[นิยายแปล] มหาวิบัติยีนกลายพันธุ์ 134 นักรบบ้าดีเดือด

Now you are reading [นิยายแปล] มหาวิบัติยีนกลายพันธุ์ Chapter 134 นักรบบ้าดีเดือด at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

  หลังจากพูดคุยกันสักพักไป๋อี้ก็ได้เรียนรู้เรื่องราวมากมายเกี่ยวกับหุบเขาหิมะแห่งนี้จากทั้งสามคนและข้อมูลระดับลึกเหล่านี้ชัดเจนยิ่งกว่าที่ได้ยินมาจากปากคนธรรมดาทั่วไปเสียอีก ทันใดนั้นไป๋อี้ก็เห็นใครบางคนในฝูงชนกำลังเดินไปที่เวทีประลองตรงกลาง คนอื่น ๆ ต่างก็พากันสงสัยเป็นอย่างมาก จากนั้นผู้คนก็เข้ามามุงล้อมรอบ

  “นี่มันอะไรกันอีกแล้ว?”

  “โอ้ ดูเหมือนว่ามีกลุ่มทีมได้คัดเลือกผู้สมัครที่มีความสามารถและเตรียมพร้อมที่จะขึ้นเวทีเพื่อประลองการต่อสู้” เห็นได้ชัดว่าทั้งสามคนนี้มีความสนใจมากเช่นกัน แต่หน้าที่ของพวกเขาคือต้องอยู่ที่นี่ ดังนั้นจึงไม่สามารถไปดูได้

  “ประลองการต่อสู้?”

  “ใช่ ประลองการต่อสู้! ควรรู้ไว้ว่าสิ่งที่น่ากลัวที่สุดในตอนนี้นั่นคือการเข้าสู่ระยะดุร้ายรุนแรง ไม่ว่าเพื่อนร่วมทีมจะแข็งแกร่งมากแค่ไหนก็ตาม แต่หากเขาคนนั้นไม่สามารถข่มอารมณ์ของตัวเองได้เมื่อเข้าสู่การต่อสู้นั่นจะทำให้ง่ายต่อการเข้าสู่สภาวะดุร้ายคลุ้มคลั่ง ไม่ว่ากลุ่มทีมใดต่างก็ไม่ต้องการให้เกิดขึ้น การประลองนี้ไม่ใช่การต่อสู้ที่ดุเดือด แต่เป็นการต่อสู้ที่ให้คนรอบข้างตัดสินว่าทั้งสองฝ่ายสามารถครองสติตัวเองในการต่อสู้ได้หรือไม่” ผู้ชายที่อยู่ข้าง ๆ มีความกระตือรือร้นของความเป็นครูผู้สอนมาก เขาอดไม่ได้ที่จะอธิบายให้ไป๋อี้ฟัง

  “อย่างนี้เองเหรอ แล้วถ้าหากมีคนที่เข้าสู่สภาวะดุร้ายล่ะ?”

  “ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ได้แต่จับเขาไว้เท่านั้น เพื่อดูว่าเขาจะฟื้นคืนสติจากสภาวะดุร้ายได้หรือไม่ อย่างไรก็ตามแม้ว่าโดยทั่วไปแล้วเขาจะถูกจับและมัดไว้ แต่เมื่อเข้าสู้สภาวะดุร้ายในหมู่บ้านหุบเขาหิมะแห่งนี้ เขาอาจถูกฆ่าปลิดชีพได้ดื้อ ๆ เลย”

  “ฆ่าปลิดชีพ?”

  “ไม่มีทางเลือกนี่นา ถ้าคนผู้นั้นไม่ได้แข็งแกร่งมากและสามารถปราบได้ง่ายนั่นก็ไม่มีปัญหา แต่ถ้ามีความแข็งแกร่งสูงรวมทั้งมีพิษสงบางอย่าง เช่น สารพิษ ใครกันที่จะอยากเอาชีวิตมาเสี่ยงเพื่อปราบคนผู้นั้น ดังนั้นจึงฆ่าปลิดชีพโดยตรงเสียดีกว่า วิธีนี้เป็นวิธีที่ดีที่สุดดังนั้นหากคุณไม่แน่ใจก็ไม่ควรต่อสู้บนเวทีนี้จะดีกว่า มีกฎในหมู่บ้านหุบเขาหิมะที่ว่าหากมีคนเข้าสู่ระยะดุร้ายในหมู่บ้านหุบเขาหิมะ ไม่ว่าคนผู้นั้นจะเป็นใครก็ตาม คนอื่นสามารถฆ่าได้ทันที แน่นอนว่าโดยทั่วไปเราจะไม่ทำอย่างนั้นแน่นอน กลยุทธ์ที่รุนแรงแบบนั้นจะใช้เฉพาะเมื่อคู่ต่อสู้เป็นอันตรายเกินไป” ดูเหมือนว่าจะมีผู้มาใหม่อย่างไป๋อี้น้อยมากดังนั้นทั้งสามคนนี้จึงมีรายละเอียดมากมายที่ต้องพูดคุยกับไป๋อี้

  “จริงสิ มีคนคนหนึ่งในหุบเขาหิมะที่มีชื่อเสียงในเรื่องนี้นั่นคือนักรบบ้าดีเดือด!”

  “นักรบบ้าดีเดือดงั้นเหรอ?”

  “ใช่ ผู้ชายคนนั้นชื่อเรย์มอนด์ ให้ตายเขาก็ไม่ยอมรับการเข้าสภาวะดุร้าย เขากล่าวอ้างว่าตัวเองเป็นเหมือนนักรบบ้าดีเดือดในเกม ครั้งหนึ่งเขาเข้าสู่การต่อสู้จากนั้นเขาก็เข้าสู่สภาวะคลุ้มคลั่ง นั่นทำให้คนกลัวตายขึ้นมาทุกครั้ง แต่อย่างไรก็ตามทุกครั้งที่ดูเหมือนเขาไม่ได้เข้าสู่สภาวะดุร้ายเขาก็ยังมีตรรกะสติสัมปชัญญะดี ครั้นเมื่อมีบางคนวางแผนที่จะฆ่าผู้ชายคนนี้ ผู้ชายคนนี้ก็จะหยุดยั้งไว้ ศักยภาพของผู้ชายคนนี้ไม่เลวเลยจริง ๆ แต่ไม่เคยมีทีมใดกล้าขอให้เขาเข้าร่วมเพราะเขาเป็นเหมือนระเบิดเวลา” อีกคนกล่าวเสริม

  “นักรบบ้าดีเดือดอย่างนั้นเหรอ” ไป๋อี้เริ่มสนใจมากขึ้น ในสภาวะดุร้าย ทีมอื่น ๆ อาจจะไม่สามารถช่วยเรียกคืนสติเขาได้ แต่ถ้าชายคนนั้นเข้าสู่ทีมของไป๋อี้เรื่องนั้นก็จะไม่มีปัญหาเลย

  “นิสัยใจคอโดยปกติของเขาเป็นอย่างไรเหรอ?” ไป๋อี้ถามอีกครั้ง

  “โอเคเลยล่ะ เขาหยาบคายเล็กน้อย ถึงฉันจะไม่เคยได้ยินว่าเขามีความขัดแย้งกับใคร แต่ก็ไม่มีทีมไหนต้องการเขา บางครั้งเขาจะออกไปล่าเหยื่อขนาดเล็กหรืออะไรบางอย่าง และแม้ว่าเขาจะได้รับบาดเจ็บอยู่หลายครั้ง แต่ทุกครั้งที่เขากลับมาเขาก็ยังมีชีวิตรอดทุกครั้ง ชะตาชีวิตเขานับว่าค่อนข้างแข็งแกร่งทีเดียว”

  “อย่างนี้เองหรอกเหรอ ไม่ทราบว่าชายนักรบบ้าดีเดือดคนนั้นอยู่ที่ไหน เขาอยู่ในจตุรัสแห่งนี้หรือเปล่า”

  “เปล่า นั่น!”

  อีกคนชี้ไปที่ขอบของเวทีทันที เขาเป็นชายที่สูงกว่าสามเมตรมีรูปร่างราวกับมนุษย์หมาป่า ผู้ชายคนนี้ดูแข็งแกร่งมาก มีเพียงหนังสัตว์ที่ไม่รู้ว่าเป็นสัตว์ประเภทใดล้อมรอบร่างกายส่วนล่างของเขา และมีกระดูกขนาดใหญ่อยู่ที่หลัง สีหน้าของเขาดูตื่นเต้นมากและดูเหมือนว่าเขาจะตื่นเต้นมากกว่าคู่ต่อสู้ทั้งสองคนที่อยู่ตรงกลางเวทีเสียอีก คนข้าง ๆ เขาดูเหมือนจะรู้จักชายผู้นี้ดี พวกเขาต่างพากันถอยห่างออกมาเล็กน้อย

  “ขอบคุณมากนะสำหรับข่าวสาร ฉันคิดว่าจะลองดู”

  ไป๋อี้พูดและหยิบชิ้นส่วนเนื้อแห้งขนาดเท่าฝ่ามือสามชิ้นออกมาจากกระเป๋าหนังที่อยู่ข้างพูพู เนื้อแห้งนี้เป็นอาหารที่ไป๋อี้ทำขึ้นมาเองและมันก็มีรสชาติไม่เลวเลยทีเดียว เมื่อพวกเขาทั้งสามเห็นเนื้อแห้งที่ไป๋อี้ส่งมาพวกเขาก็ไม่ได้ปฏิเสธ แม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะยังไม่หิว แต่เนื้อสัตว์ก็ค่อนข้างหายากในระแวกนี้

  “พูพู ลุกขึ้น เราไปดูกันเถอะ”

  “พูพู ~ พู๊!” พูพูสะบัดหูสองครั้งอย่างขี้เกียจที่จะสนใจไป๋อี้ ไป๋อี้จึงเตะไปที่ก้นเจ้าหมู แต่มันก็ยังไม่อยากขยับไปไหนและเอาแต่ทำท่าทางเฉื่อยชา

  “ฉันทำอะไรแกไม่ได้จริง ๆ ช่วยดูเขาหน่อยนะ เขาจะไม่สร้างปัญหาอย่างแน่นอน” ไป๋อี้พูดกับทีมชายสามคนที่อยู่ใกล้ ๆ

  “OK OK ไม่มีปัญหา” ทั้งสามคนเพิ่งได้รับเนื้อแห้งชิ้นใหญ่จากไป๋อี้มา แน่นอนว่าพวกเขาคงจะไม่ปฏิเสธเป็นแน่ อย่างไรก็ตามพวกเขาทั้งสามคนมีความฉงนเล็กน้อย ดูเหมือนว่าทีมนี้จะผสมกลมกลืนเข้ากันเป็นอย่างดี มีสัตว์เลี้ยงสามตัว ทั้งยังมีหมูอ้วนอีกด้วย ถ้ามันไปอยู่ในทีมอื่นคาดว่ามันคงกลายเป็นอาหารไปนานแล้วล่ะ

  ไป๋อี้สนใจเรย์มอนด์ผู้บ้าดีเดือดคนนี้ ถ้าผู้ชายคนนี้มีศักยภาพที่ดีจริง ๆ เขาก็อาจถูกคัดเลือกเข้าร่วมทีมได้

  ไป๋อี้เดินตรงมาที่ด้านข้างของเรย์มอนด์ อย่างไรก็ตามไม่มีใครอยู่รอบข้างเรย์มอนด์เลย ร่างกายของเรย์มอนด์กระชับขึ้นเล็กน้อยเมื่อไป๋อี้เข้ามาใกล้ เขาค่อนข้างมีชื่อเสียงในหุบเขาหิมะและคนงี่เง่าเหล่านั้นก็กลัวที่จะเข้าใกล้เขา อย่างไรก็ตามหลังจากเห็นท่าทางแปลกๆของไป๋อี้เรย์มอนด์ก็ไม่ได้ให้ความสนใจ เรย์มอนด์คาดว่าเขาคงเพิ่งมาที่หุบเขาหิมะ อีกทั้งเขาเองก็ไม่รู้ชื่อของคนที่เข้ามาใกล้

  “นายคิดยังไงกับการต่อสู้แบบนี้” ไป๋อี้ถามเรย์มอนด์ที่อยู่ข้าง ๆ

  “เอ๋?”

  “ฉันถามว่านายคิดยังไงกับการต่อสู้เช่นนี้” ไป๋อี้พูดเสียงดังขึ้นท่ามกลางฝูงชนที่คึกคะนอง

  “ก็ มันเป็นแค่การแสดงกายกรรมเท่านั้น การต่อสู้ข้างนอกเปรียบได้กับการแสดงแบบนี้ซะที่ไหนกัน การต่อสู้แบบนี้ไม่มีความรู้สึกของเลือดที่พุ่งออกมาระหว่างชีวิตและความตาย” เรย์มอนด์สูดลมหายใจสั้น ๆ สองสามครั้งจากนั้นก็กลับมาประคองตัวเองได้อีกครั้ง ดูเหมือนว่าการต่อสู้ที่ทำให้เขาเดือดดาลเลือดพุ่งพล่านก่อนหน้านี้เป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นได้โดยไม่เข้าใครออกใคร

  “นายกล้ามาอยู่ข้าง ๆ ฉัน นายคงเป็นคนมาใหม่สินะ นายถึงได้ไม่รู้จักฉัน” เรย์มอนด์เหลือบมองไปที่ไป๋อี้ที่เตี้ยกว่าตัวเองหนึ่งเมตร

  “ใช่ ฉันเป็นคนที่มาใหม่จริง ๆ นั่นแหละ แต่ฉันรู้จักนาย ฉันถามคนที่นั่นเมื่อกี้นี้” ไป๋อี้ชี้ไปที่อีกด้านหนึ่งที่มีชายสามคนยืนอยู่  “ฉันแค่อยากเห็นว่านายเป็นคนยังไงและถ้าฉันเห็นว่าเหมาะสมฉันก็อยากจะเชิญนายเข้าร่วมทีมของฉัน”

  “ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!” เรย์มอนด์ผงะเมื่อได้ยินคำพูดนั้นจากนั้นก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังลั่น “อยากเชิญฉันเข้าทีมนายอย่างนั้นเหรอ?” เรย์มอนด์มองไปที่ไป๋อี้และเงยหน้าขึ้นมอง ตอนนี้ไป๋อี้ก็ไม่ต่างจากมนุษย์ปกติทั่วไปยกเว้นก็แต่ขนปุยสีสันสดเล็ก ๆ น้อย ๆ บนใบหน้าของเขาเพียงเท่านั้น นอกจากนี้แล้วเขาก็ไม่มีลักษณะทางชีววิทยาของสิ่งมีชีวิตชนิดอื่น ๆ เลย

  “ไม่เอาน่า” ไป๋อี้มองเรย์มอนด์อย่างไม่เกรงกลัว

  “เฮ้!” เรย์มอนด์แสยะยิ้มอย่างน่าเกรงขาม “ได้แน่นอน ถ้าหากว่านายสามารถเอาชนะฉันบนเวทีได้ แต่ฉันอยากจะเตือนนายไว้ว่าฉันจะไม่แข่งขันในรูปแบบการแสดงกายกรรมเหมือนสองคนนั้นหรอกนะ ถ้านายไม่มีศักยภาพพอ ฉันจะฆ่านายทันที” ตอนนี้เรย์มอนด์โหดเหี้ยมมากจริง ๆ แต่ไป๋อี้สามารถมองออกได้ว่าผู้ชายประเภทนี้เป็นคนที่ค่อนข้างตรงไปตรงมาและมีแผนการในใจอันแยบยล

  “ตกลง!” ไป๋อี้พยักหน้ารับ

  “นายพูดจริงเหรอ” ใบหน้าของเรย์มอนด์เปลี่ยนไปก่อนจะมองไปที่ไป๋อี้

  “แน่นอน ฉันพูดจริง นายคิดว่าฉันมาหานายเพียงแค่มาพูดล้อเล่นกับนายอย่างนั้นเหรอ” ไป๋อี้พูดและเดินขึ้นเวทีทันที ในตอนนี้การต่อสู้บนเวทีสิ้นสุดลงแล้ว การต่อสู้ของทั้งสองฝ่ายเป็นที่พออกพอใจมาก เพราะคนหนึ่งก็ได้พบเพื่อนร่วมทีมที่ดี ส่วนอีกคนหนึ่งก็ได้เจอทีมที่ดีเช่นกัน

  ในเวลานี้ ฝูงชนที่เริ่มสงบลงทันใดที่พวกเขาเห็นอีกคนหนึ่งเดินขึ้นมาบนเวที พวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะจับจ้องอีกครั้ง

  “มาเลย!” ไป๋อี้มองไปที่เรย์มอนด์ท่ามกลางกลุ่มฝูงชนและกล่าวคำเชื้อเชิญ

  “ฮ้า ~!” เรย์มอนด์รู้สึกขบขันกับอากัปกิริยาของไป๋อี้ ปากของเขาเผยอขึ้นเล็กน้อยเผยให้เห็นรอยยิ้มที่น่ากลัว ผู้ชายคนนี้จะทำให้ดูว่าฉายานักรบบ้าดีเดือดได้มาอย่างไร คนอื่น ๆ ไม่สนใจไป๋อี้ในตอนแรก แต่เมื่อพวกเขาเห็นเรย์มอนด์ขึ้นมาบนเวที พวกเขาต่างก็ตระหนกตกใจและตื่นเต้นเป็นอย่างมาก ใครบางคนต้องการต่อสู้กับเรย์มอนด์ ผู้ชายคนนั้นคือใครกัน?

  ที่ข้างล่างเวทีเฮลัวส์และคนในทีมต่างก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย ไป๋อี้อยู่บนเวทีนั่น ไม่ใช่ว่าเขานั่งอยู่ตรงนั้นเหรอ ทำไมจู่ ๆ เขาถึงมาอยู่ที่นี่อย่างกะทันหันแบบนี้ แล้วนั่นมนุษย์หมาป่าคนนั้นคือใคร ดูเหมือนเขาจะมีชื่อเสียงมาก ณ ที่แห่งนี้

  หลังจากที่เรย์มอนด์ขึ้นเวทีเขาก็ดึงกระดูกจากหลังของเขาออกมาแล้วกระแทกลงกับพื้นด้วยเสียงหนักอึ้ง จนสามารถจินตนาการได้ถึงความทรงพลังของเขา ไป๋อี้ไม่ไหวติง ดูเหมือนว่าชายคนนี้จะมีพละกำลังที่ทรงพลังพอ ๆ กับวูล์ฟ เขาอาจจะได้รับการผสานรวมกับยีนของมดก็เป็นได้

  ไป๋อี้ชักดาบเขี้ยวของเขาออกมาในแนวทแยงมุม ทันใดนั้นรูม่านตาของเขาก็เปลี่ยนไปทันที โดยปรากฏเป็นม่านตาบุษบาผกผันขั้นแรก!

  แม้ว่าเสียงเชียร์โห่ร้องที่อยู่ข้าง ๆ พวกเขายังคงกู่ก้องตื่นเต้นกันอยู่ แต่ทว่าเรย์มอนด์ที่ยืนอยู่ตรงข้ามไป๋อี้กลับรู้สึกประหม่าขึ้นมาทันที ความรู้สึกนี้เหมือนกับตอนที่เขาเผชิญหน้ากับสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ที่ทรงพลัง เขารู้สึกถึงความตึงเครียดและกดดันอย่างอธิบายไม่ถูก ผู้ชายคนนี้ดูร้ายกาจมากกว่าที่มองเห็นแค่ผิวเผิน

  อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้ก็เพียงพอแล้วที่จะกระตุ้นยั่วยุอารมณ์ของเขา!

  “ย๊ากกก ~!” ทันใดนั้นเรย์มอนด์ก็เงยหน้าขึ้นและคำรามออกมา ดวงตาของเขากลายเป็นสีแดงเล็กน้อย อีกทั้งเส้นขนทั่วร่างกายก็ค่อย ๆ พองออก ดูราวกับมนุษย์หมาป่าที่บ้าคลั่งจริง ๆ เรย์มอนด์ไม่ได้กล่าวคำเตือนใด ๆ เขาคว้าท่อนกระดูกและพุ่งเข้าหาไป๋อี้ซึ่ง ๆ หน้า

  ในสายตาของทุกคน เรย์มอนด์ปรี่ตรงไปยังไป๋อี้แทบจะในทันทีจากระยะห่างกว่า 20 เมตร

  เสียงดังโครมสนั่นหวั่นไหว!

  ดาบเขี้ยวของไป๋อี้กระแทกเข้ากับแกนกระดูกของเรย์มอนด์ จากนั้นก็หมุนเบนออกไป เรย์มอนด์สังเกตได้ทันทีว่าแกนกระดูกของเขาถูกกระแทกด้วยแรงและเบี่ยงเบนไปจากวิถีเดิม ในขณะนี้ร่างกายของไป๋อี้มีความผิดปกติไปเล็กน้อย ดาบเขี้ยวพุ่งไปที่บริเวณท้องน้อยของเขาทันที นี่ราวกับการฆ่าอย่างสงบนิ่ง เรย์มอนด์พองขนของเขาออกอย่างอดไม่ได้ จนขนลุกขนพองไปทั่ว ในตอนนี้เรย์มอนด์เริ่มจะคิดว่าไป๋อี้มาเพื่อฆ่าเขาโดยเจตนาแน่ ๆ

  เมื่อรู้สึกด้วยสัญชาตญาณถึงอันตราย เรย์มอนด์ก็รีบใช้มือซ้ายของเขาคว้าดาบเขี้ยวเอาไว้และในขณะเดียวกันก็หลบไปทางด้านหลัง

  เช้ง ทั้งสองฝ่ายต่างโซซัดโซเซ!

  มือซ้ายของเรย์มอนด์มีหยดเลือดไหลออกมาอย่างช้า ๆ เขาเพ่งมองไปที่ไป๋อี้อย่างเคร่งขรึม ในช่วงสุดท้ายพลังของไป๋อี้แผ่วลงมาก ไม่เช่นนั้นเขาคงจะไม่ได้มีเพียงแค่เลือดไหลออกมา แต่คงได้เสียมือซ้ายไปแล้วเป็นแน่

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

[นิยายแปล] มหาวิบัติยีนกลายพันธุ์ 134 นักรบบ้าดีเดือด

Now you are reading [นิยายแปล] มหาวิบัติยีนกลายพันธุ์ Chapter 134 นักรบบ้าดีเดือด at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

  หลังจากพูดคุยกันสักพักไป๋อี้ก็ได้เรียนรู้เรื่องราวมากมายเกี่ยวกับหุบเขาหิมะแห่งนี้จากทั้งสามคนและข้อมูลระดับลึกเหล่านี้ชัดเจนยิ่งกว่าที่ได้ยินมาจากปากคนธรรมดาทั่วไปเสียอีก ทันใดนั้นไป๋อี้ก็เห็นใครบางคนในฝูงชนกำลังเดินไปที่เวทีประลองตรงกลาง คนอื่น ๆ ต่างก็พากันสงสัยเป็นอย่างมาก จากนั้นผู้คนก็เข้ามามุงล้อมรอบ

  “นี่มันอะไรกันอีกแล้ว?”

  “โอ้ ดูเหมือนว่ามีกลุ่มทีมได้คัดเลือกผู้สมัครที่มีความสามารถและเตรียมพร้อมที่จะขึ้นเวทีเพื่อประลองการต่อสู้” เห็นได้ชัดว่าทั้งสามคนนี้มีความสนใจมากเช่นกัน แต่หน้าที่ของพวกเขาคือต้องอยู่ที่นี่ ดังนั้นจึงไม่สามารถไปดูได้

  “ประลองการต่อสู้?”

  “ใช่ ประลองการต่อสู้! ควรรู้ไว้ว่าสิ่งที่น่ากลัวที่สุดในตอนนี้นั่นคือการเข้าสู่ระยะดุร้ายรุนแรง ไม่ว่าเพื่อนร่วมทีมจะแข็งแกร่งมากแค่ไหนก็ตาม แต่หากเขาคนนั้นไม่สามารถข่มอารมณ์ของตัวเองได้เมื่อเข้าสู่การต่อสู้นั่นจะทำให้ง่ายต่อการเข้าสู่สภาวะดุร้ายคลุ้มคลั่ง ไม่ว่ากลุ่มทีมใดต่างก็ไม่ต้องการให้เกิดขึ้น การประลองนี้ไม่ใช่การต่อสู้ที่ดุเดือด แต่เป็นการต่อสู้ที่ให้คนรอบข้างตัดสินว่าทั้งสองฝ่ายสามารถครองสติตัวเองในการต่อสู้ได้หรือไม่” ผู้ชายที่อยู่ข้าง ๆ มีความกระตือรือร้นของความเป็นครูผู้สอนมาก เขาอดไม่ได้ที่จะอธิบายให้ไป๋อี้ฟัง

  “อย่างนี้เองเหรอ แล้วถ้าหากมีคนที่เข้าสู่สภาวะดุร้ายล่ะ?”

  “ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ได้แต่จับเขาไว้เท่านั้น เพื่อดูว่าเขาจะฟื้นคืนสติจากสภาวะดุร้ายได้หรือไม่ อย่างไรก็ตามแม้ว่าโดยทั่วไปแล้วเขาจะถูกจับและมัดไว้ แต่เมื่อเข้าสู้สภาวะดุร้ายในหมู่บ้านหุบเขาหิมะแห่งนี้ เขาอาจถูกฆ่าปลิดชีพได้ดื้อ ๆ เลย”

  “ฆ่าปลิดชีพ?”

  “ไม่มีทางเลือกนี่นา ถ้าคนผู้นั้นไม่ได้แข็งแกร่งมากและสามารถปราบได้ง่ายนั่นก็ไม่มีปัญหา แต่ถ้ามีความแข็งแกร่งสูงรวมทั้งมีพิษสงบางอย่าง เช่น สารพิษ ใครกันที่จะอยากเอาชีวิตมาเสี่ยงเพื่อปราบคนผู้นั้น ดังนั้นจึงฆ่าปลิดชีพโดยตรงเสียดีกว่า วิธีนี้เป็นวิธีที่ดีที่สุดดังนั้นหากคุณไม่แน่ใจก็ไม่ควรต่อสู้บนเวทีนี้จะดีกว่า มีกฎในหมู่บ้านหุบเขาหิมะที่ว่าหากมีคนเข้าสู่ระยะดุร้ายในหมู่บ้านหุบเขาหิมะ ไม่ว่าคนผู้นั้นจะเป็นใครก็ตาม คนอื่นสามารถฆ่าได้ทันที แน่นอนว่าโดยทั่วไปเราจะไม่ทำอย่างนั้นแน่นอน กลยุทธ์ที่รุนแรงแบบนั้นจะใช้เฉพาะเมื่อคู่ต่อสู้เป็นอันตรายเกินไป” ดูเหมือนว่าจะมีผู้มาใหม่อย่างไป๋อี้น้อยมากดังนั้นทั้งสามคนนี้จึงมีรายละเอียดมากมายที่ต้องพูดคุยกับไป๋อี้

  “จริงสิ มีคนคนหนึ่งในหุบเขาหิมะที่มีชื่อเสียงในเรื่องนี้นั่นคือนักรบบ้าดีเดือด!”

  “นักรบบ้าดีเดือดงั้นเหรอ?”

  “ใช่ ผู้ชายคนนั้นชื่อเรย์มอนด์ ให้ตายเขาก็ไม่ยอมรับการเข้าสภาวะดุร้าย เขากล่าวอ้างว่าตัวเองเป็นเหมือนนักรบบ้าดีเดือดในเกม ครั้งหนึ่งเขาเข้าสู่การต่อสู้จากนั้นเขาก็เข้าสู่สภาวะคลุ้มคลั่ง นั่นทำให้คนกลัวตายขึ้นมาทุกครั้ง แต่อย่างไรก็ตามทุกครั้งที่ดูเหมือนเขาไม่ได้เข้าสู่สภาวะดุร้ายเขาก็ยังมีตรรกะสติสัมปชัญญะดี ครั้นเมื่อมีบางคนวางแผนที่จะฆ่าผู้ชายคนนี้ ผู้ชายคนนี้ก็จะหยุดยั้งไว้ ศักยภาพของผู้ชายคนนี้ไม่เลวเลยจริง ๆ แต่ไม่เคยมีทีมใดกล้าขอให้เขาเข้าร่วมเพราะเขาเป็นเหมือนระเบิดเวลา” อีกคนกล่าวเสริม

  “นักรบบ้าดีเดือดอย่างนั้นเหรอ” ไป๋อี้เริ่มสนใจมากขึ้น ในสภาวะดุร้าย ทีมอื่น ๆ อาจจะไม่สามารถช่วยเรียกคืนสติเขาได้ แต่ถ้าชายคนนั้นเข้าสู่ทีมของไป๋อี้เรื่องนั้นก็จะไม่มีปัญหาเลย

  “นิสัยใจคอโดยปกติของเขาเป็นอย่างไรเหรอ?” ไป๋อี้ถามอีกครั้ง

  “โอเคเลยล่ะ เขาหยาบคายเล็กน้อย ถึงฉันจะไม่เคยได้ยินว่าเขามีความขัดแย้งกับใคร แต่ก็ไม่มีทีมไหนต้องการเขา บางครั้งเขาจะออกไปล่าเหยื่อขนาดเล็กหรืออะไรบางอย่าง และแม้ว่าเขาจะได้รับบาดเจ็บอยู่หลายครั้ง แต่ทุกครั้งที่เขากลับมาเขาก็ยังมีชีวิตรอดทุกครั้ง ชะตาชีวิตเขานับว่าค่อนข้างแข็งแกร่งทีเดียว”

  “อย่างนี้เองหรอกเหรอ ไม่ทราบว่าชายนักรบบ้าดีเดือดคนนั้นอยู่ที่ไหน เขาอยู่ในจตุรัสแห่งนี้หรือเปล่า”

  “เปล่า นั่น!”

  อีกคนชี้ไปที่ขอบของเวทีทันที เขาเป็นชายที่สูงกว่าสามเมตรมีรูปร่างราวกับมนุษย์หมาป่า ผู้ชายคนนี้ดูแข็งแกร่งมาก มีเพียงหนังสัตว์ที่ไม่รู้ว่าเป็นสัตว์ประเภทใดล้อมรอบร่างกายส่วนล่างของเขา และมีกระดูกขนาดใหญ่อยู่ที่หลัง สีหน้าของเขาดูตื่นเต้นมากและดูเหมือนว่าเขาจะตื่นเต้นมากกว่าคู่ต่อสู้ทั้งสองคนที่อยู่ตรงกลางเวทีเสียอีก คนข้าง ๆ เขาดูเหมือนจะรู้จักชายผู้นี้ดี พวกเขาต่างพากันถอยห่างออกมาเล็กน้อย

  “ขอบคุณมากนะสำหรับข่าวสาร ฉันคิดว่าจะลองดู”

  ไป๋อี้พูดและหยิบชิ้นส่วนเนื้อแห้งขนาดเท่าฝ่ามือสามชิ้นออกมาจากกระเป๋าหนังที่อยู่ข้างพูพู เนื้อแห้งนี้เป็นอาหารที่ไป๋อี้ทำขึ้นมาเองและมันก็มีรสชาติไม่เลวเลยทีเดียว เมื่อพวกเขาทั้งสามเห็นเนื้อแห้งที่ไป๋อี้ส่งมาพวกเขาก็ไม่ได้ปฏิเสธ แม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะยังไม่หิว แต่เนื้อสัตว์ก็ค่อนข้างหายากในระแวกนี้

  “พูพู ลุกขึ้น เราไปดูกันเถอะ”

  “พูพู ~ พู๊!” พูพูสะบัดหูสองครั้งอย่างขี้เกียจที่จะสนใจไป๋อี้ ไป๋อี้จึงเตะไปที่ก้นเจ้าหมู แต่มันก็ยังไม่อยากขยับไปไหนและเอาแต่ทำท่าทางเฉื่อยชา

  “ฉันทำอะไรแกไม่ได้จริง ๆ ช่วยดูเขาหน่อยนะ เขาจะไม่สร้างปัญหาอย่างแน่นอน” ไป๋อี้พูดกับทีมชายสามคนที่อยู่ใกล้ ๆ

  “OK OK ไม่มีปัญหา” ทั้งสามคนเพิ่งได้รับเนื้อแห้งชิ้นใหญ่จากไป๋อี้มา แน่นอนว่าพวกเขาคงจะไม่ปฏิเสธเป็นแน่ อย่างไรก็ตามพวกเขาทั้งสามคนมีความฉงนเล็กน้อย ดูเหมือนว่าทีมนี้จะผสมกลมกลืนเข้ากันเป็นอย่างดี มีสัตว์เลี้ยงสามตัว ทั้งยังมีหมูอ้วนอีกด้วย ถ้ามันไปอยู่ในทีมอื่นคาดว่ามันคงกลายเป็นอาหารไปนานแล้วล่ะ

  ไป๋อี้สนใจเรย์มอนด์ผู้บ้าดีเดือดคนนี้ ถ้าผู้ชายคนนี้มีศักยภาพที่ดีจริง ๆ เขาก็อาจถูกคัดเลือกเข้าร่วมทีมได้

  ไป๋อี้เดินตรงมาที่ด้านข้างของเรย์มอนด์ อย่างไรก็ตามไม่มีใครอยู่รอบข้างเรย์มอนด์เลย ร่างกายของเรย์มอนด์กระชับขึ้นเล็กน้อยเมื่อไป๋อี้เข้ามาใกล้ เขาค่อนข้างมีชื่อเสียงในหุบเขาหิมะและคนงี่เง่าเหล่านั้นก็กลัวที่จะเข้าใกล้เขา อย่างไรก็ตามหลังจากเห็นท่าทางแปลกๆของไป๋อี้เรย์มอนด์ก็ไม่ได้ให้ความสนใจ เรย์มอนด์คาดว่าเขาคงเพิ่งมาที่หุบเขาหิมะ อีกทั้งเขาเองก็ไม่รู้ชื่อของคนที่เข้ามาใกล้

  “นายคิดยังไงกับการต่อสู้แบบนี้” ไป๋อี้ถามเรย์มอนด์ที่อยู่ข้าง ๆ

  “เอ๋?”

  “ฉันถามว่านายคิดยังไงกับการต่อสู้เช่นนี้” ไป๋อี้พูดเสียงดังขึ้นท่ามกลางฝูงชนที่คึกคะนอง

  “ก็ มันเป็นแค่การแสดงกายกรรมเท่านั้น การต่อสู้ข้างนอกเปรียบได้กับการแสดงแบบนี้ซะที่ไหนกัน การต่อสู้แบบนี้ไม่มีความรู้สึกของเลือดที่พุ่งออกมาระหว่างชีวิตและความตาย” เรย์มอนด์สูดลมหายใจสั้น ๆ สองสามครั้งจากนั้นก็กลับมาประคองตัวเองได้อีกครั้ง ดูเหมือนว่าการต่อสู้ที่ทำให้เขาเดือดดาลเลือดพุ่งพล่านก่อนหน้านี้เป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นได้โดยไม่เข้าใครออกใคร

  “นายกล้ามาอยู่ข้าง ๆ ฉัน นายคงเป็นคนมาใหม่สินะ นายถึงได้ไม่รู้จักฉัน” เรย์มอนด์เหลือบมองไปที่ไป๋อี้ที่เตี้ยกว่าตัวเองหนึ่งเมตร

  “ใช่ ฉันเป็นคนที่มาใหม่จริง ๆ นั่นแหละ แต่ฉันรู้จักนาย ฉันถามคนที่นั่นเมื่อกี้นี้” ไป๋อี้ชี้ไปที่อีกด้านหนึ่งที่มีชายสามคนยืนอยู่  “ฉันแค่อยากเห็นว่านายเป็นคนยังไงและถ้าฉันเห็นว่าเหมาะสมฉันก็อยากจะเชิญนายเข้าร่วมทีมของฉัน”

  “ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!” เรย์มอนด์ผงะเมื่อได้ยินคำพูดนั้นจากนั้นก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังลั่น “อยากเชิญฉันเข้าทีมนายอย่างนั้นเหรอ?” เรย์มอนด์มองไปที่ไป๋อี้และเงยหน้าขึ้นมอง ตอนนี้ไป๋อี้ก็ไม่ต่างจากมนุษย์ปกติทั่วไปยกเว้นก็แต่ขนปุยสีสันสดเล็ก ๆ น้อย ๆ บนใบหน้าของเขาเพียงเท่านั้น นอกจากนี้แล้วเขาก็ไม่มีลักษณะทางชีววิทยาของสิ่งมีชีวิตชนิดอื่น ๆ เลย

  “ไม่เอาน่า” ไป๋อี้มองเรย์มอนด์อย่างไม่เกรงกลัว

  “เฮ้!” เรย์มอนด์แสยะยิ้มอย่างน่าเกรงขาม “ได้แน่นอน ถ้าหากว่านายสามารถเอาชนะฉันบนเวทีได้ แต่ฉันอยากจะเตือนนายไว้ว่าฉันจะไม่แข่งขันในรูปแบบการแสดงกายกรรมเหมือนสองคนนั้นหรอกนะ ถ้านายไม่มีศักยภาพพอ ฉันจะฆ่านายทันที” ตอนนี้เรย์มอนด์โหดเหี้ยมมากจริง ๆ แต่ไป๋อี้สามารถมองออกได้ว่าผู้ชายประเภทนี้เป็นคนที่ค่อนข้างตรงไปตรงมาและมีแผนการในใจอันแยบยล

  “ตกลง!” ไป๋อี้พยักหน้ารับ

  “นายพูดจริงเหรอ” ใบหน้าของเรย์มอนด์เปลี่ยนไปก่อนจะมองไปที่ไป๋อี้

  “แน่นอน ฉันพูดจริง นายคิดว่าฉันมาหานายเพียงแค่มาพูดล้อเล่นกับนายอย่างนั้นเหรอ” ไป๋อี้พูดและเดินขึ้นเวทีทันที ในตอนนี้การต่อสู้บนเวทีสิ้นสุดลงแล้ว การต่อสู้ของทั้งสองฝ่ายเป็นที่พออกพอใจมาก เพราะคนหนึ่งก็ได้พบเพื่อนร่วมทีมที่ดี ส่วนอีกคนหนึ่งก็ได้เจอทีมที่ดีเช่นกัน

  ในเวลานี้ ฝูงชนที่เริ่มสงบลงทันใดที่พวกเขาเห็นอีกคนหนึ่งเดินขึ้นมาบนเวที พวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะจับจ้องอีกครั้ง

  “มาเลย!” ไป๋อี้มองไปที่เรย์มอนด์ท่ามกลางกลุ่มฝูงชนและกล่าวคำเชื้อเชิญ

  “ฮ้า ~!” เรย์มอนด์รู้สึกขบขันกับอากัปกิริยาของไป๋อี้ ปากของเขาเผยอขึ้นเล็กน้อยเผยให้เห็นรอยยิ้มที่น่ากลัว ผู้ชายคนนี้จะทำให้ดูว่าฉายานักรบบ้าดีเดือดได้มาอย่างไร คนอื่น ๆ ไม่สนใจไป๋อี้ในตอนแรก แต่เมื่อพวกเขาเห็นเรย์มอนด์ขึ้นมาบนเวที พวกเขาต่างก็ตระหนกตกใจและตื่นเต้นเป็นอย่างมาก ใครบางคนต้องการต่อสู้กับเรย์มอนด์ ผู้ชายคนนั้นคือใครกัน?

  ที่ข้างล่างเวทีเฮลัวส์และคนในทีมต่างก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย ไป๋อี้อยู่บนเวทีนั่น ไม่ใช่ว่าเขานั่งอยู่ตรงนั้นเหรอ ทำไมจู่ ๆ เขาถึงมาอยู่ที่นี่อย่างกะทันหันแบบนี้ แล้วนั่นมนุษย์หมาป่าคนนั้นคือใคร ดูเหมือนเขาจะมีชื่อเสียงมาก ณ ที่แห่งนี้

  หลังจากที่เรย์มอนด์ขึ้นเวทีเขาก็ดึงกระดูกจากหลังของเขาออกมาแล้วกระแทกลงกับพื้นด้วยเสียงหนักอึ้ง จนสามารถจินตนาการได้ถึงความทรงพลังของเขา ไป๋อี้ไม่ไหวติง ดูเหมือนว่าชายคนนี้จะมีพละกำลังที่ทรงพลังพอ ๆ กับวูล์ฟ เขาอาจจะได้รับการผสานรวมกับยีนของมดก็เป็นได้

  ไป๋อี้ชักดาบเขี้ยวของเขาออกมาในแนวทแยงมุม ทันใดนั้นรูม่านตาของเขาก็เปลี่ยนไปทันที โดยปรากฏเป็นม่านตาบุษบาผกผันขั้นแรก!

  แม้ว่าเสียงเชียร์โห่ร้องที่อยู่ข้าง ๆ พวกเขายังคงกู่ก้องตื่นเต้นกันอยู่ แต่ทว่าเรย์มอนด์ที่ยืนอยู่ตรงข้ามไป๋อี้กลับรู้สึกประหม่าขึ้นมาทันที ความรู้สึกนี้เหมือนกับตอนที่เขาเผชิญหน้ากับสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ที่ทรงพลัง เขารู้สึกถึงความตึงเครียดและกดดันอย่างอธิบายไม่ถูก ผู้ชายคนนี้ดูร้ายกาจมากกว่าที่มองเห็นแค่ผิวเผิน

  อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้ก็เพียงพอแล้วที่จะกระตุ้นยั่วยุอารมณ์ของเขา!

  “ย๊ากกก ~!” ทันใดนั้นเรย์มอนด์ก็เงยหน้าขึ้นและคำรามออกมา ดวงตาของเขากลายเป็นสีแดงเล็กน้อย อีกทั้งเส้นขนทั่วร่างกายก็ค่อย ๆ พองออก ดูราวกับมนุษย์หมาป่าที่บ้าคลั่งจริง ๆ เรย์มอนด์ไม่ได้กล่าวคำเตือนใด ๆ เขาคว้าท่อนกระดูกและพุ่งเข้าหาไป๋อี้ซึ่ง ๆ หน้า

  ในสายตาของทุกคน เรย์มอนด์ปรี่ตรงไปยังไป๋อี้แทบจะในทันทีจากระยะห่างกว่า 20 เมตร

  เสียงดังโครมสนั่นหวั่นไหว!

  ดาบเขี้ยวของไป๋อี้กระแทกเข้ากับแกนกระดูกของเรย์มอนด์ จากนั้นก็หมุนเบนออกไป เรย์มอนด์สังเกตได้ทันทีว่าแกนกระดูกของเขาถูกกระแทกด้วยแรงและเบี่ยงเบนไปจากวิถีเดิม ในขณะนี้ร่างกายของไป๋อี้มีความผิดปกติไปเล็กน้อย ดาบเขี้ยวพุ่งไปที่บริเวณท้องน้อยของเขาทันที นี่ราวกับการฆ่าอย่างสงบนิ่ง เรย์มอนด์พองขนของเขาออกอย่างอดไม่ได้ จนขนลุกขนพองไปทั่ว ในตอนนี้เรย์มอนด์เริ่มจะคิดว่าไป๋อี้มาเพื่อฆ่าเขาโดยเจตนาแน่ ๆ

  เมื่อรู้สึกด้วยสัญชาตญาณถึงอันตราย เรย์มอนด์ก็รีบใช้มือซ้ายของเขาคว้าดาบเขี้ยวเอาไว้และในขณะเดียวกันก็หลบไปทางด้านหลัง

  เช้ง ทั้งสองฝ่ายต่างโซซัดโซเซ!

  มือซ้ายของเรย์มอนด์มีหยดเลือดไหลออกมาอย่างช้า ๆ เขาเพ่งมองไปที่ไป๋อี้อย่างเคร่งขรึม ในช่วงสุดท้ายพลังของไป๋อี้แผ่วลงมาก ไม่เช่นนั้นเขาคงจะไม่ได้มีเพียงแค่เลือดไหลออกมา แต่คงได้เสียมือซ้ายไปแล้วเป็นแน่

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

[นิยายแปล] มหาวิบัติยีนกลายพันธุ์ 134 นักรบบ้าดีเดือด

Now you are reading [นิยายแปล] มหาวิบัติยีนกลายพันธุ์ Chapter 134 นักรบบ้าดีเดือด at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

  หลังจากพูดคุยกันสักพักไป๋อี้ก็ได้เรียนรู้เรื่องราวมากมายเกี่ยวกับหุบเขาหิมะแห่งนี้จากทั้งสามคนและข้อมูลระดับลึกเหล่านี้ชัดเจนยิ่งกว่าที่ได้ยินมาจากปากคนธรรมดาทั่วไปเสียอีก ทันใดนั้นไป๋อี้ก็เห็นใครบางคนในฝูงชนกำลังเดินไปที่เวทีประลองตรงกลาง คนอื่น ๆ ต่างก็พากันสงสัยเป็นอย่างมาก จากนั้นผู้คนก็เข้ามามุงล้อมรอบ

  “นี่มันอะไรกันอีกแล้ว?”

  “โอ้ ดูเหมือนว่ามีกลุ่มทีมได้คัดเลือกผู้สมัครที่มีความสามารถและเตรียมพร้อมที่จะขึ้นเวทีเพื่อประลองการต่อสู้” เห็นได้ชัดว่าทั้งสามคนนี้มีความสนใจมากเช่นกัน แต่หน้าที่ของพวกเขาคือต้องอยู่ที่นี่ ดังนั้นจึงไม่สามารถไปดูได้

  “ประลองการต่อสู้?”

  “ใช่ ประลองการต่อสู้! ควรรู้ไว้ว่าสิ่งที่น่ากลัวที่สุดในตอนนี้นั่นคือการเข้าสู่ระยะดุร้ายรุนแรง ไม่ว่าเพื่อนร่วมทีมจะแข็งแกร่งมากแค่ไหนก็ตาม แต่หากเขาคนนั้นไม่สามารถข่มอารมณ์ของตัวเองได้เมื่อเข้าสู่การต่อสู้นั่นจะทำให้ง่ายต่อการเข้าสู่สภาวะดุร้ายคลุ้มคลั่ง ไม่ว่ากลุ่มทีมใดต่างก็ไม่ต้องการให้เกิดขึ้น การประลองนี้ไม่ใช่การต่อสู้ที่ดุเดือด แต่เป็นการต่อสู้ที่ให้คนรอบข้างตัดสินว่าทั้งสองฝ่ายสามารถครองสติตัวเองในการต่อสู้ได้หรือไม่” ผู้ชายที่อยู่ข้าง ๆ มีความกระตือรือร้นของความเป็นครูผู้สอนมาก เขาอดไม่ได้ที่จะอธิบายให้ไป๋อี้ฟัง

  “อย่างนี้เองเหรอ แล้วถ้าหากมีคนที่เข้าสู่สภาวะดุร้ายล่ะ?”

  “ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ได้แต่จับเขาไว้เท่านั้น เพื่อดูว่าเขาจะฟื้นคืนสติจากสภาวะดุร้ายได้หรือไม่ อย่างไรก็ตามแม้ว่าโดยทั่วไปแล้วเขาจะถูกจับและมัดไว้ แต่เมื่อเข้าสู้สภาวะดุร้ายในหมู่บ้านหุบเขาหิมะแห่งนี้ เขาอาจถูกฆ่าปลิดชีพได้ดื้อ ๆ เลย”

  “ฆ่าปลิดชีพ?”

  “ไม่มีทางเลือกนี่นา ถ้าคนผู้นั้นไม่ได้แข็งแกร่งมากและสามารถปราบได้ง่ายนั่นก็ไม่มีปัญหา แต่ถ้ามีความแข็งแกร่งสูงรวมทั้งมีพิษสงบางอย่าง เช่น สารพิษ ใครกันที่จะอยากเอาชีวิตมาเสี่ยงเพื่อปราบคนผู้นั้น ดังนั้นจึงฆ่าปลิดชีพโดยตรงเสียดีกว่า วิธีนี้เป็นวิธีที่ดีที่สุดดังนั้นหากคุณไม่แน่ใจก็ไม่ควรต่อสู้บนเวทีนี้จะดีกว่า มีกฎในหมู่บ้านหุบเขาหิมะที่ว่าหากมีคนเข้าสู่ระยะดุร้ายในหมู่บ้านหุบเขาหิมะ ไม่ว่าคนผู้นั้นจะเป็นใครก็ตาม คนอื่นสามารถฆ่าได้ทันที แน่นอนว่าโดยทั่วไปเราจะไม่ทำอย่างนั้นแน่นอน กลยุทธ์ที่รุนแรงแบบนั้นจะใช้เฉพาะเมื่อคู่ต่อสู้เป็นอันตรายเกินไป” ดูเหมือนว่าจะมีผู้มาใหม่อย่างไป๋อี้น้อยมากดังนั้นทั้งสามคนนี้จึงมีรายละเอียดมากมายที่ต้องพูดคุยกับไป๋อี้

  “จริงสิ มีคนคนหนึ่งในหุบเขาหิมะที่มีชื่อเสียงในเรื่องนี้นั่นคือนักรบบ้าดีเดือด!”

  “นักรบบ้าดีเดือดงั้นเหรอ?”

  “ใช่ ผู้ชายคนนั้นชื่อเรย์มอนด์ ให้ตายเขาก็ไม่ยอมรับการเข้าสภาวะดุร้าย เขากล่าวอ้างว่าตัวเองเป็นเหมือนนักรบบ้าดีเดือดในเกม ครั้งหนึ่งเขาเข้าสู่การต่อสู้จากนั้นเขาก็เข้าสู่สภาวะคลุ้มคลั่ง นั่นทำให้คนกลัวตายขึ้นมาทุกครั้ง แต่อย่างไรก็ตามทุกครั้งที่ดูเหมือนเขาไม่ได้เข้าสู่สภาวะดุร้ายเขาก็ยังมีตรรกะสติสัมปชัญญะดี ครั้นเมื่อมีบางคนวางแผนที่จะฆ่าผู้ชายคนนี้ ผู้ชายคนนี้ก็จะหยุดยั้งไว้ ศักยภาพของผู้ชายคนนี้ไม่เลวเลยจริง ๆ แต่ไม่เคยมีทีมใดกล้าขอให้เขาเข้าร่วมเพราะเขาเป็นเหมือนระเบิดเวลา” อีกคนกล่าวเสริม

  “นักรบบ้าดีเดือดอย่างนั้นเหรอ” ไป๋อี้เริ่มสนใจมากขึ้น ในสภาวะดุร้าย ทีมอื่น ๆ อาจจะไม่สามารถช่วยเรียกคืนสติเขาได้ แต่ถ้าชายคนนั้นเข้าสู่ทีมของไป๋อี้เรื่องนั้นก็จะไม่มีปัญหาเลย

  “นิสัยใจคอโดยปกติของเขาเป็นอย่างไรเหรอ?” ไป๋อี้ถามอีกครั้ง

  “โอเคเลยล่ะ เขาหยาบคายเล็กน้อย ถึงฉันจะไม่เคยได้ยินว่าเขามีความขัดแย้งกับใคร แต่ก็ไม่มีทีมไหนต้องการเขา บางครั้งเขาจะออกไปล่าเหยื่อขนาดเล็กหรืออะไรบางอย่าง และแม้ว่าเขาจะได้รับบาดเจ็บอยู่หลายครั้ง แต่ทุกครั้งที่เขากลับมาเขาก็ยังมีชีวิตรอดทุกครั้ง ชะตาชีวิตเขานับว่าค่อนข้างแข็งแกร่งทีเดียว”

  “อย่างนี้เองหรอกเหรอ ไม่ทราบว่าชายนักรบบ้าดีเดือดคนนั้นอยู่ที่ไหน เขาอยู่ในจตุรัสแห่งนี้หรือเปล่า”

  “เปล่า นั่น!”

  อีกคนชี้ไปที่ขอบของเวทีทันที เขาเป็นชายที่สูงกว่าสามเมตรมีรูปร่างราวกับมนุษย์หมาป่า ผู้ชายคนนี้ดูแข็งแกร่งมาก มีเพียงหนังสัตว์ที่ไม่รู้ว่าเป็นสัตว์ประเภทใดล้อมรอบร่างกายส่วนล่างของเขา และมีกระดูกขนาดใหญ่อยู่ที่หลัง สีหน้าของเขาดูตื่นเต้นมากและดูเหมือนว่าเขาจะตื่นเต้นมากกว่าคู่ต่อสู้ทั้งสองคนที่อยู่ตรงกลางเวทีเสียอีก คนข้าง ๆ เขาดูเหมือนจะรู้จักชายผู้นี้ดี พวกเขาต่างพากันถอยห่างออกมาเล็กน้อย

  “ขอบคุณมากนะสำหรับข่าวสาร ฉันคิดว่าจะลองดู”

  ไป๋อี้พูดและหยิบชิ้นส่วนเนื้อแห้งขนาดเท่าฝ่ามือสามชิ้นออกมาจากกระเป๋าหนังที่อยู่ข้างพูพู เนื้อแห้งนี้เป็นอาหารที่ไป๋อี้ทำขึ้นมาเองและมันก็มีรสชาติไม่เลวเลยทีเดียว เมื่อพวกเขาทั้งสามเห็นเนื้อแห้งที่ไป๋อี้ส่งมาพวกเขาก็ไม่ได้ปฏิเสธ แม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะยังไม่หิว แต่เนื้อสัตว์ก็ค่อนข้างหายากในระแวกนี้

  “พูพู ลุกขึ้น เราไปดูกันเถอะ”

  “พูพู ~ พู๊!” พูพูสะบัดหูสองครั้งอย่างขี้เกียจที่จะสนใจไป๋อี้ ไป๋อี้จึงเตะไปที่ก้นเจ้าหมู แต่มันก็ยังไม่อยากขยับไปไหนและเอาแต่ทำท่าทางเฉื่อยชา

  “ฉันทำอะไรแกไม่ได้จริง ๆ ช่วยดูเขาหน่อยนะ เขาจะไม่สร้างปัญหาอย่างแน่นอน” ไป๋อี้พูดกับทีมชายสามคนที่อยู่ใกล้ ๆ

  “OK OK ไม่มีปัญหา” ทั้งสามคนเพิ่งได้รับเนื้อแห้งชิ้นใหญ่จากไป๋อี้มา แน่นอนว่าพวกเขาคงจะไม่ปฏิเสธเป็นแน่ อย่างไรก็ตามพวกเขาทั้งสามคนมีความฉงนเล็กน้อย ดูเหมือนว่าทีมนี้จะผสมกลมกลืนเข้ากันเป็นอย่างดี มีสัตว์เลี้ยงสามตัว ทั้งยังมีหมูอ้วนอีกด้วย ถ้ามันไปอยู่ในทีมอื่นคาดว่ามันคงกลายเป็นอาหารไปนานแล้วล่ะ

  ไป๋อี้สนใจเรย์มอนด์ผู้บ้าดีเดือดคนนี้ ถ้าผู้ชายคนนี้มีศักยภาพที่ดีจริง ๆ เขาก็อาจถูกคัดเลือกเข้าร่วมทีมได้

  ไป๋อี้เดินตรงมาที่ด้านข้างของเรย์มอนด์ อย่างไรก็ตามไม่มีใครอยู่รอบข้างเรย์มอนด์เลย ร่างกายของเรย์มอนด์กระชับขึ้นเล็กน้อยเมื่อไป๋อี้เข้ามาใกล้ เขาค่อนข้างมีชื่อเสียงในหุบเขาหิมะและคนงี่เง่าเหล่านั้นก็กลัวที่จะเข้าใกล้เขา อย่างไรก็ตามหลังจากเห็นท่าทางแปลกๆของไป๋อี้เรย์มอนด์ก็ไม่ได้ให้ความสนใจ เรย์มอนด์คาดว่าเขาคงเพิ่งมาที่หุบเขาหิมะ อีกทั้งเขาเองก็ไม่รู้ชื่อของคนที่เข้ามาใกล้

  “นายคิดยังไงกับการต่อสู้แบบนี้” ไป๋อี้ถามเรย์มอนด์ที่อยู่ข้าง ๆ

  “เอ๋?”

  “ฉันถามว่านายคิดยังไงกับการต่อสู้เช่นนี้” ไป๋อี้พูดเสียงดังขึ้นท่ามกลางฝูงชนที่คึกคะนอง

  “ก็ มันเป็นแค่การแสดงกายกรรมเท่านั้น การต่อสู้ข้างนอกเปรียบได้กับการแสดงแบบนี้ซะที่ไหนกัน การต่อสู้แบบนี้ไม่มีความรู้สึกของเลือดที่พุ่งออกมาระหว่างชีวิตและความตาย” เรย์มอนด์สูดลมหายใจสั้น ๆ สองสามครั้งจากนั้นก็กลับมาประคองตัวเองได้อีกครั้ง ดูเหมือนว่าการต่อสู้ที่ทำให้เขาเดือดดาลเลือดพุ่งพล่านก่อนหน้านี้เป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นได้โดยไม่เข้าใครออกใคร

  “นายกล้ามาอยู่ข้าง ๆ ฉัน นายคงเป็นคนมาใหม่สินะ นายถึงได้ไม่รู้จักฉัน” เรย์มอนด์เหลือบมองไปที่ไป๋อี้ที่เตี้ยกว่าตัวเองหนึ่งเมตร

  “ใช่ ฉันเป็นคนที่มาใหม่จริง ๆ นั่นแหละ แต่ฉันรู้จักนาย ฉันถามคนที่นั่นเมื่อกี้นี้” ไป๋อี้ชี้ไปที่อีกด้านหนึ่งที่มีชายสามคนยืนอยู่  “ฉันแค่อยากเห็นว่านายเป็นคนยังไงและถ้าฉันเห็นว่าเหมาะสมฉันก็อยากจะเชิญนายเข้าร่วมทีมของฉัน”

  “ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!” เรย์มอนด์ผงะเมื่อได้ยินคำพูดนั้นจากนั้นก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังลั่น “อยากเชิญฉันเข้าทีมนายอย่างนั้นเหรอ?” เรย์มอนด์มองไปที่ไป๋อี้และเงยหน้าขึ้นมอง ตอนนี้ไป๋อี้ก็ไม่ต่างจากมนุษย์ปกติทั่วไปยกเว้นก็แต่ขนปุยสีสันสดเล็ก ๆ น้อย ๆ บนใบหน้าของเขาเพียงเท่านั้น นอกจากนี้แล้วเขาก็ไม่มีลักษณะทางชีววิทยาของสิ่งมีชีวิตชนิดอื่น ๆ เลย

  “ไม่เอาน่า” ไป๋อี้มองเรย์มอนด์อย่างไม่เกรงกลัว

  “เฮ้!” เรย์มอนด์แสยะยิ้มอย่างน่าเกรงขาม “ได้แน่นอน ถ้าหากว่านายสามารถเอาชนะฉันบนเวทีได้ แต่ฉันอยากจะเตือนนายไว้ว่าฉันจะไม่แข่งขันในรูปแบบการแสดงกายกรรมเหมือนสองคนนั้นหรอกนะ ถ้านายไม่มีศักยภาพพอ ฉันจะฆ่านายทันที” ตอนนี้เรย์มอนด์โหดเหี้ยมมากจริง ๆ แต่ไป๋อี้สามารถมองออกได้ว่าผู้ชายประเภทนี้เป็นคนที่ค่อนข้างตรงไปตรงมาและมีแผนการในใจอันแยบยล

  “ตกลง!” ไป๋อี้พยักหน้ารับ

  “นายพูดจริงเหรอ” ใบหน้าของเรย์มอนด์เปลี่ยนไปก่อนจะมองไปที่ไป๋อี้

  “แน่นอน ฉันพูดจริง นายคิดว่าฉันมาหานายเพียงแค่มาพูดล้อเล่นกับนายอย่างนั้นเหรอ” ไป๋อี้พูดและเดินขึ้นเวทีทันที ในตอนนี้การต่อสู้บนเวทีสิ้นสุดลงแล้ว การต่อสู้ของทั้งสองฝ่ายเป็นที่พออกพอใจมาก เพราะคนหนึ่งก็ได้พบเพื่อนร่วมทีมที่ดี ส่วนอีกคนหนึ่งก็ได้เจอทีมที่ดีเช่นกัน

  ในเวลานี้ ฝูงชนที่เริ่มสงบลงทันใดที่พวกเขาเห็นอีกคนหนึ่งเดินขึ้นมาบนเวที พวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะจับจ้องอีกครั้ง

  “มาเลย!” ไป๋อี้มองไปที่เรย์มอนด์ท่ามกลางกลุ่มฝูงชนและกล่าวคำเชื้อเชิญ

  “ฮ้า ~!” เรย์มอนด์รู้สึกขบขันกับอากัปกิริยาของไป๋อี้ ปากของเขาเผยอขึ้นเล็กน้อยเผยให้เห็นรอยยิ้มที่น่ากลัว ผู้ชายคนนี้จะทำให้ดูว่าฉายานักรบบ้าดีเดือดได้มาอย่างไร คนอื่น ๆ ไม่สนใจไป๋อี้ในตอนแรก แต่เมื่อพวกเขาเห็นเรย์มอนด์ขึ้นมาบนเวที พวกเขาต่างก็ตระหนกตกใจและตื่นเต้นเป็นอย่างมาก ใครบางคนต้องการต่อสู้กับเรย์มอนด์ ผู้ชายคนนั้นคือใครกัน?

  ที่ข้างล่างเวทีเฮลัวส์และคนในทีมต่างก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย ไป๋อี้อยู่บนเวทีนั่น ไม่ใช่ว่าเขานั่งอยู่ตรงนั้นเหรอ ทำไมจู่ ๆ เขาถึงมาอยู่ที่นี่อย่างกะทันหันแบบนี้ แล้วนั่นมนุษย์หมาป่าคนนั้นคือใคร ดูเหมือนเขาจะมีชื่อเสียงมาก ณ ที่แห่งนี้

  หลังจากที่เรย์มอนด์ขึ้นเวทีเขาก็ดึงกระดูกจากหลังของเขาออกมาแล้วกระแทกลงกับพื้นด้วยเสียงหนักอึ้ง จนสามารถจินตนาการได้ถึงความทรงพลังของเขา ไป๋อี้ไม่ไหวติง ดูเหมือนว่าชายคนนี้จะมีพละกำลังที่ทรงพลังพอ ๆ กับวูล์ฟ เขาอาจจะได้รับการผสานรวมกับยีนของมดก็เป็นได้

  ไป๋อี้ชักดาบเขี้ยวของเขาออกมาในแนวทแยงมุม ทันใดนั้นรูม่านตาของเขาก็เปลี่ยนไปทันที โดยปรากฏเป็นม่านตาบุษบาผกผันขั้นแรก!

  แม้ว่าเสียงเชียร์โห่ร้องที่อยู่ข้าง ๆ พวกเขายังคงกู่ก้องตื่นเต้นกันอยู่ แต่ทว่าเรย์มอนด์ที่ยืนอยู่ตรงข้ามไป๋อี้กลับรู้สึกประหม่าขึ้นมาทันที ความรู้สึกนี้เหมือนกับตอนที่เขาเผชิญหน้ากับสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ที่ทรงพลัง เขารู้สึกถึงความตึงเครียดและกดดันอย่างอธิบายไม่ถูก ผู้ชายคนนี้ดูร้ายกาจมากกว่าที่มองเห็นแค่ผิวเผิน

  อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้ก็เพียงพอแล้วที่จะกระตุ้นยั่วยุอารมณ์ของเขา!

  “ย๊ากกก ~!” ทันใดนั้นเรย์มอนด์ก็เงยหน้าขึ้นและคำรามออกมา ดวงตาของเขากลายเป็นสีแดงเล็กน้อย อีกทั้งเส้นขนทั่วร่างกายก็ค่อย ๆ พองออก ดูราวกับมนุษย์หมาป่าที่บ้าคลั่งจริง ๆ เรย์มอนด์ไม่ได้กล่าวคำเตือนใด ๆ เขาคว้าท่อนกระดูกและพุ่งเข้าหาไป๋อี้ซึ่ง ๆ หน้า

  ในสายตาของทุกคน เรย์มอนด์ปรี่ตรงไปยังไป๋อี้แทบจะในทันทีจากระยะห่างกว่า 20 เมตร

  เสียงดังโครมสนั่นหวั่นไหว!

  ดาบเขี้ยวของไป๋อี้กระแทกเข้ากับแกนกระดูกของเรย์มอนด์ จากนั้นก็หมุนเบนออกไป เรย์มอนด์สังเกตได้ทันทีว่าแกนกระดูกของเขาถูกกระแทกด้วยแรงและเบี่ยงเบนไปจากวิถีเดิม ในขณะนี้ร่างกายของไป๋อี้มีความผิดปกติไปเล็กน้อย ดาบเขี้ยวพุ่งไปที่บริเวณท้องน้อยของเขาทันที นี่ราวกับการฆ่าอย่างสงบนิ่ง เรย์มอนด์พองขนของเขาออกอย่างอดไม่ได้ จนขนลุกขนพองไปทั่ว ในตอนนี้เรย์มอนด์เริ่มจะคิดว่าไป๋อี้มาเพื่อฆ่าเขาโดยเจตนาแน่ ๆ

  เมื่อรู้สึกด้วยสัญชาตญาณถึงอันตราย เรย์มอนด์ก็รีบใช้มือซ้ายของเขาคว้าดาบเขี้ยวเอาไว้และในขณะเดียวกันก็หลบไปทางด้านหลัง

  เช้ง ทั้งสองฝ่ายต่างโซซัดโซเซ!

  มือซ้ายของเรย์มอนด์มีหยดเลือดไหลออกมาอย่างช้า ๆ เขาเพ่งมองไปที่ไป๋อี้อย่างเคร่งขรึม ในช่วงสุดท้ายพลังของไป๋อี้แผ่วลงมาก ไม่เช่นนั้นเขาคงจะไม่ได้มีเพียงแค่เลือดไหลออกมา แต่คงได้เสียมือซ้ายไปแล้วเป็นแน่

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+