[นิยายแปล] มหาวิบัติยีนกลายพันธุ์ 123 คำชักชวนที่ล้มเหลว

Now you are reading [นิยายแปล] มหาวิบัติยีนกลายพันธุ์ Chapter 123 คำชักชวนที่ล้มเหลว at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

 

ในขณะที่กลุ่มไป๋อี้กำลังมองหาดอกไม้มรณะและฟื้นฟูจิตวิญญาณของพวกเขา ทางฝั่งหยูหานก็กำลังรักษาตัวอยู่เช่นเดียวกัน แน่นอนว่าเป็นอย่างที่ไป๋อี้คาดการณ์เอาไว้ โชคชะตาของหยูหานนั้นดีมาก และครั้งนี้เขาก็บังเอิญได้รับการช่วยเหลือจากนักปรุงยาสาวที่อาศัยอยู่ในเวลลิงตันแห่งนี้ ยิ่งไปกว่านั้นนักปรุงยาสาวคนนี้ยังเคยได้ยินเรื่องของไป๋อี้และหยูหานมาก่อน ซึ่งเธอมีความสนใจในเรื่องของทั้งสองคนเป็นอย่างมาก

  แต่ทว่าหยูหานในตอนนี้ก็ไม่ได้สบายกายสบายใจอะไรมากนัก

  “นายไม่อยากพูดอะไรหน่อยเหรอ?” อดัมส์มองไปที่หยูหาน

  “ฉันขอโทษ!” สีหน้าของหยูหานเต็มไปด้วยความผิดหวังเสียใจและหดหู่

  “แค่ขอโทษอย่างนั้นเหรอ มีแค่คำขอโทษเท่านั้นเองเหรอ!” เมื่ออดัมส์เห็นสีหน้าของหยูหาน ความโมโหก็พุ่งพรวดขึ้นมาทันที เขาจึงตะโกนถามออกมาเสียงดัง “เอเวอลิน, อาเธน่า, โกเธ่ …. และคนอื่น ๆ พวกเขาทั้งหกคนตายไปแล้ว พวกเขาตายหมดแล้วนายเข้าใจไหม เพราะนายไปยั่วยุไป๋อี้ ทั้งหกคนถึงต้องชะตาขาดกันหมด” ยิ่งพูดอดัมส์ยิ่งโมโห เขาตะคอกจนเสียงแหบแห้ง และในตอนท้ายเสียงนั้นก็สั่นเครือระคนไปด้วยเสียงสะอื้นไห้ที่ทวีเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนเขาพูดอะไรต่อไม่ออก

  “ขอโทษ!” เสียงของหยูหานเปล่งออกมาอย่างเผาเบา

  “อ๊ากกกกก ….!” อดัมส์ร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดเป็นเวลานาน น้ำตาที่พรั่งพรูออกมาจากดวงตาของเขา บ่งบอกถึงความเจ็บปวดอย่างถึงที่สุด

  ทันใดนั้น หยูหานก็ได้ยินเสียงบางอย่างดังมาจากข้างนอก เขาจึงเกิดความสงสัยว่าใครกันที่มาที่นี่ และคนนั้นก็คือหมอปรุงยา แม้ว่าหยูหานจะไม่รู้ถึงความสามารถหรือระดับการปรุงยาของหมอหญิงคนนี้ แต่การที่เธอสามารถอาศัยอยู่ในเมืองเวลลิงตันนี้ได้ด้วยตัวคนเดียวเช่นนี้ เธอต้องไม่ใช่คนอ่อนแออย่างแน่นอน หากไม่ได้มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น หยูหานจะต้องดึงหมอหญิงคนนี้เข้ากลุ่มอย่างแน่นอน แต่สถานการณ์ตอนนี้มันยุ่งยากเกินไป เพราะจากการทะเลาะกันเมื่อสักครู่  คาดว่าเรื่องราวที่ผ่านมาของเขากับไป๋อี้คงจะถูกได้ยินหมดแล้ว ซึ่งคนปกติทั่วไปก็คงไม่มีทางที่จะเลือกฝั่งเขาอยู่แล้ว

  แล้วยังไงล่ะ

  “แล้วนายจะให้ฉันทำยังไง นายคิดว่าฉันไม่อยากที่จะปรับความเข้าใจเหรอ ฉันไม่ได้พยายามจะขอคืนดีเหรอ แต่ไป๋อี้ทำอะไรล่ะ เขาให้โอกาสกับฉันไหม ลองคิดดูให้ดีว่าเอเวอลินตายได้ยังไง ความโหดร้ายและความเด็ดขาดแบบนั้น มันก็เป็นความผิดของฉันด้วยเหรอ? นายคิดว่าฉันไม่เจ็บปวดเหรอ พวกเขาไม่ใช่เพื่อนร่วมทีมของฉันหรือไง หนิงเสวี่ยไม่ใช่แฟนฉันเหรอ การที่พวกเขาต้องมาจบชีวิตแบบนี้ นายคิดว่าฉันจะรู้สึกดีอย่างนั้นเหรอ” ยิ่งพูดหยูหานก็ยิ่งเสียงสั่นเทา และสุดท้ายน้ำตาของเขาก็ไหลรินลงมาเช่นเดียวกัน

  ท่าทีที่เกิดขึ้นกับชายรูปร่างสูงใหญ่แบบนี้เป็นสภาพที่ดูไม่ได้เลย ทว่าในขณะเดียวกันก็ทำให้คนอื่นต้องตกตะลึง

  อย่างไรก็ตามในคำพูดนั้นมีความจริงอยู่แค่ไหนกัน?

  “นายเป็นคนก่อเหตุ ถ้าไม่ใช่เพราะสิ่งที่นายทำในตอนแรก ไป๋อี้จะมาตามแก้แค้นได้อย่างไร” อดัมส์ตะโกนเสียงดัง เขาตัวสั่นและอยากจะลุกออกไปจากที่นี่

  แต่ในขณะนั้นเองอดัมส์ก็หวนนึกไปถึงคำพูดที่ไป๋อี้กล่าวในช่วงเริ่มต้นตอนต่อสู้—ถ้าต้องตายไป ก็อย่ามาโทษเขา

  ใช่แล้ว ตอนที่เริ่มต่อสู้ไป๋อี้ได้กล่าวเตือนพวกเขาทุกคนเอาไว้ก่อนแล้ว เรื่องนี้พวกเขาไม่ได้เกี่ยวข้อง ในเมื่อพวกเขายืนกรานที่จะมีส่วนร่วม ก็ต้องเตรียมใจให้พร้อมที่จะเผชิญกับความตายเช่นกัน เมื่อนึกถึงม่านตาบุษบาผกผันที่น่าหลงใหลของไปอี้ และนึกถึงฉากที่หัวของเอเวอลินขาดสะบั้นลอยออกไปแล้วอดัมส์ก็หลับตาลงอย่างทนไม่ได้ ใช่แล้ว มันไม่คุ้มกันเลย เอเวอลินนั้นเป็นคนที่ตายอย่างไม่ได้รับความเป็นธรรมมากที่สุด เมื่อมาคิดย้อนดูในตอนนี้ มันเป็นเรื่องที่ดูโง่เขามากที่เข้าไปปะทะกับคมดาบของไป๋อี้

  ก๊อก ก๊อก!

  เสียงเคาะประตูดังขึ้นเบา ๆ สองครั้ง ความจริงแล้วแนนซี่รู้สึกแปลกใจเกี่ยวกับบทสนทนาของทั้งสองคนเป็นอย่างมาก เธอคาดไม่ถึงเลยว่าสิ่งที่พวกเขาคุยกันอยู่จะเกี่ยวข้องกับไป๋อี้คนนั้นด้วย มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่จากการเลี้ยงดูที่ได้รับการอบรมบ่มนิสัยมาตั้งแต่ยังเล็ก แนนซี่จึงไม่ได้ยืนแอบฟังแต่อย่างใด มีเพียงแค่บทสนทนาในช่วงแรกบางส่วนเท่านั้นที่เธอบังเอิญได้ยินเข้า

  เมื่อได้ยินเสียงเคาะประตู ทั้งสองคนจึงได้สติจากการทะเลาะกัน และต่างก็รีบจัดการกับสีหน้าของตนเองให้เป็นปกติที่สุด

  แนนซี่ผลักประตูแล้วเดินเข้ามาในห้อง ทำราวกับว่าเธอไม่เห็นสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกของทั้งสองคน ถึงอย่างไรก็ตามความอึดอัดของพวกเขาสองคนก็ปิดได้ไม่มิดอยู่ดี

  “เปลี่ยนยาได้แล้ว!”

  “ขอบคุณ ขอบคุณเธอมากจริง ๆ ถ้าไม่ใช่เพราะคุณ พวกเราคงจะ ………. ขอโทษนะ ว่าแต่ เรายังไม่รู้ชื่อของคุณเลย?”

  เหมือนว่าหยูหานจะอายมากที่ถูกแนนซี่เห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตาของเขา

  “แนนซี่!”

  “โอเค แนนซี่ใช่ไหม ขอบคุณมากนะแนนซี่ ถ้าไม่ใช่เพราะเธอตอนนี้พวกเราคงจะตายไปแล้ว ขอโทษด้วยที่ทำให้เธอได้เห็นฉากไม่น่าดูแบบนี้ ฉันชื่อหยูหาน คนนี้คือแฟนของฉันหนิงเสวี่ย ส่วนคนนี้คือ…..” หยูหานเช็ดน้ำตาด้วยมือซ้าย แต่เหมือนว่ามันก็ยังคงไหลเอ่อออกมาเรื่อย ๆ ยิ่งเขาพยายามห้ามน้ำตามากเท่าไหร่มันก็ยิ่งทะลักออกมาอย่างหยุดไม่ได้

  “ฉันชื่ออดัมส์!”อดัมส์พูดขึ้นมาเองโดยไม่ต้องให้หยูหานแนะนำเขา

  “จ้ะ” แม้เสียงที่ตอบกลับจะแผ่วเบา แต่ในใจของแนนซี่ก็รู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก กล่าวตามตรง แนนซี่อาศัยอยู่ที่นี่เพียงคนเดียว และไม่ค่อยอยากจะรับรู้สิ่งใดมากนักเพราะเกาะปีศาจ ณ ขณะนี้ หากคุณอยากรู้อยากเห็นมากเกินไป คุณก็มีแต่จะตายเร็วขึ้นเท่านั้น

  แต่ว่าตอนนี้แนนซี่อยากจะรู้ว่าพวกเขาเหล่านี้ไปเจอสิ่งใดมากันแน่

  ไป๋อี้และหยูหาน  คาดไม่ถึงเลยว่าจะเป็นสองคนนี้ ทั้งยังดูคล้ายกับว่าพวกเขาต่างมีอดีตที่ไม่ปกติเป็นอย่างมาก เดิมทีเธออยากรู้เกี่ยวกับที่ทั้งสองคนช่วยเหลือมนุษย์วิวัฒนาการและข้อมูลเกี่ยวกับเซลล์ดัดแปลง แต่คาดไม่ถึงเลยว่าเธอกลับได้รับรู้อดีตระหว่างทั้งสองคน

  หากแต่ว่า การร้องไห้ของหยูหานนั้นดูจะมีบางส่วนที่ดูไม่จริงใจอยู่บ้าง แนนซี่คิดบางอย่างในใจโดยที่ไม่ได้เปลี่ยนสีหน้าอย่างกะทันหัน การเป็นหมอปรุงยาที่อาศัยอยู่ที่นี่เพียงลำพังนั้นต้องมีทักษะการสังเกตที่เฉียบแหลมและการพิจารณาอย่างรอบคอบ นั่นเป็นสิ่งที่สำคัญมาก มิฉะนั้นเธอคงไม่สามารถมีชีวิตรอดมาถึงตอนนี้ได้แน่ แม้ว่าทักษะการแสดงของหยูหานนั้นจะมีความเชี่ยวชาญมากขึ้น แต่สิ่งที่เขาคาดไม่ถึงนั่นก็คือเขาได้พบกับคนที่ช่างสังเกตเหมือนกับหงฉี่ฮว๋าอีกคนหนึ่งแล้ว

  หลังจากการขัดจังหวะของแนนซี่ อดัมส์ก็เริ่มสงบลงเล็กน้อย เขาไม่ได้โวยวายอย่างก่อนหน้านี้แล้ว หลังจากที่แนนซี่ออกไป หยูหานก็หันไปมองที่อดัมส์

  “มันเป็นความผิดของฉัน แต่บางทีพวกเขาอาจจะยังไม่ตายก็ได้ ไม่ใช่ว่าพวกเราเองก็ได้ถูกคนช่วยไว้หรอกเหรอ” หยูหานพูดปลอบ

  “นายคิดว่ามันมีความเป็นไปได้มากแค่ไหนกันเชียว?”

  หยูหานถูกถามกลับด้วยคำถามที่เต็มไปด้วยอารมณ์ของอดัมส์ มีความเป็นไปได้มากเท่าไหร่กันอย่างนั้นเหรอ แน่นอนว่าหยูหานเองก็รู้ดีว่าการเข้าสู่ระยะดุร้ายคลุ้มคลั่งท่ามกลางฝูงวิญญาณชั่วร้ายนั้นมีความเป็นไปได้แค่ไหนที่จะสามารถมีชีวิตรอดออกมา ไม่ใช่ว่าทุกคนจะโชคดีที่มีคนมาช่วยไว้พอดีเหมือนพวกเขา แต่ถึงอย่างไรหยูหานก็รู้สึกได้ว่าไป๋อี้ยังไม่ตายอย่างแน่นอน  เขายังไม่ตายอย่างแน่นอน

  “ตอบไม่ได้งั้นเหรอ” อดัมส์เย้ยหยันเล็กน้อย แต่หลังจากนั้นเขาก็รู้สึกว่ามันไม่ได้มีความหมายแต่อย่างใด เขามองขึ้นไปบนรอยด่างบนเพดานเหนือศีรษะอย่างไร้จิตวิญญาณราวกับเป็นเพียงเถ้าธุลีที่ดับมอดไปแล้ว

  “ฉันรู้ว่าโอกาสที่พวกเขาจะรอดชีวิตมีไม่มาก ไม่ใช่ทุกคนที่จะโชคดีมีคนมาช่วยแบบพวกเรา แต่ฉันรู้ว่าไป๋อี้ยังคงมีชีวิตอยู่แน่นอน ไม่มีเหตุผลใด แต่มันคือสิ่งที่ฉันสัมผัสได้ และในตอนนี้ระหว่างฉันกับเขาไม่สามารถใช้หลักเก ณฑ์ถูกผิดอย่างเรียบง่ายมาชี้วัดได้อีกต่อไปแล้ว” หยูหานพยายามลุกขึ้นมาอย่างช้า ๆ

  “ฉันไม่สนใจว่านายจะตัดสินใจยังไง แต่คราวนี้ ฉันจะเป็นฝ่ายตามหาเขา และหาบทสรุปเกี่ยวกับเรื่องนี้สักที ระหว่างพวกเรามันไม่มีทางหลบเลี่ยงที่จะทำให้ดีขึ้นได้อีกแล้ว” หยูหานพูดด้วยสีหน้าเศร้าสลดแต่ทว่าคำพูดที่ออกมากลับมีแต่ความโหดร้าย        

  “แล้วนายล่ะ มีแผนจะทำอย่างไรต่อไป จะหยุดแล้วถอนตัวออกไป หรือจะไปกับฉันโดยไม่สนว่าจะผิดหรือถูก แล้วไปตามหาไป๋อี้เพื่อทำจบเรื่องนี้ซะ”หยูหานมองไปที่อดัมส์อย่างจริงจัง

  “เฮ้อ ~~!” อดัมส์ถอนหายใจเฮือกใหญ่และหลับตาลง “ฉันจะคิดอย่างถี่ถ้วนดูอีกที” หลังจากพูดจบ อดัมส์ก็ไม่พูดอะไรต่อ และหยูหานก็ไม่ได้บังคับอะไร เขารู้ว่าอดัมส์เป็นคนฉลาดและมีเหตุผลมาก การจะให้อดัมส์ร่วมเดินทางไปด้วยกันกับเขาต่อนั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายอีกต่อไปแล้ว

  ……

  ผ่านไปหนึ่งสัปดาห์ พวกหยูหานทั้งสามคนก็รักษาตัวอยู่ที่นี่กันอย่างเงียบ ๆ  อดัมส์ยังคงไม่ได้ตอบคำถามก่อนหน้านี้ และอีกหนึ่งปัญหาที่ทำให้หยูหานกังวลยิ่งกว่านั้นคือหนิงเสวี่ยยังไม่ฟื้นตัว แต่อย่างไรก็ตามจากการรักษาของแนนซี่ พวกเขาก็พบว่าอาการบาดเจ็บของพวกเขาดีขึ้นอย่างรวดเร็วภายในระยะเวลาหนึ่งสัปดาห์นี้

  สิ่งนี้ทำให้หยูหานแน่ใจได้โดยไม่ต้องคำนึงถึงความแข็งแกร่ง ในแง่ของความสามารถของแนนซี่หมอปรุงยาคนนี้น่าทึ่งจริง ๆ

  “แนนซี่ ฉันรู้ว่ามียาคืนสภาพอยู่ที่นอกเมือง  แม้ว่ามันจะไม่ได้ผลลัพธ์ที่สมบูรณ์ แต่ก็สามารถคืนสภาพร่างกายมนุษย์ให้เราได้ในระดับหนึ่ง สำหรับบุญคุณที่ได้ช่วยชีวิตพวกเราไว้ คิดไม่ออกจริง ๆ ว่าจะตอบแทนคุณได้อย่างไร บางทียานี้อาจจะช่วยคุณได้บ้าง คุณต้องการมันไหม” หยูหานลองถามดู ในเวลานี้เขาไม่อยากเชิญชวนอย่างตรงไปตรงมา เพราะเขารู้ว่ามันไม่เหมาะกับสถานการณ์ในตอนนี้เป็นอย่างมาก เนื่องจากแนนซี่ได้รับรู้ถึงอดีตระหว่างเขากับไป๋อี้ไปบ้างแล้ว

  “PrototyDrug—ยาคืนสภาพ!”

  “ใช่แล้ว!”

  “มันน่าสนใจมาก แต่ว่าช่างมันเถอะ ถึงอย่างไรมันก็ยังไม่สามารถคืนสู่สภาพมนุษย์อย่างสมบูรณ์ได้ ไว้รอมีใครสักคนคิดค้นยาที่สามารถฟื้นคืนร่างกายมนุษย์ได้อย่างสมบูรณ์ขึ้นมาได้จริง ๆ ค่อยพูดกันเถอะ ถึงแม้ว่าฉันจะศึกษาคุณสมบัติของยามาไม่นาน แต่ก็รู้ว่าบางครั้งยาที่ให้ผลคล้ายคลึงกันอาจจะเกิดการต่อต้านกันและกันได้ หากว่าใช้ PrototyDrug ในตอนนี้ ไม่แน่ว่าอาจจะมีผลกับยาที่สามารถฟื้นคืนสภาพมนุษย์อย่างสมบูรณ์จริง ๆ ในภายภาคหน้าได้” แนนซี่ส่ายหัวปฏิเสธข้อเสนอพร้อมกับส่งยิ้มให้

  “อย่างนั้นเหรอ น่าอายจริง ๆ นอกจากสิ่งนี้แล้ว ฉันก็ไม่รู้จะตอบแทนคุณอย่างไรดี”

  “ไม่เป็นไร” แนนซี่ส่ายหัว

  “แนนซี่ คุณไม่อยากออกไปดูนิวซีแลนด์ในตอนนี้เหรอ?” หยูหานถามอีกเป็นครั้งสุดท้าย

  “อืม จริง ๆ ฉันก็อยากรู้บ้าง แต่ยังไม่อยากออกไปในตอนนี้น่ะ ถึงอย่างไรนิวซีแลนด์ในตอนนี้ก็อันตรายเกินไป แม้ว่าสถานที่แห่งนี้จะอันตรายมากเหมือนกัน แต่โดยรวมแล้วฉันก็มีความคุ้นเคยอยู่บ้าง อย่างน้อยก็ไม่เป็นปัญหาในการเอาชีวิตรอด”

  “อย่างนั้นเหรอ หากว่าหลังจากนี้คุณออกไปจากที่นี่ อย่าลืมมาหาฉันนะ ฉันจะตอบแทนบุญคุณนี้อย่างแน่นอน”

  “โอเค ถ้ามีโอกาสนะ” นับว่าแนนซี่ปฏิเสธการเชื้อเชิญของหยูหานไปอย่างนุ่มนวล แน่นอนว่าเธอเข้าใจสิ่งที่หยูหานชักชวน แต่หลังจากรู้เรื่องภายในแล้ว เธอจะตกลงไปกับหยูหานได้อย่างไร ตรงกันข้าม แนนซี่กลับสนใจไป๋อี้มากขึ้นจากคำพูดไม่กี่คำที่ออกมาจากพวกหยูหาน ถึงแม้ว่าจะเป็นศัตรูกัน แต่พวกเขาก็กล่าวประเมินไป๋อี้ไว้สูงมาก

  หลังจากที่หยูหานถูกแนนซี่ปฏิเสธ ถึงแม้ว่าสีหน้าเขาจะไม่เปลี่ยนไปมากนัก แต่ในใจของเขานั้นรู้สึกผิดหวังเป็นอย่างมาก เป็นอย่างที่คิดเลย หลังจากรู้เรื่องต่าง ๆ ของพวกเขาแล้วการที่จะชักชวนแนนซี่ก็กลายเป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

[นิยายแปล] มหาวิบัติยีนกลายพันธุ์ 123 คำชักชวนที่ล้มเหลว

Now you are reading [นิยายแปล] มหาวิบัติยีนกลายพันธุ์ Chapter 123 คำชักชวนที่ล้มเหลว at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

 

ในขณะที่กลุ่มไป๋อี้กำลังมองหาดอกไม้มรณะและฟื้นฟูจิตวิญญาณของพวกเขา ทางฝั่งหยูหานก็กำลังรักษาตัวอยู่เช่นเดียวกัน แน่นอนว่าเป็นอย่างที่ไป๋อี้คาดการณ์เอาไว้ โชคชะตาของหยูหานนั้นดีมาก และครั้งนี้เขาก็บังเอิญได้รับการช่วยเหลือจากนักปรุงยาสาวที่อาศัยอยู่ในเวลลิงตันแห่งนี้ ยิ่งไปกว่านั้นนักปรุงยาสาวคนนี้ยังเคยได้ยินเรื่องของไป๋อี้และหยูหานมาก่อน ซึ่งเธอมีความสนใจในเรื่องของทั้งสองคนเป็นอย่างมาก

  แต่ทว่าหยูหานในตอนนี้ก็ไม่ได้สบายกายสบายใจอะไรมากนัก

  “นายไม่อยากพูดอะไรหน่อยเหรอ?” อดัมส์มองไปที่หยูหาน

  “ฉันขอโทษ!” สีหน้าของหยูหานเต็มไปด้วยความผิดหวังเสียใจและหดหู่

  “แค่ขอโทษอย่างนั้นเหรอ มีแค่คำขอโทษเท่านั้นเองเหรอ!” เมื่ออดัมส์เห็นสีหน้าของหยูหาน ความโมโหก็พุ่งพรวดขึ้นมาทันที เขาจึงตะโกนถามออกมาเสียงดัง “เอเวอลิน, อาเธน่า, โกเธ่ …. และคนอื่น ๆ พวกเขาทั้งหกคนตายไปแล้ว พวกเขาตายหมดแล้วนายเข้าใจไหม เพราะนายไปยั่วยุไป๋อี้ ทั้งหกคนถึงต้องชะตาขาดกันหมด” ยิ่งพูดอดัมส์ยิ่งโมโห เขาตะคอกจนเสียงแหบแห้ง และในตอนท้ายเสียงนั้นก็สั่นเครือระคนไปด้วยเสียงสะอื้นไห้ที่ทวีเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนเขาพูดอะไรต่อไม่ออก

  “ขอโทษ!” เสียงของหยูหานเปล่งออกมาอย่างเผาเบา

  “อ๊ากกกกก ….!” อดัมส์ร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดเป็นเวลานาน น้ำตาที่พรั่งพรูออกมาจากดวงตาของเขา บ่งบอกถึงความเจ็บปวดอย่างถึงที่สุด

  ทันใดนั้น หยูหานก็ได้ยินเสียงบางอย่างดังมาจากข้างนอก เขาจึงเกิดความสงสัยว่าใครกันที่มาที่นี่ และคนนั้นก็คือหมอปรุงยา แม้ว่าหยูหานจะไม่รู้ถึงความสามารถหรือระดับการปรุงยาของหมอหญิงคนนี้ แต่การที่เธอสามารถอาศัยอยู่ในเมืองเวลลิงตันนี้ได้ด้วยตัวคนเดียวเช่นนี้ เธอต้องไม่ใช่คนอ่อนแออย่างแน่นอน หากไม่ได้มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น หยูหานจะต้องดึงหมอหญิงคนนี้เข้ากลุ่มอย่างแน่นอน แต่สถานการณ์ตอนนี้มันยุ่งยากเกินไป เพราะจากการทะเลาะกันเมื่อสักครู่  คาดว่าเรื่องราวที่ผ่านมาของเขากับไป๋อี้คงจะถูกได้ยินหมดแล้ว ซึ่งคนปกติทั่วไปก็คงไม่มีทางที่จะเลือกฝั่งเขาอยู่แล้ว

  แล้วยังไงล่ะ

  “แล้วนายจะให้ฉันทำยังไง นายคิดว่าฉันไม่อยากที่จะปรับความเข้าใจเหรอ ฉันไม่ได้พยายามจะขอคืนดีเหรอ แต่ไป๋อี้ทำอะไรล่ะ เขาให้โอกาสกับฉันไหม ลองคิดดูให้ดีว่าเอเวอลินตายได้ยังไง ความโหดร้ายและความเด็ดขาดแบบนั้น มันก็เป็นความผิดของฉันด้วยเหรอ? นายคิดว่าฉันไม่เจ็บปวดเหรอ พวกเขาไม่ใช่เพื่อนร่วมทีมของฉันหรือไง หนิงเสวี่ยไม่ใช่แฟนฉันเหรอ การที่พวกเขาต้องมาจบชีวิตแบบนี้ นายคิดว่าฉันจะรู้สึกดีอย่างนั้นเหรอ” ยิ่งพูดหยูหานก็ยิ่งเสียงสั่นเทา และสุดท้ายน้ำตาของเขาก็ไหลรินลงมาเช่นเดียวกัน

  ท่าทีที่เกิดขึ้นกับชายรูปร่างสูงใหญ่แบบนี้เป็นสภาพที่ดูไม่ได้เลย ทว่าในขณะเดียวกันก็ทำให้คนอื่นต้องตกตะลึง

  อย่างไรก็ตามในคำพูดนั้นมีความจริงอยู่แค่ไหนกัน?

  “นายเป็นคนก่อเหตุ ถ้าไม่ใช่เพราะสิ่งที่นายทำในตอนแรก ไป๋อี้จะมาตามแก้แค้นได้อย่างไร” อดัมส์ตะโกนเสียงดัง เขาตัวสั่นและอยากจะลุกออกไปจากที่นี่

  แต่ในขณะนั้นเองอดัมส์ก็หวนนึกไปถึงคำพูดที่ไป๋อี้กล่าวในช่วงเริ่มต้นตอนต่อสู้—ถ้าต้องตายไป ก็อย่ามาโทษเขา

  ใช่แล้ว ตอนที่เริ่มต่อสู้ไป๋อี้ได้กล่าวเตือนพวกเขาทุกคนเอาไว้ก่อนแล้ว เรื่องนี้พวกเขาไม่ได้เกี่ยวข้อง ในเมื่อพวกเขายืนกรานที่จะมีส่วนร่วม ก็ต้องเตรียมใจให้พร้อมที่จะเผชิญกับความตายเช่นกัน เมื่อนึกถึงม่านตาบุษบาผกผันที่น่าหลงใหลของไปอี้ และนึกถึงฉากที่หัวของเอเวอลินขาดสะบั้นลอยออกไปแล้วอดัมส์ก็หลับตาลงอย่างทนไม่ได้ ใช่แล้ว มันไม่คุ้มกันเลย เอเวอลินนั้นเป็นคนที่ตายอย่างไม่ได้รับความเป็นธรรมมากที่สุด เมื่อมาคิดย้อนดูในตอนนี้ มันเป็นเรื่องที่ดูโง่เขามากที่เข้าไปปะทะกับคมดาบของไป๋อี้

  ก๊อก ก๊อก!

  เสียงเคาะประตูดังขึ้นเบา ๆ สองครั้ง ความจริงแล้วแนนซี่รู้สึกแปลกใจเกี่ยวกับบทสนทนาของทั้งสองคนเป็นอย่างมาก เธอคาดไม่ถึงเลยว่าสิ่งที่พวกเขาคุยกันอยู่จะเกี่ยวข้องกับไป๋อี้คนนั้นด้วย มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่จากการเลี้ยงดูที่ได้รับการอบรมบ่มนิสัยมาตั้งแต่ยังเล็ก แนนซี่จึงไม่ได้ยืนแอบฟังแต่อย่างใด มีเพียงแค่บทสนทนาในช่วงแรกบางส่วนเท่านั้นที่เธอบังเอิญได้ยินเข้า

  เมื่อได้ยินเสียงเคาะประตู ทั้งสองคนจึงได้สติจากการทะเลาะกัน และต่างก็รีบจัดการกับสีหน้าของตนเองให้เป็นปกติที่สุด

  แนนซี่ผลักประตูแล้วเดินเข้ามาในห้อง ทำราวกับว่าเธอไม่เห็นสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกของทั้งสองคน ถึงอย่างไรก็ตามความอึดอัดของพวกเขาสองคนก็ปิดได้ไม่มิดอยู่ดี

  “เปลี่ยนยาได้แล้ว!”

  “ขอบคุณ ขอบคุณเธอมากจริง ๆ ถ้าไม่ใช่เพราะคุณ พวกเราคงจะ ………. ขอโทษนะ ว่าแต่ เรายังไม่รู้ชื่อของคุณเลย?”

  เหมือนว่าหยูหานจะอายมากที่ถูกแนนซี่เห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตาของเขา

  “แนนซี่!”

  “โอเค แนนซี่ใช่ไหม ขอบคุณมากนะแนนซี่ ถ้าไม่ใช่เพราะเธอตอนนี้พวกเราคงจะตายไปแล้ว ขอโทษด้วยที่ทำให้เธอได้เห็นฉากไม่น่าดูแบบนี้ ฉันชื่อหยูหาน คนนี้คือแฟนของฉันหนิงเสวี่ย ส่วนคนนี้คือ…..” หยูหานเช็ดน้ำตาด้วยมือซ้าย แต่เหมือนว่ามันก็ยังคงไหลเอ่อออกมาเรื่อย ๆ ยิ่งเขาพยายามห้ามน้ำตามากเท่าไหร่มันก็ยิ่งทะลักออกมาอย่างหยุดไม่ได้

  “ฉันชื่ออดัมส์!”อดัมส์พูดขึ้นมาเองโดยไม่ต้องให้หยูหานแนะนำเขา

  “จ้ะ” แม้เสียงที่ตอบกลับจะแผ่วเบา แต่ในใจของแนนซี่ก็รู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก กล่าวตามตรง แนนซี่อาศัยอยู่ที่นี่เพียงคนเดียว และไม่ค่อยอยากจะรับรู้สิ่งใดมากนักเพราะเกาะปีศาจ ณ ขณะนี้ หากคุณอยากรู้อยากเห็นมากเกินไป คุณก็มีแต่จะตายเร็วขึ้นเท่านั้น

  แต่ว่าตอนนี้แนนซี่อยากจะรู้ว่าพวกเขาเหล่านี้ไปเจอสิ่งใดมากันแน่

  ไป๋อี้และหยูหาน  คาดไม่ถึงเลยว่าจะเป็นสองคนนี้ ทั้งยังดูคล้ายกับว่าพวกเขาต่างมีอดีตที่ไม่ปกติเป็นอย่างมาก เดิมทีเธออยากรู้เกี่ยวกับที่ทั้งสองคนช่วยเหลือมนุษย์วิวัฒนาการและข้อมูลเกี่ยวกับเซลล์ดัดแปลง แต่คาดไม่ถึงเลยว่าเธอกลับได้รับรู้อดีตระหว่างทั้งสองคน

  หากแต่ว่า การร้องไห้ของหยูหานนั้นดูจะมีบางส่วนที่ดูไม่จริงใจอยู่บ้าง แนนซี่คิดบางอย่างในใจโดยที่ไม่ได้เปลี่ยนสีหน้าอย่างกะทันหัน การเป็นหมอปรุงยาที่อาศัยอยู่ที่นี่เพียงลำพังนั้นต้องมีทักษะการสังเกตที่เฉียบแหลมและการพิจารณาอย่างรอบคอบ นั่นเป็นสิ่งที่สำคัญมาก มิฉะนั้นเธอคงไม่สามารถมีชีวิตรอดมาถึงตอนนี้ได้แน่ แม้ว่าทักษะการแสดงของหยูหานนั้นจะมีความเชี่ยวชาญมากขึ้น แต่สิ่งที่เขาคาดไม่ถึงนั่นก็คือเขาได้พบกับคนที่ช่างสังเกตเหมือนกับหงฉี่ฮว๋าอีกคนหนึ่งแล้ว

  หลังจากการขัดจังหวะของแนนซี่ อดัมส์ก็เริ่มสงบลงเล็กน้อย เขาไม่ได้โวยวายอย่างก่อนหน้านี้แล้ว หลังจากที่แนนซี่ออกไป หยูหานก็หันไปมองที่อดัมส์

  “มันเป็นความผิดของฉัน แต่บางทีพวกเขาอาจจะยังไม่ตายก็ได้ ไม่ใช่ว่าพวกเราเองก็ได้ถูกคนช่วยไว้หรอกเหรอ” หยูหานพูดปลอบ

  “นายคิดว่ามันมีความเป็นไปได้มากแค่ไหนกันเชียว?”

  หยูหานถูกถามกลับด้วยคำถามที่เต็มไปด้วยอารมณ์ของอดัมส์ มีความเป็นไปได้มากเท่าไหร่กันอย่างนั้นเหรอ แน่นอนว่าหยูหานเองก็รู้ดีว่าการเข้าสู่ระยะดุร้ายคลุ้มคลั่งท่ามกลางฝูงวิญญาณชั่วร้ายนั้นมีความเป็นไปได้แค่ไหนที่จะสามารถมีชีวิตรอดออกมา ไม่ใช่ว่าทุกคนจะโชคดีที่มีคนมาช่วยไว้พอดีเหมือนพวกเขา แต่ถึงอย่างไรหยูหานก็รู้สึกได้ว่าไป๋อี้ยังไม่ตายอย่างแน่นอน  เขายังไม่ตายอย่างแน่นอน

  “ตอบไม่ได้งั้นเหรอ” อดัมส์เย้ยหยันเล็กน้อย แต่หลังจากนั้นเขาก็รู้สึกว่ามันไม่ได้มีความหมายแต่อย่างใด เขามองขึ้นไปบนรอยด่างบนเพดานเหนือศีรษะอย่างไร้จิตวิญญาณราวกับเป็นเพียงเถ้าธุลีที่ดับมอดไปแล้ว

  “ฉันรู้ว่าโอกาสที่พวกเขาจะรอดชีวิตมีไม่มาก ไม่ใช่ทุกคนที่จะโชคดีมีคนมาช่วยแบบพวกเรา แต่ฉันรู้ว่าไป๋อี้ยังคงมีชีวิตอยู่แน่นอน ไม่มีเหตุผลใด แต่มันคือสิ่งที่ฉันสัมผัสได้ และในตอนนี้ระหว่างฉันกับเขาไม่สามารถใช้หลักเก ณฑ์ถูกผิดอย่างเรียบง่ายมาชี้วัดได้อีกต่อไปแล้ว” หยูหานพยายามลุกขึ้นมาอย่างช้า ๆ

  “ฉันไม่สนใจว่านายจะตัดสินใจยังไง แต่คราวนี้ ฉันจะเป็นฝ่ายตามหาเขา และหาบทสรุปเกี่ยวกับเรื่องนี้สักที ระหว่างพวกเรามันไม่มีทางหลบเลี่ยงที่จะทำให้ดีขึ้นได้อีกแล้ว” หยูหานพูดด้วยสีหน้าเศร้าสลดแต่ทว่าคำพูดที่ออกมากลับมีแต่ความโหดร้าย        

  “แล้วนายล่ะ มีแผนจะทำอย่างไรต่อไป จะหยุดแล้วถอนตัวออกไป หรือจะไปกับฉันโดยไม่สนว่าจะผิดหรือถูก แล้วไปตามหาไป๋อี้เพื่อทำจบเรื่องนี้ซะ”หยูหานมองไปที่อดัมส์อย่างจริงจัง

  “เฮ้อ ~~!” อดัมส์ถอนหายใจเฮือกใหญ่และหลับตาลง “ฉันจะคิดอย่างถี่ถ้วนดูอีกที” หลังจากพูดจบ อดัมส์ก็ไม่พูดอะไรต่อ และหยูหานก็ไม่ได้บังคับอะไร เขารู้ว่าอดัมส์เป็นคนฉลาดและมีเหตุผลมาก การจะให้อดัมส์ร่วมเดินทางไปด้วยกันกับเขาต่อนั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายอีกต่อไปแล้ว

  ……

  ผ่านไปหนึ่งสัปดาห์ พวกหยูหานทั้งสามคนก็รักษาตัวอยู่ที่นี่กันอย่างเงียบ ๆ  อดัมส์ยังคงไม่ได้ตอบคำถามก่อนหน้านี้ และอีกหนึ่งปัญหาที่ทำให้หยูหานกังวลยิ่งกว่านั้นคือหนิงเสวี่ยยังไม่ฟื้นตัว แต่อย่างไรก็ตามจากการรักษาของแนนซี่ พวกเขาก็พบว่าอาการบาดเจ็บของพวกเขาดีขึ้นอย่างรวดเร็วภายในระยะเวลาหนึ่งสัปดาห์นี้

  สิ่งนี้ทำให้หยูหานแน่ใจได้โดยไม่ต้องคำนึงถึงความแข็งแกร่ง ในแง่ของความสามารถของแนนซี่หมอปรุงยาคนนี้น่าทึ่งจริง ๆ

  “แนนซี่ ฉันรู้ว่ามียาคืนสภาพอยู่ที่นอกเมือง  แม้ว่ามันจะไม่ได้ผลลัพธ์ที่สมบูรณ์ แต่ก็สามารถคืนสภาพร่างกายมนุษย์ให้เราได้ในระดับหนึ่ง สำหรับบุญคุณที่ได้ช่วยชีวิตพวกเราไว้ คิดไม่ออกจริง ๆ ว่าจะตอบแทนคุณได้อย่างไร บางทียานี้อาจจะช่วยคุณได้บ้าง คุณต้องการมันไหม” หยูหานลองถามดู ในเวลานี้เขาไม่อยากเชิญชวนอย่างตรงไปตรงมา เพราะเขารู้ว่ามันไม่เหมาะกับสถานการณ์ในตอนนี้เป็นอย่างมาก เนื่องจากแนนซี่ได้รับรู้ถึงอดีตระหว่างเขากับไป๋อี้ไปบ้างแล้ว

  “PrototyDrug—ยาคืนสภาพ!”

  “ใช่แล้ว!”

  “มันน่าสนใจมาก แต่ว่าช่างมันเถอะ ถึงอย่างไรมันก็ยังไม่สามารถคืนสู่สภาพมนุษย์อย่างสมบูรณ์ได้ ไว้รอมีใครสักคนคิดค้นยาที่สามารถฟื้นคืนร่างกายมนุษย์ได้อย่างสมบูรณ์ขึ้นมาได้จริง ๆ ค่อยพูดกันเถอะ ถึงแม้ว่าฉันจะศึกษาคุณสมบัติของยามาไม่นาน แต่ก็รู้ว่าบางครั้งยาที่ให้ผลคล้ายคลึงกันอาจจะเกิดการต่อต้านกันและกันได้ หากว่าใช้ PrototyDrug ในตอนนี้ ไม่แน่ว่าอาจจะมีผลกับยาที่สามารถฟื้นคืนสภาพมนุษย์อย่างสมบูรณ์จริง ๆ ในภายภาคหน้าได้” แนนซี่ส่ายหัวปฏิเสธข้อเสนอพร้อมกับส่งยิ้มให้

  “อย่างนั้นเหรอ น่าอายจริง ๆ นอกจากสิ่งนี้แล้ว ฉันก็ไม่รู้จะตอบแทนคุณอย่างไรดี”

  “ไม่เป็นไร” แนนซี่ส่ายหัว

  “แนนซี่ คุณไม่อยากออกไปดูนิวซีแลนด์ในตอนนี้เหรอ?” หยูหานถามอีกเป็นครั้งสุดท้าย

  “อืม จริง ๆ ฉันก็อยากรู้บ้าง แต่ยังไม่อยากออกไปในตอนนี้น่ะ ถึงอย่างไรนิวซีแลนด์ในตอนนี้ก็อันตรายเกินไป แม้ว่าสถานที่แห่งนี้จะอันตรายมากเหมือนกัน แต่โดยรวมแล้วฉันก็มีความคุ้นเคยอยู่บ้าง อย่างน้อยก็ไม่เป็นปัญหาในการเอาชีวิตรอด”

  “อย่างนั้นเหรอ หากว่าหลังจากนี้คุณออกไปจากที่นี่ อย่าลืมมาหาฉันนะ ฉันจะตอบแทนบุญคุณนี้อย่างแน่นอน”

  “โอเค ถ้ามีโอกาสนะ” นับว่าแนนซี่ปฏิเสธการเชื้อเชิญของหยูหานไปอย่างนุ่มนวล แน่นอนว่าเธอเข้าใจสิ่งที่หยูหานชักชวน แต่หลังจากรู้เรื่องภายในแล้ว เธอจะตกลงไปกับหยูหานได้อย่างไร ตรงกันข้าม แนนซี่กลับสนใจไป๋อี้มากขึ้นจากคำพูดไม่กี่คำที่ออกมาจากพวกหยูหาน ถึงแม้ว่าจะเป็นศัตรูกัน แต่พวกเขาก็กล่าวประเมินไป๋อี้ไว้สูงมาก

  หลังจากที่หยูหานถูกแนนซี่ปฏิเสธ ถึงแม้ว่าสีหน้าเขาจะไม่เปลี่ยนไปมากนัก แต่ในใจของเขานั้นรู้สึกผิดหวังเป็นอย่างมาก เป็นอย่างที่คิดเลย หลังจากรู้เรื่องต่าง ๆ ของพวกเขาแล้วการที่จะชักชวนแนนซี่ก็กลายเป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

[นิยายแปล] มหาวิบัติยีนกลายพันธุ์ 123 คำชักชวนที่ล้มเหลว

Now you are reading [นิยายแปล] มหาวิบัติยีนกลายพันธุ์ Chapter 123 คำชักชวนที่ล้มเหลว at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

 

ในขณะที่กลุ่มไป๋อี้กำลังมองหาดอกไม้มรณะและฟื้นฟูจิตวิญญาณของพวกเขา ทางฝั่งหยูหานก็กำลังรักษาตัวอยู่เช่นเดียวกัน แน่นอนว่าเป็นอย่างที่ไป๋อี้คาดการณ์เอาไว้ โชคชะตาของหยูหานนั้นดีมาก และครั้งนี้เขาก็บังเอิญได้รับการช่วยเหลือจากนักปรุงยาสาวที่อาศัยอยู่ในเวลลิงตันแห่งนี้ ยิ่งไปกว่านั้นนักปรุงยาสาวคนนี้ยังเคยได้ยินเรื่องของไป๋อี้และหยูหานมาก่อน ซึ่งเธอมีความสนใจในเรื่องของทั้งสองคนเป็นอย่างมาก

  แต่ทว่าหยูหานในตอนนี้ก็ไม่ได้สบายกายสบายใจอะไรมากนัก

  “นายไม่อยากพูดอะไรหน่อยเหรอ?” อดัมส์มองไปที่หยูหาน

  “ฉันขอโทษ!” สีหน้าของหยูหานเต็มไปด้วยความผิดหวังเสียใจและหดหู่

  “แค่ขอโทษอย่างนั้นเหรอ มีแค่คำขอโทษเท่านั้นเองเหรอ!” เมื่ออดัมส์เห็นสีหน้าของหยูหาน ความโมโหก็พุ่งพรวดขึ้นมาทันที เขาจึงตะโกนถามออกมาเสียงดัง “เอเวอลิน, อาเธน่า, โกเธ่ …. และคนอื่น ๆ พวกเขาทั้งหกคนตายไปแล้ว พวกเขาตายหมดแล้วนายเข้าใจไหม เพราะนายไปยั่วยุไป๋อี้ ทั้งหกคนถึงต้องชะตาขาดกันหมด” ยิ่งพูดอดัมส์ยิ่งโมโห เขาตะคอกจนเสียงแหบแห้ง และในตอนท้ายเสียงนั้นก็สั่นเครือระคนไปด้วยเสียงสะอื้นไห้ที่ทวีเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนเขาพูดอะไรต่อไม่ออก

  “ขอโทษ!” เสียงของหยูหานเปล่งออกมาอย่างเผาเบา

  “อ๊ากกกกก ….!” อดัมส์ร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดเป็นเวลานาน น้ำตาที่พรั่งพรูออกมาจากดวงตาของเขา บ่งบอกถึงความเจ็บปวดอย่างถึงที่สุด

  ทันใดนั้น หยูหานก็ได้ยินเสียงบางอย่างดังมาจากข้างนอก เขาจึงเกิดความสงสัยว่าใครกันที่มาที่นี่ และคนนั้นก็คือหมอปรุงยา แม้ว่าหยูหานจะไม่รู้ถึงความสามารถหรือระดับการปรุงยาของหมอหญิงคนนี้ แต่การที่เธอสามารถอาศัยอยู่ในเมืองเวลลิงตันนี้ได้ด้วยตัวคนเดียวเช่นนี้ เธอต้องไม่ใช่คนอ่อนแออย่างแน่นอน หากไม่ได้มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น หยูหานจะต้องดึงหมอหญิงคนนี้เข้ากลุ่มอย่างแน่นอน แต่สถานการณ์ตอนนี้มันยุ่งยากเกินไป เพราะจากการทะเลาะกันเมื่อสักครู่  คาดว่าเรื่องราวที่ผ่านมาของเขากับไป๋อี้คงจะถูกได้ยินหมดแล้ว ซึ่งคนปกติทั่วไปก็คงไม่มีทางที่จะเลือกฝั่งเขาอยู่แล้ว

  แล้วยังไงล่ะ

  “แล้วนายจะให้ฉันทำยังไง นายคิดว่าฉันไม่อยากที่จะปรับความเข้าใจเหรอ ฉันไม่ได้พยายามจะขอคืนดีเหรอ แต่ไป๋อี้ทำอะไรล่ะ เขาให้โอกาสกับฉันไหม ลองคิดดูให้ดีว่าเอเวอลินตายได้ยังไง ความโหดร้ายและความเด็ดขาดแบบนั้น มันก็เป็นความผิดของฉันด้วยเหรอ? นายคิดว่าฉันไม่เจ็บปวดเหรอ พวกเขาไม่ใช่เพื่อนร่วมทีมของฉันหรือไง หนิงเสวี่ยไม่ใช่แฟนฉันเหรอ การที่พวกเขาต้องมาจบชีวิตแบบนี้ นายคิดว่าฉันจะรู้สึกดีอย่างนั้นเหรอ” ยิ่งพูดหยูหานก็ยิ่งเสียงสั่นเทา และสุดท้ายน้ำตาของเขาก็ไหลรินลงมาเช่นเดียวกัน

  ท่าทีที่เกิดขึ้นกับชายรูปร่างสูงใหญ่แบบนี้เป็นสภาพที่ดูไม่ได้เลย ทว่าในขณะเดียวกันก็ทำให้คนอื่นต้องตกตะลึง

  อย่างไรก็ตามในคำพูดนั้นมีความจริงอยู่แค่ไหนกัน?

  “นายเป็นคนก่อเหตุ ถ้าไม่ใช่เพราะสิ่งที่นายทำในตอนแรก ไป๋อี้จะมาตามแก้แค้นได้อย่างไร” อดัมส์ตะโกนเสียงดัง เขาตัวสั่นและอยากจะลุกออกไปจากที่นี่

  แต่ในขณะนั้นเองอดัมส์ก็หวนนึกไปถึงคำพูดที่ไป๋อี้กล่าวในช่วงเริ่มต้นตอนต่อสู้—ถ้าต้องตายไป ก็อย่ามาโทษเขา

  ใช่แล้ว ตอนที่เริ่มต่อสู้ไป๋อี้ได้กล่าวเตือนพวกเขาทุกคนเอาไว้ก่อนแล้ว เรื่องนี้พวกเขาไม่ได้เกี่ยวข้อง ในเมื่อพวกเขายืนกรานที่จะมีส่วนร่วม ก็ต้องเตรียมใจให้พร้อมที่จะเผชิญกับความตายเช่นกัน เมื่อนึกถึงม่านตาบุษบาผกผันที่น่าหลงใหลของไปอี้ และนึกถึงฉากที่หัวของเอเวอลินขาดสะบั้นลอยออกไปแล้วอดัมส์ก็หลับตาลงอย่างทนไม่ได้ ใช่แล้ว มันไม่คุ้มกันเลย เอเวอลินนั้นเป็นคนที่ตายอย่างไม่ได้รับความเป็นธรรมมากที่สุด เมื่อมาคิดย้อนดูในตอนนี้ มันเป็นเรื่องที่ดูโง่เขามากที่เข้าไปปะทะกับคมดาบของไป๋อี้

  ก๊อก ก๊อก!

  เสียงเคาะประตูดังขึ้นเบา ๆ สองครั้ง ความจริงแล้วแนนซี่รู้สึกแปลกใจเกี่ยวกับบทสนทนาของทั้งสองคนเป็นอย่างมาก เธอคาดไม่ถึงเลยว่าสิ่งที่พวกเขาคุยกันอยู่จะเกี่ยวข้องกับไป๋อี้คนนั้นด้วย มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่จากการเลี้ยงดูที่ได้รับการอบรมบ่มนิสัยมาตั้งแต่ยังเล็ก แนนซี่จึงไม่ได้ยืนแอบฟังแต่อย่างใด มีเพียงแค่บทสนทนาในช่วงแรกบางส่วนเท่านั้นที่เธอบังเอิญได้ยินเข้า

  เมื่อได้ยินเสียงเคาะประตู ทั้งสองคนจึงได้สติจากการทะเลาะกัน และต่างก็รีบจัดการกับสีหน้าของตนเองให้เป็นปกติที่สุด

  แนนซี่ผลักประตูแล้วเดินเข้ามาในห้อง ทำราวกับว่าเธอไม่เห็นสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกของทั้งสองคน ถึงอย่างไรก็ตามความอึดอัดของพวกเขาสองคนก็ปิดได้ไม่มิดอยู่ดี

  “เปลี่ยนยาได้แล้ว!”

  “ขอบคุณ ขอบคุณเธอมากจริง ๆ ถ้าไม่ใช่เพราะคุณ พวกเราคงจะ ………. ขอโทษนะ ว่าแต่ เรายังไม่รู้ชื่อของคุณเลย?”

  เหมือนว่าหยูหานจะอายมากที่ถูกแนนซี่เห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตาของเขา

  “แนนซี่!”

  “โอเค แนนซี่ใช่ไหม ขอบคุณมากนะแนนซี่ ถ้าไม่ใช่เพราะเธอตอนนี้พวกเราคงจะตายไปแล้ว ขอโทษด้วยที่ทำให้เธอได้เห็นฉากไม่น่าดูแบบนี้ ฉันชื่อหยูหาน คนนี้คือแฟนของฉันหนิงเสวี่ย ส่วนคนนี้คือ…..” หยูหานเช็ดน้ำตาด้วยมือซ้าย แต่เหมือนว่ามันก็ยังคงไหลเอ่อออกมาเรื่อย ๆ ยิ่งเขาพยายามห้ามน้ำตามากเท่าไหร่มันก็ยิ่งทะลักออกมาอย่างหยุดไม่ได้

  “ฉันชื่ออดัมส์!”อดัมส์พูดขึ้นมาเองโดยไม่ต้องให้หยูหานแนะนำเขา

  “จ้ะ” แม้เสียงที่ตอบกลับจะแผ่วเบา แต่ในใจของแนนซี่ก็รู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก กล่าวตามตรง แนนซี่อาศัยอยู่ที่นี่เพียงคนเดียว และไม่ค่อยอยากจะรับรู้สิ่งใดมากนักเพราะเกาะปีศาจ ณ ขณะนี้ หากคุณอยากรู้อยากเห็นมากเกินไป คุณก็มีแต่จะตายเร็วขึ้นเท่านั้น

  แต่ว่าตอนนี้แนนซี่อยากจะรู้ว่าพวกเขาเหล่านี้ไปเจอสิ่งใดมากันแน่

  ไป๋อี้และหยูหาน  คาดไม่ถึงเลยว่าจะเป็นสองคนนี้ ทั้งยังดูคล้ายกับว่าพวกเขาต่างมีอดีตที่ไม่ปกติเป็นอย่างมาก เดิมทีเธออยากรู้เกี่ยวกับที่ทั้งสองคนช่วยเหลือมนุษย์วิวัฒนาการและข้อมูลเกี่ยวกับเซลล์ดัดแปลง แต่คาดไม่ถึงเลยว่าเธอกลับได้รับรู้อดีตระหว่างทั้งสองคน

  หากแต่ว่า การร้องไห้ของหยูหานนั้นดูจะมีบางส่วนที่ดูไม่จริงใจอยู่บ้าง แนนซี่คิดบางอย่างในใจโดยที่ไม่ได้เปลี่ยนสีหน้าอย่างกะทันหัน การเป็นหมอปรุงยาที่อาศัยอยู่ที่นี่เพียงลำพังนั้นต้องมีทักษะการสังเกตที่เฉียบแหลมและการพิจารณาอย่างรอบคอบ นั่นเป็นสิ่งที่สำคัญมาก มิฉะนั้นเธอคงไม่สามารถมีชีวิตรอดมาถึงตอนนี้ได้แน่ แม้ว่าทักษะการแสดงของหยูหานนั้นจะมีความเชี่ยวชาญมากขึ้น แต่สิ่งที่เขาคาดไม่ถึงนั่นก็คือเขาได้พบกับคนที่ช่างสังเกตเหมือนกับหงฉี่ฮว๋าอีกคนหนึ่งแล้ว

  หลังจากการขัดจังหวะของแนนซี่ อดัมส์ก็เริ่มสงบลงเล็กน้อย เขาไม่ได้โวยวายอย่างก่อนหน้านี้แล้ว หลังจากที่แนนซี่ออกไป หยูหานก็หันไปมองที่อดัมส์

  “มันเป็นความผิดของฉัน แต่บางทีพวกเขาอาจจะยังไม่ตายก็ได้ ไม่ใช่ว่าพวกเราเองก็ได้ถูกคนช่วยไว้หรอกเหรอ” หยูหานพูดปลอบ

  “นายคิดว่ามันมีความเป็นไปได้มากแค่ไหนกันเชียว?”

  หยูหานถูกถามกลับด้วยคำถามที่เต็มไปด้วยอารมณ์ของอดัมส์ มีความเป็นไปได้มากเท่าไหร่กันอย่างนั้นเหรอ แน่นอนว่าหยูหานเองก็รู้ดีว่าการเข้าสู่ระยะดุร้ายคลุ้มคลั่งท่ามกลางฝูงวิญญาณชั่วร้ายนั้นมีความเป็นไปได้แค่ไหนที่จะสามารถมีชีวิตรอดออกมา ไม่ใช่ว่าทุกคนจะโชคดีที่มีคนมาช่วยไว้พอดีเหมือนพวกเขา แต่ถึงอย่างไรหยูหานก็รู้สึกได้ว่าไป๋อี้ยังไม่ตายอย่างแน่นอน  เขายังไม่ตายอย่างแน่นอน

  “ตอบไม่ได้งั้นเหรอ” อดัมส์เย้ยหยันเล็กน้อย แต่หลังจากนั้นเขาก็รู้สึกว่ามันไม่ได้มีความหมายแต่อย่างใด เขามองขึ้นไปบนรอยด่างบนเพดานเหนือศีรษะอย่างไร้จิตวิญญาณราวกับเป็นเพียงเถ้าธุลีที่ดับมอดไปแล้ว

  “ฉันรู้ว่าโอกาสที่พวกเขาจะรอดชีวิตมีไม่มาก ไม่ใช่ทุกคนที่จะโชคดีมีคนมาช่วยแบบพวกเรา แต่ฉันรู้ว่าไป๋อี้ยังคงมีชีวิตอยู่แน่นอน ไม่มีเหตุผลใด แต่มันคือสิ่งที่ฉันสัมผัสได้ และในตอนนี้ระหว่างฉันกับเขาไม่สามารถใช้หลักเก ณฑ์ถูกผิดอย่างเรียบง่ายมาชี้วัดได้อีกต่อไปแล้ว” หยูหานพยายามลุกขึ้นมาอย่างช้า ๆ

  “ฉันไม่สนใจว่านายจะตัดสินใจยังไง แต่คราวนี้ ฉันจะเป็นฝ่ายตามหาเขา และหาบทสรุปเกี่ยวกับเรื่องนี้สักที ระหว่างพวกเรามันไม่มีทางหลบเลี่ยงที่จะทำให้ดีขึ้นได้อีกแล้ว” หยูหานพูดด้วยสีหน้าเศร้าสลดแต่ทว่าคำพูดที่ออกมากลับมีแต่ความโหดร้าย        

  “แล้วนายล่ะ มีแผนจะทำอย่างไรต่อไป จะหยุดแล้วถอนตัวออกไป หรือจะไปกับฉันโดยไม่สนว่าจะผิดหรือถูก แล้วไปตามหาไป๋อี้เพื่อทำจบเรื่องนี้ซะ”หยูหานมองไปที่อดัมส์อย่างจริงจัง

  “เฮ้อ ~~!” อดัมส์ถอนหายใจเฮือกใหญ่และหลับตาลง “ฉันจะคิดอย่างถี่ถ้วนดูอีกที” หลังจากพูดจบ อดัมส์ก็ไม่พูดอะไรต่อ และหยูหานก็ไม่ได้บังคับอะไร เขารู้ว่าอดัมส์เป็นคนฉลาดและมีเหตุผลมาก การจะให้อดัมส์ร่วมเดินทางไปด้วยกันกับเขาต่อนั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายอีกต่อไปแล้ว

  ……

  ผ่านไปหนึ่งสัปดาห์ พวกหยูหานทั้งสามคนก็รักษาตัวอยู่ที่นี่กันอย่างเงียบ ๆ  อดัมส์ยังคงไม่ได้ตอบคำถามก่อนหน้านี้ และอีกหนึ่งปัญหาที่ทำให้หยูหานกังวลยิ่งกว่านั้นคือหนิงเสวี่ยยังไม่ฟื้นตัว แต่อย่างไรก็ตามจากการรักษาของแนนซี่ พวกเขาก็พบว่าอาการบาดเจ็บของพวกเขาดีขึ้นอย่างรวดเร็วภายในระยะเวลาหนึ่งสัปดาห์นี้

  สิ่งนี้ทำให้หยูหานแน่ใจได้โดยไม่ต้องคำนึงถึงความแข็งแกร่ง ในแง่ของความสามารถของแนนซี่หมอปรุงยาคนนี้น่าทึ่งจริง ๆ

  “แนนซี่ ฉันรู้ว่ามียาคืนสภาพอยู่ที่นอกเมือง  แม้ว่ามันจะไม่ได้ผลลัพธ์ที่สมบูรณ์ แต่ก็สามารถคืนสภาพร่างกายมนุษย์ให้เราได้ในระดับหนึ่ง สำหรับบุญคุณที่ได้ช่วยชีวิตพวกเราไว้ คิดไม่ออกจริง ๆ ว่าจะตอบแทนคุณได้อย่างไร บางทียานี้อาจจะช่วยคุณได้บ้าง คุณต้องการมันไหม” หยูหานลองถามดู ในเวลานี้เขาไม่อยากเชิญชวนอย่างตรงไปตรงมา เพราะเขารู้ว่ามันไม่เหมาะกับสถานการณ์ในตอนนี้เป็นอย่างมาก เนื่องจากแนนซี่ได้รับรู้ถึงอดีตระหว่างเขากับไป๋อี้ไปบ้างแล้ว

  “PrototyDrug—ยาคืนสภาพ!”

  “ใช่แล้ว!”

  “มันน่าสนใจมาก แต่ว่าช่างมันเถอะ ถึงอย่างไรมันก็ยังไม่สามารถคืนสู่สภาพมนุษย์อย่างสมบูรณ์ได้ ไว้รอมีใครสักคนคิดค้นยาที่สามารถฟื้นคืนร่างกายมนุษย์ได้อย่างสมบูรณ์ขึ้นมาได้จริง ๆ ค่อยพูดกันเถอะ ถึงแม้ว่าฉันจะศึกษาคุณสมบัติของยามาไม่นาน แต่ก็รู้ว่าบางครั้งยาที่ให้ผลคล้ายคลึงกันอาจจะเกิดการต่อต้านกันและกันได้ หากว่าใช้ PrototyDrug ในตอนนี้ ไม่แน่ว่าอาจจะมีผลกับยาที่สามารถฟื้นคืนสภาพมนุษย์อย่างสมบูรณ์จริง ๆ ในภายภาคหน้าได้” แนนซี่ส่ายหัวปฏิเสธข้อเสนอพร้อมกับส่งยิ้มให้

  “อย่างนั้นเหรอ น่าอายจริง ๆ นอกจากสิ่งนี้แล้ว ฉันก็ไม่รู้จะตอบแทนคุณอย่างไรดี”

  “ไม่เป็นไร” แนนซี่ส่ายหัว

  “แนนซี่ คุณไม่อยากออกไปดูนิวซีแลนด์ในตอนนี้เหรอ?” หยูหานถามอีกเป็นครั้งสุดท้าย

  “อืม จริง ๆ ฉันก็อยากรู้บ้าง แต่ยังไม่อยากออกไปในตอนนี้น่ะ ถึงอย่างไรนิวซีแลนด์ในตอนนี้ก็อันตรายเกินไป แม้ว่าสถานที่แห่งนี้จะอันตรายมากเหมือนกัน แต่โดยรวมแล้วฉันก็มีความคุ้นเคยอยู่บ้าง อย่างน้อยก็ไม่เป็นปัญหาในการเอาชีวิตรอด”

  “อย่างนั้นเหรอ หากว่าหลังจากนี้คุณออกไปจากที่นี่ อย่าลืมมาหาฉันนะ ฉันจะตอบแทนบุญคุณนี้อย่างแน่นอน”

  “โอเค ถ้ามีโอกาสนะ” นับว่าแนนซี่ปฏิเสธการเชื้อเชิญของหยูหานไปอย่างนุ่มนวล แน่นอนว่าเธอเข้าใจสิ่งที่หยูหานชักชวน แต่หลังจากรู้เรื่องภายในแล้ว เธอจะตกลงไปกับหยูหานได้อย่างไร ตรงกันข้าม แนนซี่กลับสนใจไป๋อี้มากขึ้นจากคำพูดไม่กี่คำที่ออกมาจากพวกหยูหาน ถึงแม้ว่าจะเป็นศัตรูกัน แต่พวกเขาก็กล่าวประเมินไป๋อี้ไว้สูงมาก

  หลังจากที่หยูหานถูกแนนซี่ปฏิเสธ ถึงแม้ว่าสีหน้าเขาจะไม่เปลี่ยนไปมากนัก แต่ในใจของเขานั้นรู้สึกผิดหวังเป็นอย่างมาก เป็นอย่างที่คิดเลย หลังจากรู้เรื่องต่าง ๆ ของพวกเขาแล้วการที่จะชักชวนแนนซี่ก็กลายเป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+