่ประดับธงมังกรผงาด ใต้แสงอาทิตย์ยามเช้า เหรียญตราจักรพรรดินั้นน่าหลงใหลอย่างยิ่ง ทหารที่มาหาพวกหลินมู่อวี่คือหลัวอวี่กับพรรคพวกนั่นเอง!

“ท่านผู้บัญชาการ!”

ทันทีที่เห็นว่าเป็นหลินมู่อวี่ หลัวอวี่กับคนอื่นๆ ก็ลงจากม้าและคุกเข่า “เรา…เราหาองค์หญิงอินไม่พบขอรับ…”

“ไม่เป็นไร ข้าเจอนางแล้ว”

หลินมู่อวี่ผายมือไปด้านหลัง “ทักทายนางเสียสิ”

ทันใดนั้นทหารมังกรผงาดทั้งพันคนก็เข้าถวายบังคมแก่ฉินอิน “ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะองค์หญิงอิน!”

ฉินอินทำมือเป็นเชิง “ลุกขึ้นเถิด!”

หลินมู่อวี่กล่าว “ตอนนี้เป็นเวลาเร่งด่วน เราจะชักช้าไม่ได้ เว่ยโฉว หลัวอวี่ พวกเจ้าจงรวมกำลังพลและพาองค์หญิงอินออกไปจากเมืองหลันเยี่ยน”

“ไปที่ใดเล่าขอรับ?” หลัวอวี่ถาม

“ภูเขาหลงหยาน…”

หลินมู่อวี่นิ่งคิดก่อนจะกล่าวต่อ “เมื่อติดต่อกับมณฑลอวิ้นจงได้ ให้พาองค์หญิงไปส่งที่นั่น ถึงอย่างไรท่านหยุนกงก็เป็นตาของนาง เขาต้องปกป้องนางได้แน่”

“ขอรับ”

เมื่อเห็นหลินมู่อวี่ขึ้นควบม้า หลัวอวี่ก็สงสัย “ท่านผู้บัญชาการจะไปไหนหรือขอรับ?”

“ข้า…ข้าจะไปตามหาฉู่เหยา”

หลินมู่อวี่แสดงสีหน้าเศร้าหมอง “หลังจากท่านพี่ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนตาย ข้าก็เหลือพี่ฉู่เหยาเป็นญาติเพียงคนเดียว ข้าจึงต้องตามหานาง…มิเช่นนั้นข้าคงรู้สึกผิดต่อท่านพี่ฉู่ที่อยู่บนสวรรค์”

“ข้าจะไปกับท่านด้วย”

“อย่ามัวเสียเวลาเลย เจ้าไปองค์หญิงเถิด ข้าจะไปของข้าเอง หากเจ้าตามข้าไปจะเป็นภาระเสียเปล่า”

“ขอรับท่าน…”

“อาอวี่” ฉินอินเอ่ยขึ้นอย่างกะทันหัน

“ว่าอย่างไรเสี่ยวอิน?” หลินมู่อวี่ยิ้มถาม

แม้ฉินอินจะมีคำถามในใจมากมาย ทว่านางทำเพียงยิ้มอย่างอ่อนโยนให้หลินมู่อวี่ “แม้หนทางจะยาวไกลสักเพียงไหน ข้าจะต้องได้เจอเจ้าอีก”

“อืม เราจะต้องได้เจอกันอีกครั้ง!”

หลินมู่อวี่พยักหน้าและควบม้าจากไป

…………………………………..

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+