[นิยายแปล] มหาวิบัติยีนกลายพันธุ์ 10 การผสานรวม

Now you are reading [นิยายแปล] มหาวิบัติยีนกลายพันธุ์ Chapter 10 การผสานรวม at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

       สิ่งที่มาร์ตินพูดคือข้อมูลความเข้าใจจากวงใน การแสวงหาการมีชีวิตอมตะเริ่มขึ้นมาจากคามาโดวิชเศรษฐีระดับโลก ช่วงแรกมีเพียงคามาโดวิชเท่านั้นที่สนใจเรื่องนี้ แต่ภายหลังก็แพร่สะพัดไปทั่วโลกอย่างรวดเร็ว

 

      จากอารยธรรมโบราณ บ่งชี้ว่าหลายครั้งในประวัติศาสตร์ก็เคยพยายามเสาะหาวิธีการมีชีวิตอมตะเช่นกัน ทั้งราชวงศ์ฉินที่ตามหาเกาะนางฟ้า พีรามิดคืนชีพแห่งอียิปต์ และยังมีซากโบราณวัตถุทั้งเล็กและใหญ่อีกมากมายที่เป็นข้อพิสูจน์ของการเสาะหาชีวิตอมตะของมนุษย์ แต่น่าเสียดาย จากมุมมองของพวกเราคนรุ่นหลัง ผู้คนเหล่านี้ล้วนล้มเหลวอย่างไม่ต้องสงสัย อีกทั้งยังไม่มีใครที่มีชีวิตอมตะแม้แต่คนเดียว ดังนั้นคนทั่วไปจึงคิดว่าชีวิตอมตะนั้นเป็นเพียงเรื่องที่เป็นไปไม่ได้

 

      แต่ก็ยังมีบางคนทีไม่เชื่อเช่นนั้น  ด้วยความก้าวหน้าของวิทยาศาสตร์ในยุคปัจจุบัน บางทีมนุษย์อาจจะหาวิธีที่สามารถมีชีวิตเป็นอมตะได้?

 

      เมื่ออารยธรรมอยู่ในจุดสูงสุดของสภาพแวดล้อมทางสังคม ในเวลานั้นก็จะมีแนวคิดเกี่ยวกับชีวิตอมตะเกิดขึ้นและครั้งนี้ก็ไม่ต่างกัน หากแต่ครานี้ไม่ใช่เพียงอารยธรรมบางแห่งเท่านั้น แต่เป็นทั่วทั้งโลก

 

  ————————————————

 

       “ฉันได้รับเชิญให้เข้าร่วมการวิจัยเมื่อ 4 ปีก่อน แต่หลังจากที่ฉันเข้าร่วมและได้รู้ว่าข้างในมีการทดลองอะไรบ้าง ฉันก็รู้สึกอยากจะถอนตัวออกมาแต่ก็หาโอกาสไม่ได้เลย เพราะถึงแม้การทดลองที่นี่จะโหดร้ายอย่างไรแต่ก็เป็นการทดลองที่ได้รับการสนับสนุนจาก 195 ประเทศทั่วโลก” มาร์ตินเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเริ่มอธิบายต่อ

 

      “หากไม่ใช่เพราะพวกร่างทดลองที่ต้องตายหลบหนีออกมา ฉันก็คงจะไม่มีโอกาสหลบหนีเหมือนกัน พวกนายต้องเข้าใจนะ แม้ว่าฉันจะมีสิทธิ์เข้าร่วมการทดลอง แต่ฉันก็ไม่มีสิทธิ์เลือกที่จะถอนตัวออกมาอย่างอิสระ เพื่อป้องกันข้อมูลการทดลองรั่วไหล”

            

        “แต่พวกร่างทดลองที่นายพูดนั้นเป็นมนุษย์นะ!”

 

        “ไม่ได้มีแค่มนุษย์เท่านั้น เซลล์ดัดแปลงยังสามารถแฝงตัวเป็นปรสิตอยู่ในสัตว์อื่น ๆ ได้เช่นกัน แต่ก็ถือว่าส่วนหนึ่ง …. เคยเป็นมนุษย์! ถ้าพวกเราไม่ทำเราก็จะกลายเป็นหนึ่งในร่างทดลอง ที่ถูกผสานรวมยีนกับสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ และกลายเป็นสัตว์ประหลาดอะไรไม่รู้” มาร์ตินผายมือพร้อมพูดอย่างไม่แยแส เห็นกันมากับตาตั้งเยอะแล้วนี่ ก็คงไม่ตกใจกันมากแล้วล่ะ

 

         “สัตว์ประหลาด?”

 

        “อ่า การกระตุ้นเซลล์ดัดแปลงแม้ว่าจะวิจัยมาจนสำเร็จแล้ว แต่ก็ยังมีผลกระทบที่หลงเหลือไว้ นั่นก็คือความสามารถในการผสานรวมยีน” เวลานี้มาร์ตินไม่มีอะไรต้องปิดบังอีกต่อไปแล้ว เขาจึงพูดทุกอย่างที่เขารู้ออกมา

 

 

        ……

 

        ความสามารถในการผสานรวมยีนเป็นความสามารถของเซลล์ดัดแปลงที่นอกจากจะมีความสามารถในการกระตุ้นเซลล์แล้ว ยังมีผลสืบเนื่องอย่างหนึ่งคือความสามารถในการผสานรวมยีนที่แข็งแกร่งมาก ร่างที่มาจากเซลล์ดัดแปลงหากได้กินหรือสัมผัสของเหลวในร่างกายของสิ่งมีชีวิตอื่น ก็จะสามารถทำการผสานรวมยีนเองได้

  การผสานรวมยีนควบคู่ไปกับการเจริญอาหารจะเปลี่ยนรูปแบบทางกายภาพของสิ่งมีชีวิตที่มีวิวัฒนาการอย่างมาก จำนวนการผสานรวมของยีนถูกกำหนดโดยระดับของเซลล์ดัดแปลง

        โดยทั่วไปคือระดับ 1-9 ยิ่งเซลล์ดัดแปลงอยู่ในระดับสูงก็จะสามารถทำการผสานรวมได้มากขึ้น ยิ่งผสานรวมกันได้มากเท่าไหร่รูปร่างทางกายภาพก็จะเปลี่ยนไปมากขึ้นและจะเบี่ยงเบนไปจากรูปร่างเดิมมากขึ้นเท่านั้น

 

       นี่คือจุดกำเนิดของสัตว์ประหลาดเหล่านั้น!

 

  ……

 

   “แล้วตอนนี้คุณวางแผนจะทำอะไรต่อ?” ตอนนี้ไป๋อี้อยากจะด่าสาปแช่งเขามาก แต่นั่นก็ไม่ใช่ทางเลือกที่ดี เขาจึงต้องอดทนเอาไว้ เนื่องจากมาร์ตินรู้ข้อมูลมากมาย ดังนั้นในตอนนี้เขาจะวิ่งพล่านทำอะไรตามอำเภอใจไม่ได้

 

     “ฉันเป็นแค่นักวิจัย แม้ว่าฉันจะมีส่วนร่วมในเรื่องนี้ แต่ฉันก็ไม่ได้มีสิทธิ์ก้าวก่ายทุกเรื่อง เมื่อ 2 วันก่อนที่ทุกคนจะเริ่มเข้าสู่ระยะหิวโหยนั้น แม้ว่าฉันจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ก็มีความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียวนั่นคือเซลล์ดัดแปลงแฝงเข้ามาในตัวพวกเราแล้ว ฉันไม่อยากกลายพันธุ์เป็นสัตว์ประหลาด ดังนั้นฉันจึงต้องการหายาเพื่อฟื้นฟูร่างมนุษย์ ฉันได้ยินมาโดยบังเอิญว่ามีคนกำลังศึกษาสิ่งนี้อยู่ในสถาบันวิจัยในอุทยานแห่งชาติตองการิโร่ (Tongariro National Park)” มาร์ตินพูดพลางมองไปที่ไป๋อี้

 

  “นี่คุณกำลังโน้มน้าวให้เราไปกับคุณใช่ไหม?”

 

  “แหะ แหะ!” มาร์ตินหัวเราะอย่างเก้ ๆ กัง ๆ แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ!

 

  “คุณเดาถูก ฉันไม่มั่นใจที่จะไปที่นั่นเพียงคนเดียว ดังนั้นฉันจึงต้องการหาเพื่อนที่ไว้ใจได้” หลังจากที่มาร์ตินถูกไป๋อี้มองออก เขาก็ไม่มีทีท่าเก้ ๆ กัง ๆ อีก เขาแบมือออกแล้วทำท่าไม่รู้ไม่ชี้

 

  “คุณมั่นใจได้ยังไงว่าเราจะตามไปกับคุณ?”

 

  “เฮ้ ไป๋ ไป๋อี้ คุณคิดว่าฉันล้อเล่นเหรอ นักวิจัยอย่างเรารู้ดีกว่าพวกคุณว่าเซลล์ดัดแปลงมีศักยภาพมากแค่ไหน บางทีตัวคุณอาจรวมยีนจากสิ่งมีชีวิตอื่นไว้แล้วโดยที่คุณไม่รู้ตัว การสัมผัสในระยะประชิด หรือกินสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ เป็นอาหาร …. ระยะความหิวโหยเริ่มขึ้นในวันที่ 23 พรุ่งนี้วันที่ 26 ใครบางคนจะเริ่มกลายพันธุ์ รอให้พวกคุณเริ่มกลายพันธุ์เป็นสัตว์ประหลาดก่อนเถอะ ถึงตอนนั้นพวกคุณจะร่วมมือกับฉัน” มาร์ตินพูดไปพลางยิ้มไปพลาง

 

  “เจ้านี่ แก!”

 

  อันที่จริง ถ้ามาร์ตินไม่ได้โกหก พวกเขาก็ไม่ได้ต้องการที่จะกลายเป็นสัตว์ประหลาด ดังนั้นการไปที่สถาบันวิจัยอุทยานแห่งชาติตองการิโร่ที่มาร์ตินบอก เพื่อหายาฟื้นฟูคืนร่างมนุษย์ นั่นจึงเป็นทางเลือกเดียวแม้ว่ามันจะอันตรายมากก็ตาม ถึงอย่างไรเขาก็ต้องหนีไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้อยู่แล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้ … เราก็คอยดูสถานการณ์กันไปก่อน แต่ก่อนอื่นคงต้องไปพบกลุ่มนักเรียนแลกเปลี่ยน จากนั้นค่อยคุยเรื่องความร่วมมือกันอีกที

 

  ————————————————

 

  ยามเย็นของวันที่ 25 ไป๋อี้เพิ่มมาถึงโอฮาวโป ณ อนุสรณ์สถานและได้กลับมารวมตัวกับหงฉี่ฮว๋าอีกครั้ง แม้ว่าจะรู้มานานแล้วว่าไป๋อี้และวูล์ฟหนีออกมาจากปากใหญ่ของปีศาจอสรพิษยักษ์ได้ แต่เมื่อพวกเขาเห็นไป๋อี้กับวูล์ฟอีกครั้ง ทุกคนก็ยังประหลาดใจและสงสัยเป็นอย่างมาก

 

  ตอนที่พวกเขาหายจากไป ฉันเห็นพวกเขาสองคนถูกไล่กวดไปที่ตึกใหญ่แล้วพวกเขาหนีเอาชีวิตรอดมาได้อย่างไร?

 

  “พ่อ พ่อ ฮือ ฮือ” ช่วงเวลาที่โม่โม่เห็นไป๋อี้ หนูน้อยก็รีบวิ่งมาหาและเกาะเข้าที่ต้นขาของไป๋อี้ทันที ทำอย่างไรก็ไม่ยอมปล่อย เจ้าชาร์ไป่เองก็อยู่ที่นั่นด้วย มันวิ่งไปรอบ ๆ ไป๋อี้ พลางแลบลิ้นของมันออกมาตลอดเวลาเพื่อประจบเอาใจ หลังจากที่ไป๋อี้ปลอบประโลมโม่โม่แล้ว เขาก็เดินไปยังกลางกลุ่ม

 

  “ขอบคุณพวกเธอมาก ๆ ที่ช่วยดูแลโม่โม่ให้ฉัน” ไป๋อี้พูดกับหงฉี่ฮว๋าและคนอื่น ๆ จากนั้นจึงเพิ่งสังเกตว่าพวกเขากำลังกินข้าวอยู่ อาหารของทุกคนไม่ได้วางไว้ด้วยกัน แต่ละคนจะแยกจานของตัวเองออกมาและถือเอาไว้ในมือ หรือกล่าวได้ว่าพวกเขามีอาหารไม่เพียงพอ ตอนนี้ถึงได้เริ่มมีระบบแจกจ่ายอาหารรายคน

 

  เมื่อเห็นดังนั้นไป๋อี้จึงคิดจะนำอาหารออกมาจากรถ ก่อนจะมองหาโม่โม่ลูกสาวของเขาไปด้วย

 

  “โม่โม่กับชาร์ไป่ล่ะ?” ไป๋อี้ถาม

 

  “ตรงนั้น” ฮั้วชิวหยางชี้ไปที่จานบนม้านั่งหิน พร้อมกับโม่โม่ที่ยังกินอาหารไม่เสร็จ

 

  อาชีพของไป๋อี้คืออะไร แค่มองปราดเดียวก็รู้ได้ทันทีว่าอาหารในจานนั้นเป็นส่วนที่ไม่อร่อยที่สุดและแน่นอนว่ามันมีสารอาหารน้อยมาก อีกทั้งมันมีแค่จานเดียว

 

  “มีแค่จานเดียว?”

 

  “โม่โม่เป็นเพียงเด็กตัวเล็ก ๆ เธอจะสามารถกินอาหารจำนวนมากเท่าพวกเราได้อย่างไร ชาร์ไป่ก็เป็นเพียงสุนัข นับพวกเขา 2 คนเท่ากับผู้ใหญ่อย่างเราได้ 1 คน คงไม่เป็นอะไรนะ” ฮั้วชิวหยางกล่าวราวกับว่าแบ่งอาหารส่วนหนึ่งให้โม่โม่และชาร์ไป่ และทำเหมือนกับว่าพวกเขาทำได้ดีแล้ว

 

  “อ๋อแบบนี้นี่เอง” ไป๋อี้พูดอย่างเย็นชาและหยิบจานอาหารขึ้นมา

 

  ตอนนี้ไม่ว่าอาหารอะไรก็ล้วนมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง และนี่ควรเป็นอาหารที่โม่โม่ได้รับหรือ ไป๋อี้โกรธอยู่ไม่น้อยแต่ไม่ได้พูดออกมา หลังจากนำอาหารมาแล้ว ไป๋อี้ก็ลูบหัวโม่โม่เบา ๆ

 

  “ไม่เป็นไรนะ พ่อเอาอาหารมาเยอะเลย พ่อจะทำอาหารมื้อใหญ่ให้กิน”

 

  หลังจากพูดจบไป๋อี้ก็หยิบวัตถุดิบจำนวนมากออกมาจากรถพร้อมกับเตาอบที่เรียบง่าย ตอนที่อยู่ข้างนอกมันเป็นไปไม่ได้ที่จะทำอาหารสะดวกสบายเหมือนในบ้านที่มีเครื่องมือครบครัน แต่ไป๋อี้ยังมีหลากหลายวิธีที่จะทำให้อาหารอร่อย ฮั้วชิวหยางและคนอื่น ๆ ตกตะลึงเมื่อเห็นการกระทำของไป๋อี้ ใครจะรู้ว่าไป๋อี้มาถึงได้ทันท่วงทีและเขาได้นำอาหารที่ทุกคนต้องการมากที่สุดมาให้ด้วย

 

  กลิ่นหอมของอาหารที่โชยมาทำให้บางคนรู้สึกเสียใจภายหลังทันที อาหารที่พวกเขาทำแทบจะไม่ได้รับการพิจารณาว่าเป็นสิ่งที่ ‘ถูกปรุงแล้ว’ ฝีมือยังห่างจากไป๋อี้ที่เป็นเชฟอีกมาก ที่สำคัญคือเห็นได้ชัดว่าไป๋อี้รู้สึกโกรธมากจากการแบ่งอาหารของพวกเขาก่อนหน้านี้

  

         แม้ว่าไป๋อี้จะโกรธ แต่เขาก็ไม่ได้คิดที่จะกินคนเดียว ท้ายที่สุดแล้วถ้าไม่ใช่เพราะความช่วยเหลือของพวกเขา โม่โม่เด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ที่อยู่ในสภาพแวดล้อมที่อลหม่านยุ่งเหยิงและทุกคนต่างเร่งรีบเพื่อเอาชีวิตรอด คงจะไม่สามารถมาถึงสถานที่ที่ค่อนข้างปลอดภัยแห่งนี้ได้ ยิ่งไปกว่านั้นแม้ว่าคนเหล่านี้บางคนจะค่อนข้างทำตัวน่ารำคาญ แต่บางคนก็ยังเป็นเพื่อนของเขา

 

  “มากินด้วยกันสิ” ไป๋อี้พูดกับกลุ่มนักศึกษา หลังจากเขาทำอาหารเสร็จ

 

       บางคนยังคงคิดว่าจะสานสัมพันธ์กับไป๋อี้ได้อย่างไร เขารู้สึกละอายใจขึ้นมาเล็กน้อย มีเพียงไม่กี่คนซึ่งรวมถึงหงฉี่ฮว๋าที่เดินตรงไปอย่างไม่สะทกสะท้าน คำพูดของไป๋อี้นับว่าเป็นการสร้างช่องว่างที่ทำให้เกิดบรรยากาศอันเงียบเชียบนี้ขึ้น และในที่สุดบรรยากาศเงียบเชียบก็ได้ตายจากไป เมื่อกลุ่มนักศึกษาที่เริ่มรับประทานอาหารอย่างเงียบ ๆ ค่อย ๆ เปิดบทสนทนาขึ้นมา

 

  “ลุงไป๋ คุณหนีออกมาได้ยังไง ฉันกลัวแทบตายเมื่อเห็นสัตว์ประหลาดจากระยะไกล” เบลลิก้าทีน่าถามอย่างสงสัยและนี่ก็เป็นคำถามที่คนอื่น ๆ ก็สงสัยเช่นกัน

 

  “อันที่จริงก็ไม่มีอะไร” ไป๋อี้ไม่ได้พูดอะไรมาก เขายังคงทำอาหารต่อไป ด้วยข้อจำกัดของที่นี่ การทำอาหารต้องใช้ความอดทนอย่างมาก

 

  แม้ว่าไป๋อี้จะไม่ได้พูดอะไร แต่วูล์ฟก็ไม่มีท่าทีพะว้าพะวังอะไร พูดตามตรงตอนนี้เมื่อเขานึกถึงฉากในตอนนั้น เขาก็รู้สึกว่าขาบางส่วนของเขาอ่อนแรงลง แต่ด้วยเหตุนี้เขาจึงรู้สึกภาคภูมิใจเป็นพิเศษ บ้าเอ๊ย เขามีชีวิตอยู่มาหลายสิบปี ยังไม่เคยรู้สึกหวาดกลัวเท่าวันนี้มาก่อน สิ่งที่สำคัญที่สุดคือพวกเขารอดชีวิตมาได้จริง ๆ

 

  วูล์ฟเล่าถึงสถานการณ์ในตอนนั้น เมื่อได้ยินว่าไป๋อี้บอกให้เขาทั้งสองคนวิ่งไปตามกำแพง ทุกคนปิดปากด้วยความประหลาดใจ นี่มันจะกล้ากันเกินไปแล้ว และไม่คิดว่าทั้งสองคนจะรอดจากอันตรายแบบนั้นมาได้จริง ๆ หลังจากวาทศิลป์อันโอ้อวดของวูล์ฟจบลง แม้ว่าเขาจะรู้ว่ามันออกจะเกินจริงไปสักหน่อย แต่ทุกคนก็มองไปที่ไป๋อี้ด้วยความชื่นชม

 

  แม้แต่มาร์ตินก็ไม่คาดคิดว่าไป๋อี้และวูล์ฟจะกล้าหาญถึงขนาดที่พวกเขาสามารถเอาชีวิตรอดจากปากของปีศาจอสรพิษได้ มาร์ตินรู้ดีว่าปีศาจอสรพิษยักษ์เป็นมนุษย์กลายพันธุ์ทางพันธุกรรม และในบรรดาการทดลองการวิวัฒนาการทั้งหมดนี้ถือได้ว่าเป็นสิ่งที่ทรงพลังที่สุด

 

  หยูหานรู้สึกอิจฉาขึ้นมา เมื่อเห็นภาพนี้

 

  ดีจริง ๆ การได้รับคำชื่นชมและได้รับความไว้วางใจจากผู้อื่น มันคงจะดีถ้าเป็นเขา การตอบสนองอย่างใจเย็นและสงบเมื่อเผชิญกับอันตราย แผนการจัดระเบียบที่ดี อีกทั้งความแข็งแกร่งยังสามารถเอาชนะความเชื่อมั่นของทุกคนได้  หยูหานรู้ว่าเขาทำได้แค่อิจฉาเท่านั้น หากไม่มีข้อยกเว้น … ในโลกใบนี้คงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงมากนัก เช่นตัวเขาเอง

 

  “เลิกพูดเรื่องนี้กันเถอะ ถึงเวลาที่ต้องพูดคุยกันถึงเรื่องสำคัญจริง ๆ แล้ว” ไป๋อี้ปรบมือดึงดูดความสนใจของทุกคนก่อนที่จะพูด

 

  เรื่องที่สำคัญจริง ๆ?

 

  ทุกคนรอบข้างต่างพากันตกตะลึง บรรยากาศเดิมทีที่เคยร้อนแรงกลับค่อย ๆ เย็นยะเยือกลงจากนั้นก็มองไปที่ไป๋อี้ด้วยความสงสัย

                                                               ————————

                          อ่านเร็วก่อนใคร ไม่พลาดทุกการอัปเดตนิยายได้ที่เว็บ Kawebook ค่ะ^^

                                                https://www.kawebook.com/story/6809

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

[นิยายแปล] มหาวิบัติยีนกลายพันธุ์ 10 การผสานรวม

Now you are reading [นิยายแปล] มหาวิบัติยีนกลายพันธุ์ Chapter 10 การผสานรวม at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

       สิ่งที่มาร์ตินพูดคือข้อมูลความเข้าใจจากวงใน การแสวงหาการมีชีวิตอมตะเริ่มขึ้นมาจากคามาโดวิชเศรษฐีระดับโลก ช่วงแรกมีเพียงคามาโดวิชเท่านั้นที่สนใจเรื่องนี้ แต่ภายหลังก็แพร่สะพัดไปทั่วโลกอย่างรวดเร็ว

 

      จากอารยธรรมโบราณ บ่งชี้ว่าหลายครั้งในประวัติศาสตร์ก็เคยพยายามเสาะหาวิธีการมีชีวิตอมตะเช่นกัน ทั้งราชวงศ์ฉินที่ตามหาเกาะนางฟ้า พีรามิดคืนชีพแห่งอียิปต์ และยังมีซากโบราณวัตถุทั้งเล็กและใหญ่อีกมากมายที่เป็นข้อพิสูจน์ของการเสาะหาชีวิตอมตะของมนุษย์ แต่น่าเสียดาย จากมุมมองของพวกเราคนรุ่นหลัง ผู้คนเหล่านี้ล้วนล้มเหลวอย่างไม่ต้องสงสัย อีกทั้งยังไม่มีใครที่มีชีวิตอมตะแม้แต่คนเดียว ดังนั้นคนทั่วไปจึงคิดว่าชีวิตอมตะนั้นเป็นเพียงเรื่องที่เป็นไปไม่ได้

 

      แต่ก็ยังมีบางคนทีไม่เชื่อเช่นนั้น  ด้วยความก้าวหน้าของวิทยาศาสตร์ในยุคปัจจุบัน บางทีมนุษย์อาจจะหาวิธีที่สามารถมีชีวิตเป็นอมตะได้?

 

      เมื่ออารยธรรมอยู่ในจุดสูงสุดของสภาพแวดล้อมทางสังคม ในเวลานั้นก็จะมีแนวคิดเกี่ยวกับชีวิตอมตะเกิดขึ้นและครั้งนี้ก็ไม่ต่างกัน หากแต่ครานี้ไม่ใช่เพียงอารยธรรมบางแห่งเท่านั้น แต่เป็นทั่วทั้งโลก

 

  ————————————————

 

       “ฉันได้รับเชิญให้เข้าร่วมการวิจัยเมื่อ 4 ปีก่อน แต่หลังจากที่ฉันเข้าร่วมและได้รู้ว่าข้างในมีการทดลองอะไรบ้าง ฉันก็รู้สึกอยากจะถอนตัวออกมาแต่ก็หาโอกาสไม่ได้เลย เพราะถึงแม้การทดลองที่นี่จะโหดร้ายอย่างไรแต่ก็เป็นการทดลองที่ได้รับการสนับสนุนจาก 195 ประเทศทั่วโลก” มาร์ตินเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเริ่มอธิบายต่อ

 

      “หากไม่ใช่เพราะพวกร่างทดลองที่ต้องตายหลบหนีออกมา ฉันก็คงจะไม่มีโอกาสหลบหนีเหมือนกัน พวกนายต้องเข้าใจนะ แม้ว่าฉันจะมีสิทธิ์เข้าร่วมการทดลอง แต่ฉันก็ไม่มีสิทธิ์เลือกที่จะถอนตัวออกมาอย่างอิสระ เพื่อป้องกันข้อมูลการทดลองรั่วไหล”

            

        “แต่พวกร่างทดลองที่นายพูดนั้นเป็นมนุษย์นะ!”

 

        “ไม่ได้มีแค่มนุษย์เท่านั้น เซลล์ดัดแปลงยังสามารถแฝงตัวเป็นปรสิตอยู่ในสัตว์อื่น ๆ ได้เช่นกัน แต่ก็ถือว่าส่วนหนึ่ง …. เคยเป็นมนุษย์! ถ้าพวกเราไม่ทำเราก็จะกลายเป็นหนึ่งในร่างทดลอง ที่ถูกผสานรวมยีนกับสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ และกลายเป็นสัตว์ประหลาดอะไรไม่รู้” มาร์ตินผายมือพร้อมพูดอย่างไม่แยแส เห็นกันมากับตาตั้งเยอะแล้วนี่ ก็คงไม่ตกใจกันมากแล้วล่ะ

 

         “สัตว์ประหลาด?”

 

        “อ่า การกระตุ้นเซลล์ดัดแปลงแม้ว่าจะวิจัยมาจนสำเร็จแล้ว แต่ก็ยังมีผลกระทบที่หลงเหลือไว้ นั่นก็คือความสามารถในการผสานรวมยีน” เวลานี้มาร์ตินไม่มีอะไรต้องปิดบังอีกต่อไปแล้ว เขาจึงพูดทุกอย่างที่เขารู้ออกมา

 

 

        ……

 

        ความสามารถในการผสานรวมยีนเป็นความสามารถของเซลล์ดัดแปลงที่นอกจากจะมีความสามารถในการกระตุ้นเซลล์แล้ว ยังมีผลสืบเนื่องอย่างหนึ่งคือความสามารถในการผสานรวมยีนที่แข็งแกร่งมาก ร่างที่มาจากเซลล์ดัดแปลงหากได้กินหรือสัมผัสของเหลวในร่างกายของสิ่งมีชีวิตอื่น ก็จะสามารถทำการผสานรวมยีนเองได้

  การผสานรวมยีนควบคู่ไปกับการเจริญอาหารจะเปลี่ยนรูปแบบทางกายภาพของสิ่งมีชีวิตที่มีวิวัฒนาการอย่างมาก จำนวนการผสานรวมของยีนถูกกำหนดโดยระดับของเซลล์ดัดแปลง

        โดยทั่วไปคือระดับ 1-9 ยิ่งเซลล์ดัดแปลงอยู่ในระดับสูงก็จะสามารถทำการผสานรวมได้มากขึ้น ยิ่งผสานรวมกันได้มากเท่าไหร่รูปร่างทางกายภาพก็จะเปลี่ยนไปมากขึ้นและจะเบี่ยงเบนไปจากรูปร่างเดิมมากขึ้นเท่านั้น

 

       นี่คือจุดกำเนิดของสัตว์ประหลาดเหล่านั้น!

 

  ……

 

   “แล้วตอนนี้คุณวางแผนจะทำอะไรต่อ?” ตอนนี้ไป๋อี้อยากจะด่าสาปแช่งเขามาก แต่นั่นก็ไม่ใช่ทางเลือกที่ดี เขาจึงต้องอดทนเอาไว้ เนื่องจากมาร์ตินรู้ข้อมูลมากมาย ดังนั้นในตอนนี้เขาจะวิ่งพล่านทำอะไรตามอำเภอใจไม่ได้

 

     “ฉันเป็นแค่นักวิจัย แม้ว่าฉันจะมีส่วนร่วมในเรื่องนี้ แต่ฉันก็ไม่ได้มีสิทธิ์ก้าวก่ายทุกเรื่อง เมื่อ 2 วันก่อนที่ทุกคนจะเริ่มเข้าสู่ระยะหิวโหยนั้น แม้ว่าฉันจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ก็มีความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียวนั่นคือเซลล์ดัดแปลงแฝงเข้ามาในตัวพวกเราแล้ว ฉันไม่อยากกลายพันธุ์เป็นสัตว์ประหลาด ดังนั้นฉันจึงต้องการหายาเพื่อฟื้นฟูร่างมนุษย์ ฉันได้ยินมาโดยบังเอิญว่ามีคนกำลังศึกษาสิ่งนี้อยู่ในสถาบันวิจัยในอุทยานแห่งชาติตองการิโร่ (Tongariro National Park)” มาร์ตินพูดพลางมองไปที่ไป๋อี้

 

  “นี่คุณกำลังโน้มน้าวให้เราไปกับคุณใช่ไหม?”

 

  “แหะ แหะ!” มาร์ตินหัวเราะอย่างเก้ ๆ กัง ๆ แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ!

 

  “คุณเดาถูก ฉันไม่มั่นใจที่จะไปที่นั่นเพียงคนเดียว ดังนั้นฉันจึงต้องการหาเพื่อนที่ไว้ใจได้” หลังจากที่มาร์ตินถูกไป๋อี้มองออก เขาก็ไม่มีทีท่าเก้ ๆ กัง ๆ อีก เขาแบมือออกแล้วทำท่าไม่รู้ไม่ชี้

 

  “คุณมั่นใจได้ยังไงว่าเราจะตามไปกับคุณ?”

 

  “เฮ้ ไป๋ ไป๋อี้ คุณคิดว่าฉันล้อเล่นเหรอ นักวิจัยอย่างเรารู้ดีกว่าพวกคุณว่าเซลล์ดัดแปลงมีศักยภาพมากแค่ไหน บางทีตัวคุณอาจรวมยีนจากสิ่งมีชีวิตอื่นไว้แล้วโดยที่คุณไม่รู้ตัว การสัมผัสในระยะประชิด หรือกินสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ เป็นอาหาร …. ระยะความหิวโหยเริ่มขึ้นในวันที่ 23 พรุ่งนี้วันที่ 26 ใครบางคนจะเริ่มกลายพันธุ์ รอให้พวกคุณเริ่มกลายพันธุ์เป็นสัตว์ประหลาดก่อนเถอะ ถึงตอนนั้นพวกคุณจะร่วมมือกับฉัน” มาร์ตินพูดไปพลางยิ้มไปพลาง

 

  “เจ้านี่ แก!”

 

  อันที่จริง ถ้ามาร์ตินไม่ได้โกหก พวกเขาก็ไม่ได้ต้องการที่จะกลายเป็นสัตว์ประหลาด ดังนั้นการไปที่สถาบันวิจัยอุทยานแห่งชาติตองการิโร่ที่มาร์ตินบอก เพื่อหายาฟื้นฟูคืนร่างมนุษย์ นั่นจึงเป็นทางเลือกเดียวแม้ว่ามันจะอันตรายมากก็ตาม ถึงอย่างไรเขาก็ต้องหนีไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้อยู่แล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้ … เราก็คอยดูสถานการณ์กันไปก่อน แต่ก่อนอื่นคงต้องไปพบกลุ่มนักเรียนแลกเปลี่ยน จากนั้นค่อยคุยเรื่องความร่วมมือกันอีกที

 

  ————————————————

 

  ยามเย็นของวันที่ 25 ไป๋อี้เพิ่มมาถึงโอฮาวโป ณ อนุสรณ์สถานและได้กลับมารวมตัวกับหงฉี่ฮว๋าอีกครั้ง แม้ว่าจะรู้มานานแล้วว่าไป๋อี้และวูล์ฟหนีออกมาจากปากใหญ่ของปีศาจอสรพิษยักษ์ได้ แต่เมื่อพวกเขาเห็นไป๋อี้กับวูล์ฟอีกครั้ง ทุกคนก็ยังประหลาดใจและสงสัยเป็นอย่างมาก

 

  ตอนที่พวกเขาหายจากไป ฉันเห็นพวกเขาสองคนถูกไล่กวดไปที่ตึกใหญ่แล้วพวกเขาหนีเอาชีวิตรอดมาได้อย่างไร?

 

  “พ่อ พ่อ ฮือ ฮือ” ช่วงเวลาที่โม่โม่เห็นไป๋อี้ หนูน้อยก็รีบวิ่งมาหาและเกาะเข้าที่ต้นขาของไป๋อี้ทันที ทำอย่างไรก็ไม่ยอมปล่อย เจ้าชาร์ไป่เองก็อยู่ที่นั่นด้วย มันวิ่งไปรอบ ๆ ไป๋อี้ พลางแลบลิ้นของมันออกมาตลอดเวลาเพื่อประจบเอาใจ หลังจากที่ไป๋อี้ปลอบประโลมโม่โม่แล้ว เขาก็เดินไปยังกลางกลุ่ม

 

  “ขอบคุณพวกเธอมาก ๆ ที่ช่วยดูแลโม่โม่ให้ฉัน” ไป๋อี้พูดกับหงฉี่ฮว๋าและคนอื่น ๆ จากนั้นจึงเพิ่งสังเกตว่าพวกเขากำลังกินข้าวอยู่ อาหารของทุกคนไม่ได้วางไว้ด้วยกัน แต่ละคนจะแยกจานของตัวเองออกมาและถือเอาไว้ในมือ หรือกล่าวได้ว่าพวกเขามีอาหารไม่เพียงพอ ตอนนี้ถึงได้เริ่มมีระบบแจกจ่ายอาหารรายคน

 

  เมื่อเห็นดังนั้นไป๋อี้จึงคิดจะนำอาหารออกมาจากรถ ก่อนจะมองหาโม่โม่ลูกสาวของเขาไปด้วย

 

  “โม่โม่กับชาร์ไป่ล่ะ?” ไป๋อี้ถาม

 

  “ตรงนั้น” ฮั้วชิวหยางชี้ไปที่จานบนม้านั่งหิน พร้อมกับโม่โม่ที่ยังกินอาหารไม่เสร็จ

 

  อาชีพของไป๋อี้คืออะไร แค่มองปราดเดียวก็รู้ได้ทันทีว่าอาหารในจานนั้นเป็นส่วนที่ไม่อร่อยที่สุดและแน่นอนว่ามันมีสารอาหารน้อยมาก อีกทั้งมันมีแค่จานเดียว

 

  “มีแค่จานเดียว?”

 

  “โม่โม่เป็นเพียงเด็กตัวเล็ก ๆ เธอจะสามารถกินอาหารจำนวนมากเท่าพวกเราได้อย่างไร ชาร์ไป่ก็เป็นเพียงสุนัข นับพวกเขา 2 คนเท่ากับผู้ใหญ่อย่างเราได้ 1 คน คงไม่เป็นอะไรนะ” ฮั้วชิวหยางกล่าวราวกับว่าแบ่งอาหารส่วนหนึ่งให้โม่โม่และชาร์ไป่ และทำเหมือนกับว่าพวกเขาทำได้ดีแล้ว

 

  “อ๋อแบบนี้นี่เอง” ไป๋อี้พูดอย่างเย็นชาและหยิบจานอาหารขึ้นมา

 

  ตอนนี้ไม่ว่าอาหารอะไรก็ล้วนมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง และนี่ควรเป็นอาหารที่โม่โม่ได้รับหรือ ไป๋อี้โกรธอยู่ไม่น้อยแต่ไม่ได้พูดออกมา หลังจากนำอาหารมาแล้ว ไป๋อี้ก็ลูบหัวโม่โม่เบา ๆ

 

  “ไม่เป็นไรนะ พ่อเอาอาหารมาเยอะเลย พ่อจะทำอาหารมื้อใหญ่ให้กิน”

 

  หลังจากพูดจบไป๋อี้ก็หยิบวัตถุดิบจำนวนมากออกมาจากรถพร้อมกับเตาอบที่เรียบง่าย ตอนที่อยู่ข้างนอกมันเป็นไปไม่ได้ที่จะทำอาหารสะดวกสบายเหมือนในบ้านที่มีเครื่องมือครบครัน แต่ไป๋อี้ยังมีหลากหลายวิธีที่จะทำให้อาหารอร่อย ฮั้วชิวหยางและคนอื่น ๆ ตกตะลึงเมื่อเห็นการกระทำของไป๋อี้ ใครจะรู้ว่าไป๋อี้มาถึงได้ทันท่วงทีและเขาได้นำอาหารที่ทุกคนต้องการมากที่สุดมาให้ด้วย

 

  กลิ่นหอมของอาหารที่โชยมาทำให้บางคนรู้สึกเสียใจภายหลังทันที อาหารที่พวกเขาทำแทบจะไม่ได้รับการพิจารณาว่าเป็นสิ่งที่ ‘ถูกปรุงแล้ว’ ฝีมือยังห่างจากไป๋อี้ที่เป็นเชฟอีกมาก ที่สำคัญคือเห็นได้ชัดว่าไป๋อี้รู้สึกโกรธมากจากการแบ่งอาหารของพวกเขาก่อนหน้านี้

  

         แม้ว่าไป๋อี้จะโกรธ แต่เขาก็ไม่ได้คิดที่จะกินคนเดียว ท้ายที่สุดแล้วถ้าไม่ใช่เพราะความช่วยเหลือของพวกเขา โม่โม่เด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ที่อยู่ในสภาพแวดล้อมที่อลหม่านยุ่งเหยิงและทุกคนต่างเร่งรีบเพื่อเอาชีวิตรอด คงจะไม่สามารถมาถึงสถานที่ที่ค่อนข้างปลอดภัยแห่งนี้ได้ ยิ่งไปกว่านั้นแม้ว่าคนเหล่านี้บางคนจะค่อนข้างทำตัวน่ารำคาญ แต่บางคนก็ยังเป็นเพื่อนของเขา

 

  “มากินด้วยกันสิ” ไป๋อี้พูดกับกลุ่มนักศึกษา หลังจากเขาทำอาหารเสร็จ

 

       บางคนยังคงคิดว่าจะสานสัมพันธ์กับไป๋อี้ได้อย่างไร เขารู้สึกละอายใจขึ้นมาเล็กน้อย มีเพียงไม่กี่คนซึ่งรวมถึงหงฉี่ฮว๋าที่เดินตรงไปอย่างไม่สะทกสะท้าน คำพูดของไป๋อี้นับว่าเป็นการสร้างช่องว่างที่ทำให้เกิดบรรยากาศอันเงียบเชียบนี้ขึ้น และในที่สุดบรรยากาศเงียบเชียบก็ได้ตายจากไป เมื่อกลุ่มนักศึกษาที่เริ่มรับประทานอาหารอย่างเงียบ ๆ ค่อย ๆ เปิดบทสนทนาขึ้นมา

 

  “ลุงไป๋ คุณหนีออกมาได้ยังไง ฉันกลัวแทบตายเมื่อเห็นสัตว์ประหลาดจากระยะไกล” เบลลิก้าทีน่าถามอย่างสงสัยและนี่ก็เป็นคำถามที่คนอื่น ๆ ก็สงสัยเช่นกัน

 

  “อันที่จริงก็ไม่มีอะไร” ไป๋อี้ไม่ได้พูดอะไรมาก เขายังคงทำอาหารต่อไป ด้วยข้อจำกัดของที่นี่ การทำอาหารต้องใช้ความอดทนอย่างมาก

 

  แม้ว่าไป๋อี้จะไม่ได้พูดอะไร แต่วูล์ฟก็ไม่มีท่าทีพะว้าพะวังอะไร พูดตามตรงตอนนี้เมื่อเขานึกถึงฉากในตอนนั้น เขาก็รู้สึกว่าขาบางส่วนของเขาอ่อนแรงลง แต่ด้วยเหตุนี้เขาจึงรู้สึกภาคภูมิใจเป็นพิเศษ บ้าเอ๊ย เขามีชีวิตอยู่มาหลายสิบปี ยังไม่เคยรู้สึกหวาดกลัวเท่าวันนี้มาก่อน สิ่งที่สำคัญที่สุดคือพวกเขารอดชีวิตมาได้จริง ๆ

 

  วูล์ฟเล่าถึงสถานการณ์ในตอนนั้น เมื่อได้ยินว่าไป๋อี้บอกให้เขาทั้งสองคนวิ่งไปตามกำแพง ทุกคนปิดปากด้วยความประหลาดใจ นี่มันจะกล้ากันเกินไปแล้ว และไม่คิดว่าทั้งสองคนจะรอดจากอันตรายแบบนั้นมาได้จริง ๆ หลังจากวาทศิลป์อันโอ้อวดของวูล์ฟจบลง แม้ว่าเขาจะรู้ว่ามันออกจะเกินจริงไปสักหน่อย แต่ทุกคนก็มองไปที่ไป๋อี้ด้วยความชื่นชม

 

  แม้แต่มาร์ตินก็ไม่คาดคิดว่าไป๋อี้และวูล์ฟจะกล้าหาญถึงขนาดที่พวกเขาสามารถเอาชีวิตรอดจากปากของปีศาจอสรพิษได้ มาร์ตินรู้ดีว่าปีศาจอสรพิษยักษ์เป็นมนุษย์กลายพันธุ์ทางพันธุกรรม และในบรรดาการทดลองการวิวัฒนาการทั้งหมดนี้ถือได้ว่าเป็นสิ่งที่ทรงพลังที่สุด

 

  หยูหานรู้สึกอิจฉาขึ้นมา เมื่อเห็นภาพนี้

 

  ดีจริง ๆ การได้รับคำชื่นชมและได้รับความไว้วางใจจากผู้อื่น มันคงจะดีถ้าเป็นเขา การตอบสนองอย่างใจเย็นและสงบเมื่อเผชิญกับอันตราย แผนการจัดระเบียบที่ดี อีกทั้งความแข็งแกร่งยังสามารถเอาชนะความเชื่อมั่นของทุกคนได้  หยูหานรู้ว่าเขาทำได้แค่อิจฉาเท่านั้น หากไม่มีข้อยกเว้น … ในโลกใบนี้คงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงมากนัก เช่นตัวเขาเอง

 

  “เลิกพูดเรื่องนี้กันเถอะ ถึงเวลาที่ต้องพูดคุยกันถึงเรื่องสำคัญจริง ๆ แล้ว” ไป๋อี้ปรบมือดึงดูดความสนใจของทุกคนก่อนที่จะพูด

 

  เรื่องที่สำคัญจริง ๆ?

 

  ทุกคนรอบข้างต่างพากันตกตะลึง บรรยากาศเดิมทีที่เคยร้อนแรงกลับค่อย ๆ เย็นยะเยือกลงจากนั้นก็มองไปที่ไป๋อี้ด้วยความสงสัย

                                                               ————————

                          อ่านเร็วก่อนใคร ไม่พลาดทุกการอัปเดตนิยายได้ที่เว็บ Kawebook ค่ะ^^

                                                https://www.kawebook.com/story/6809

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+