[นิยายแปล] มหาวิบัติยีนกลายพันธุ์ 111 ผีเสื้อกลืนกินวิญญาณ

Now you are reading [นิยายแปล] มหาวิบัติยีนกลายพันธุ์ Chapter 111 ผีเสื้อกลืนกินวิญญาณ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

        “เขาไม่เป็นอะไรหรอก เพื่อนของพวกคุณคนนั้นไม่ต้องรักษาหรือไง ในเมื่อคนที่ชื่อออร์คอตต์คือเพื่อนของพวกคุณ ก็น่าจะรู้วิธีบรรเทาอาการที่เกิดจากฤทธิ์การกัดกร่อนของน้ำหนองนี้ใช่ไหม” สายตาคู่นั้นของไป๋อี้เปลี่ยนกลับมาเป็นปกติจากนั้นจึงได้พูดขึ้นมาประโยคหนึ่ง เมื่อได้ยินไป๋อี้พูดมาอย่างนั้นทั้งสองคนจึงเพิ่งจะนึกขึ้นได้ถึงเพื่อนที่ก่อนหน้านี้ถูกน้ำหนองของออร์คอตต์กระเด็นใส่ตัวจนร่างกายถูกกัดกร่อนเป็นรูพรุนเล็ก ๆ เต็มไปหมด

        “ซามูเอล!”

        ทั้งสองเป็นกังวลขึ้นมาทันที จากนั้นก็รีบร้อนควักหาผงสมุนไพรที่ตนผสมขึ้นมาเองออกมาเพื่อที่จะเทลงไปบนร่างกายของซามูเอล ในเมื่อออร์คอตต์คือเพื่อนของพวกเขา แน่นอนว่าพวกเขารู้วิธีที่จะรับมือกับน้ำหนองที่อยู่ในตุ่มผิวหนังแบบนี้อยู่แล้ว แต่ทว่าซามูเอลได้ใช้มือขวางสองคนนั้นไว้ “ไม่ต้องหรอกฉันใส่ยาเอง”

        น้ำเสียงที่เปล่งออกมาช่างดูเย็นชา!

        ไป๋อี้ฟังออกว่าภายในน้ำเสียงของคนที่ชื่อว่าซามูเอลคนนี้มีความไม่พอใจอยู่ลึก ๆ จะว่าไปก็ถูกของเขา ในเมื่อเป็นเพื่อนกันทั้งคู่แท้ ๆ แต่กลับไปกอดห้ามออร์คอตต์ไว้ สุดท้ายคนที่โดนลูกหลงอย่างเขากลับไม่มีใครนึกถึงก่อนเลย ถึงอย่างไรนี่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ไป๋อี้ต้องการจะทำความเข้าใจนัก สำหรับเรื่องที่ว่าความสัมพันธ์ภายในกลุ่มของพวกเขาเป็นอย่างไรนั้นไป๋อี้ไม่อยากสนใจสักเท่าไหร่

        และในเวลานี้ออร์คอตต์คนที่ถูกไป๋อี้สะกดจิตก็ได้ลุกขึ้นมาซึ่งเขายังคงมีท่าทางมึน ๆ อยู่

        ไป๋อี้ไม่ได้สะกดจิตระดับที่รุนแรงที่สุด เขาไม่ได้ใจดีขนาดนั้นสักหน่อย เพราะการที่สะกดจิตเข้าไปสู่การนอนหลับลึกนั้นมันจะเป็นประโยชน์อย่างมากต่อการประสานร่างกายและจิตวิญญาณ ไป๋อี้ยังไม่ทันได้สะกดจิตเช่นนั้นให้กับคนของตัวเองเลยด้วยซ้ำ แล้วนับประสาอะไรจะไปช่วยคนแปลกหน้าอย่างไร้เหตุผลกันล่ะ จะต้องเข้าใจว่าดวงตาคู่นั้นของไป๋อี้เองก็ไม่ใช่ว่าจะใช้พลังได้อย่างไม่จำกัด โดยเฉพาะม่านตาบุษบาผกผันที่ขับเคลื่อนมาจากการระดมพลังงานพิเศษในร่างกาย

        “นี่ฉัน … ฉันเป็นอะไรไป?”

        “ออร์คอตต์นายตื่นแล้วเหรอ?” หัวหน้าทีมถามขึ้นอย่างประหลาดใจ

        ถึงแม้ไป๋อี้ไม่ได้สะกดจิตระดับลึกแต่ว่านี่ก็เพียงพอที่จะให้พวกเขาทุกคนประหลาดใจ ต้องรู้ไว้ว่าในโลกภายนอกนั้นสิ่งที่ทุกคนกลัวมากที่สุดนั่นก็คือการเข้าสู่สงครามและการถูกกระตุ้นเช่นนี้ ถ้าหากไม่ทันระวังตัวและเข้าสู่ระยะดุร้าย การที่จะสามารถฟื้นคืนสติขึ้นมาได้หรือไม่นั้นก็ขึ้นอยู่กับโชคชะตาเท่านั้น และถึงแม้จะเป็นเพื่อนสนิทมิตรสหายก็มีน้อยคนที่จะเสี่ยงดวงเพื่อหยุดยั้งระยะดุร้ายนั้น พูดตามจริงก็คือไม่มีวิธีไหนที่มีประสิทธิภาพเพียงพอสำหรับการหยุดยั้งระยะดุร้ายได้ คุณสมบัติของยาสมุนไพรที่ค้นพบจากมนุษย์กลายพันธุ์ในปัจจุบันมันไม่ได้รุนแรงถึงขั้นเห็นผลได้ในทันที

        “โม่โม่ ผีร้ายพวกนั้นอยู่ที่ไหน?”

        “ไม่ได้ตามมาด้วยค่ะ แต่ว่าอยู่ที่ไหนกันแน่หนูก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะ” โม่โม่มองไปรอบ ๆ จากนั้นจึงพูดขึ้นมา

        เมื่อได้ยินการสนทนาของทั้งสองคน ทุกคนจึงเรียกสติกลับคืนมาได้อีกครั้งจากนั้นก็มองสำรวจบริเวณรอบ ๆ พูดตามความจริงการที่ต้องมาอยู่ในสุสานแบบนี้และยังเป็นเมืองที่มีผีสิงอีกต่างหาก มันเป็นความรู้สึกที่แย่มากจริง ๆ แต่ยังโชคดีที่ทุกคนไม่ใช่คนธรรมดา หลังจากที่ผ่านความวุ่นวายก่อนหน้านี้มาได้นั่นจึงทำให้พวกเขาสงบนิ่งขึ้นเรื่อย ๆ แม้กระทั่งคนสี่คนนั้นก็ยังตามหลังพวกไป๋อี้เข้าไปยังภายในของโบสถ์ด้วย

        หลังจากที่เข้ามาภายในของโบสถ์ การที่ไม่ได้เห็นสุสานเหล่านั้นก็ทำให้รู้สึกดีขึ้นมาบ้าง

        “ขอโทษด้วย เมื่อสักครู่นี้พวกเราใจร้อนไปหน่อย” หัวหน้าทีมเองก็ยังรู้สึกละอายใจเล็กน้อยเพราะช่องว่างระหว่างพวกเขายังมีมากเกินไป

        “ฉันคือหัวหน้าทีมของทีมนี้ ชื่อว่าชอว์!”

        “ฉันชื่อไป๋อี้!”

        “ไป๋อี้?”

        “นายคือไป๋อี้จริง ๆ เหรอ?” คนเหล่านั้นถามด้วยความประหลาดใจ

        “ฉันมีความจำเป็นต้องโกหกด้วยหรือไง”

        “ไม่ใช่ ๆ แค่คิดไม่ถึงว่าจะมาเจอนายอยู่ที่นี่ได้ ต้องขอบใจจริง ๆ นะ ถ้าไม่เป็นเพราะนายและหยูหานที่ประกาศเกี่ยวกับข้อมูลของเซลล์ดัดแปลงละก็ ที่นิวซีแลนด์คงจะต้องมีผู้คนที่เข้าสู่ระยะดุร้ายมากกว่านี้จนไม่สามารถคืนสติกลับมาได้แล้วล่ะ” ชอว์กล่าวขึ้นอย่างตื่นเต้นในทันที ไป๋อี้และหยูหานล้วนมีชื่อเสียงอย่างมากในสายตาของมนุษย์กลายพันธุ์ส่วนมากในนิวซีแลนด์ตอนนี้ ความรู้สึกเช่นนี้ก็คล้ายกับการได้เจอดาราอย่างไรอย่างนั้น แน่นอนว่าไม่แน่บางทีพวกเขายังเฝ้ารอความหวังอย่างอื่นอยู่อีก

        “วิธีที่นายใช้เมื่อกี้คือวิธีการรับมือกับระยะดุร้ายวิธีใหม่เหรอ?” ชอว์ถามต่ออย่างตื่นเต้น

        นี่ก็คือเหตุผลที่พวกเขาตื่นเต้นและคาดหวัง บางทีในสายตาของคนหลายคนไป๋อี้และหยูหานน่าจะรู้วิธีการรับมือกับระยะดุร้ายที่ละเอียดลึกซึ้งทั้งยังมีประสิทธิภาพยิ่งกว่าเป็นแน่ นี่คือทัศนคติทั่วไปของมนุษย์ที่ว่าเขาจะบอกทุกคนทุกอย่างที่รู้ทั้งหมดโดยไม่เห็นแก่ตัวเลยได้อย่างไร

        “อืม” ไป๋อี้มองไปยังชอว์และพรรคพวกจากนั้นก็พยักหน้ารับ

        “จริงเหรอ ๆ นี่คือวิธีอะไร?”

        “การสะกดจิต!”

        “การสะกดจิต?”

        “สะกดจิตยังไง?”

        “บางทีมันเป็นเหตุมาจากการผสานรวมยีนล่ะมั้ง ฉันมีความสามารถในการสะกดจิตง่าย ๆ แต่ว่าจริง ๆ แล้วเกิดอะไรขึ้นกับฉันกันแน่ ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน ก็คล้ายกับที่นายไม่สามารถพูดให้ชัดเจนได้ว่าความสามารถในตัวของพวกนายเกิดขึ้นได้ยังไงนั่นแหละ ตอนนี้พวกนายก็ไม่มีคุณสมบัติในการเลียนแบบด้วยสิ แน่นอนว่าหากพวกนายยังมีวิธีอื่น ๆ ที่จะสามารถสะกดจิตได้ละก็ บางทีนายน่าจะลองดูนะ” ไป๋อี้กล่าว

        “เป็นอย่างนี้จริง ๆ เหรอ นายคงจะไม่ใช่ว่าจงใจไม่บอกพวกเราหรอกใช่ไหม”

        ไป๋อี้มองหน้าออร์คอตต์แวบหนึ่งแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ การที่เขาอธิบายเยอะขนาดนี้ก็ถือว่าใจกว้างพอแล้ว ถ้าหากคนกลุ่มนี้ยังไม่รู้จักแยกแยะแล้วยังถามนู่นถามนี่ต่อไปอีก เช่นนั้นไป๋อี้ก็คงจะไม่เกรงใจที่จะทำให้พวกเขารู้จักว่าอะไรคือขอบเขตที่เหมาะสม แต่ยังโชคดีที่ชอว์มีไหวพริบซึ่งสมกับที่เป็นหัวหน้าทีม เขารู้ว่าไม่สมควรที่จะถามซักไซ้มากเกินไปจึงได้ห้ามเพื่อน ๆ ไว้ทันที

        และทันใดนั้นเอง โม่โม่ก็ได้ชักมีดออกมาจากฝักด้วยความกระวนกระวาย

        “วิญญาณผีร้าย!”

        การกล่าวเตือนหนึ่งคำที่ง่าย ๆ ทำให้ทุกคนกระวนกระวายขึ้นมายกใหญ่ อย่างไรก็ตามก่อนที่ทุกคนจะคิดหาทางออกว่าจะรับมือกับผีร้ายอย่างไรนั้น เสียงกระพือปีกก็ดังขึ้นทั่วศีรษะของทุกคน นั่นทำให้ทุกคนขวัญผวากันอีกครั้ง จากนั้นทุกคนก็มองเห็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่รู้จักกลุ่มหนึ่งบินออกไปยังประตูใหญ่ของโบสถ์ สิ่งมีชีวิตเหล่านี้เมื่อมองแวบแรกนึกว่าเป็นค้างคาวแต่เมื่อมองอย่างละเอียดถึงได้พบว่าพวกมันคือผีเสื้อแต่กลับไม่เหมือนกับผีเสื้อทั่วไป สำหรับประเด็นนี้ไม่มีใครประหลาดใจเลยเพราะในปัจจุบันนิวซีแลนด์นั้นไม่มีสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์ปกติหลงเหลืออยู่แล้ว

        ผีเสื้อที่มีสีดำใสลาง ๆ กลุ่มใหญ่บินออกไปข้างนอกจากนั้นก็กระพือปีกบินล้อมอยู่ข้างขอบประตูใหญ่

        เมื่อโม่โม่มองเห็นสถานการณ์ตรงหน้าร่างกายของเธอก็ผ่อนคลายลงเล็กน้อย

        “มีอะไรเหรอ?”

        “พวกมันกำลังกินอยู่ค่ะ ผีร้ายถูกเหล่าผีเสื้อกลืนกินลงไปแล้ว” บนใบหน้าเล็ก ๆ ของโม่โม่มีความตกใจอย่างขีดสุด ครั้นในเวลานี้คนที่ตกใจยิ่งกว่านั่นก็คือพวกของชอว์ ตั้งแต่ก่อนหน้านี้พวกเขาก็กำลังคาดเดากันอยู่จากคำพูดของโม่โม่ว่าเด็กผู้หญิงคนนี้สามารถมองเห็นวิญญาณผีได้อย่างนั้นหรือ แต่ตอนนี้เมื่อได้ยินโม่โม่พูดออกมาเช่นนั้นพวกเขาก็ไม่ต้องคาดเดาอีกต่อไป

        “เธอมองเห็นผีได้งั้นเหรอ?”

       ยังไม่ทันรอให้ไป๋อี้ตอบคำถาม กลุ่มผีเสื้อเหล่านั้นก็กระพือปีกบินขึ้นอีกครั้งพร้อมบินมายังกลุ่มพวกไป๋อี้ ทุกคนต่างตกใจกันยกใหญ่อีกครั้ง มีเพียงไป๋อี้และโม่โม่ที่ไม่เพียงแต่ไม่รู้สึกตกใจอะไรแต่กลับรู้สึกสนิทสนมกับพวกมันอย่างถึงที่สุด จะว่าอย่างไรดีล่ะ ความรู้สึกแบบนี้เป็นความดีใจที่คล้ายกับได้เจอสายพันธุ์เดียวกันอย่างไรอย่างนั้น พวกของไป๋อี้เดาเหตุผลออกว่านี่จะต้องเป็นเพราะไป๋อี้และโม่โม่ได้ผสานรวมยีนกับผีเสื้ออย่างเดียวแน่ ๆ

        ผีเสื้อกลุ่มใหญ่ซึ่งไม่รู้จักสายพันธุ์กำลังบินกระพือปีกล้อมรอบไป๋อี้และโม่โม่ และสุดท้ายก็หยุดเกาะอยู่บนตัวของโม่โม่ ส่วนบนตัวของไป๋อี้นั้นก็มีเกาะอยู่บ้างเพียงเล็กน้อย แต่เมื่อเปรียบเทียบกันแล้วผีเสื้อส่วนมากล้วนเกาะอยู่บนตัวของโม่โม่ซึ่งนั่นแสดงให้เห็นถึงความสนิทสนมอย่างชัดเจน เพราะผีเสื้อกลุ่มนี้กลืนกินวิญญาณผีร้ายและดวงตาคู่นั้นของโม่โม่สามารถมองเห็นผีร้ายได้ ดังนั้นจึงคาดเดาได้ว่าทำไมโม่โม่และกลุ่มผีเสื้อเหล่านี้ถึงมีความสนิทชิดเชื้อกันได้ดียิ่งกว่า

        “ฮ่าฮ่าฮ่า จั๊กจี้จัง” โม่โม่หัวเราะอย่างมีความสุขในขณะที่บิดลำตัวไปมา

        “พ่อคะพวกเราพาพวกเขาไปด้วยเถอะค่ะ หนูชอบพวกเขา” อยู่ ๆ โม่โม่ก็หันหน้าไปมองไป๋อี้

        ไป๋อี้ได้ยินก็ทำได้แค่หัวเราะขมขื่นอยู่ในใจ ไป๋อี้เองก็มองออกว่าผีเสื้อกลุ่มนี้มีประโยชน์มาก แต่เมื่อคิดอยากจะได้มาก็สามารถได้มาโดยง่ายเลยหรือ พวกมันจะตามไปกับพวกเราหรือเปล่า ปกติแล้วถูกเลี้ยงไว้ที่ไหน และต้องใช้อะไรในการให้อาหารพวกมัน คำถามเหล่านี้ล้วนเป็นปัญหาที่ยากต่อการแก้ไข

        ในขณะเดียวกัน ผีเสื้อกลุ่มนี้ก็บินไปยังกลุ่มของพวกชอว์

        พวกชอว์ทั้งกลุ่มมีความกระวนกระวายเล็กน้อย แต่ว่าไม่นานพวกเขาก็รับรู้ถึงความสบายอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ มันเป็นความรู้สึกที่คล้ายกับได้ขึ้นสวรรค์อย่างไรอย่างนั้นเลย ทันใดนั้นเองชอว์และคนอื่น ๆ ก็คิดว่าผีเสื้อกลุ่มนี้กำลังช่วยรักษาบาดแผลให้พวกเขาอยู่ ต้องทำความเข้าใจว่าถึงแม้พวกเขาจะมองไม่เห็นวิญญาณผีร้ายแต่พวกเขาก็รู้ว่าก่อนหน้านี้ตัวเองถูกผีร้ายเหล่านั้นข่วนจนได้รับบาดเจ็บเหมือนกัน

        แต่ทว่ามีเพียงโม่โม่เท่านั้นที่สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน ผีเสื้อเหล่านี้ไม่ได้กำลังช่วยรักษาบาดแผลให้พวกเขา แต่พวกมันกำลังกลืนกินวิญญาณของพวกเขาไปต่างหาก

        ในขณะที่วิญญาณกำลังถูกกลืนกินนั้น พวกชอว์ทั้งกลุ่มกลับมีความรู้สึกสบายอย่างถึงขีดสุดราวกับได้ขึ้นสวรรค์ชั้นฟ้า ถึงขั้นว่าพวกเขาหลงใหลอยู่ในภวังค์นั้นโดยสิ้นเชิง หากว่าผีเสื้อกลุ่มนี้บินมายังพวกเขาตั้งแต่ทีแรกล่ะก็ไม่แน่ว่าพวกเขาคงจะลุกลี้ลุกลนเตรียมรับมือกับพวกมัน แต่ทว่าผีเสื้อกลุ่มนี้ได้บินไปรอบไป๋อี้และโม่โม่ก่อนเป็นเวลานานสองนาน นั่นจึงทำให้พวกเขาคิดว่าผีเสื้อกลุ่มนี้ไม่มีพิษมีภัย มันเป็นความแตกต่างทางความคิดเพียงเล็กน้อยที่ทำให้พวกเขาไม่ได้ตระเตรียมรับมือใด ๆ นั่นทำให้พวกเขาเข้าสู่ห้วงภวังค์โดยสิ้นเชิงอย่างรวดเร็ว

        ทันทีทันใดนั้นก็มีเสียงตุ้บดังขึ้นมา ปรากฏว่าคนทั้งสี่คนได้ล้มกองลงบนพื้นกันทั้งหมด

        แม้กระทั่งพวกไป๋อี้เองก็ถึงกับตะลึงงัน นี่มันเกิดอะไรขึ้นอีกแล้ว?

        “เกิดอะไรขึ้น?”

        “วิญญาณของพวกเขาถูกกลืนกินไปแล้วค่ะ” โม่โม่กล่าว

        “ฮะ!” ไป๋อี้ วูล์ฟ และเมย์ริสพวกเขาล้วนตกใจตะลึงทึ่งอยู่กับที่ ความจริงแล้วความคิดของพวกเขาก็คล้าย ๆ กับชอว์และคนอื่น ๆ เมื่อครู่นี้ผีเสื้อได้บินรอบไป๋อี้และโม่โม่เป็นเวลานานถึงขนาดนั้นแต่ก็ไม่ได้มีความผิดปกติใด ๆ เกิดขึ้นกับพวกเขา พวกเขาเองก็คิดเช่นเดียวกันว่าผีเสื้อชนิดนี้ไม่มีอันตราย แต่สุดท้ายหลังจากที่พวกมันบินไปรอบ ๆ พวกชอว์เหตุใดพวกมันจึงได้กลืนกินวิญญาณของพวกเขาไปเสียได้?

        ครั้นในเวลานี้ผีเสื้อกลุ่มนี้ก็บินกลับมา นั่นทำให้ทุกคนมีการเตรียมรับมือกับพวกมันกันยกใหญ่

        “หยุดก่อน!” ไป๋อี้ห้ามการกระทำของวูล์ฟ ชาร์ไป่ และคนอื่น ๆ ไว้ คล้ายกับว่าผีเสื้อเหล่านี้ไม่ได้กลืนกินวิญญาณของคนอย่างไม่เลือกหน้า ไม่อย่างนั้นเมื่อสักครู่นี้พวกมันก็คงไม่บินล้อมรอบเพียงแค่กลุ่มของชอว์เท่านั้น อีกทั้ง ณ ที่นี้คนที่มีการตอบสนองชัดเจนที่สุดก็น่าจะเป็นโม่โม่ถึงจะถูก นึกไม่ถึงว่าโม่โม่จะไม่ได้ห้ามปรามใด ๆ ผีเสื้อกลุ่มนี้เพียงแค่บินผ่านร่างของคนเหล่านั้นไปจากนั้นก็หยุดอยู่ที่ข้างลำตัวของโม่โม่อีกครั้ง

        “ดูเหมือนว่าผีเสื้อกลุ่มนี้จะกลืนกินเฉพาะพวกวิญญาณผีร้ายและผีทั่วไปรวมถึงวิญญาณที่ได้รับการทำร้ายจากผีจนวิญญาณของคนผู้นั้นแปดเปื้อนความสกปรกไปด้วย บางทีนี่คงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมบริเวณรอบ ๆ โบสถ์แห่งนี้ถึงไม่มีผีทั่วไปและผีร้ายอยู่เลยก็เป็นได้” บนมือของไป๋อี้นั้นมีผีเสื้อตัวหนึ่งเกาะอยู่ จากนั้นมันก็มองไปยังโม่โม่ ตัวโม่โม่เองสามารถมองเห็นมันได้ ในเมื่อโม่โม่ไม่ได้มีความผิดปกติอะไรแม้แต่น้อยนั่นก็แสดงว่าผีเสื้อเหล่านี้ไม่ได้ต้องการกลืนกินวิญญาณของพวกเขา

        “โอ้โห โชคดีนะที่พวกเราไม่ได้ถูกผีร้ายเกาะติดตาม ไม่อย่างนั้นตอนนี้พวกเราก็คงตกที่นั่งลำบากแน่ ๆ” วูล์ฟอกสั่นขวัญแขวน

        “พวกเขาตายแล้ว!” เมย์ริสได้เข้าตรวจร่างของชอว์และคนอื่น ๆ

        “น่าเสียดายนะ” ไป๋อี้ส่ายหน้าเบา ๆ แต่ก็เพียงแค่ส่ายหน้าเบา ๆ เท่านั้น นิวซีแลนด์ในตอนนี้ล้วนอันตรายไปทั่วสารทิศ สิ่งที่เกิดใหม่บางชนิดอาจจะมีอันตรายจนถึงแก่ชีวิตได้ ครั้งนี้ถ้าหากไม่เป็นเพราะพวกไป๋อี้ไม่ได้ถูกผีร้ายทำร้ายมาละก็ คาดว่าพวกเขาก็คงจะหนีจากพวกผีเสื้อไม่ได้เหมือนกัน

        “มาตั้งชื่อให้กับผีเสื้อชนิดนี้กันเถอะ” เมย์ริสหยิบสมุดโน้ตออกมาจากนั้นก็พูดขึ้น ตอนนี้เมื่อค้นพบสิ่งใหม่ ๆ คนส่วนมากก็ล้วนจะจดบันทึกไว้ทุกครั้ง ข้อมูลเหล่านี้จะเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ๆ ในอนาคต หลายคนยินยอมที่จะจ่ายเงินจำนวนมากเพื่อซื้อข้อมูลใหม่ ๆ เพราะอันที่จริงการที่เข้าใจอะไรมากขึ้นแม้เพียงเล็กน้อยก็สามารถทำให้เราปลอดภัยขึ้นมาอีกนิด

        “ผีเสื้อกลืนกินวิญญาณ!” ไป๋อี้แทบจะไม่ได้คิดเยอะ เขาได้คิดชื่อๆหนึ่งออกมา

        ผีเสื้อกลืนกินวิญญาณ เป็นการกลายพันธุ์อย่างเฉียบพลันของผีเสื้อซึ่งเติบโตอยู่ในสถานที่มหันตภัยโดยกินน้ำค้าง ภูตผีและผีร้ายเป็นอาหาร หากวิญญาณของสิ่งมีชีวิตธรรมดาได้รับการทำร้ายจากวิญญาณผีร้ายจนแปดเปื้อนวิญญาณของคนผู้นั้นก็จะถูกกลืนกินได้ด้วยเช่นกัน

 

 

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

[นิยายแปล] มหาวิบัติยีนกลายพันธุ์ 111 ผีเสื้อกลืนกินวิญญาณ

Now you are reading [นิยายแปล] มหาวิบัติยีนกลายพันธุ์ Chapter 111 ผีเสื้อกลืนกินวิญญาณ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

        “เขาไม่เป็นอะไรหรอก เพื่อนของพวกคุณคนนั้นไม่ต้องรักษาหรือไง ในเมื่อคนที่ชื่อออร์คอตต์คือเพื่อนของพวกคุณ ก็น่าจะรู้วิธีบรรเทาอาการที่เกิดจากฤทธิ์การกัดกร่อนของน้ำหนองนี้ใช่ไหม” สายตาคู่นั้นของไป๋อี้เปลี่ยนกลับมาเป็นปกติจากนั้นจึงได้พูดขึ้นมาประโยคหนึ่ง เมื่อได้ยินไป๋อี้พูดมาอย่างนั้นทั้งสองคนจึงเพิ่งจะนึกขึ้นได้ถึงเพื่อนที่ก่อนหน้านี้ถูกน้ำหนองของออร์คอตต์กระเด็นใส่ตัวจนร่างกายถูกกัดกร่อนเป็นรูพรุนเล็ก ๆ เต็มไปหมด

        “ซามูเอล!”

        ทั้งสองเป็นกังวลขึ้นมาทันที จากนั้นก็รีบร้อนควักหาผงสมุนไพรที่ตนผสมขึ้นมาเองออกมาเพื่อที่จะเทลงไปบนร่างกายของซามูเอล ในเมื่อออร์คอตต์คือเพื่อนของพวกเขา แน่นอนว่าพวกเขารู้วิธีที่จะรับมือกับน้ำหนองที่อยู่ในตุ่มผิวหนังแบบนี้อยู่แล้ว แต่ทว่าซามูเอลได้ใช้มือขวางสองคนนั้นไว้ “ไม่ต้องหรอกฉันใส่ยาเอง”

        น้ำเสียงที่เปล่งออกมาช่างดูเย็นชา!

        ไป๋อี้ฟังออกว่าภายในน้ำเสียงของคนที่ชื่อว่าซามูเอลคนนี้มีความไม่พอใจอยู่ลึก ๆ จะว่าไปก็ถูกของเขา ในเมื่อเป็นเพื่อนกันทั้งคู่แท้ ๆ แต่กลับไปกอดห้ามออร์คอตต์ไว้ สุดท้ายคนที่โดนลูกหลงอย่างเขากลับไม่มีใครนึกถึงก่อนเลย ถึงอย่างไรนี่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ไป๋อี้ต้องการจะทำความเข้าใจนัก สำหรับเรื่องที่ว่าความสัมพันธ์ภายในกลุ่มของพวกเขาเป็นอย่างไรนั้นไป๋อี้ไม่อยากสนใจสักเท่าไหร่

        และในเวลานี้ออร์คอตต์คนที่ถูกไป๋อี้สะกดจิตก็ได้ลุกขึ้นมาซึ่งเขายังคงมีท่าทางมึน ๆ อยู่

        ไป๋อี้ไม่ได้สะกดจิตระดับที่รุนแรงที่สุด เขาไม่ได้ใจดีขนาดนั้นสักหน่อย เพราะการที่สะกดจิตเข้าไปสู่การนอนหลับลึกนั้นมันจะเป็นประโยชน์อย่างมากต่อการประสานร่างกายและจิตวิญญาณ ไป๋อี้ยังไม่ทันได้สะกดจิตเช่นนั้นให้กับคนของตัวเองเลยด้วยซ้ำ แล้วนับประสาอะไรจะไปช่วยคนแปลกหน้าอย่างไร้เหตุผลกันล่ะ จะต้องเข้าใจว่าดวงตาคู่นั้นของไป๋อี้เองก็ไม่ใช่ว่าจะใช้พลังได้อย่างไม่จำกัด โดยเฉพาะม่านตาบุษบาผกผันที่ขับเคลื่อนมาจากการระดมพลังงานพิเศษในร่างกาย

        “นี่ฉัน … ฉันเป็นอะไรไป?”

        “ออร์คอตต์นายตื่นแล้วเหรอ?” หัวหน้าทีมถามขึ้นอย่างประหลาดใจ

        ถึงแม้ไป๋อี้ไม่ได้สะกดจิตระดับลึกแต่ว่านี่ก็เพียงพอที่จะให้พวกเขาทุกคนประหลาดใจ ต้องรู้ไว้ว่าในโลกภายนอกนั้นสิ่งที่ทุกคนกลัวมากที่สุดนั่นก็คือการเข้าสู่สงครามและการถูกกระตุ้นเช่นนี้ ถ้าหากไม่ทันระวังตัวและเข้าสู่ระยะดุร้าย การที่จะสามารถฟื้นคืนสติขึ้นมาได้หรือไม่นั้นก็ขึ้นอยู่กับโชคชะตาเท่านั้น และถึงแม้จะเป็นเพื่อนสนิทมิตรสหายก็มีน้อยคนที่จะเสี่ยงดวงเพื่อหยุดยั้งระยะดุร้ายนั้น พูดตามจริงก็คือไม่มีวิธีไหนที่มีประสิทธิภาพเพียงพอสำหรับการหยุดยั้งระยะดุร้ายได้ คุณสมบัติของยาสมุนไพรที่ค้นพบจากมนุษย์กลายพันธุ์ในปัจจุบันมันไม่ได้รุนแรงถึงขั้นเห็นผลได้ในทันที

        “โม่โม่ ผีร้ายพวกนั้นอยู่ที่ไหน?”

        “ไม่ได้ตามมาด้วยค่ะ แต่ว่าอยู่ที่ไหนกันแน่หนูก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะ” โม่โม่มองไปรอบ ๆ จากนั้นจึงพูดขึ้นมา

        เมื่อได้ยินการสนทนาของทั้งสองคน ทุกคนจึงเรียกสติกลับคืนมาได้อีกครั้งจากนั้นก็มองสำรวจบริเวณรอบ ๆ พูดตามความจริงการที่ต้องมาอยู่ในสุสานแบบนี้และยังเป็นเมืองที่มีผีสิงอีกต่างหาก มันเป็นความรู้สึกที่แย่มากจริง ๆ แต่ยังโชคดีที่ทุกคนไม่ใช่คนธรรมดา หลังจากที่ผ่านความวุ่นวายก่อนหน้านี้มาได้นั่นจึงทำให้พวกเขาสงบนิ่งขึ้นเรื่อย ๆ แม้กระทั่งคนสี่คนนั้นก็ยังตามหลังพวกไป๋อี้เข้าไปยังภายในของโบสถ์ด้วย

        หลังจากที่เข้ามาภายในของโบสถ์ การที่ไม่ได้เห็นสุสานเหล่านั้นก็ทำให้รู้สึกดีขึ้นมาบ้าง

        “ขอโทษด้วย เมื่อสักครู่นี้พวกเราใจร้อนไปหน่อย” หัวหน้าทีมเองก็ยังรู้สึกละอายใจเล็กน้อยเพราะช่องว่างระหว่างพวกเขายังมีมากเกินไป

        “ฉันคือหัวหน้าทีมของทีมนี้ ชื่อว่าชอว์!”

        “ฉันชื่อไป๋อี้!”

        “ไป๋อี้?”

        “นายคือไป๋อี้จริง ๆ เหรอ?” คนเหล่านั้นถามด้วยความประหลาดใจ

        “ฉันมีความจำเป็นต้องโกหกด้วยหรือไง”

        “ไม่ใช่ ๆ แค่คิดไม่ถึงว่าจะมาเจอนายอยู่ที่นี่ได้ ต้องขอบใจจริง ๆ นะ ถ้าไม่เป็นเพราะนายและหยูหานที่ประกาศเกี่ยวกับข้อมูลของเซลล์ดัดแปลงละก็ ที่นิวซีแลนด์คงจะต้องมีผู้คนที่เข้าสู่ระยะดุร้ายมากกว่านี้จนไม่สามารถคืนสติกลับมาได้แล้วล่ะ” ชอว์กล่าวขึ้นอย่างตื่นเต้นในทันที ไป๋อี้และหยูหานล้วนมีชื่อเสียงอย่างมากในสายตาของมนุษย์กลายพันธุ์ส่วนมากในนิวซีแลนด์ตอนนี้ ความรู้สึกเช่นนี้ก็คล้ายกับการได้เจอดาราอย่างไรอย่างนั้น แน่นอนว่าไม่แน่บางทีพวกเขายังเฝ้ารอความหวังอย่างอื่นอยู่อีก

        “วิธีที่นายใช้เมื่อกี้คือวิธีการรับมือกับระยะดุร้ายวิธีใหม่เหรอ?” ชอว์ถามต่ออย่างตื่นเต้น

        นี่ก็คือเหตุผลที่พวกเขาตื่นเต้นและคาดหวัง บางทีในสายตาของคนหลายคนไป๋อี้และหยูหานน่าจะรู้วิธีการรับมือกับระยะดุร้ายที่ละเอียดลึกซึ้งทั้งยังมีประสิทธิภาพยิ่งกว่าเป็นแน่ นี่คือทัศนคติทั่วไปของมนุษย์ที่ว่าเขาจะบอกทุกคนทุกอย่างที่รู้ทั้งหมดโดยไม่เห็นแก่ตัวเลยได้อย่างไร

        “อืม” ไป๋อี้มองไปยังชอว์และพรรคพวกจากนั้นก็พยักหน้ารับ

        “จริงเหรอ ๆ นี่คือวิธีอะไร?”

        “การสะกดจิต!”

        “การสะกดจิต?”

        “สะกดจิตยังไง?”

        “บางทีมันเป็นเหตุมาจากการผสานรวมยีนล่ะมั้ง ฉันมีความสามารถในการสะกดจิตง่าย ๆ แต่ว่าจริง ๆ แล้วเกิดอะไรขึ้นกับฉันกันแน่ ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน ก็คล้ายกับที่นายไม่สามารถพูดให้ชัดเจนได้ว่าความสามารถในตัวของพวกนายเกิดขึ้นได้ยังไงนั่นแหละ ตอนนี้พวกนายก็ไม่มีคุณสมบัติในการเลียนแบบด้วยสิ แน่นอนว่าหากพวกนายยังมีวิธีอื่น ๆ ที่จะสามารถสะกดจิตได้ละก็ บางทีนายน่าจะลองดูนะ” ไป๋อี้กล่าว

        “เป็นอย่างนี้จริง ๆ เหรอ นายคงจะไม่ใช่ว่าจงใจไม่บอกพวกเราหรอกใช่ไหม”

        ไป๋อี้มองหน้าออร์คอตต์แวบหนึ่งแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ การที่เขาอธิบายเยอะขนาดนี้ก็ถือว่าใจกว้างพอแล้ว ถ้าหากคนกลุ่มนี้ยังไม่รู้จักแยกแยะแล้วยังถามนู่นถามนี่ต่อไปอีก เช่นนั้นไป๋อี้ก็คงจะไม่เกรงใจที่จะทำให้พวกเขารู้จักว่าอะไรคือขอบเขตที่เหมาะสม แต่ยังโชคดีที่ชอว์มีไหวพริบซึ่งสมกับที่เป็นหัวหน้าทีม เขารู้ว่าไม่สมควรที่จะถามซักไซ้มากเกินไปจึงได้ห้ามเพื่อน ๆ ไว้ทันที

        และทันใดนั้นเอง โม่โม่ก็ได้ชักมีดออกมาจากฝักด้วยความกระวนกระวาย

        “วิญญาณผีร้าย!”

        การกล่าวเตือนหนึ่งคำที่ง่าย ๆ ทำให้ทุกคนกระวนกระวายขึ้นมายกใหญ่ อย่างไรก็ตามก่อนที่ทุกคนจะคิดหาทางออกว่าจะรับมือกับผีร้ายอย่างไรนั้น เสียงกระพือปีกก็ดังขึ้นทั่วศีรษะของทุกคน นั่นทำให้ทุกคนขวัญผวากันอีกครั้ง จากนั้นทุกคนก็มองเห็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่รู้จักกลุ่มหนึ่งบินออกไปยังประตูใหญ่ของโบสถ์ สิ่งมีชีวิตเหล่านี้เมื่อมองแวบแรกนึกว่าเป็นค้างคาวแต่เมื่อมองอย่างละเอียดถึงได้พบว่าพวกมันคือผีเสื้อแต่กลับไม่เหมือนกับผีเสื้อทั่วไป สำหรับประเด็นนี้ไม่มีใครประหลาดใจเลยเพราะในปัจจุบันนิวซีแลนด์นั้นไม่มีสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์ปกติหลงเหลืออยู่แล้ว

        ผีเสื้อที่มีสีดำใสลาง ๆ กลุ่มใหญ่บินออกไปข้างนอกจากนั้นก็กระพือปีกบินล้อมอยู่ข้างขอบประตูใหญ่

        เมื่อโม่โม่มองเห็นสถานการณ์ตรงหน้าร่างกายของเธอก็ผ่อนคลายลงเล็กน้อย

        “มีอะไรเหรอ?”

        “พวกมันกำลังกินอยู่ค่ะ ผีร้ายถูกเหล่าผีเสื้อกลืนกินลงไปแล้ว” บนใบหน้าเล็ก ๆ ของโม่โม่มีความตกใจอย่างขีดสุด ครั้นในเวลานี้คนที่ตกใจยิ่งกว่านั่นก็คือพวกของชอว์ ตั้งแต่ก่อนหน้านี้พวกเขาก็กำลังคาดเดากันอยู่จากคำพูดของโม่โม่ว่าเด็กผู้หญิงคนนี้สามารถมองเห็นวิญญาณผีได้อย่างนั้นหรือ แต่ตอนนี้เมื่อได้ยินโม่โม่พูดออกมาเช่นนั้นพวกเขาก็ไม่ต้องคาดเดาอีกต่อไป

        “เธอมองเห็นผีได้งั้นเหรอ?”

       ยังไม่ทันรอให้ไป๋อี้ตอบคำถาม กลุ่มผีเสื้อเหล่านั้นก็กระพือปีกบินขึ้นอีกครั้งพร้อมบินมายังกลุ่มพวกไป๋อี้ ทุกคนต่างตกใจกันยกใหญ่อีกครั้ง มีเพียงไป๋อี้และโม่โม่ที่ไม่เพียงแต่ไม่รู้สึกตกใจอะไรแต่กลับรู้สึกสนิทสนมกับพวกมันอย่างถึงที่สุด จะว่าอย่างไรดีล่ะ ความรู้สึกแบบนี้เป็นความดีใจที่คล้ายกับได้เจอสายพันธุ์เดียวกันอย่างไรอย่างนั้น พวกของไป๋อี้เดาเหตุผลออกว่านี่จะต้องเป็นเพราะไป๋อี้และโม่โม่ได้ผสานรวมยีนกับผีเสื้ออย่างเดียวแน่ ๆ

        ผีเสื้อกลุ่มใหญ่ซึ่งไม่รู้จักสายพันธุ์กำลังบินกระพือปีกล้อมรอบไป๋อี้และโม่โม่ และสุดท้ายก็หยุดเกาะอยู่บนตัวของโม่โม่ ส่วนบนตัวของไป๋อี้นั้นก็มีเกาะอยู่บ้างเพียงเล็กน้อย แต่เมื่อเปรียบเทียบกันแล้วผีเสื้อส่วนมากล้วนเกาะอยู่บนตัวของโม่โม่ซึ่งนั่นแสดงให้เห็นถึงความสนิทสนมอย่างชัดเจน เพราะผีเสื้อกลุ่มนี้กลืนกินวิญญาณผีร้ายและดวงตาคู่นั้นของโม่โม่สามารถมองเห็นผีร้ายได้ ดังนั้นจึงคาดเดาได้ว่าทำไมโม่โม่และกลุ่มผีเสื้อเหล่านี้ถึงมีความสนิทชิดเชื้อกันได้ดียิ่งกว่า

        “ฮ่าฮ่าฮ่า จั๊กจี้จัง” โม่โม่หัวเราะอย่างมีความสุขในขณะที่บิดลำตัวไปมา

        “พ่อคะพวกเราพาพวกเขาไปด้วยเถอะค่ะ หนูชอบพวกเขา” อยู่ ๆ โม่โม่ก็หันหน้าไปมองไป๋อี้

        ไป๋อี้ได้ยินก็ทำได้แค่หัวเราะขมขื่นอยู่ในใจ ไป๋อี้เองก็มองออกว่าผีเสื้อกลุ่มนี้มีประโยชน์มาก แต่เมื่อคิดอยากจะได้มาก็สามารถได้มาโดยง่ายเลยหรือ พวกมันจะตามไปกับพวกเราหรือเปล่า ปกติแล้วถูกเลี้ยงไว้ที่ไหน และต้องใช้อะไรในการให้อาหารพวกมัน คำถามเหล่านี้ล้วนเป็นปัญหาที่ยากต่อการแก้ไข

        ในขณะเดียวกัน ผีเสื้อกลุ่มนี้ก็บินไปยังกลุ่มของพวกชอว์

        พวกชอว์ทั้งกลุ่มมีความกระวนกระวายเล็กน้อย แต่ว่าไม่นานพวกเขาก็รับรู้ถึงความสบายอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ มันเป็นความรู้สึกที่คล้ายกับได้ขึ้นสวรรค์อย่างไรอย่างนั้นเลย ทันใดนั้นเองชอว์และคนอื่น ๆ ก็คิดว่าผีเสื้อกลุ่มนี้กำลังช่วยรักษาบาดแผลให้พวกเขาอยู่ ต้องทำความเข้าใจว่าถึงแม้พวกเขาจะมองไม่เห็นวิญญาณผีร้ายแต่พวกเขาก็รู้ว่าก่อนหน้านี้ตัวเองถูกผีร้ายเหล่านั้นข่วนจนได้รับบาดเจ็บเหมือนกัน

        แต่ทว่ามีเพียงโม่โม่เท่านั้นที่สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน ผีเสื้อเหล่านี้ไม่ได้กำลังช่วยรักษาบาดแผลให้พวกเขา แต่พวกมันกำลังกลืนกินวิญญาณของพวกเขาไปต่างหาก

        ในขณะที่วิญญาณกำลังถูกกลืนกินนั้น พวกชอว์ทั้งกลุ่มกลับมีความรู้สึกสบายอย่างถึงขีดสุดราวกับได้ขึ้นสวรรค์ชั้นฟ้า ถึงขั้นว่าพวกเขาหลงใหลอยู่ในภวังค์นั้นโดยสิ้นเชิง หากว่าผีเสื้อกลุ่มนี้บินมายังพวกเขาตั้งแต่ทีแรกล่ะก็ไม่แน่ว่าพวกเขาคงจะลุกลี้ลุกลนเตรียมรับมือกับพวกมัน แต่ทว่าผีเสื้อกลุ่มนี้ได้บินไปรอบไป๋อี้และโม่โม่ก่อนเป็นเวลานานสองนาน นั่นจึงทำให้พวกเขาคิดว่าผีเสื้อกลุ่มนี้ไม่มีพิษมีภัย มันเป็นความแตกต่างทางความคิดเพียงเล็กน้อยที่ทำให้พวกเขาไม่ได้ตระเตรียมรับมือใด ๆ นั่นทำให้พวกเขาเข้าสู่ห้วงภวังค์โดยสิ้นเชิงอย่างรวดเร็ว

        ทันทีทันใดนั้นก็มีเสียงตุ้บดังขึ้นมา ปรากฏว่าคนทั้งสี่คนได้ล้มกองลงบนพื้นกันทั้งหมด

        แม้กระทั่งพวกไป๋อี้เองก็ถึงกับตะลึงงัน นี่มันเกิดอะไรขึ้นอีกแล้ว?

        “เกิดอะไรขึ้น?”

        “วิญญาณของพวกเขาถูกกลืนกินไปแล้วค่ะ” โม่โม่กล่าว

        “ฮะ!” ไป๋อี้ วูล์ฟ และเมย์ริสพวกเขาล้วนตกใจตะลึงทึ่งอยู่กับที่ ความจริงแล้วความคิดของพวกเขาก็คล้าย ๆ กับชอว์และคนอื่น ๆ เมื่อครู่นี้ผีเสื้อได้บินรอบไป๋อี้และโม่โม่เป็นเวลานานถึงขนาดนั้นแต่ก็ไม่ได้มีความผิดปกติใด ๆ เกิดขึ้นกับพวกเขา พวกเขาเองก็คิดเช่นเดียวกันว่าผีเสื้อชนิดนี้ไม่มีอันตราย แต่สุดท้ายหลังจากที่พวกมันบินไปรอบ ๆ พวกชอว์เหตุใดพวกมันจึงได้กลืนกินวิญญาณของพวกเขาไปเสียได้?

        ครั้นในเวลานี้ผีเสื้อกลุ่มนี้ก็บินกลับมา นั่นทำให้ทุกคนมีการเตรียมรับมือกับพวกมันกันยกใหญ่

        “หยุดก่อน!” ไป๋อี้ห้ามการกระทำของวูล์ฟ ชาร์ไป่ และคนอื่น ๆ ไว้ คล้ายกับว่าผีเสื้อเหล่านี้ไม่ได้กลืนกินวิญญาณของคนอย่างไม่เลือกหน้า ไม่อย่างนั้นเมื่อสักครู่นี้พวกมันก็คงไม่บินล้อมรอบเพียงแค่กลุ่มของชอว์เท่านั้น อีกทั้ง ณ ที่นี้คนที่มีการตอบสนองชัดเจนที่สุดก็น่าจะเป็นโม่โม่ถึงจะถูก นึกไม่ถึงว่าโม่โม่จะไม่ได้ห้ามปรามใด ๆ ผีเสื้อกลุ่มนี้เพียงแค่บินผ่านร่างของคนเหล่านั้นไปจากนั้นก็หยุดอยู่ที่ข้างลำตัวของโม่โม่อีกครั้ง

        “ดูเหมือนว่าผีเสื้อกลุ่มนี้จะกลืนกินเฉพาะพวกวิญญาณผีร้ายและผีทั่วไปรวมถึงวิญญาณที่ได้รับการทำร้ายจากผีจนวิญญาณของคนผู้นั้นแปดเปื้อนความสกปรกไปด้วย บางทีนี่คงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมบริเวณรอบ ๆ โบสถ์แห่งนี้ถึงไม่มีผีทั่วไปและผีร้ายอยู่เลยก็เป็นได้” บนมือของไป๋อี้นั้นมีผีเสื้อตัวหนึ่งเกาะอยู่ จากนั้นมันก็มองไปยังโม่โม่ ตัวโม่โม่เองสามารถมองเห็นมันได้ ในเมื่อโม่โม่ไม่ได้มีความผิดปกติอะไรแม้แต่น้อยนั่นก็แสดงว่าผีเสื้อเหล่านี้ไม่ได้ต้องการกลืนกินวิญญาณของพวกเขา

        “โอ้โห โชคดีนะที่พวกเราไม่ได้ถูกผีร้ายเกาะติดตาม ไม่อย่างนั้นตอนนี้พวกเราก็คงตกที่นั่งลำบากแน่ ๆ” วูล์ฟอกสั่นขวัญแขวน

        “พวกเขาตายแล้ว!” เมย์ริสได้เข้าตรวจร่างของชอว์และคนอื่น ๆ

        “น่าเสียดายนะ” ไป๋อี้ส่ายหน้าเบา ๆ แต่ก็เพียงแค่ส่ายหน้าเบา ๆ เท่านั้น นิวซีแลนด์ในตอนนี้ล้วนอันตรายไปทั่วสารทิศ สิ่งที่เกิดใหม่บางชนิดอาจจะมีอันตรายจนถึงแก่ชีวิตได้ ครั้งนี้ถ้าหากไม่เป็นเพราะพวกไป๋อี้ไม่ได้ถูกผีร้ายทำร้ายมาละก็ คาดว่าพวกเขาก็คงจะหนีจากพวกผีเสื้อไม่ได้เหมือนกัน

        “มาตั้งชื่อให้กับผีเสื้อชนิดนี้กันเถอะ” เมย์ริสหยิบสมุดโน้ตออกมาจากนั้นก็พูดขึ้น ตอนนี้เมื่อค้นพบสิ่งใหม่ ๆ คนส่วนมากก็ล้วนจะจดบันทึกไว้ทุกครั้ง ข้อมูลเหล่านี้จะเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ๆ ในอนาคต หลายคนยินยอมที่จะจ่ายเงินจำนวนมากเพื่อซื้อข้อมูลใหม่ ๆ เพราะอันที่จริงการที่เข้าใจอะไรมากขึ้นแม้เพียงเล็กน้อยก็สามารถทำให้เราปลอดภัยขึ้นมาอีกนิด

        “ผีเสื้อกลืนกินวิญญาณ!” ไป๋อี้แทบจะไม่ได้คิดเยอะ เขาได้คิดชื่อๆหนึ่งออกมา

        ผีเสื้อกลืนกินวิญญาณ เป็นการกลายพันธุ์อย่างเฉียบพลันของผีเสื้อซึ่งเติบโตอยู่ในสถานที่มหันตภัยโดยกินน้ำค้าง ภูตผีและผีร้ายเป็นอาหาร หากวิญญาณของสิ่งมีชีวิตธรรมดาได้รับการทำร้ายจากวิญญาณผีร้ายจนแปดเปื้อนวิญญาณของคนผู้นั้นก็จะถูกกลืนกินได้ด้วยเช่นกัน

 

 

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

[นิยายแปล] มหาวิบัติยีนกลายพันธุ์ 111 ผีเสื้อกลืนกินวิญญาณ

Now you are reading [นิยายแปล] มหาวิบัติยีนกลายพันธุ์ Chapter 111 ผีเสื้อกลืนกินวิญญาณ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

        “เขาไม่เป็นอะไรหรอก เพื่อนของพวกคุณคนนั้นไม่ต้องรักษาหรือไง ในเมื่อคนที่ชื่อออร์คอตต์คือเพื่อนของพวกคุณ ก็น่าจะรู้วิธีบรรเทาอาการที่เกิดจากฤทธิ์การกัดกร่อนของน้ำหนองนี้ใช่ไหม” สายตาคู่นั้นของไป๋อี้เปลี่ยนกลับมาเป็นปกติจากนั้นจึงได้พูดขึ้นมาประโยคหนึ่ง เมื่อได้ยินไป๋อี้พูดมาอย่างนั้นทั้งสองคนจึงเพิ่งจะนึกขึ้นได้ถึงเพื่อนที่ก่อนหน้านี้ถูกน้ำหนองของออร์คอตต์กระเด็นใส่ตัวจนร่างกายถูกกัดกร่อนเป็นรูพรุนเล็ก ๆ เต็มไปหมด

        “ซามูเอล!”

        ทั้งสองเป็นกังวลขึ้นมาทันที จากนั้นก็รีบร้อนควักหาผงสมุนไพรที่ตนผสมขึ้นมาเองออกมาเพื่อที่จะเทลงไปบนร่างกายของซามูเอล ในเมื่อออร์คอตต์คือเพื่อนของพวกเขา แน่นอนว่าพวกเขารู้วิธีที่จะรับมือกับน้ำหนองที่อยู่ในตุ่มผิวหนังแบบนี้อยู่แล้ว แต่ทว่าซามูเอลได้ใช้มือขวางสองคนนั้นไว้ “ไม่ต้องหรอกฉันใส่ยาเอง”

        น้ำเสียงที่เปล่งออกมาช่างดูเย็นชา!

        ไป๋อี้ฟังออกว่าภายในน้ำเสียงของคนที่ชื่อว่าซามูเอลคนนี้มีความไม่พอใจอยู่ลึก ๆ จะว่าไปก็ถูกของเขา ในเมื่อเป็นเพื่อนกันทั้งคู่แท้ ๆ แต่กลับไปกอดห้ามออร์คอตต์ไว้ สุดท้ายคนที่โดนลูกหลงอย่างเขากลับไม่มีใครนึกถึงก่อนเลย ถึงอย่างไรนี่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ไป๋อี้ต้องการจะทำความเข้าใจนัก สำหรับเรื่องที่ว่าความสัมพันธ์ภายในกลุ่มของพวกเขาเป็นอย่างไรนั้นไป๋อี้ไม่อยากสนใจสักเท่าไหร่

        และในเวลานี้ออร์คอตต์คนที่ถูกไป๋อี้สะกดจิตก็ได้ลุกขึ้นมาซึ่งเขายังคงมีท่าทางมึน ๆ อยู่

        ไป๋อี้ไม่ได้สะกดจิตระดับที่รุนแรงที่สุด เขาไม่ได้ใจดีขนาดนั้นสักหน่อย เพราะการที่สะกดจิตเข้าไปสู่การนอนหลับลึกนั้นมันจะเป็นประโยชน์อย่างมากต่อการประสานร่างกายและจิตวิญญาณ ไป๋อี้ยังไม่ทันได้สะกดจิตเช่นนั้นให้กับคนของตัวเองเลยด้วยซ้ำ แล้วนับประสาอะไรจะไปช่วยคนแปลกหน้าอย่างไร้เหตุผลกันล่ะ จะต้องเข้าใจว่าดวงตาคู่นั้นของไป๋อี้เองก็ไม่ใช่ว่าจะใช้พลังได้อย่างไม่จำกัด โดยเฉพาะม่านตาบุษบาผกผันที่ขับเคลื่อนมาจากการระดมพลังงานพิเศษในร่างกาย

        “นี่ฉัน … ฉันเป็นอะไรไป?”

        “ออร์คอตต์นายตื่นแล้วเหรอ?” หัวหน้าทีมถามขึ้นอย่างประหลาดใจ

        ถึงแม้ไป๋อี้ไม่ได้สะกดจิตระดับลึกแต่ว่านี่ก็เพียงพอที่จะให้พวกเขาทุกคนประหลาดใจ ต้องรู้ไว้ว่าในโลกภายนอกนั้นสิ่งที่ทุกคนกลัวมากที่สุดนั่นก็คือการเข้าสู่สงครามและการถูกกระตุ้นเช่นนี้ ถ้าหากไม่ทันระวังตัวและเข้าสู่ระยะดุร้าย การที่จะสามารถฟื้นคืนสติขึ้นมาได้หรือไม่นั้นก็ขึ้นอยู่กับโชคชะตาเท่านั้น และถึงแม้จะเป็นเพื่อนสนิทมิตรสหายก็มีน้อยคนที่จะเสี่ยงดวงเพื่อหยุดยั้งระยะดุร้ายนั้น พูดตามจริงก็คือไม่มีวิธีไหนที่มีประสิทธิภาพเพียงพอสำหรับการหยุดยั้งระยะดุร้ายได้ คุณสมบัติของยาสมุนไพรที่ค้นพบจากมนุษย์กลายพันธุ์ในปัจจุบันมันไม่ได้รุนแรงถึงขั้นเห็นผลได้ในทันที

        “โม่โม่ ผีร้ายพวกนั้นอยู่ที่ไหน?”

        “ไม่ได้ตามมาด้วยค่ะ แต่ว่าอยู่ที่ไหนกันแน่หนูก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะ” โม่โม่มองไปรอบ ๆ จากนั้นจึงพูดขึ้นมา

        เมื่อได้ยินการสนทนาของทั้งสองคน ทุกคนจึงเรียกสติกลับคืนมาได้อีกครั้งจากนั้นก็มองสำรวจบริเวณรอบ ๆ พูดตามความจริงการที่ต้องมาอยู่ในสุสานแบบนี้และยังเป็นเมืองที่มีผีสิงอีกต่างหาก มันเป็นความรู้สึกที่แย่มากจริง ๆ แต่ยังโชคดีที่ทุกคนไม่ใช่คนธรรมดา หลังจากที่ผ่านความวุ่นวายก่อนหน้านี้มาได้นั่นจึงทำให้พวกเขาสงบนิ่งขึ้นเรื่อย ๆ แม้กระทั่งคนสี่คนนั้นก็ยังตามหลังพวกไป๋อี้เข้าไปยังภายในของโบสถ์ด้วย

        หลังจากที่เข้ามาภายในของโบสถ์ การที่ไม่ได้เห็นสุสานเหล่านั้นก็ทำให้รู้สึกดีขึ้นมาบ้าง

        “ขอโทษด้วย เมื่อสักครู่นี้พวกเราใจร้อนไปหน่อย” หัวหน้าทีมเองก็ยังรู้สึกละอายใจเล็กน้อยเพราะช่องว่างระหว่างพวกเขายังมีมากเกินไป

        “ฉันคือหัวหน้าทีมของทีมนี้ ชื่อว่าชอว์!”

        “ฉันชื่อไป๋อี้!”

        “ไป๋อี้?”

        “นายคือไป๋อี้จริง ๆ เหรอ?” คนเหล่านั้นถามด้วยความประหลาดใจ

        “ฉันมีความจำเป็นต้องโกหกด้วยหรือไง”

        “ไม่ใช่ ๆ แค่คิดไม่ถึงว่าจะมาเจอนายอยู่ที่นี่ได้ ต้องขอบใจจริง ๆ นะ ถ้าไม่เป็นเพราะนายและหยูหานที่ประกาศเกี่ยวกับข้อมูลของเซลล์ดัดแปลงละก็ ที่นิวซีแลนด์คงจะต้องมีผู้คนที่เข้าสู่ระยะดุร้ายมากกว่านี้จนไม่สามารถคืนสติกลับมาได้แล้วล่ะ” ชอว์กล่าวขึ้นอย่างตื่นเต้นในทันที ไป๋อี้และหยูหานล้วนมีชื่อเสียงอย่างมากในสายตาของมนุษย์กลายพันธุ์ส่วนมากในนิวซีแลนด์ตอนนี้ ความรู้สึกเช่นนี้ก็คล้ายกับการได้เจอดาราอย่างไรอย่างนั้น แน่นอนว่าไม่แน่บางทีพวกเขายังเฝ้ารอความหวังอย่างอื่นอยู่อีก

        “วิธีที่นายใช้เมื่อกี้คือวิธีการรับมือกับระยะดุร้ายวิธีใหม่เหรอ?” ชอว์ถามต่ออย่างตื่นเต้น

        นี่ก็คือเหตุผลที่พวกเขาตื่นเต้นและคาดหวัง บางทีในสายตาของคนหลายคนไป๋อี้และหยูหานน่าจะรู้วิธีการรับมือกับระยะดุร้ายที่ละเอียดลึกซึ้งทั้งยังมีประสิทธิภาพยิ่งกว่าเป็นแน่ นี่คือทัศนคติทั่วไปของมนุษย์ที่ว่าเขาจะบอกทุกคนทุกอย่างที่รู้ทั้งหมดโดยไม่เห็นแก่ตัวเลยได้อย่างไร

        “อืม” ไป๋อี้มองไปยังชอว์และพรรคพวกจากนั้นก็พยักหน้ารับ

        “จริงเหรอ ๆ นี่คือวิธีอะไร?”

        “การสะกดจิต!”

        “การสะกดจิต?”

        “สะกดจิตยังไง?”

        “บางทีมันเป็นเหตุมาจากการผสานรวมยีนล่ะมั้ง ฉันมีความสามารถในการสะกดจิตง่าย ๆ แต่ว่าจริง ๆ แล้วเกิดอะไรขึ้นกับฉันกันแน่ ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน ก็คล้ายกับที่นายไม่สามารถพูดให้ชัดเจนได้ว่าความสามารถในตัวของพวกนายเกิดขึ้นได้ยังไงนั่นแหละ ตอนนี้พวกนายก็ไม่มีคุณสมบัติในการเลียนแบบด้วยสิ แน่นอนว่าหากพวกนายยังมีวิธีอื่น ๆ ที่จะสามารถสะกดจิตได้ละก็ บางทีนายน่าจะลองดูนะ” ไป๋อี้กล่าว

        “เป็นอย่างนี้จริง ๆ เหรอ นายคงจะไม่ใช่ว่าจงใจไม่บอกพวกเราหรอกใช่ไหม”

        ไป๋อี้มองหน้าออร์คอตต์แวบหนึ่งแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ การที่เขาอธิบายเยอะขนาดนี้ก็ถือว่าใจกว้างพอแล้ว ถ้าหากคนกลุ่มนี้ยังไม่รู้จักแยกแยะแล้วยังถามนู่นถามนี่ต่อไปอีก เช่นนั้นไป๋อี้ก็คงจะไม่เกรงใจที่จะทำให้พวกเขารู้จักว่าอะไรคือขอบเขตที่เหมาะสม แต่ยังโชคดีที่ชอว์มีไหวพริบซึ่งสมกับที่เป็นหัวหน้าทีม เขารู้ว่าไม่สมควรที่จะถามซักไซ้มากเกินไปจึงได้ห้ามเพื่อน ๆ ไว้ทันที

        และทันใดนั้นเอง โม่โม่ก็ได้ชักมีดออกมาจากฝักด้วยความกระวนกระวาย

        “วิญญาณผีร้าย!”

        การกล่าวเตือนหนึ่งคำที่ง่าย ๆ ทำให้ทุกคนกระวนกระวายขึ้นมายกใหญ่ อย่างไรก็ตามก่อนที่ทุกคนจะคิดหาทางออกว่าจะรับมือกับผีร้ายอย่างไรนั้น เสียงกระพือปีกก็ดังขึ้นทั่วศีรษะของทุกคน นั่นทำให้ทุกคนขวัญผวากันอีกครั้ง จากนั้นทุกคนก็มองเห็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่รู้จักกลุ่มหนึ่งบินออกไปยังประตูใหญ่ของโบสถ์ สิ่งมีชีวิตเหล่านี้เมื่อมองแวบแรกนึกว่าเป็นค้างคาวแต่เมื่อมองอย่างละเอียดถึงได้พบว่าพวกมันคือผีเสื้อแต่กลับไม่เหมือนกับผีเสื้อทั่วไป สำหรับประเด็นนี้ไม่มีใครประหลาดใจเลยเพราะในปัจจุบันนิวซีแลนด์นั้นไม่มีสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์ปกติหลงเหลืออยู่แล้ว

        ผีเสื้อที่มีสีดำใสลาง ๆ กลุ่มใหญ่บินออกไปข้างนอกจากนั้นก็กระพือปีกบินล้อมอยู่ข้างขอบประตูใหญ่

        เมื่อโม่โม่มองเห็นสถานการณ์ตรงหน้าร่างกายของเธอก็ผ่อนคลายลงเล็กน้อย

        “มีอะไรเหรอ?”

        “พวกมันกำลังกินอยู่ค่ะ ผีร้ายถูกเหล่าผีเสื้อกลืนกินลงไปแล้ว” บนใบหน้าเล็ก ๆ ของโม่โม่มีความตกใจอย่างขีดสุด ครั้นในเวลานี้คนที่ตกใจยิ่งกว่านั่นก็คือพวกของชอว์ ตั้งแต่ก่อนหน้านี้พวกเขาก็กำลังคาดเดากันอยู่จากคำพูดของโม่โม่ว่าเด็กผู้หญิงคนนี้สามารถมองเห็นวิญญาณผีได้อย่างนั้นหรือ แต่ตอนนี้เมื่อได้ยินโม่โม่พูดออกมาเช่นนั้นพวกเขาก็ไม่ต้องคาดเดาอีกต่อไป

        “เธอมองเห็นผีได้งั้นเหรอ?”

       ยังไม่ทันรอให้ไป๋อี้ตอบคำถาม กลุ่มผีเสื้อเหล่านั้นก็กระพือปีกบินขึ้นอีกครั้งพร้อมบินมายังกลุ่มพวกไป๋อี้ ทุกคนต่างตกใจกันยกใหญ่อีกครั้ง มีเพียงไป๋อี้และโม่โม่ที่ไม่เพียงแต่ไม่รู้สึกตกใจอะไรแต่กลับรู้สึกสนิทสนมกับพวกมันอย่างถึงที่สุด จะว่าอย่างไรดีล่ะ ความรู้สึกแบบนี้เป็นความดีใจที่คล้ายกับได้เจอสายพันธุ์เดียวกันอย่างไรอย่างนั้น พวกของไป๋อี้เดาเหตุผลออกว่านี่จะต้องเป็นเพราะไป๋อี้และโม่โม่ได้ผสานรวมยีนกับผีเสื้ออย่างเดียวแน่ ๆ

        ผีเสื้อกลุ่มใหญ่ซึ่งไม่รู้จักสายพันธุ์กำลังบินกระพือปีกล้อมรอบไป๋อี้และโม่โม่ และสุดท้ายก็หยุดเกาะอยู่บนตัวของโม่โม่ ส่วนบนตัวของไป๋อี้นั้นก็มีเกาะอยู่บ้างเพียงเล็กน้อย แต่เมื่อเปรียบเทียบกันแล้วผีเสื้อส่วนมากล้วนเกาะอยู่บนตัวของโม่โม่ซึ่งนั่นแสดงให้เห็นถึงความสนิทสนมอย่างชัดเจน เพราะผีเสื้อกลุ่มนี้กลืนกินวิญญาณผีร้ายและดวงตาคู่นั้นของโม่โม่สามารถมองเห็นผีร้ายได้ ดังนั้นจึงคาดเดาได้ว่าทำไมโม่โม่และกลุ่มผีเสื้อเหล่านี้ถึงมีความสนิทชิดเชื้อกันได้ดียิ่งกว่า

        “ฮ่าฮ่าฮ่า จั๊กจี้จัง” โม่โม่หัวเราะอย่างมีความสุขในขณะที่บิดลำตัวไปมา

        “พ่อคะพวกเราพาพวกเขาไปด้วยเถอะค่ะ หนูชอบพวกเขา” อยู่ ๆ โม่โม่ก็หันหน้าไปมองไป๋อี้

        ไป๋อี้ได้ยินก็ทำได้แค่หัวเราะขมขื่นอยู่ในใจ ไป๋อี้เองก็มองออกว่าผีเสื้อกลุ่มนี้มีประโยชน์มาก แต่เมื่อคิดอยากจะได้มาก็สามารถได้มาโดยง่ายเลยหรือ พวกมันจะตามไปกับพวกเราหรือเปล่า ปกติแล้วถูกเลี้ยงไว้ที่ไหน และต้องใช้อะไรในการให้อาหารพวกมัน คำถามเหล่านี้ล้วนเป็นปัญหาที่ยากต่อการแก้ไข

        ในขณะเดียวกัน ผีเสื้อกลุ่มนี้ก็บินไปยังกลุ่มของพวกชอว์

        พวกชอว์ทั้งกลุ่มมีความกระวนกระวายเล็กน้อย แต่ว่าไม่นานพวกเขาก็รับรู้ถึงความสบายอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ มันเป็นความรู้สึกที่คล้ายกับได้ขึ้นสวรรค์อย่างไรอย่างนั้นเลย ทันใดนั้นเองชอว์และคนอื่น ๆ ก็คิดว่าผีเสื้อกลุ่มนี้กำลังช่วยรักษาบาดแผลให้พวกเขาอยู่ ต้องทำความเข้าใจว่าถึงแม้พวกเขาจะมองไม่เห็นวิญญาณผีร้ายแต่พวกเขาก็รู้ว่าก่อนหน้านี้ตัวเองถูกผีร้ายเหล่านั้นข่วนจนได้รับบาดเจ็บเหมือนกัน

        แต่ทว่ามีเพียงโม่โม่เท่านั้นที่สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน ผีเสื้อเหล่านี้ไม่ได้กำลังช่วยรักษาบาดแผลให้พวกเขา แต่พวกมันกำลังกลืนกินวิญญาณของพวกเขาไปต่างหาก

        ในขณะที่วิญญาณกำลังถูกกลืนกินนั้น พวกชอว์ทั้งกลุ่มกลับมีความรู้สึกสบายอย่างถึงขีดสุดราวกับได้ขึ้นสวรรค์ชั้นฟ้า ถึงขั้นว่าพวกเขาหลงใหลอยู่ในภวังค์นั้นโดยสิ้นเชิง หากว่าผีเสื้อกลุ่มนี้บินมายังพวกเขาตั้งแต่ทีแรกล่ะก็ไม่แน่ว่าพวกเขาคงจะลุกลี้ลุกลนเตรียมรับมือกับพวกมัน แต่ทว่าผีเสื้อกลุ่มนี้ได้บินไปรอบไป๋อี้และโม่โม่ก่อนเป็นเวลานานสองนาน นั่นจึงทำให้พวกเขาคิดว่าผีเสื้อกลุ่มนี้ไม่มีพิษมีภัย มันเป็นความแตกต่างทางความคิดเพียงเล็กน้อยที่ทำให้พวกเขาไม่ได้ตระเตรียมรับมือใด ๆ นั่นทำให้พวกเขาเข้าสู่ห้วงภวังค์โดยสิ้นเชิงอย่างรวดเร็ว

        ทันทีทันใดนั้นก็มีเสียงตุ้บดังขึ้นมา ปรากฏว่าคนทั้งสี่คนได้ล้มกองลงบนพื้นกันทั้งหมด

        แม้กระทั่งพวกไป๋อี้เองก็ถึงกับตะลึงงัน นี่มันเกิดอะไรขึ้นอีกแล้ว?

        “เกิดอะไรขึ้น?”

        “วิญญาณของพวกเขาถูกกลืนกินไปแล้วค่ะ” โม่โม่กล่าว

        “ฮะ!” ไป๋อี้ วูล์ฟ และเมย์ริสพวกเขาล้วนตกใจตะลึงทึ่งอยู่กับที่ ความจริงแล้วความคิดของพวกเขาก็คล้าย ๆ กับชอว์และคนอื่น ๆ เมื่อครู่นี้ผีเสื้อได้บินรอบไป๋อี้และโม่โม่เป็นเวลานานถึงขนาดนั้นแต่ก็ไม่ได้มีความผิดปกติใด ๆ เกิดขึ้นกับพวกเขา พวกเขาเองก็คิดเช่นเดียวกันว่าผีเสื้อชนิดนี้ไม่มีอันตราย แต่สุดท้ายหลังจากที่พวกมันบินไปรอบ ๆ พวกชอว์เหตุใดพวกมันจึงได้กลืนกินวิญญาณของพวกเขาไปเสียได้?

        ครั้นในเวลานี้ผีเสื้อกลุ่มนี้ก็บินกลับมา นั่นทำให้ทุกคนมีการเตรียมรับมือกับพวกมันกันยกใหญ่

        “หยุดก่อน!” ไป๋อี้ห้ามการกระทำของวูล์ฟ ชาร์ไป่ และคนอื่น ๆ ไว้ คล้ายกับว่าผีเสื้อเหล่านี้ไม่ได้กลืนกินวิญญาณของคนอย่างไม่เลือกหน้า ไม่อย่างนั้นเมื่อสักครู่นี้พวกมันก็คงไม่บินล้อมรอบเพียงแค่กลุ่มของชอว์เท่านั้น อีกทั้ง ณ ที่นี้คนที่มีการตอบสนองชัดเจนที่สุดก็น่าจะเป็นโม่โม่ถึงจะถูก นึกไม่ถึงว่าโม่โม่จะไม่ได้ห้ามปรามใด ๆ ผีเสื้อกลุ่มนี้เพียงแค่บินผ่านร่างของคนเหล่านั้นไปจากนั้นก็หยุดอยู่ที่ข้างลำตัวของโม่โม่อีกครั้ง

        “ดูเหมือนว่าผีเสื้อกลุ่มนี้จะกลืนกินเฉพาะพวกวิญญาณผีร้ายและผีทั่วไปรวมถึงวิญญาณที่ได้รับการทำร้ายจากผีจนวิญญาณของคนผู้นั้นแปดเปื้อนความสกปรกไปด้วย บางทีนี่คงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมบริเวณรอบ ๆ โบสถ์แห่งนี้ถึงไม่มีผีทั่วไปและผีร้ายอยู่เลยก็เป็นได้” บนมือของไป๋อี้นั้นมีผีเสื้อตัวหนึ่งเกาะอยู่ จากนั้นมันก็มองไปยังโม่โม่ ตัวโม่โม่เองสามารถมองเห็นมันได้ ในเมื่อโม่โม่ไม่ได้มีความผิดปกติอะไรแม้แต่น้อยนั่นก็แสดงว่าผีเสื้อเหล่านี้ไม่ได้ต้องการกลืนกินวิญญาณของพวกเขา

        “โอ้โห โชคดีนะที่พวกเราไม่ได้ถูกผีร้ายเกาะติดตาม ไม่อย่างนั้นตอนนี้พวกเราก็คงตกที่นั่งลำบากแน่ ๆ” วูล์ฟอกสั่นขวัญแขวน

        “พวกเขาตายแล้ว!” เมย์ริสได้เข้าตรวจร่างของชอว์และคนอื่น ๆ

        “น่าเสียดายนะ” ไป๋อี้ส่ายหน้าเบา ๆ แต่ก็เพียงแค่ส่ายหน้าเบา ๆ เท่านั้น นิวซีแลนด์ในตอนนี้ล้วนอันตรายไปทั่วสารทิศ สิ่งที่เกิดใหม่บางชนิดอาจจะมีอันตรายจนถึงแก่ชีวิตได้ ครั้งนี้ถ้าหากไม่เป็นเพราะพวกไป๋อี้ไม่ได้ถูกผีร้ายทำร้ายมาละก็ คาดว่าพวกเขาก็คงจะหนีจากพวกผีเสื้อไม่ได้เหมือนกัน

        “มาตั้งชื่อให้กับผีเสื้อชนิดนี้กันเถอะ” เมย์ริสหยิบสมุดโน้ตออกมาจากนั้นก็พูดขึ้น ตอนนี้เมื่อค้นพบสิ่งใหม่ ๆ คนส่วนมากก็ล้วนจะจดบันทึกไว้ทุกครั้ง ข้อมูลเหล่านี้จะเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ๆ ในอนาคต หลายคนยินยอมที่จะจ่ายเงินจำนวนมากเพื่อซื้อข้อมูลใหม่ ๆ เพราะอันที่จริงการที่เข้าใจอะไรมากขึ้นแม้เพียงเล็กน้อยก็สามารถทำให้เราปลอดภัยขึ้นมาอีกนิด

        “ผีเสื้อกลืนกินวิญญาณ!” ไป๋อี้แทบจะไม่ได้คิดเยอะ เขาได้คิดชื่อๆหนึ่งออกมา

        ผีเสื้อกลืนกินวิญญาณ เป็นการกลายพันธุ์อย่างเฉียบพลันของผีเสื้อซึ่งเติบโตอยู่ในสถานที่มหันตภัยโดยกินน้ำค้าง ภูตผีและผีร้ายเป็นอาหาร หากวิญญาณของสิ่งมีชีวิตธรรมดาได้รับการทำร้ายจากวิญญาณผีร้ายจนแปดเปื้อนวิญญาณของคนผู้นั้นก็จะถูกกลืนกินได้ด้วยเช่นกัน

 

 

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+