[นิยายแปล] มหาวิบัติยีนกลายพันธุ์ 19 ความโหดเหี้ยม

Now you are reading [นิยายแปล] มหาวิบัติยีนกลายพันธุ์ Chapter 19 ความโหดเหี้ยม at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

        ตอนเที่ยงของวันที่  26 ในที่สุดไป๋อี้ก็มาถึงเตอวามูตู แต่ทว่ายังไม่ทันได้เข้าไปในเขตตัวเมืองเขาก็ได้เห็นพลุไฟที่กำลังลอยเป็นคลื่นขึ้นมาจากในเขตเมือง นี่ไม่ใช่พลุดอกไม้ไฟแต่มันคือไฟที่กำลังมอดไหม้อยู่ต่างหาก ในขณะนี้ข้างในตัวเมืองเต็มไปด้วยควันไฟโขมง เสียงแตรรถที่วุ่นวาย และเสียงกรีดร้องที่ดังแสบแก้วหูจากความความหวาดกลัวของผู้คน

        สัตว์ประหลาดยังไม่มาถึงที่นี่ใช่ไหม ? เบลลิก้าทีน่ากำลังมองดูบ้านเกิดของตัวเองที่เป็นแบบนี้ ภาพตรงหน้าเป็นภาพที่ยากเกินกว่าจะยอมรับได้

        ไม่ มันไม่ใช่สัตว์ประหลาด นั่นคือมนุษย์ต่างหาก ทันใดนั้นไป๋อี้ก็ได้นึกอะไรขึ้นมาได้

        “หงฉี่ฮว๋า คอมพิวเตอร์ยังเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้ไหม ? ช่วยอัพโหลดข้อมูลเกี่ยวกับสาเหตุที่ทำให้นิวซีแลนด์กลายเป็นแบบนี้ทางอินเทอร์เน็ตที ส่วนข้อมูลเกี่ยวกับสถาบันวิจัยให้เก็บเอาไว้ก่อน” ไป๋อี้ได้หันไปพูดกับหงฉี่ฮว๋า จากนั้นก็ได้อธิบายให้เบลลิก้าทีน่าฟัง

        “พวกเราได้พบกับมาร์ติน นั่นจึงทำให้เราได้รู้สาเหตุของการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ ดังนั้นจึงทำให้ไม่เกิดความสับสนมากนัก แต่ไม่เหมือนกับคนอื่น ๆ พวกเขาไม่ได้รับรู้สาเหตุที่แท้จริง กลัวว่าตอนนี้พวกเขาคงจะคาดเดาสาเหตุที่เกิดขึ้นตามอำเภอใจ หลังจากนั้นอาจคิดว่านี้คือวันสิ้นโลกหรืออะไรประมาณนั้น ความตื่นกลัวของมนุษย์นั้นสามารถติดต่อได้ในวงกว้างและในเวลานี้คนส่วนใหญ่เริ่มที่จะกลายพันธุ์ไปเป็นสัตว์ประหลาดแล้ว ดังนั้นผู้คนจำนวนมากจึงเริ่มรู้สึกหมดอาลัยตายอยากจนอาจทำให้พวกเขาต้องการทำบางสิ่งบางอย่างที่จะสามารถทำร้ายตัวเองและทุกสิ่งทุกอย่างได้” ไป๋อี้ได้พูดอธิบายเหตุผล

        “ฉันสามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตและอัพโหลดบนเว็บไซต์หลักของนิวซีแลนด์ได้เลยใช่ไหม”

        “อื้ม พยายามทำให้ได้ ฉันไม่รู้ว่าจะมีคนที่ได้อ่านมันกี่คน”

        “ทำไมไม่บอกพวกเขาเกี่ยวกับเรื่องสถาบันวิจัย ?” เบลลิก้าทีน่าถามอีกครั้ง

        “ฟังให้ดีนะ ในสถาบันวิจัยมีสัตว์ทดลองที่ถูกกักขังไว้ในนั้น เมื่อพวกเธอได้เห็นพลังของสัตว์ทดลองเหล่านั้น ถ้าหากไม่เข้าใจอะไรเลยและเข้าไปในสถาบันวิจัยอย่างสะเพร่า เธออาจจะปล่อยสัตว์ทดลองเหล่านั้นให้หลุดออกมาข้างนอกอย่างไม่ตั้งใจก็ได้ ตอนนี้ที่นิวซีแลนด์มีความสับสนวุ่นวายมากเกินพอแล้ว และถ้าสัตว์ทดลองเหล่านั้นหลุดออกมาอีกจะทำให้เราตายกันหมด นอกจากนี้จะว่าฉันเห็นแก่ตัวก็ได้ ตอนนี้พวกเราไม่รู้ว่ามียาที่สามารถรักษาพวกผู้คนได้มากเท่าไร ก่อนที่ฉันจะได้รับยารักษาฉันไม่อยากให้คนอื่นได้รับยาก่อนหน้าฉัน” น้ำเสียงของไป๋อี้สงบนิ่งและเย็นชา

        ในตอนแรกเบลลิก้าทีน่าคิดจะโต้แย้งกลับ แต่ก่อนที่คำพูดจะหลุดออกจากปากเธอกลับต้องพูดไม่ออก

        นี่หรือตัวตนของลุงไป๋!

        แม้ว่าเขาจะเต็มใจช่วยเหลือผู้คนแต่เขาก็ไม่ได้เป็นคนใจดีอย่างแท้ จริงในตอนนี้เขายังคงมีมาตรฐานและเหตุผลของตัวเอง บางทีคำพูดของไป๋อี้อาจฟังดูเห็นแก่ตัวแต่นี่คือธรรมชาติที่แท้จริงของมนุษยชาติ และเมื่อเห็นท่าทางของคนอื่น ๆ ก็ดูเหมือนว่าก็ไม่ได้ต้องการที่จะบอกข้อมูลเหล่านี้ให้คนอื่น ๆ ได้รับรู้เช่นกัน หรือควรจะตำหนิที่พวกเขาเห็นแก่ตัวใช่ไหม ?

        “ฉันได้ทำการอัพโหลดเสร็จเรียบร้อยแล้ว ไม่รู้ว่าจะมีกี่คนที่สนใจและเห็นมัน” ในไม่ช้าหงฉี่ฮว๋าก็ได้ทำการอัพโหลดสาเหตุที่เกิดขึ้นลงอินเทอร์เน็ตได้สำเร็จ

        “ไปเถอะ เข้าไปในเมืองกัน ระวังตัวกันด้วย” ไป๋อี้ใช้วิทยุสื่อสารพูดกับทุกคนบนรถ

        ……

        ทุก ๆ เมืองล้วนมีจุดศูนย์กลาง จากนั้นจึงค่อย ๆ พัฒนาไปสู่สิ่งรอบข้างจากศูนย์กลางและแน่นอนว่าเมืองเตอวามูตูก็เช่นกัน อย่างไรก็ตามนิวซีแลนด์มีประชากรทั้งหมดมากกว่า  5 ล้านคน ดังนั้นจึงมีประชากรน้อยมากในเขตชานเมือง

        เมื่อตรงเข้าไปในเมือง บ้านเรือนที่อยู่รายล้อมเริ่มมีมากขึ้นเรื่อย ๆ ในขณะเดียวกันร่องรอยของการทำลายล้างก็มากขึ้นเรื่อย ๆ เช่นกัน ในทุกๆที่เปลวไฟที่ยังไม่ดับยังคงขมุกขมัวไปด้วยควันพร้อมกับกลิ่นอายความร้อนที่ร้อนผ่าว เมื่อไปได้ยังไม่ไกลนักก็เจอเข้ากับทางแยกซึ่งมีรถจำนวนมากที่ชนกันกีดขวางอยู่จนไม่สามารถผ่านไปได้

        ไป๋อี้เปิดประตูและจูงมือโม่โม่ลงจากรถ ส่วนคนอื่น ๆ ก็ลงจากรถมาด้วยเช่นกัน พวกเขามองดูซากรถที่ชนกองกันตรงหน้าระหว่างรอความเห็นของไป๋อี้

        “นายอยากให้เปิดทางไหม ?” วูล์ฟถามไป๋อี้

        “ไม่จำเป็น ในเมืองนี้ดูจะวุ่นวายและแออัดมาก ถ้าตรงเข้าไปในใจกลางเมืองไม่รู้ว่าจะมีอุบัติเหตุข้างหน้าอีกมากเท่าไร ทางที่ดีที่สุดเราควรเดินไปและเมื่อไปถึงชายแดนทางใต้ของเมืองเราค่อยหารถคันใหม่เอาก็ได้” หยูหานได้ยินวูล์ฟถามเช่นนั้นก็มองไปรอบ ๆ และพูดขึ้นมา

        นี่เป็นวิธีรับมือที่ถูกต้องแต่ทุกคนก็ยังคงมองไปที่ไป๋อี้

        “เป็นความคิดที่ไม่เลว พวกเราทำตามที่หยูหานบอกเถอะ เราทิ้งรถไว้ที่นี่แล้วค่อยเดินไปหารถเมื่อไปถึงเขตชายแดนทางใต้ของเมืองก็แล้วกัน” ไป๋อี้พยักหน้า

        หลังจากที่ไป๋อี้พูดเช่นนี้ ทุกคนก็เริ่มปฏิบัติตามที่ไป๋อี้บอก พวกเขาขึ้นไปบนรถและนำเนื้อของอีแร้งหางงูเจ็ดหัวที่หั่นแบ่งไว้ก่อนหน้านี้ออกมาเพื่อนำติดตัวไปด้วย ไม่ว่าอาหารอะไรก็ตามหลังจากที่เมื่อวานพวกเขาหิวกันมาก พวกเขาจะไม่ลืมมันแน่ ๆ หยูหานเอียงศีรษะเล็กน้อย เขามองไปที่ทุกคนและไป๋อี้ เห็นได้ชัดว่าเขาได้พูดวิธีการที่ถูกต้องที่สุด แต่สุดท้ายกลุ่มคนเหล่านี้ก็ต้องรอให้ไป๋อี้พยักหน้าก่อนแล้วค่อยลงมืออยู่ดี

        “คนที่อยู่ในเมืองนี้ไปไหนกันนะ ?”

        “ทุกคนรู้ดีว่ามีสัตว์ประหลาดปรากฏตัวทางตอนเหนือของเมืองแฮมิลตัน ใครที่สามารถหนีได้ก็หนีไปส่วนคนที่ไม่หนี …” ในขณะที่ไป๋อี้กล่าวเขาก็เหลือบมองไปยังบ้านเรือนรอบ ๆ บ้านเรือนที่ยังคงสภาพสมบูรณ์และเห็นได้ชัดว่ามีคนอยู่ในบ้านเหล่านั้น แต่พวกเขาทั้งหมดดูหวาดกลัวมาก พวกเขาส่วนใหญ่มีเพียงความกล้าแค่เพียงที่จะมองออกมาอย่างเงียบ ๆ ที่มุมหน้าต่างเท่านั้น

        “มันอันตรายมากสำหรับพวกเขาที่จะอยู่ที่นี่ และคาดว่าสัตว์ทดลองเหล่านั้นจะมาถึงที่นี่ในอีกไม่ช้า” เบลลิก้าทีน่ากล่าวอย่างเป็นห่วง

        “ไม่ต้องเป็นห่วงพวกเขาหรอก เป็นห่วงตัวเองก่อนเถอะ” หยูหานพูดพร้อมกับกำดาบยาวในมือแน่น

        ในเวลานี้มีเสียงโห่ร้องจากการจู่โจมและแย่งชิงกันเกิดขึ้นที่ตึกใหญ่ฝั่งตรงข้าม จากนั้นกลุ่มคนที่มีท่าทีบ้าคลั่งก็ได้เดินออกมาจากตึกนั้น ช่วงเวลาที่พวกเขาพบกัน ทั้งสองฝ่ายต่างประหลาดใจและตะลึงงันเมื่อพวกเขาเห็นไป๋อี้และคนอื่น ๆ แต่ทันใดนั้นแววตาตื่นเต้นก็ได้ปรากฏขึ้นในสายตาของกลุ่มฝั่งตรงข้ามอาคาร …. คนพวกนี้มีอาหารอยู่ในมือและยังมีผู้หญิงอีกด้วย

        ไป๋อี้และคนอื่น ๆ มองไปยังกลุ่มคนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามด้วยความตกตะลึงเนื่องจากอาวุธของฝ่ายตรงข้ามนั้นเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือด เมื่อพวกเขานึกถึงเสียงกรีดร้องด้วยความหวาดกลัวที่ดังมาจากตึกฝั่งตรงข้ามเมื่อครู่นี้ ทุกคนต่างก็เริ่มคิดว่าคนกลุ่มนี้กำลังจะทำอะไร จะมาแย่งอาหารหรืออาจจะมากกว่านั้น

        “พวกผู้ชายก้าวออกมาข้างหน้าและปกป้องพวกผู้หญิง” ไป๋อี้พูดอย่างใจเย็น

        เป็นเวลาสามวันติดต่อกัน ความหิวโหยและความอยากอาหารที่ไม่อาจจินตนาการได้ทำให้พวกเขากินอาหารไปมากมายภายในเมือง จนในที่สุดตอนนี้อาหารภายในเมืองก็เหลือน้อยเต็มทีและไม่มีแม้แต่เงาของคลังเสบียงสำรองในช่วงสงคราม บางทีกองทัพเหล่านั้นเองก็อาจจะกำลังตื่นตระหนกอยู่เพราะในเวลานี้ผู้คนส่วนใหญ่ต่างกลายพันธุ์ไปเป็นสิ่งมีชีวิตอื่นแล้ว และพวกเขาเองก็เริ่มจะกลายพันธุ์เป็นสัตว์ประหลาดเช่นกัน

        ความวิตกกังวลและความตื่นตระหนกที่เกิดขึ้นภายในจิตใจ ความหิวโหยที่ยากจะอดกลั้น สิ่งเหล่านี้ที่เกิดขึ้นทำให้ผู้คนส่วนใหญ่กลายเป็นโรคฮิสทีเรียและโรคประสาท สามารถเห็นได้ชัดว่ามันแพร่ระบาดไปยังคนอื่น ๆ อย่างรวดเร็ว

        “ส่งอาหารมาเพื่อแลกกับผู้หญิง”

        สิ่งที่เรียกว่าเหตุผลและศีลธรรมของมนุษย์นั้นแท้จริงแล้วเป็นผลิตผลที่สามารถสั่นคลอนได้โดยง่ายหลังจากด้านใดด้านหนึ่งหลุดพ้นจากการผูกติด ดูเหมือนว่ามันไม่คุ้มค่าที่จะยื้ออีกต่อไปจากการช่วงชิงอาหาร แย่งชิงทรัพย์สิน กระทั่งการแย่งชิงผู้หญิ งตราบจนการระบายอารมณ์และทำลายข้าวของสิ่งต่าง ๆ ดูเหมือนกับว่าสิ่งเหล่านั้นสามารถทำได้ไม่ยากนัก นี่คือสาเหตุที่ทำให้ภายในเมืองเมืองวุ่นวายขนาดนี้ 

        ฝั่งตรงข้ามมีจำนวนไม่มาก พวกเขามีเพียงแค่แปดคนเท่านั้นซึ่งมีจำนวนคนน้อยกว่าไป๋อี้เล็กน้อย แต่ทว่าฝ่ายนั้นกลับมีอาวุธครบมือและมีท่าทีที่ดูบ้าคลั่งกันทุกคน เมื่อพวกเขามองไปที่อาหารในมือและกลุ่มผู้หญิงของฝั่งไป๋อี้นั ยน์ตาของพวกนั้นก็เป็นประกาย——ด้วยความหิวกระหาย

        ไป๋อี้หยิบมีดสับกระดูกของเขาขึ้นมาและหยูหนานก็หยิบดาบยาวของตัวเองขึ้นมาเช่นกัน ส่วนคนอื่นมีเพียงแค่มือเปล่าเท่านั้น แม้แต่วัสดุที่สามารถนำมาเป็นอาวุธสักชิ้นก็ไม่มีด้วยซ้ำไป แม้ว่าไป๋อี้จะมีมีดทำครัวมากกว่าสิบเล่มแต่ในขณะนั้นเขาไม่มีเวลาที่จะหยิบออกมาให้คนอื่น ๆ เพื่อใช้ในการต่อสู้

        ฉินข่ายรุ่ยและคนอื่น ๆ รู้สึกประหม่าเล็กน้อย โดยเนื้อแท้แล้วพวกเขาก็เป็นเพียงแค่นักศึกษาที่มาอย่างสันติภาพ บางทีพวกเขาอาจจะชำนาญในบางวิชาแต่การต่อสู้กันบนถนนแบบนี้มัน …..

        “ออกไปซะ!” ไป๋อี้ก้าวเท้าออกไปข้างหน้าและพูดอย่างไม่แยแส

        การกระทำของไป๋อี้ทำให้บางคนในทีมรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก อย่างไรก็ตามหยูหานและหงฉี่ฮว๋าเข้าใจเป็นอย่างดีว่าในเวลาแบบนี้ไม่สามารถแสดงจุดอ่อนหรือประนีประนอมได้แม้แต่น้อย เห็นได้ชัดว่าแนวคิดทางศีลธรรมของคนเหล่านี้ได้พังทลายลงไปแล้ว ถ้าหากทีมของพวกเขาเผลอแสดงจุดอ่อนหรือความอ่อนแอให้เห็นเมื่อไหร่ ฝ่ายตรงข้ามก็จะได้เปรียบทันที ถึงตอนนั้นทุกคนต้องตกอยู่ในความโชคร้ายแน่

        “ขอแค่อาหาร ส่งอาหารมาแล้วพวกผู้หญิงจะอยู่กับพวกคุณ” ผู้นำชายที่ศีรษะมีลักษณะคล้ายหัววัวและมือขวาของเขามีเคียวเหมือนตั๊กแตนกล่าวขึ้นมา

        “ฉันบอกว่าให้พวกแกออกไปซะ!” ไป๋อี้ไม่ยอมประนีประนอม ในเวลาเดียวกันเขาก็กำมีดสับกระดูกในมือไว้อย่างแน่นหนา

        “แม่มันเถอะ! คนพิการอย่างแกยังจะอวดดีอีก” ผู้นำชายคนนั้นไม่ได้คาดหวังว่าไป๋อี้จะมีท่าทีแข็งกร้าวเช่นนี้ เพราะเห็นได้ชัดว่าไป๋อี้เป็นผู้ชายที่มีผ้าพันระโยงระยางที่มือซ้าย 

        “ฆ่าพวกมันซะ แล้วก็แย่งอาหารและผู้หญิงมาโอ้ …” ทันใดนั้นเองฝ่ายตรงข้ามก็ได้ส่งเสียงร้องออกมาอย่างบ้าบิ่น เมื่อมองไปยังเลือดที่เปรอะอยู่บนอาวุธในมือของพวกเขาก็สามารถรู้ได้ทันทีว่าคนพวกนี้ได้ฆ่าคนไปแล้วไม่น้อย และพวกเขาทั้งหมดได้กลายเป็นสัตว์ประหลาดไปแล้ว ความกลัวที่อยู่ในใจทำให้ความบ้าคลั่งไร้สติอยู่เหนือเหตุผล

        “ข้างบน!” ชายที่เป็นผู้นำได้โบกมือในขณะที่ยังถือมีดอยู่ทำให้กลุ่มคนรีบวิ่งขึ้นไปหาทันที

        “ฆ่ามัน!” น้ำเสียงของไป๋อี้เย็นชาเป็นอย่างมากเพราะในเวลานี้ไม่จำเป็นต้องมีความเมตตาใด ๆ ทั้งสิ้น ถ้าหากยังคงมีจิตใจแบบนั้นจะไม่สามารถฆ่าคนจำนวนมากได้อย่างแน่นอน ก่อนที่คนอื่นจะเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นไป๋อี้และหยูหานก็ได้พุ่งเข้าใส่ชายทั้งสองทันที

        “ฆ่ามันซะ!”

        เมื่อหยูหานนึกถึงคำพูดของไป๋อี้หัวใจของเขาก็รู้สึกฮึกเหิมขึ้นมาทันที ดูเหมือนว่าเขาจะปรับตัวเข้ากับยุคที่วุ่นวายแบบนี้ได้ดีเลยทีเดียว เขาคิดขณะที่หลบหลีกไม้เบสบอลของฝ่ายตรงข้าม

        ทันใดนั้นดาบยาวก็ได้หมุนเข้าไปเสียบที่เอวและหน้าท้องของฝ่ายตรงข้าม จากนั้นทั้งสองฝ่ายก็ต่อสู้กันอย่างดุเดือด เลือดและลำไส้ของฝ่ายตรงข้ามพุ่งทะลักออกมาจากท้องและสาดกระเซ็นไปทั่วบริเวณ ผู้ชายคนนี้ไม่คาดคิดมาก่อนว่าหยูหานจะโหดร้ายและเลวร้ายกว่าพวกเขามาก!

        ในขณะนั้นไป๋อี้ก็มีการต่อสู้ที่เด็ดขาดเช่นกัน เขามีท่าทีที่โซซัดโซเซเล็กน้อยเมื่อเขาสามารถหลบหลีกการโจมตีของฝั่งตรงข้ามได้ จากนั้นเขาก็นำมีดสับกระดูกเชือดตรงคอของคู่ต่อสู้ ทั้งสองฝั่งสลับกันต่อสู้ ผู้นำชายคนนั้นได้มองเห็นความเย็นชาและมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยวในสายตาของไป๋อี้ นี่ไม่ใช่รูปลักษณ์ที่คนธรรมดาควรจะมีเลยด้วยซ้ำ เป็นไปไม่ได้ที่คนในยุคที่บ้านเมืองสงบจะมีแววตาสังหารเช่นนี้

        พวกแกเทียบไม่ได้กับวัตถุดิบในการทำอาหารด้วยซ้ำ!

        ฉับ! ศีรษะใหญ่ได้หลุดออกมาจากบ่าคู่ต่อสู้ของไป๋อี้พร้อมกับเลือดที่สาดกระเซ็นเต็มตัวของเขา

 

                                                              ————————

                        อ่านเร็วก่อนใคร ไม่พลาดทุกการอัปเดตนิยายได้ที่เว็บ Kawebook ค่ะ^^

                                              https://www.kawebook.com/story/6809

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

[นิยายแปล] มหาวิบัติยีนกลายพันธุ์ 19 ความโหดเหี้ยม

Now you are reading [นิยายแปล] มหาวิบัติยีนกลายพันธุ์ Chapter 19 ความโหดเหี้ยม at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

        ตอนเที่ยงของวันที่  26 ในที่สุดไป๋อี้ก็มาถึงเตอวามูตู แต่ทว่ายังไม่ทันได้เข้าไปในเขตตัวเมืองเขาก็ได้เห็นพลุไฟที่กำลังลอยเป็นคลื่นขึ้นมาจากในเขตเมือง นี่ไม่ใช่พลุดอกไม้ไฟแต่มันคือไฟที่กำลังมอดไหม้อยู่ต่างหาก ในขณะนี้ข้างในตัวเมืองเต็มไปด้วยควันไฟโขมง เสียงแตรรถที่วุ่นวาย และเสียงกรีดร้องที่ดังแสบแก้วหูจากความความหวาดกลัวของผู้คน

        สัตว์ประหลาดยังไม่มาถึงที่นี่ใช่ไหม ? เบลลิก้าทีน่ากำลังมองดูบ้านเกิดของตัวเองที่เป็นแบบนี้ ภาพตรงหน้าเป็นภาพที่ยากเกินกว่าจะยอมรับได้

        ไม่ มันไม่ใช่สัตว์ประหลาด นั่นคือมนุษย์ต่างหาก ทันใดนั้นไป๋อี้ก็ได้นึกอะไรขึ้นมาได้

        “หงฉี่ฮว๋า คอมพิวเตอร์ยังเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้ไหม ? ช่วยอัพโหลดข้อมูลเกี่ยวกับสาเหตุที่ทำให้นิวซีแลนด์กลายเป็นแบบนี้ทางอินเทอร์เน็ตที ส่วนข้อมูลเกี่ยวกับสถาบันวิจัยให้เก็บเอาไว้ก่อน” ไป๋อี้ได้หันไปพูดกับหงฉี่ฮว๋า จากนั้นก็ได้อธิบายให้เบลลิก้าทีน่าฟัง

        “พวกเราได้พบกับมาร์ติน นั่นจึงทำให้เราได้รู้สาเหตุของการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ ดังนั้นจึงทำให้ไม่เกิดความสับสนมากนัก แต่ไม่เหมือนกับคนอื่น ๆ พวกเขาไม่ได้รับรู้สาเหตุที่แท้จริง กลัวว่าตอนนี้พวกเขาคงจะคาดเดาสาเหตุที่เกิดขึ้นตามอำเภอใจ หลังจากนั้นอาจคิดว่านี้คือวันสิ้นโลกหรืออะไรประมาณนั้น ความตื่นกลัวของมนุษย์นั้นสามารถติดต่อได้ในวงกว้างและในเวลานี้คนส่วนใหญ่เริ่มที่จะกลายพันธุ์ไปเป็นสัตว์ประหลาดแล้ว ดังนั้นผู้คนจำนวนมากจึงเริ่มรู้สึกหมดอาลัยตายอยากจนอาจทำให้พวกเขาต้องการทำบางสิ่งบางอย่างที่จะสามารถทำร้ายตัวเองและทุกสิ่งทุกอย่างได้” ไป๋อี้ได้พูดอธิบายเหตุผล

        “ฉันสามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตและอัพโหลดบนเว็บไซต์หลักของนิวซีแลนด์ได้เลยใช่ไหม”

        “อื้ม พยายามทำให้ได้ ฉันไม่รู้ว่าจะมีคนที่ได้อ่านมันกี่คน”

        “ทำไมไม่บอกพวกเขาเกี่ยวกับเรื่องสถาบันวิจัย ?” เบลลิก้าทีน่าถามอีกครั้ง

        “ฟังให้ดีนะ ในสถาบันวิจัยมีสัตว์ทดลองที่ถูกกักขังไว้ในนั้น เมื่อพวกเธอได้เห็นพลังของสัตว์ทดลองเหล่านั้น ถ้าหากไม่เข้าใจอะไรเลยและเข้าไปในสถาบันวิจัยอย่างสะเพร่า เธออาจจะปล่อยสัตว์ทดลองเหล่านั้นให้หลุดออกมาข้างนอกอย่างไม่ตั้งใจก็ได้ ตอนนี้ที่นิวซีแลนด์มีความสับสนวุ่นวายมากเกินพอแล้ว และถ้าสัตว์ทดลองเหล่านั้นหลุดออกมาอีกจะทำให้เราตายกันหมด นอกจากนี้จะว่าฉันเห็นแก่ตัวก็ได้ ตอนนี้พวกเราไม่รู้ว่ามียาที่สามารถรักษาพวกผู้คนได้มากเท่าไร ก่อนที่ฉันจะได้รับยารักษาฉันไม่อยากให้คนอื่นได้รับยาก่อนหน้าฉัน” น้ำเสียงของไป๋อี้สงบนิ่งและเย็นชา

        ในตอนแรกเบลลิก้าทีน่าคิดจะโต้แย้งกลับ แต่ก่อนที่คำพูดจะหลุดออกจากปากเธอกลับต้องพูดไม่ออก

        นี่หรือตัวตนของลุงไป๋!

        แม้ว่าเขาจะเต็มใจช่วยเหลือผู้คนแต่เขาก็ไม่ได้เป็นคนใจดีอย่างแท้ จริงในตอนนี้เขายังคงมีมาตรฐานและเหตุผลของตัวเอง บางทีคำพูดของไป๋อี้อาจฟังดูเห็นแก่ตัวแต่นี่คือธรรมชาติที่แท้จริงของมนุษยชาติ และเมื่อเห็นท่าทางของคนอื่น ๆ ก็ดูเหมือนว่าก็ไม่ได้ต้องการที่จะบอกข้อมูลเหล่านี้ให้คนอื่น ๆ ได้รับรู้เช่นกัน หรือควรจะตำหนิที่พวกเขาเห็นแก่ตัวใช่ไหม ?

        “ฉันได้ทำการอัพโหลดเสร็จเรียบร้อยแล้ว ไม่รู้ว่าจะมีกี่คนที่สนใจและเห็นมัน” ในไม่ช้าหงฉี่ฮว๋าก็ได้ทำการอัพโหลดสาเหตุที่เกิดขึ้นลงอินเทอร์เน็ตได้สำเร็จ

        “ไปเถอะ เข้าไปในเมืองกัน ระวังตัวกันด้วย” ไป๋อี้ใช้วิทยุสื่อสารพูดกับทุกคนบนรถ

        ……

        ทุก ๆ เมืองล้วนมีจุดศูนย์กลาง จากนั้นจึงค่อย ๆ พัฒนาไปสู่สิ่งรอบข้างจากศูนย์กลางและแน่นอนว่าเมืองเตอวามูตูก็เช่นกัน อย่างไรก็ตามนิวซีแลนด์มีประชากรทั้งหมดมากกว่า  5 ล้านคน ดังนั้นจึงมีประชากรน้อยมากในเขตชานเมือง

        เมื่อตรงเข้าไปในเมือง บ้านเรือนที่อยู่รายล้อมเริ่มมีมากขึ้นเรื่อย ๆ ในขณะเดียวกันร่องรอยของการทำลายล้างก็มากขึ้นเรื่อย ๆ เช่นกัน ในทุกๆที่เปลวไฟที่ยังไม่ดับยังคงขมุกขมัวไปด้วยควันพร้อมกับกลิ่นอายความร้อนที่ร้อนผ่าว เมื่อไปได้ยังไม่ไกลนักก็เจอเข้ากับทางแยกซึ่งมีรถจำนวนมากที่ชนกันกีดขวางอยู่จนไม่สามารถผ่านไปได้

        ไป๋อี้เปิดประตูและจูงมือโม่โม่ลงจากรถ ส่วนคนอื่น ๆ ก็ลงจากรถมาด้วยเช่นกัน พวกเขามองดูซากรถที่ชนกองกันตรงหน้าระหว่างรอความเห็นของไป๋อี้

        “นายอยากให้เปิดทางไหม ?” วูล์ฟถามไป๋อี้

        “ไม่จำเป็น ในเมืองนี้ดูจะวุ่นวายและแออัดมาก ถ้าตรงเข้าไปในใจกลางเมืองไม่รู้ว่าจะมีอุบัติเหตุข้างหน้าอีกมากเท่าไร ทางที่ดีที่สุดเราควรเดินไปและเมื่อไปถึงชายแดนทางใต้ของเมืองเราค่อยหารถคันใหม่เอาก็ได้” หยูหานได้ยินวูล์ฟถามเช่นนั้นก็มองไปรอบ ๆ และพูดขึ้นมา

        นี่เป็นวิธีรับมือที่ถูกต้องแต่ทุกคนก็ยังคงมองไปที่ไป๋อี้

        “เป็นความคิดที่ไม่เลว พวกเราทำตามที่หยูหานบอกเถอะ เราทิ้งรถไว้ที่นี่แล้วค่อยเดินไปหารถเมื่อไปถึงเขตชายแดนทางใต้ของเมืองก็แล้วกัน” ไป๋อี้พยักหน้า

        หลังจากที่ไป๋อี้พูดเช่นนี้ ทุกคนก็เริ่มปฏิบัติตามที่ไป๋อี้บอก พวกเขาขึ้นไปบนรถและนำเนื้อของอีแร้งหางงูเจ็ดหัวที่หั่นแบ่งไว้ก่อนหน้านี้ออกมาเพื่อนำติดตัวไปด้วย ไม่ว่าอาหารอะไรก็ตามหลังจากที่เมื่อวานพวกเขาหิวกันมาก พวกเขาจะไม่ลืมมันแน่ ๆ หยูหานเอียงศีรษะเล็กน้อย เขามองไปที่ทุกคนและไป๋อี้ เห็นได้ชัดว่าเขาได้พูดวิธีการที่ถูกต้องที่สุด แต่สุดท้ายกลุ่มคนเหล่านี้ก็ต้องรอให้ไป๋อี้พยักหน้าก่อนแล้วค่อยลงมืออยู่ดี

        “คนที่อยู่ในเมืองนี้ไปไหนกันนะ ?”

        “ทุกคนรู้ดีว่ามีสัตว์ประหลาดปรากฏตัวทางตอนเหนือของเมืองแฮมิลตัน ใครที่สามารถหนีได้ก็หนีไปส่วนคนที่ไม่หนี …” ในขณะที่ไป๋อี้กล่าวเขาก็เหลือบมองไปยังบ้านเรือนรอบ ๆ บ้านเรือนที่ยังคงสภาพสมบูรณ์และเห็นได้ชัดว่ามีคนอยู่ในบ้านเหล่านั้น แต่พวกเขาทั้งหมดดูหวาดกลัวมาก พวกเขาส่วนใหญ่มีเพียงความกล้าแค่เพียงที่จะมองออกมาอย่างเงียบ ๆ ที่มุมหน้าต่างเท่านั้น

        “มันอันตรายมากสำหรับพวกเขาที่จะอยู่ที่นี่ และคาดว่าสัตว์ทดลองเหล่านั้นจะมาถึงที่นี่ในอีกไม่ช้า” เบลลิก้าทีน่ากล่าวอย่างเป็นห่วง

        “ไม่ต้องเป็นห่วงพวกเขาหรอก เป็นห่วงตัวเองก่อนเถอะ” หยูหานพูดพร้อมกับกำดาบยาวในมือแน่น

        ในเวลานี้มีเสียงโห่ร้องจากการจู่โจมและแย่งชิงกันเกิดขึ้นที่ตึกใหญ่ฝั่งตรงข้าม จากนั้นกลุ่มคนที่มีท่าทีบ้าคลั่งก็ได้เดินออกมาจากตึกนั้น ช่วงเวลาที่พวกเขาพบกัน ทั้งสองฝ่ายต่างประหลาดใจและตะลึงงันเมื่อพวกเขาเห็นไป๋อี้และคนอื่น ๆ แต่ทันใดนั้นแววตาตื่นเต้นก็ได้ปรากฏขึ้นในสายตาของกลุ่มฝั่งตรงข้ามอาคาร …. คนพวกนี้มีอาหารอยู่ในมือและยังมีผู้หญิงอีกด้วย

        ไป๋อี้และคนอื่น ๆ มองไปยังกลุ่มคนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามด้วยความตกตะลึงเนื่องจากอาวุธของฝ่ายตรงข้ามนั้นเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือด เมื่อพวกเขานึกถึงเสียงกรีดร้องด้วยความหวาดกลัวที่ดังมาจากตึกฝั่งตรงข้ามเมื่อครู่นี้ ทุกคนต่างก็เริ่มคิดว่าคนกลุ่มนี้กำลังจะทำอะไร จะมาแย่งอาหารหรืออาจจะมากกว่านั้น

        “พวกผู้ชายก้าวออกมาข้างหน้าและปกป้องพวกผู้หญิง” ไป๋อี้พูดอย่างใจเย็น

        เป็นเวลาสามวันติดต่อกัน ความหิวโหยและความอยากอาหารที่ไม่อาจจินตนาการได้ทำให้พวกเขากินอาหารไปมากมายภายในเมือง จนในที่สุดตอนนี้อาหารภายในเมืองก็เหลือน้อยเต็มทีและไม่มีแม้แต่เงาของคลังเสบียงสำรองในช่วงสงคราม บางทีกองทัพเหล่านั้นเองก็อาจจะกำลังตื่นตระหนกอยู่เพราะในเวลานี้ผู้คนส่วนใหญ่ต่างกลายพันธุ์ไปเป็นสิ่งมีชีวิตอื่นแล้ว และพวกเขาเองก็เริ่มจะกลายพันธุ์เป็นสัตว์ประหลาดเช่นกัน

        ความวิตกกังวลและความตื่นตระหนกที่เกิดขึ้นภายในจิตใจ ความหิวโหยที่ยากจะอดกลั้น สิ่งเหล่านี้ที่เกิดขึ้นทำให้ผู้คนส่วนใหญ่กลายเป็นโรคฮิสทีเรียและโรคประสาท สามารถเห็นได้ชัดว่ามันแพร่ระบาดไปยังคนอื่น ๆ อย่างรวดเร็ว

        “ส่งอาหารมาเพื่อแลกกับผู้หญิง”

        สิ่งที่เรียกว่าเหตุผลและศีลธรรมของมนุษย์นั้นแท้จริงแล้วเป็นผลิตผลที่สามารถสั่นคลอนได้โดยง่ายหลังจากด้านใดด้านหนึ่งหลุดพ้นจากการผูกติด ดูเหมือนว่ามันไม่คุ้มค่าที่จะยื้ออีกต่อไปจากการช่วงชิงอาหาร แย่งชิงทรัพย์สิน กระทั่งการแย่งชิงผู้หญิ งตราบจนการระบายอารมณ์และทำลายข้าวของสิ่งต่าง ๆ ดูเหมือนกับว่าสิ่งเหล่านั้นสามารถทำได้ไม่ยากนัก นี่คือสาเหตุที่ทำให้ภายในเมืองเมืองวุ่นวายขนาดนี้ 

        ฝั่งตรงข้ามมีจำนวนไม่มาก พวกเขามีเพียงแค่แปดคนเท่านั้นซึ่งมีจำนวนคนน้อยกว่าไป๋อี้เล็กน้อย แต่ทว่าฝ่ายนั้นกลับมีอาวุธครบมือและมีท่าทีที่ดูบ้าคลั่งกันทุกคน เมื่อพวกเขามองไปที่อาหารในมือและกลุ่มผู้หญิงของฝั่งไป๋อี้นั ยน์ตาของพวกนั้นก็เป็นประกาย——ด้วยความหิวกระหาย

        ไป๋อี้หยิบมีดสับกระดูกของเขาขึ้นมาและหยูหนานก็หยิบดาบยาวของตัวเองขึ้นมาเช่นกัน ส่วนคนอื่นมีเพียงแค่มือเปล่าเท่านั้น แม้แต่วัสดุที่สามารถนำมาเป็นอาวุธสักชิ้นก็ไม่มีด้วยซ้ำไป แม้ว่าไป๋อี้จะมีมีดทำครัวมากกว่าสิบเล่มแต่ในขณะนั้นเขาไม่มีเวลาที่จะหยิบออกมาให้คนอื่น ๆ เพื่อใช้ในการต่อสู้

        ฉินข่ายรุ่ยและคนอื่น ๆ รู้สึกประหม่าเล็กน้อย โดยเนื้อแท้แล้วพวกเขาก็เป็นเพียงแค่นักศึกษาที่มาอย่างสันติภาพ บางทีพวกเขาอาจจะชำนาญในบางวิชาแต่การต่อสู้กันบนถนนแบบนี้มัน …..

        “ออกไปซะ!” ไป๋อี้ก้าวเท้าออกไปข้างหน้าและพูดอย่างไม่แยแส

        การกระทำของไป๋อี้ทำให้บางคนในทีมรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก อย่างไรก็ตามหยูหานและหงฉี่ฮว๋าเข้าใจเป็นอย่างดีว่าในเวลาแบบนี้ไม่สามารถแสดงจุดอ่อนหรือประนีประนอมได้แม้แต่น้อย เห็นได้ชัดว่าแนวคิดทางศีลธรรมของคนเหล่านี้ได้พังทลายลงไปแล้ว ถ้าหากทีมของพวกเขาเผลอแสดงจุดอ่อนหรือความอ่อนแอให้เห็นเมื่อไหร่ ฝ่ายตรงข้ามก็จะได้เปรียบทันที ถึงตอนนั้นทุกคนต้องตกอยู่ในความโชคร้ายแน่

        “ขอแค่อาหาร ส่งอาหารมาแล้วพวกผู้หญิงจะอยู่กับพวกคุณ” ผู้นำชายที่ศีรษะมีลักษณะคล้ายหัววัวและมือขวาของเขามีเคียวเหมือนตั๊กแตนกล่าวขึ้นมา

        “ฉันบอกว่าให้พวกแกออกไปซะ!” ไป๋อี้ไม่ยอมประนีประนอม ในเวลาเดียวกันเขาก็กำมีดสับกระดูกในมือไว้อย่างแน่นหนา

        “แม่มันเถอะ! คนพิการอย่างแกยังจะอวดดีอีก” ผู้นำชายคนนั้นไม่ได้คาดหวังว่าไป๋อี้จะมีท่าทีแข็งกร้าวเช่นนี้ เพราะเห็นได้ชัดว่าไป๋อี้เป็นผู้ชายที่มีผ้าพันระโยงระยางที่มือซ้าย 

        “ฆ่าพวกมันซะ แล้วก็แย่งอาหารและผู้หญิงมาโอ้ …” ทันใดนั้นเองฝ่ายตรงข้ามก็ได้ส่งเสียงร้องออกมาอย่างบ้าบิ่น เมื่อมองไปยังเลือดที่เปรอะอยู่บนอาวุธในมือของพวกเขาก็สามารถรู้ได้ทันทีว่าคนพวกนี้ได้ฆ่าคนไปแล้วไม่น้อย และพวกเขาทั้งหมดได้กลายเป็นสัตว์ประหลาดไปแล้ว ความกลัวที่อยู่ในใจทำให้ความบ้าคลั่งไร้สติอยู่เหนือเหตุผล

        “ข้างบน!” ชายที่เป็นผู้นำได้โบกมือในขณะที่ยังถือมีดอยู่ทำให้กลุ่มคนรีบวิ่งขึ้นไปหาทันที

        “ฆ่ามัน!” น้ำเสียงของไป๋อี้เย็นชาเป็นอย่างมากเพราะในเวลานี้ไม่จำเป็นต้องมีความเมตตาใด ๆ ทั้งสิ้น ถ้าหากยังคงมีจิตใจแบบนั้นจะไม่สามารถฆ่าคนจำนวนมากได้อย่างแน่นอน ก่อนที่คนอื่นจะเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นไป๋อี้และหยูหานก็ได้พุ่งเข้าใส่ชายทั้งสองทันที

        “ฆ่ามันซะ!”

        เมื่อหยูหานนึกถึงคำพูดของไป๋อี้หัวใจของเขาก็รู้สึกฮึกเหิมขึ้นมาทันที ดูเหมือนว่าเขาจะปรับตัวเข้ากับยุคที่วุ่นวายแบบนี้ได้ดีเลยทีเดียว เขาคิดขณะที่หลบหลีกไม้เบสบอลของฝ่ายตรงข้าม

        ทันใดนั้นดาบยาวก็ได้หมุนเข้าไปเสียบที่เอวและหน้าท้องของฝ่ายตรงข้าม จากนั้นทั้งสองฝ่ายก็ต่อสู้กันอย่างดุเดือด เลือดและลำไส้ของฝ่ายตรงข้ามพุ่งทะลักออกมาจากท้องและสาดกระเซ็นไปทั่วบริเวณ ผู้ชายคนนี้ไม่คาดคิดมาก่อนว่าหยูหานจะโหดร้ายและเลวร้ายกว่าพวกเขามาก!

        ในขณะนั้นไป๋อี้ก็มีการต่อสู้ที่เด็ดขาดเช่นกัน เขามีท่าทีที่โซซัดโซเซเล็กน้อยเมื่อเขาสามารถหลบหลีกการโจมตีของฝั่งตรงข้ามได้ จากนั้นเขาก็นำมีดสับกระดูกเชือดตรงคอของคู่ต่อสู้ ทั้งสองฝั่งสลับกันต่อสู้ ผู้นำชายคนนั้นได้มองเห็นความเย็นชาและมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยวในสายตาของไป๋อี้ นี่ไม่ใช่รูปลักษณ์ที่คนธรรมดาควรจะมีเลยด้วยซ้ำ เป็นไปไม่ได้ที่คนในยุคที่บ้านเมืองสงบจะมีแววตาสังหารเช่นนี้

        พวกแกเทียบไม่ได้กับวัตถุดิบในการทำอาหารด้วยซ้ำ!

        ฉับ! ศีรษะใหญ่ได้หลุดออกมาจากบ่าคู่ต่อสู้ของไป๋อี้พร้อมกับเลือดที่สาดกระเซ็นเต็มตัวของเขา

 

                                                              ————————

                        อ่านเร็วก่อนใคร ไม่พลาดทุกการอัปเดตนิยายได้ที่เว็บ Kawebook ค่ะ^^

                                              https://www.kawebook.com/story/6809

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+