[นิยายแปล] มหาวิบัติยีนกลายพันธุ์ 52 อานุภาพแห่งดาบ

Now you are reading [นิยายแปล] มหาวิบัติยีนกลายพันธุ์ Chapter 52 อานุภาพแห่งดาบ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

 

        “นี่ไม่ใช่ทักษะการใช้ดาบอะไรนั่น ตอนนี้มันยุคไหน จะไปมีอะไรแบบนั้นได้ยังไง สิ่งที่ฉันบอกพวกคุณไม่ใช่ทักษะการใช้มีดดาบ และไม่ใช่ทักษะที่เป็นความลับอะไรทั้งนั้น ถ้าพวกคุณนึกว่ามันเป็นทักษะการใช้มีดดาบที่ยอดเยี่ยมเหมือนในภาพยนตร์หรือการ์ตูนนั่นมันผิดมหันต์ นี่เป็นเพียงสิ่งที่ชายชราคิดขึ้น โดยส่วนตัวแล้วฉันคิดว่ามันอาจจะมีประโยชน์สำหรับพวกคุณฉันจึงบอกกับพวกคุณ” ไป๋อี้อธิบาย

  “ชายชราคนนั้นเรียกสิ่งนี้ว่า …… อานุภาพแห่งดาบ!” ไป๋อี้พูด เขาแกว่งดาบคะตะนะผ่านอากาศลงมาจากนั้นก็ค้างเติ่งอยู่ในอากาศอย่างกะทันหัน

  “นี่เป็นท่าพื้นฐานที่สุดของอานุภาพแห่งดาบ!”

  ท่าพื้นฐานที่สุดของอานุภาพแห่งดาบ?

  ทุกคนเฝ้าดูการเคลื่อนไหวของไป๋อี้อยู่พักหนึ่งและไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงทำเช่นนั้น สิ่งที่เรียกว่าพื้นฐานที่สุดคงไม่ใช่แค่การใช้ดาบผ่าไปมาหรอกนะ เมื่อไป๋อี้เห็นท่าทางของทุกคนที่ดูฉงนงุนงง ไป๋อี้ก็รู้สึกอยากจะหัวเราะออกมาเป็นอย่างมาก เมื่อนึกกลับไปในตอนแรก เห็นได้ชัดว่าเขาได้เรียนรู้ทักษะการทำอาหารมาจากชายชรา แต่ผลสุดท้ายกลับได้เรียนรู้เรื่องยุ่งยากพวกนี้มาด้วย

        หงฉี่ฮว๋าเฝ้าดูท่วงท่าของไป๋อี้ ทันใดนั้นตาของเธอก็เป็นประกายขึ้นมา ที่แท้ก็คือการหยุดนิ่ง!

  “มันคือการหยุดนิ่งใช่ไหม?”

  “ในที่สุดก็มีคนดูออก ถูกต้อง นี่คือการควบคุมตำแหน่งของมีดดาบขั้นพื้นฐานที่สุด ถ้าคุณไม่สามารถทำได้แม้กระทั่งความนิ่งของมีดดาบก็ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรอีก” ไป๋อี้พูดและแสดงท่วงท่าอีกครั้ง มือขวาของเขาถือมีดดาบชูขึ้นในอากาศโดยไม่มีการเคลื่อนไหวใด ๆ

  หงฉี่ฮว๋าก็ชักมีดสั้นของเธอขึ้นมาเช่นกันและถือมันชูขึ้นในอากาศ มีดสั้นสองเล่มของเธอมีความยาวน้อยกว่า 25 เซนติเมตรและมันเบามาก ซึ่งเทียบไม่ได้กับดาบคะตะนะของไป๋อี้เลย แต่เมื่อหงฉี่ฮว๋าถือชูขึ้นในอากาศเธอสังเกตได้ทันทีว่ากล้ามเนื้อของเธอสั่นเทาโดยไม่ได้ตั้งใจ ไม่ใช่เพราะความเหนื่อย ไม่ใช่เพราะหนักเกินไป แต่กล้ามเนื้อมันสั่นเอง แม้จะไม่รู้แน่ชัด แต่มันก็เป็นความจริง

  หลังจากที่คนอื่นเห็นการเคลื่อนไหวของหงฉี่ฮว๋า พวกเขาก็ยกดาบของตัวเองขึ้นมา ทุกคนทำเหมือนกันกับหงฉี่ฮว๋า และทันใดนั้นก็ตระหนักได้ว่าเมื่อพวกเขาถือมีดดาบชูขึ้นแขนของพวกเขาก็จะสั่นเล็กน้อย ไม่ว่าพวกเขาจะเปลี่ยนตำแหน่งอย่างไรมันก็ยังคงโคลงเคลงไปมาอยู่เสมอ

  ไป๋อี้ไม่ได้บอกวิธีควบคุมกับหงฉี่ฮว๋าโดยตรง เขากลับกวักมือเรียกโม่โม่

        “โม่โม่หนูก็มาลองด้วยสิ!”

         โม่โม่มองไปที่ไป๋อี้ หลังจากนั้นไม่นานหนูน้อยก็พยักหน้าอย่างร่าเริง

  “ค่ะ!” โม่โม่ตอบรับอย่างอ่อนโยนและหยิบมีดสั้นที่ไป๋อี้ช่วยเลือกให้เธอขึ้นมาอย่างทุลักทุเล มีดสั้นเล่มนี้เหมือนกับดาบคะตะนะ แต่มีความยาวเพียงครึ่งเมตรเท่านั้น อย่างไรก็ตามสำหรับโม่โม่นับว่าเป็นมีดที่ยาวไม่น้อย มือเล็ก ๆ ต้องใช้ทั้งสองมือในการจับด้าม ไป๋อี้ยังไม่ได้บอกโม่โม่ว่าต้องทำอะไรเขาเพียงแค่มองดูโม่โม่ใช้มีดสั้นด้ามนั้นอย่างทุลักทุเล

  ชาร์ไป่มองไปที่หนูน้อย จากนั้นก็อ้าปากหาวกว้างแล้วจึงนอนลงบนพื้นพลางมองไปที่ไป๋อี้อย่างเกียจคร้าน แม้แต่หมูแคระพูพูก็อยู่ห่างจากชาร์ไป่ไปไม่ไกลนัก ตัวอ้วนกลมของมันก็นอนอยู่บนพื้นเช่นกัน เช่นเดียวกับที่ไป๋อี้พูดไว้ก่อนหน้านี้ว่าสิ่งมีชีวิตที่เป็นปรสิตมาจากเซลล์ดัดแปลงช่วยยกระดับความฉลาดของพวกมันได้ …… แม้แต่หมูแคระเองก็เช่นกัน

  หลังจากนั้นไม่นานไป๋อี้ก็ยิ้มออกมาเมื่อเห็นแววตาแป๋วแหววไร้เดียงสาของโม่โม่ เขาสอนวิธีถือมีดให้กับโม่โม่ หลังจากโม่โม่ถือมีดแน่น ไป๋อี้ก็มองไปที่ทุกคน มีเพียงการเคลื่อนไหวของหงฉี่ฮว๋าเท่านั้นที่ดูมีสมาธิจดจ่อ มือขวาที่ใช้จับของเธอนิ่งสงบมาตลอด และเธอก็กำลังมองดูการเคลื่อนไหวมือขวาของเธอเอง

  “ยังไม่นิ่งอย่างสมบูรณ์แบบ แม้ว่าเธอจะดูนิ่ง แต่จริงๆแล้วก็เป็นเพียงสายตาของเธอเท่านั้นที่หลอกลวงตัวเอง สิ่งที่เธอต้องเข้าใจคือ จับทุกชีพจรของกล้ามเนื้อของเธอให้ชัดเจน” ไป๋อี้ควบคุมมีดสั้นของหงฉี่ฮว๋าขึ้นเหนือหัว

  ทันใดนั้นหงฉี่ฮว๋าพบว่า มีดสั้นในมือของเธอไม่ขยับเลย อย่างไรก็ตามมันไม่ได้รู้สึกเหมือนอาศัยวัตถุอื่นเพื่อให้หยุดนิ่ง ในทางตรงกันข้ามดูเหมือนว่าการเคลื่อนไหวของไป๋อี้กำลังปรับตัวตามการสั่นสะเทือนของกล้ามเนื้อของตัวเอง อย่างไรก็ตามการเปลี่ยนแปลงในลักษณะนี้ยังคงหยุดนิ่งอยู่อย่างนั้น ซึ่งทำให้ทุกคนรู้สึกแปลกใจเป็นพิเศษ

  เมื่อคนอื่นมองมา ไป๋อี้ก็เริ่มสาธิตทีละคน จากนั้นไป๋อี้ก็นั่งลงอย่างเหนื่อยล้า ร่างกายที่ได้รับบาดเจ็บนั้นถูกใช้งานอย่างลำบากจริงๆ จนเขารู้สึกขยับไม่ไหวเล็กน้อย

  “ฉันหวังว่าทุกคนจะเข้าใจ ที่ฉันให้ทุกคนเลือกอาวุธมีดดาบ ไม่ใช่ว่าฉันต้องการให้ทุกคนใช้มีดดาบ”

  “งั้นให้ใช้อะไร?”

  “ร่างกาย!”

  “มีดดาบเป็นเพียงส่วนเสริมของร่างกายเท่านั้น สิ่งที่ฉันหวังว่าคุณจะฝึกจนเชี่ยวชาญได้ก็คือความแข็งแกร่งทางกายภาพที่ค่อย ๆ เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ หากทุกคนทำได้ ก็ไม่สำคัญว่าจะใช้ขวานไม้หรือกำปั้นมือเปล่า โดยพื้นฐานแล้วตราบเท่าที่คุณเชี่ยวชาญและออกแรงด้วยตัวเอง พลังที่แข็งแกร่งก็เพียงพอแล้วเหตุผลที่เลือกมีดดาบ นั่นก็เพราะมีดดาบนั้นหาได้ง่ายและในช่วงแรกการใช้อาวุธนั้นปลอดภัยกว่าการใช้มือเปล่าอย่างแน่นอน”

  หลังจากได้ยินสิ่งที่ไป๋อี้พูดทุกคนก็พยักหน้าช้า ๆ อย่างครุ่นคิด

  “ลุงไป๋คุณเป็นพ่อครัว คุณต้องเรียนรู้เรื่องพวกนี้มากมายขนาดนี้เพื่อเป็นพ่อครัวงั้นเหรอ” หงฉี่ฮว๋าถามอย่างสงสัย คนอื่น ๆ ก็มองมาที่เขาเช่นกัน ถ้าพ่อครัวเก่งขนาดนี้ แล้วพวกเขายังเอ้อระเหยลอยชายไปวัน ๆ ได้อย่างไร?

  “เอ๋ …… ฮ่า ๆๆๆ!” ไป๋อี้อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาอย่างเก้ ๆ กัง ๆ

  “แน่นอนว่ามันไม่ใช่อย่างนั้น ประมาณว่ามีชายชราที่เสียสติอย่างที่ฉันบอกว่าเขาเป็นเชฟที่สอนฉันทำอาหาร เขาใช้ชีวิตอยู่ในช่วงปี 1990 ในเวลานั้นนิยายศิลปะการต่อสู้โบราณกำลังเป็นที่นิยมและชายชราคนนั้นก็คลั่งไคล้มากเช่นกัน เขาปลูกฝังสิ่งที่เรียกว่า “วิชาดาบ” ให้  แน่นอนว่าเขาไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญทางศิลปะการต่อสู้และสุดท้ายก็กลายเป็นเชฟอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ในเวลาต่อมาเมื่อฉันมาเรียนทำอาหารเขาก็บังคับให้ฉันเรียนรู้เรื่องยุ่งยากพวกนั้น” หลังจากหัวเราะไป๋อี้ก็อธิบายให้ทุกคนฟัง

  “อย่างไรก็ตามในตอนนั้นฉันเรียนรู้อย่างหนักและคิดว่าฉันได้พบกับปรมาจารย์ในตำนานเข้าแล้ว” ไป๋อี้จำอะไรบางอย่างได้และหัวเราะขึ้นมา

  “เอ๋ เกิดอะไรขึ้น?” คนอื่น ๆ ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะตาม

  “จริง ๆ แล้วมันก็คือความคลั่งไคล้กำลังภายในของฉันเอง ก่อนที่ฉันจะเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการทำอาหารฉันบังเอิญไปดูหนังของปรมาจารย์ซิงเย่ซึ่งฉันลืมชื่อไปแล้ว เกี่ยวกับการควบคุมจิตใจ พ่อของฉันบอกว่าผลการเรียนของฉันไม่ดี ฉันก็เลยไปเรียนทำอาหาร ตอนแรกฉันก็ลังเลที่จะไป และได้พบว่าชายชราที่สอนทำอาหารนั้นคือ ‘ปรมาจารย์ในตำนาน’ ซึ่งไม่ต้องพูดถึงว่าฉันจะรู้สึกตื่นเต้นแค่ไหนในตอนนั้น” ไป๋อี้พูดพลางหัวเราะออกมา

  ในประเทศจีนมีใครบ้างที่ไม่เคยมีความฝันเกี่ยวกับกำลังภายในโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับไป๋อี้ในตอนนั้นที่มีอายุเพียงสิบห้าหรือสิบหกปี เขาจะไม่รู้สึกตื่นเต้นฮึกเหิมที่ได้พบกับปรมาจารย์ในตำนานได้อย่างไร

  หงฉี่ฮว๋าอดไม่ได้ที่จะปิดปากและหัวเราะออกมาเบา ๆ หลังจากที่ได้ฟัง

  คนอื่นไม่สามารถเข้าใจได้ มีเพียงหงฉี่ฮว๋าซึ่งเป็นชาวจีนเท่านั้นที่สามารถเข้าใจการต่อสู้กำลังภายในที่ลึกซึ้งเช่นนี้

  ไม่ว่า “วิชาดาบ” ของไป๋อี้จะแปลกแค่ไหน แต่อย่างน้อยก็มีประโยชน์สำหรับตอนนี้ บางทีมันอาจไม่ได้มีพลังที่น่าทึ่งเหมือนในภาพยนตร์ แต่เมื่อดูจากความสามารถในการควบคุมมีดดาบที่ประณีตวิจิตรกว่าคนอื่น ๆ ของไป๋อี้ ก็รู้ได้ทันทีว่าสิ่งเหล่านี้ยังมีประโยชน์

  ไป๋อี้อธิบายไปหลายชั่วโมงเกี่ยวกับสิ่งที่ถูกเรียกว่า ‘วิชาดาบ’  ไม่ใช่แค่การสงบนิ่งก่อนหน้านี้แต่ยังรวมถึงเรื่องอื่น ๆ อีกด้วย อันที่จริงสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องยุ่งยากซับซ้อน และมันก็ไม่ได้วิเศษอย่างที่คิด มันเป็นเพียงแค่การควบคุมอุปกรณ์อาวุธที่แม่นยำเท่านั้น อีกอย่างผู้คนก่อนหน้านี้ไม่สนใจเรื่องนี้เพราะมันไม่จำเป็น จะมีใครมาฝึกวิชาดาบในยุคสมัยใหม่กัน?

  ไป๋อี้พูดจนปากแห้งเพราะทฤษฎีเหล่านี้ เป็นรูปแบบสไตล์จีนอย่างหนัก ซึ่งมีเพียงหงฉี่ฮว๋าเท่านั้นที่เข้าใจได้ทั้งหมด หลังจากที่เขาแปลเป็นภาษาอังกฤษแล้วมันก็ดูไม่น่าฟังเท่าไหร่และก็ไม่รู้ว่ามีคนอื่นเข้าใจหรือไม่

  ……

        ในเวลาพลบค่ำ ทุกคนต่างก็ปูที่นอนอย่างเรียบง่ายในห้องเรียนสองห้องที่อยู่ติดกัน เพื่อเตรียมพร้อมที่จะพักผ่อน โดยพื้นฐานแล้วอาหารจากโรงเรียนถูกนำไปหมดแล้ว แต่ยังมีอีกหลายอย่างที่ยังมีอยู่ที่นี่ เช่นผ้าห่มในหอพักนักเรียน ตอนนี้ในสภาพแวดล้อมแบบนี้เราไม่สามารถขอร้องอะไรไปมากกว่านี้ได้

  “พ่อ!” โม่โม่จับมือไป๋อี้ไว้ ตั้งแต่จำความได้โม่โม่ก็นอนกับไป๋อี้เสมอ แต่ตอนนี้ที่ต้องแยกกันนอนทำให้หนูน้อยรู้สึกไม่ปลอดภัย

  “ไม่ต้องกลัว นอนกับพี่หงฉี่ฮว๋าและคนอื่น ๆ เถอะ แต่ว่าต้องจำไว้ให้ดีอย่างหนึ่ง ……” ไป๋อี้ขยับไปใกล้ข้างหูของหนูน้อยและกระซิบเบา ๆ “อย่าทำให้ที่นอนเปียกล่ะ”

  ใบหน้าของโม่โม่แดงระเรื่อขึ้นทันที ในขณะที่ขนเส้นเล็กที่งอกออกมาตามใบหน้าก็ส่ายไปมา

  “ไม่ ไม่แน่นอน!” ขณะที่โม่โม่พูดออกมาแบบนี้เห็นได้ชัดว่าเธอไม่มีความมั่นใจสักเท่าไหร่

  “ฮ่า ๆๆๆ” ไป๋อี้อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเมื่อเห็นท่าทางของโม่โม่ คนอื่น ๆ ได้ยินเสียงหัวเราะของไป๋อี้ แต่พวกเขาไม่รู้ว่าไป๋อี้กำลังหัวเราะอะไรอยู่ หงฉี่ฮว๋าเดินไปดูไป๋อี้และโม่โม่อย่างสงสัย แต่ในเวลาแบบนี้ไป๋อี้จะไม่เผยความอับอายของลูกสาวอย่างแน่นอน มันจะเป็นความลับ

  “ไม่มีอะไร ฝากดูแลโม่โม่ด้วยนะ ”ไป๋อี้กล่าว

  “ชาร์ไป่ ไปได้แล้ว ระวังอันตรายด้วยล่ะ!” ไป๋อี้บอกกับชาร์ไป่ ตอนนี้มันมีขนาดยาวกว่าหนึ่งเมตรครึ่ง เห็นได้ชัดว่าขนาดที่สูงใหญ่ของชาร์ไป่ทำให้มันดูเป็นนักล่าที่ดุร้าย

  “โฮ่ง!” ชาร์ไป่เห่าตอบรับและเดินตามหงฉี่ฮว๋าไปที่ห้องเรียนสำหรับพักผ่อนของผู้หญิง เห็นได้ชัดว่า ชาร์ไป่เข้าใจคำพูดของไป๋อี้จริง ๆ หลังจากที่หงฉี่ฮว๋าพาโม่โม่ไปที่ห้องเรียนข้าง ๆ ไป๋อี้ก็กลับไปที่ห้องเรียนทางฝั่งผู้ชาย ทันทีที่เขาเข้ามาในห้อง วูล์ฟก็ทำลับ ๆล่อ ๆ และเข้ามากระซิบเบา ๆ กับไป๋อี้

        “เจ้าของผ้านวมของฉันเป็นเด็กผู้หญิงแน่ ๆ เพราะฉันได้กลิ่นหอมๆ” วูล์ฟพูดกับไป๋อี้อย่างลำพองใจ

  “……!” ไป๋อี้เงียบใส่ วูล์ฟ เจ้าคนนี้

  “เจ้าบื้อ ก็เครื่องนอนพวกนี้เอามาจากหอพักหญิง” มาร์ตินบ่น ทั้งสองเริ่มทะเลาะกันและไม่นานหลังจากนั้นพวกเขาก็เริ่มเถียงกันอย่างเงียบ ๆ อีกครั้ง ซึ่งได้ยินเสียงแห่งความลำพองใจของมาร์ตินดังขึ้นเป็นครั้งคราวเช่น “บราลูกไม้” ไป๋อี้ที่ฟังอยู่ข้าง ๆ ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี อย่างไรก็ตามบางครั้งเขาก็อดไม่ได้ที่จะพูดแทรกไปไม่กี่คำ

  คำว่าหอพักหญิงให้ความรู้สึกละมุนกับผู้ชาย…มาเสมอ!

 

                                                    ————————

                      อ่านเร็วก่อนใคร ไม่พลาดทุกการอัปเดตนิยายได้ที่เว็บ Kawebook ^^

                                       https://www.kawebook.com/story/6809

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

[นิยายแปล] มหาวิบัติยีนกลายพันธุ์ 52 อานุภาพแห่งดาบ

Now you are reading [นิยายแปล] มหาวิบัติยีนกลายพันธุ์ Chapter 52 อานุภาพแห่งดาบ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

 

        “นี่ไม่ใช่ทักษะการใช้ดาบอะไรนั่น ตอนนี้มันยุคไหน จะไปมีอะไรแบบนั้นได้ยังไง สิ่งที่ฉันบอกพวกคุณไม่ใช่ทักษะการใช้มีดดาบ และไม่ใช่ทักษะที่เป็นความลับอะไรทั้งนั้น ถ้าพวกคุณนึกว่ามันเป็นทักษะการใช้มีดดาบที่ยอดเยี่ยมเหมือนในภาพยนตร์หรือการ์ตูนนั่นมันผิดมหันต์ นี่เป็นเพียงสิ่งที่ชายชราคิดขึ้น โดยส่วนตัวแล้วฉันคิดว่ามันอาจจะมีประโยชน์สำหรับพวกคุณฉันจึงบอกกับพวกคุณ” ไป๋อี้อธิบาย

  “ชายชราคนนั้นเรียกสิ่งนี้ว่า …… อานุภาพแห่งดาบ!” ไป๋อี้พูด เขาแกว่งดาบคะตะนะผ่านอากาศลงมาจากนั้นก็ค้างเติ่งอยู่ในอากาศอย่างกะทันหัน

  “นี่เป็นท่าพื้นฐานที่สุดของอานุภาพแห่งดาบ!”

  ท่าพื้นฐานที่สุดของอานุภาพแห่งดาบ?

  ทุกคนเฝ้าดูการเคลื่อนไหวของไป๋อี้อยู่พักหนึ่งและไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงทำเช่นนั้น สิ่งที่เรียกว่าพื้นฐานที่สุดคงไม่ใช่แค่การใช้ดาบผ่าไปมาหรอกนะ เมื่อไป๋อี้เห็นท่าทางของทุกคนที่ดูฉงนงุนงง ไป๋อี้ก็รู้สึกอยากจะหัวเราะออกมาเป็นอย่างมาก เมื่อนึกกลับไปในตอนแรก เห็นได้ชัดว่าเขาได้เรียนรู้ทักษะการทำอาหารมาจากชายชรา แต่ผลสุดท้ายกลับได้เรียนรู้เรื่องยุ่งยากพวกนี้มาด้วย

        หงฉี่ฮว๋าเฝ้าดูท่วงท่าของไป๋อี้ ทันใดนั้นตาของเธอก็เป็นประกายขึ้นมา ที่แท้ก็คือการหยุดนิ่ง!

  “มันคือการหยุดนิ่งใช่ไหม?”

  “ในที่สุดก็มีคนดูออก ถูกต้อง นี่คือการควบคุมตำแหน่งของมีดดาบขั้นพื้นฐานที่สุด ถ้าคุณไม่สามารถทำได้แม้กระทั่งความนิ่งของมีดดาบก็ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรอีก” ไป๋อี้พูดและแสดงท่วงท่าอีกครั้ง มือขวาของเขาถือมีดดาบชูขึ้นในอากาศโดยไม่มีการเคลื่อนไหวใด ๆ

  หงฉี่ฮว๋าก็ชักมีดสั้นของเธอขึ้นมาเช่นกันและถือมันชูขึ้นในอากาศ มีดสั้นสองเล่มของเธอมีความยาวน้อยกว่า 25 เซนติเมตรและมันเบามาก ซึ่งเทียบไม่ได้กับดาบคะตะนะของไป๋อี้เลย แต่เมื่อหงฉี่ฮว๋าถือชูขึ้นในอากาศเธอสังเกตได้ทันทีว่ากล้ามเนื้อของเธอสั่นเทาโดยไม่ได้ตั้งใจ ไม่ใช่เพราะความเหนื่อย ไม่ใช่เพราะหนักเกินไป แต่กล้ามเนื้อมันสั่นเอง แม้จะไม่รู้แน่ชัด แต่มันก็เป็นความจริง

  หลังจากที่คนอื่นเห็นการเคลื่อนไหวของหงฉี่ฮว๋า พวกเขาก็ยกดาบของตัวเองขึ้นมา ทุกคนทำเหมือนกันกับหงฉี่ฮว๋า และทันใดนั้นก็ตระหนักได้ว่าเมื่อพวกเขาถือมีดดาบชูขึ้นแขนของพวกเขาก็จะสั่นเล็กน้อย ไม่ว่าพวกเขาจะเปลี่ยนตำแหน่งอย่างไรมันก็ยังคงโคลงเคลงไปมาอยู่เสมอ

  ไป๋อี้ไม่ได้บอกวิธีควบคุมกับหงฉี่ฮว๋าโดยตรง เขากลับกวักมือเรียกโม่โม่

        “โม่โม่หนูก็มาลองด้วยสิ!”

         โม่โม่มองไปที่ไป๋อี้ หลังจากนั้นไม่นานหนูน้อยก็พยักหน้าอย่างร่าเริง

  “ค่ะ!” โม่โม่ตอบรับอย่างอ่อนโยนและหยิบมีดสั้นที่ไป๋อี้ช่วยเลือกให้เธอขึ้นมาอย่างทุลักทุเล มีดสั้นเล่มนี้เหมือนกับดาบคะตะนะ แต่มีความยาวเพียงครึ่งเมตรเท่านั้น อย่างไรก็ตามสำหรับโม่โม่นับว่าเป็นมีดที่ยาวไม่น้อย มือเล็ก ๆ ต้องใช้ทั้งสองมือในการจับด้าม ไป๋อี้ยังไม่ได้บอกโม่โม่ว่าต้องทำอะไรเขาเพียงแค่มองดูโม่โม่ใช้มีดสั้นด้ามนั้นอย่างทุลักทุเล

  ชาร์ไป่มองไปที่หนูน้อย จากนั้นก็อ้าปากหาวกว้างแล้วจึงนอนลงบนพื้นพลางมองไปที่ไป๋อี้อย่างเกียจคร้าน แม้แต่หมูแคระพูพูก็อยู่ห่างจากชาร์ไป่ไปไม่ไกลนัก ตัวอ้วนกลมของมันก็นอนอยู่บนพื้นเช่นกัน เช่นเดียวกับที่ไป๋อี้พูดไว้ก่อนหน้านี้ว่าสิ่งมีชีวิตที่เป็นปรสิตมาจากเซลล์ดัดแปลงช่วยยกระดับความฉลาดของพวกมันได้ …… แม้แต่หมูแคระเองก็เช่นกัน

  หลังจากนั้นไม่นานไป๋อี้ก็ยิ้มออกมาเมื่อเห็นแววตาแป๋วแหววไร้เดียงสาของโม่โม่ เขาสอนวิธีถือมีดให้กับโม่โม่ หลังจากโม่โม่ถือมีดแน่น ไป๋อี้ก็มองไปที่ทุกคน มีเพียงการเคลื่อนไหวของหงฉี่ฮว๋าเท่านั้นที่ดูมีสมาธิจดจ่อ มือขวาที่ใช้จับของเธอนิ่งสงบมาตลอด และเธอก็กำลังมองดูการเคลื่อนไหวมือขวาของเธอเอง

  “ยังไม่นิ่งอย่างสมบูรณ์แบบ แม้ว่าเธอจะดูนิ่ง แต่จริงๆแล้วก็เป็นเพียงสายตาของเธอเท่านั้นที่หลอกลวงตัวเอง สิ่งที่เธอต้องเข้าใจคือ จับทุกชีพจรของกล้ามเนื้อของเธอให้ชัดเจน” ไป๋อี้ควบคุมมีดสั้นของหงฉี่ฮว๋าขึ้นเหนือหัว

  ทันใดนั้นหงฉี่ฮว๋าพบว่า มีดสั้นในมือของเธอไม่ขยับเลย อย่างไรก็ตามมันไม่ได้รู้สึกเหมือนอาศัยวัตถุอื่นเพื่อให้หยุดนิ่ง ในทางตรงกันข้ามดูเหมือนว่าการเคลื่อนไหวของไป๋อี้กำลังปรับตัวตามการสั่นสะเทือนของกล้ามเนื้อของตัวเอง อย่างไรก็ตามการเปลี่ยนแปลงในลักษณะนี้ยังคงหยุดนิ่งอยู่อย่างนั้น ซึ่งทำให้ทุกคนรู้สึกแปลกใจเป็นพิเศษ

  เมื่อคนอื่นมองมา ไป๋อี้ก็เริ่มสาธิตทีละคน จากนั้นไป๋อี้ก็นั่งลงอย่างเหนื่อยล้า ร่างกายที่ได้รับบาดเจ็บนั้นถูกใช้งานอย่างลำบากจริงๆ จนเขารู้สึกขยับไม่ไหวเล็กน้อย

  “ฉันหวังว่าทุกคนจะเข้าใจ ที่ฉันให้ทุกคนเลือกอาวุธมีดดาบ ไม่ใช่ว่าฉันต้องการให้ทุกคนใช้มีดดาบ”

  “งั้นให้ใช้อะไร?”

  “ร่างกาย!”

  “มีดดาบเป็นเพียงส่วนเสริมของร่างกายเท่านั้น สิ่งที่ฉันหวังว่าคุณจะฝึกจนเชี่ยวชาญได้ก็คือความแข็งแกร่งทางกายภาพที่ค่อย ๆ เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ หากทุกคนทำได้ ก็ไม่สำคัญว่าจะใช้ขวานไม้หรือกำปั้นมือเปล่า โดยพื้นฐานแล้วตราบเท่าที่คุณเชี่ยวชาญและออกแรงด้วยตัวเอง พลังที่แข็งแกร่งก็เพียงพอแล้วเหตุผลที่เลือกมีดดาบ นั่นก็เพราะมีดดาบนั้นหาได้ง่ายและในช่วงแรกการใช้อาวุธนั้นปลอดภัยกว่าการใช้มือเปล่าอย่างแน่นอน”

  หลังจากได้ยินสิ่งที่ไป๋อี้พูดทุกคนก็พยักหน้าช้า ๆ อย่างครุ่นคิด

  “ลุงไป๋คุณเป็นพ่อครัว คุณต้องเรียนรู้เรื่องพวกนี้มากมายขนาดนี้เพื่อเป็นพ่อครัวงั้นเหรอ” หงฉี่ฮว๋าถามอย่างสงสัย คนอื่น ๆ ก็มองมาที่เขาเช่นกัน ถ้าพ่อครัวเก่งขนาดนี้ แล้วพวกเขายังเอ้อระเหยลอยชายไปวัน ๆ ได้อย่างไร?

  “เอ๋ …… ฮ่า ๆๆๆ!” ไป๋อี้อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาอย่างเก้ ๆ กัง ๆ

  “แน่นอนว่ามันไม่ใช่อย่างนั้น ประมาณว่ามีชายชราที่เสียสติอย่างที่ฉันบอกว่าเขาเป็นเชฟที่สอนฉันทำอาหาร เขาใช้ชีวิตอยู่ในช่วงปี 1990 ในเวลานั้นนิยายศิลปะการต่อสู้โบราณกำลังเป็นที่นิยมและชายชราคนนั้นก็คลั่งไคล้มากเช่นกัน เขาปลูกฝังสิ่งที่เรียกว่า “วิชาดาบ” ให้  แน่นอนว่าเขาไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญทางศิลปะการต่อสู้และสุดท้ายก็กลายเป็นเชฟอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ในเวลาต่อมาเมื่อฉันมาเรียนทำอาหารเขาก็บังคับให้ฉันเรียนรู้เรื่องยุ่งยากพวกนั้น” หลังจากหัวเราะไป๋อี้ก็อธิบายให้ทุกคนฟัง

  “อย่างไรก็ตามในตอนนั้นฉันเรียนรู้อย่างหนักและคิดว่าฉันได้พบกับปรมาจารย์ในตำนานเข้าแล้ว” ไป๋อี้จำอะไรบางอย่างได้และหัวเราะขึ้นมา

  “เอ๋ เกิดอะไรขึ้น?” คนอื่น ๆ ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะตาม

  “จริง ๆ แล้วมันก็คือความคลั่งไคล้กำลังภายในของฉันเอง ก่อนที่ฉันจะเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการทำอาหารฉันบังเอิญไปดูหนังของปรมาจารย์ซิงเย่ซึ่งฉันลืมชื่อไปแล้ว เกี่ยวกับการควบคุมจิตใจ พ่อของฉันบอกว่าผลการเรียนของฉันไม่ดี ฉันก็เลยไปเรียนทำอาหาร ตอนแรกฉันก็ลังเลที่จะไป และได้พบว่าชายชราที่สอนทำอาหารนั้นคือ ‘ปรมาจารย์ในตำนาน’ ซึ่งไม่ต้องพูดถึงว่าฉันจะรู้สึกตื่นเต้นแค่ไหนในตอนนั้น” ไป๋อี้พูดพลางหัวเราะออกมา

  ในประเทศจีนมีใครบ้างที่ไม่เคยมีความฝันเกี่ยวกับกำลังภายในโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับไป๋อี้ในตอนนั้นที่มีอายุเพียงสิบห้าหรือสิบหกปี เขาจะไม่รู้สึกตื่นเต้นฮึกเหิมที่ได้พบกับปรมาจารย์ในตำนานได้อย่างไร

  หงฉี่ฮว๋าอดไม่ได้ที่จะปิดปากและหัวเราะออกมาเบา ๆ หลังจากที่ได้ฟัง

  คนอื่นไม่สามารถเข้าใจได้ มีเพียงหงฉี่ฮว๋าซึ่งเป็นชาวจีนเท่านั้นที่สามารถเข้าใจการต่อสู้กำลังภายในที่ลึกซึ้งเช่นนี้

  ไม่ว่า “วิชาดาบ” ของไป๋อี้จะแปลกแค่ไหน แต่อย่างน้อยก็มีประโยชน์สำหรับตอนนี้ บางทีมันอาจไม่ได้มีพลังที่น่าทึ่งเหมือนในภาพยนตร์ แต่เมื่อดูจากความสามารถในการควบคุมมีดดาบที่ประณีตวิจิตรกว่าคนอื่น ๆ ของไป๋อี้ ก็รู้ได้ทันทีว่าสิ่งเหล่านี้ยังมีประโยชน์

  ไป๋อี้อธิบายไปหลายชั่วโมงเกี่ยวกับสิ่งที่ถูกเรียกว่า ‘วิชาดาบ’  ไม่ใช่แค่การสงบนิ่งก่อนหน้านี้แต่ยังรวมถึงเรื่องอื่น ๆ อีกด้วย อันที่จริงสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องยุ่งยากซับซ้อน และมันก็ไม่ได้วิเศษอย่างที่คิด มันเป็นเพียงแค่การควบคุมอุปกรณ์อาวุธที่แม่นยำเท่านั้น อีกอย่างผู้คนก่อนหน้านี้ไม่สนใจเรื่องนี้เพราะมันไม่จำเป็น จะมีใครมาฝึกวิชาดาบในยุคสมัยใหม่กัน?

  ไป๋อี้พูดจนปากแห้งเพราะทฤษฎีเหล่านี้ เป็นรูปแบบสไตล์จีนอย่างหนัก ซึ่งมีเพียงหงฉี่ฮว๋าเท่านั้นที่เข้าใจได้ทั้งหมด หลังจากที่เขาแปลเป็นภาษาอังกฤษแล้วมันก็ดูไม่น่าฟังเท่าไหร่และก็ไม่รู้ว่ามีคนอื่นเข้าใจหรือไม่

  ……

        ในเวลาพลบค่ำ ทุกคนต่างก็ปูที่นอนอย่างเรียบง่ายในห้องเรียนสองห้องที่อยู่ติดกัน เพื่อเตรียมพร้อมที่จะพักผ่อน โดยพื้นฐานแล้วอาหารจากโรงเรียนถูกนำไปหมดแล้ว แต่ยังมีอีกหลายอย่างที่ยังมีอยู่ที่นี่ เช่นผ้าห่มในหอพักนักเรียน ตอนนี้ในสภาพแวดล้อมแบบนี้เราไม่สามารถขอร้องอะไรไปมากกว่านี้ได้

  “พ่อ!” โม่โม่จับมือไป๋อี้ไว้ ตั้งแต่จำความได้โม่โม่ก็นอนกับไป๋อี้เสมอ แต่ตอนนี้ที่ต้องแยกกันนอนทำให้หนูน้อยรู้สึกไม่ปลอดภัย

  “ไม่ต้องกลัว นอนกับพี่หงฉี่ฮว๋าและคนอื่น ๆ เถอะ แต่ว่าต้องจำไว้ให้ดีอย่างหนึ่ง ……” ไป๋อี้ขยับไปใกล้ข้างหูของหนูน้อยและกระซิบเบา ๆ “อย่าทำให้ที่นอนเปียกล่ะ”

  ใบหน้าของโม่โม่แดงระเรื่อขึ้นทันที ในขณะที่ขนเส้นเล็กที่งอกออกมาตามใบหน้าก็ส่ายไปมา

  “ไม่ ไม่แน่นอน!” ขณะที่โม่โม่พูดออกมาแบบนี้เห็นได้ชัดว่าเธอไม่มีความมั่นใจสักเท่าไหร่

  “ฮ่า ๆๆๆ” ไป๋อี้อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเมื่อเห็นท่าทางของโม่โม่ คนอื่น ๆ ได้ยินเสียงหัวเราะของไป๋อี้ แต่พวกเขาไม่รู้ว่าไป๋อี้กำลังหัวเราะอะไรอยู่ หงฉี่ฮว๋าเดินไปดูไป๋อี้และโม่โม่อย่างสงสัย แต่ในเวลาแบบนี้ไป๋อี้จะไม่เผยความอับอายของลูกสาวอย่างแน่นอน มันจะเป็นความลับ

  “ไม่มีอะไร ฝากดูแลโม่โม่ด้วยนะ ”ไป๋อี้กล่าว

  “ชาร์ไป่ ไปได้แล้ว ระวังอันตรายด้วยล่ะ!” ไป๋อี้บอกกับชาร์ไป่ ตอนนี้มันมีขนาดยาวกว่าหนึ่งเมตรครึ่ง เห็นได้ชัดว่าขนาดที่สูงใหญ่ของชาร์ไป่ทำให้มันดูเป็นนักล่าที่ดุร้าย

  “โฮ่ง!” ชาร์ไป่เห่าตอบรับและเดินตามหงฉี่ฮว๋าไปที่ห้องเรียนสำหรับพักผ่อนของผู้หญิง เห็นได้ชัดว่า ชาร์ไป่เข้าใจคำพูดของไป๋อี้จริง ๆ หลังจากที่หงฉี่ฮว๋าพาโม่โม่ไปที่ห้องเรียนข้าง ๆ ไป๋อี้ก็กลับไปที่ห้องเรียนทางฝั่งผู้ชาย ทันทีที่เขาเข้ามาในห้อง วูล์ฟก็ทำลับ ๆล่อ ๆ และเข้ามากระซิบเบา ๆ กับไป๋อี้

        “เจ้าของผ้านวมของฉันเป็นเด็กผู้หญิงแน่ ๆ เพราะฉันได้กลิ่นหอมๆ” วูล์ฟพูดกับไป๋อี้อย่างลำพองใจ

  “……!” ไป๋อี้เงียบใส่ วูล์ฟ เจ้าคนนี้

  “เจ้าบื้อ ก็เครื่องนอนพวกนี้เอามาจากหอพักหญิง” มาร์ตินบ่น ทั้งสองเริ่มทะเลาะกันและไม่นานหลังจากนั้นพวกเขาก็เริ่มเถียงกันอย่างเงียบ ๆ อีกครั้ง ซึ่งได้ยินเสียงแห่งความลำพองใจของมาร์ตินดังขึ้นเป็นครั้งคราวเช่น “บราลูกไม้” ไป๋อี้ที่ฟังอยู่ข้าง ๆ ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี อย่างไรก็ตามบางครั้งเขาก็อดไม่ได้ที่จะพูดแทรกไปไม่กี่คำ

  คำว่าหอพักหญิงให้ความรู้สึกละมุนกับผู้ชาย…มาเสมอ!

 

                                                    ————————

                      อ่านเร็วก่อนใคร ไม่พลาดทุกการอัปเดตนิยายได้ที่เว็บ Kawebook ^^

                                       https://www.kawebook.com/story/6809

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+