[นิยายแปล] มหาวิบัติยีนกลายพันธุ์ 131 ช่างหลอมอาวุธผู้เชี่ยวชาญ

Now you are reading [นิยายแปล] มหาวิบัติยีนกลายพันธุ์ Chapter 131 ช่างหลอมอาวุธผู้เชี่ยวชาญ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

        “แย่แล้ว!” ทันใดนั้นเองบัคลีย์ก็ตะโกนออกมา “จู่ ๆ เมื่อกี้ก็รู้สึกหดหู่เป็นอย่างมากขึ้นมา เหมือนกับตกใจกลัวอะไรบางอย่าง ก็เลยลืมบอกพวกเขาไปว่าในหุบเขาหิมะยังมีกฎระเบียบที่ต้องปฏิบัติตามอยู่ด้วย”

        “ความจริงคนใหม่ที่เข้ามาหุบเขาหิมะในตอนแรกมักจะเกิดปัญหาขึ้นได้ง่ายมาก แต่ว่าไป๋อี้น่าจะไม่เป็นอะไรหรอกมั้ง”

        “ในเวลาที่รวดเร็วแบบนี้ใครจะไปก่อเรื่องอะไรได้ล่ะ โซลานายรีบรายงานเรื่องที่พวกไป๋อี้เดินทางมายังหุบเขาหิมะกับหัวหน้าซะ หัวหน้าจะต้องรีบไปหาพวกเขาอย่างรวดเร็วแน่ ๆ อย่างนั้นคงจะไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรอก” อีกหนึ่งคนกล่าวเตือนสติ

        “โอเค ๆ จะไปเดี๋ยวนี้แหละ” โซลาผู้นั้นพยักหน้าพร้อมกระพือปีกที่อยู่เบื้องหลังขึ้นมา จากนั้นเขาก็โผบินออกไปในทันที

        หลังจากเห็นโซลาบินออกไปไกลแล้วนั้น คนที่เหลือจึงมองไปยังเหยื่อที่อยู่บนพื้น โดยปกติแล้วภายในหุบเขาหิมะแห่งนี้ไม่ถือว่ามีผู้มาใหม่เยอะมากเท่าไหร่นัก ส่วนคนเก่าที่อาศัยอยู่นานแล้วล้วนส่งมอบอาหารตรงแผนกวัสดุกันเป็นครั้งครา เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้รับเหยื่อที่มีขนาดใหญ่มหึมาเช่นนี้ พวกเขาจึงสบตากันอีกครั้งสองครั้ง แล้วคิดในใจว่าเหยื่อที่ใหญ่ยักษ์เช่นนี้เราสามารถกักตุนไว้เป็นการส่วนตัวสักเล็กน้อยได้หรือไม่?

  ……

        จำนวนประชากรผู้พักอาศัยภายในหุบเขาหิมะแห่งนี้ไม่ถือว่าเยอะมาก แต่ผู้คนก็ยังอาศัยอยู่อย่างเบียดเสียด ผู้คนที่มีรูปร่างลักษณะแปลกประหลาดหลากหลายชนิดเดินขวักไขว่ไปมา มองดูแล้วมีความคึกคักมากทีเดียว นับตั้งแต่ที่ค้นพบมินต์น้ำแข็ง มนุษย์กลายพันธุ์จึงทยอยเคลื่อนย้ายมารวมตัวกันอยู่ ณ ที่แห่งนี้ ผ่านมาเป็นเวลาเพียงแค่ห้าเดือนกว่าเท่านั้น เมื่อมนุษย์กลายพันธุ์ได้ทำการก่อสร้างที่อยู่อาศัยขึ้นมาภายในหุบเขาหิมะจึงได้เกิดเป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง

        แน่นอนว่าหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งนี้มีความแปลกประหลาดอย่างมากเพราะบ้านเรือนและสิ่งก่อสร้างต่าง ๆ ล้วนแต่มีลักษณะเฉพาะตัว เพราะอันที่จริงรูปร่างหน้าตาของมนุษย์กลายพันธุ์ทุกคนในตอนนี้ก็มีความแตกต่างกันราวกับฟ้ากับเหว เพราะฉะนั้นการที่สิ่งก่อสร้างจะมีความเหมาะสมกับความเป็นอยู่ของทุกคนนั้นจึงเป็นเรื่องที่เป็นไม่ได้อย่างสิ้นเชิง ดังนั้นจึงมีทั้งการสร้างรังด้วยการขุดรูตรงบริเวณเหวของภูเขาบ้าง การสร้างน้ำแข็งเพื่อใช้ก่อกำแพงทำเป็นบ้านบ้าง

        หลังจากผ่านระยะหิวโหยจนถึงระยะดุร้ายเหี้ยมโหดมาแล้ว ร่างกายของมนุษย์กลายพันธุ์โดยพื้นฐานก็จะมีความมั่นคงและเสถียรมากขึ้น รวมถึงมีความคุ้นชินกับอาการงงงวยและความสับสนอลหม่านในระยะแรกได้เป็นอย่างดี ทุกคนต่างก็เริ่มซึมซับคุ้นชินกับชีวิตความเป็นอยู่เช่นนี้ไปอย่างช้า ๆ

        บนถนนหนทางมีการค้าขายแลกเปลี่ยนสิ่งของบางอย่าง หลังจากที่สกุลเงินล่มสลายไปแล้วนั้นวิถีการซื้อขายแลกเปลี่ยนที่โบราณที่สุดเช่นนี้กลับถูกนำกลับมาใช้อีกครั้ง

        อาหาร อาวุธ สมุนไพร วัตถุซากปรักหักพังของนิวซีแลนด์ …… สรุปแล้วสิ่งที่ผู้คนคิดว่ามีประโยชน์ล้วนสามารถกลายมาเป็นสินค้าแลกเปลี่ยนกันได้ทั้งนั้น สถานที่ที่มีผู้คนอาศัยอยู่จึงเกิดการแลกเปลี่ยนกันขึ้นจนกลายเป็นตลาดที่โบราณที่สุดแห่งหนึ่ง ซึ่งมนุษย์กลายพันธุ์เหล่านี้เดิมทีล้วนแต่เป็นมนุษย์ที่เคยใช้ชีวิตอยู่ในสังคมอันเจริญรุ่งเรืองมาก่อนทั้งสิ้น

        ไป๋อี้และสหาย เดินอยู่บนถนนพร้อมทั้งสีหน้าที่แสดงออกชัดเจนว่ามีความสนใจในทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่บริเวณรอบ ๆ เป็นอย่างมาก

        แต่ทว่าจุดมุ่งหมายหลักของการมาเยือนสถานที่แห่งนี้ของพวกไป๋อี้ในก็คือการมาค้นหาเพื่อนร่วมทีมคนใหม่ ซึ่งพวกเขาไม่ทราบเช่นกันว่าที่แห่งนี้จะมีสถานที่ที่เอาไว้ตามหามิตรสหายเข้าร่วมทีมโดยเฉพาะหรือไม่ แต่พวกไป๋อี้ก็ทราบดีอยู่แล้วว่าแหล่งรวมตัวกันที่อื่น ๆ โดยพื้นฐานแล้วก็จะมีลานจัตุรัสสำหรับตามหาสมาชิกโดยเฉพาะอยู่ เนื่องจากมีผู้เร่ร่อนจำนวนมากต้องการที่จะตามหาทีมที่เหมาะสมกับตัวเอง และมีหลายทีมที่ต้องการตามหาสมาชิกที่เหมาะสมเข้าร่วมทีมเช่นกัน ปัจจุบันนี้การอยู่คนเดียวหรือการมีชีวิตอยู่ต่อไปเพียงลำพังในนิวซีแลนด์เป็นไปได้ยากมาก และแน่นอนว่าหากสายตาของคนผู้นั้นไม่หลักแหลมพอ แล้วไปเข้าร่วมอยู่ในทีมที่ย่ำแย่ล่ะก็ บางทีอาจจะทำให้ต้องตายเร็วยิ่งขึ้นไปอีกก็เป็นได้

        “เฮ้ เพื่อน ที่นี่มีสถานที่เอาไว้ตามหาสมาชิกเข้าทีมหรือเปล่า” ไป๋อี้ได้สอบถามไปยังผู้ที่ขายอาวุธอยู่ริมถนนคนหนึ่งซึ่งตัวของเขามีเกล็ดของกิ้งก่างอกออกมาทั่วตัว

        “อาวุธ!”

        ไป๋อี้ยิ้มขึ้นมา เช่นนั้นก็ได้ รู้อยู่แล้วว่าเขาคงไม่บอกเปล่า ๆ หรอก ต่อให้เป็นเพียงข่าวสารที่เรียบง่ายเช่นนี้ก็ตาม “โอเค ฉันจะเลือกอาวุธหนึ่งอย่าง แล้วนายก็บอกฉันมาว่าที่ไหนเป็นที่ที่เอาไว้ตามหาสมาชิกเข้าทีม ตกลงไหม” ไป๋อี้กล่าว

        “OK!” เมื่อเห็นว่าไป๋อี้มีความตรงไปตรงมาเช่นนี้ ชายผู้นี้จึงได้ฉีกยิ้มออกมา

        อาวุธของชายผู้นี้ล้วนลับมาจากฟัน โครงกระดูก ซึ่งเป็นจุดที่แข็งแกร่งของสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ทั้งนั้น โดยแบ่งออกเป็นสามระดับซึ่งแลกเปลี่ยนด้วยเนื้อสัตว์หรือวัสดุที่สามารถนำมาสร้างเป็นอาวุธได้ ชิ้นที่ถูกที่สุดนั้นจ่ายเพียงเนื้อสัตว์ห้ากิโลกรัมเท่านั้น ถึงแม้ว่าพวกไป๋อี้เองได้นำเหยื่อหนึ่งตัวมอบให้กับแผนกยามรักษาการไปแล้ว แต่ทว่าภายในหีบห่อบนตัวของชาร์ไป่ยังมีอาหารอื่น ๆ อยู่อีก ทั้งยังเป็นเนื้อสัตว์ที่ค่อนข้างอร่อยและมีโภชนาการอีกด้วย

        ไป๋อี้เปิดถุงออกพร้อมหั่นเนื้อสัตว์หนึ่งชิ้นออกมาจากภายในถุง จากนั้นจึงโยนให้ชายผู้นั้นไป

        “บอกฉันมาได้แล้วใช่ไหมว่าสถานที่ที่เอาไว้ตามหาสมาชิกเข้าร่วมทีมอยู่ที่ไหน?” ไป๋อี้เห็นว่าผู้ชายคนนี้ยังหยิบเครื่องชั่งสปริงขนาดเล็กออกมาชั่งน้ำหนักอยู่อีก เขาจึงหัวเราะออกมาอย่างหมดคำจะพูด ตามความสามารถในการหั่นของไป๋อี้นั้น เพียงแค่ลงมือหั่นตามสัญชาตญาณ โดยปกติแล้วจะไม่เกิดความผิดพลาดขึ้นแน่นอน เนื้อสัตว์ชิ้นนี้มีน้ำหนักห้ากิโลกรัมจริง ๆ หากมีขาดเกินก็คงเป็นจำนวนเพียงน้อยนิดเท่านั้น

        “หนักไปนิดหน่อย ให้ฉันคืนให้นายไหม สามารถกินได้อีกหนึ่งคำเชียวนะ”

        “เครื่องชั่งสปริงของนายพังแล้วต่างหาก ใช้มานานเท่าไหร่แล้ว สปริงที่อยู่ข้างในหย่อนแล้วแน่ ๆ เลย” ไป๋อี้อยากจะฝืนยิ้มขึ้นมาเสียจริง เจ้าคนนี้นี่จริง ๆ เลยเชียว “โอเคหรือยัง บอกพวกเรามาหน่อยว่าตรงไหนสามารถตามหาสมาชิกเข้าร่วมทีมได้?”

        “สปริงหย่อนแล้วเหรอเนี่ย มิน่าล่ะ …… จากตรงนี้เดินเข้าไปข้างในจากนั้นก็เดินไปทางซ้าย แล้วเดินผ่านถนนเล็ก ๆ เส้นหนึ่ง ก็จะมีลานจัตุรัสแห่งหนึ่งอยู่ตรงนั้น” เมื่อชายผู้นี้ได้ยินไป๋อี้พูดมาเช่นนั้นเขาจึงนำเนื้อสัตว์ชิ้นนี้ใส่ไว้ในถุงของตนเอง

        “ขอบใจนะ” ไป๋อี้กล่าวพร้อมลุกขึ้นยืน

        “เดี๋ยวสิ นายยังไม่เลือกอาวุธเลยนะ” เมื่อชายผู้นี้เห็นว่าไป๋อี้จะเดินออกไปทันใด เขาจึงดึงไป๋อี้ไว้ทันที

        ไป๋อี้มองชายผู้นี้แล้วจึงมีความรู้สึกหดหู่ขึ้นมา เจ้าคนนี้ช่างซื่อสัตย์เสียจริง หากเป็นเจ้าของร้านค้าทั่วไปละก็คงอยากจะให้พวกไป๋อี้เดินออกไปตัวเปล่าจนใจจะขาด การทำเช่นนี้ก็จะสามารถประหยัดอาวุธได้ไม่น้อยเลยทีเดียว แต่ทว่าในใจของไป๋อี้นั้นกลับมีความสุขขึ้นมา ความจริงแล้วผู้ที่ซื่อสัตย์เช่นนี้ไม่ได้ทำให้ผู้อื่นเกลียดชังเลยแม้แต่น้อย ในเมื่อเป็นเช่นนี้เขาก็เลยตั้งใจเลือกสรรอาวุธสักอย่างหนึ่งขึ้นมา

        สำหรับเนื้อสัตว์ห้ากิโลกรัมถือว่าเป็นราคาที่ต่ำที่สุด พูดอีกอย่างก็คือต้องเลือกอาวุธชิ้นที่คุณภาพแย่ที่สุดนั่นเอง ไป๋อี้ได้หยิบมีดสั้นเล่มหนึ่งที่มีความยาวราว ๆ ครึ่งเมตรออกมาตามอำเภอใจ จากนั้นจึงชักมันออกมาจากปลอกหนัง ลักษณะของมีดเล่มนี้แลดูเกลี้ยงเกลา มันวาว อีกทั้งยังคมกริบอีกด้วย เพียงแค่คราเดียวไป๋อี้ก็มองออกแล้ว สำหรับเรื่องของมีดนั้นเป็นเรื่องถนัดของไป๋อี้อยู่แล้ว จากนั้นไป๋อี้ก็ได้กางนิ้วมือออกมาแล้วดีดไปยังใบมีดสีเขียวอ่อนแกมเหลือง ทันใดนั้นก็เกิดเป็นเสียงใส ๆ ดังกิ๊งออกมา สำหรับความเหนียวแน่นก็ถือว่าไม่เลวเลย แต่ทำได้แค่เพียงจัดอยู่ในจำพวกอาวุธธรรมดาเท่านั้น ไม่ถือว่าเยี่ยมยอดสักเท่าไหร่ แต่ทว่าสำหรับเนื้อสัตว์ห้ากิโลกรัมนั้นถือว่าประสิทธิภาพเหมาะสมกับราคาเลยทีเดียว

        “เอาเล่มนี้แหละ” ไป๋อี้นำมีดสั้นใส่ปลอกกลับคืนจากนั้นจึงถามขึ้นมาอีกหนึ่งประโยคโดยไม่ได้คิดอะไรมาก “มีดเล่มนี้ลับมาจากเขี้ยวของสัตว์ชนิดไหนเหรอ?”

        “ลับมาจากเขาเดี่ยวของแมลงกินซากน่ะ”

        “อ๋อ……” ไป๋อี้หันตัวกลับไป และทันใดนั้นเองเขาก็ต้องตกตะลึง แมลงกินซากเหรอ เป็นไปไม่ได้ เพราะสิ่งมีชีวิตชนิดนั้นขนาดใหญ่ที่สุดก็ไม่เกินหนึ่งเมตรกว่า บนศีรษะของมันมีเขาเล็ก ๆ ที่สั้นและหนาอยู่ก็จริง แต่โดยพื้นฐานแล้วความยาวของมันจะมีเพียง 20 ถึง 30 เซนติเมตรเท่านั้น ซึ่งเขาขนาดเล็กเช่นนี้มีประโยชน์ใช้สอยในการนำมาเป็นของประดับตกแต่งมากกว่าการนำมาสร้างเป็นอาวุธต่อสู้เสียอีก อีกทั้งตามที่ไป๋อี้ทราบมานั้นเขาของมันก็ไม่ได้มีความแข็งแรงทนทานเท่าไหร่นัก เจ้าคนนี้ทำอย่างไรถึงนำเขาขนาดเล็กเช่นนี้สร้างเป็นมีดสั้นที่มีความยาวครึ่งเมตรพร้อมทั้งระดับความแข็งแรงและความเหนียวแน่นอันสุดยอดเช่นนี้ได้กันนะ ?

        “แมลงกินซาก แมลง~ชนิดที่มีความยาวหนึ่งเมตรนั่นเหรอ?” ไป๋อี้หันกลับมาสอบถามอีกครั้ง

        “อืม สิ่งนั้นแหละ”

        ไป๋อี้เกิดความสนใจขึ้นมาในทันที จึงได้ลงไปนั่งยอง ๆ อีกครั้ง พร้อมทั้งมองสำรวจแผงขายของนี้อย่างระมัดระวัง อาวุธที่วางอยู่ด้านบนแผงขายของเขาไม่ได้มีเยอะมากนัก ซึ่งมีดเล่มที่อยู่ในมือของไป๋อี้นั้นคุณภาพแย่ที่สุดแล้ว นอกจากนั้นยังมีอีก 4 เล่มที่คุณภาพดีขึ้นมาหน่อย ซึ่งถือว่าไม่เลวเลยทีเดียว สำหรับอาวุธชิ้นสุดท้ายนั้นมีคุณภาพดีที่สุด คิดไม่ถึงเลยว่าจะมีเพียงครึ่งท่อน มีเพียงปลายหอกเท่านั้น

        ก่อนหน้านี้ไป๋อี้ยังไม่รู้ซึ้ง แต่ครานี้เมื่อได้เข้ามาสังเกตดูด้วยระยะใกล้แล้วนั้น ไป๋อี้จึงพบว่าปลายหอกสีแดงเข้มชิ้นนี้มีน้ำหนักและมีความคมกริบอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ พร้อมทั้งยังมีกลิ่นคาวเลือดกระจายออกมาจาง ๆ อีกด้วย

        “อันนี้ไม่ขาย แค่แลกเปลี่ยนกับวัสดุทำอาวุธเท่านั้นซึ่งจะต้องเป็นวัสดุที่คุณภาพระดับสุดยอดเท่านั้น”

        “อันนี้ทำมาจากวัสดุอะไรเหรอ?”

        “เขี้ยวของตะขาบเกล็ดหยาดเลือด!”

        “เขียวของตะขาบเกล็ดหยาดเลือด!” แม้แต่พวกไป๋อี้เองก็ยังต้องประหลาดใจ รูปร่างของตะขาบเกล็ดหยาดเลือดนั้นไม่ได้ใหญ่นัก ปกติแล้วมันมีความยาวเพียงแค่ครึ่งเมตรเท่านั้นซึ่งไม่ถือว่าใหญ่มาก แต่ทว่าตะขาบเกล็ดหยาดเลือดเป็นสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ที่หลายคนภาวนาที่ไม่อยากจะพบเจอเอาเสียเลย เพราะคนส่วนมากที่พบเจอสิ่งมีชีวิตชนิดนี้เข้าจะต้องตายสถานเดียวเท่านั้น ร่างกายที่แข็งแรง เขียวที่คมกริบทั้งยังมีพิษร้ายแรงพร้อมท่าทางที่คล่องตัวของมัน ทำให้ผู้คนส่วนมากมีความหวาดกลัวเมื่อพบเจอ

        อันที่จริงเขียวของตะขาบเกล็ดหยาดเลือดเป็นวัสดุในการสร้างอาวุธที่เยี่ยมยอดจริง ๆ ไม่เพียงแต่แข็งแรงทั้งยังมีพิษร้ายแรงจากการแตกตัวของเม็ดเลือดแดงที่มีอยู่กับตัวมันอีกด้วย แต่ทว่าร่างกายของมันเล็กเกินไป แม้กระทั่งสร้างให้เป็นกริชก็ยังถือว่าสั้นเกินไปเลยด้วยซ้ำ ปลายหอกชิ้นนี้มีความยาวราว ๆ 20 เซนติเมตร ซึ่งมันไม่ใช่ขนาดของเขียวตะขาบเกล็ดหยาดเลือดเลยแต่หากว่าหลอมรวมกันสัก 4 หรือ 5 ซี่ก็อาจจะเป็นไปได้

        หลอมรวมกัน!

        เมื่อไป๋อี้คิดได้เช่นนี้จึงได้สังเกตเห็นรอยยาวบนปลายหอก ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าเป็นเพียงลวดลายธรรมดาเท่านั้น ขณะนี้เมื่อพิจารณาดูจึงพบว่ารอยนี้เป็นรอยยาวที่มาจากการหลอมรวมเป็นแน่

        คนคนนี้ จะต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญการหลอมอาวุธที่มีระดับฝีมือสุดยอดที่สุดผู้หนึ่งอย่างแน่นอน !

        “ฉันสงสัยมาก นายที่เป็นผู้เชียวชาญการหลอมอาวุธระดับสุดยอดแบบนี้ทำไมถึงได้มาเปิดแผงลอยขายของอยู่ในสถานที่แห่งนี้ได้ล่ะ มองดูแล้วท่าทางนายคงไม่ได้มีชีวิตสุขสบายเท่าไหร่นะ”

        “ผู้เชี่ยวชาญการหลอมอาวุธระดับสุดยอดงั้นเหรอ …… แหะ ๆ !” เขาคนนี้ฝืนยิ้มออกมา

        “นายก็เห็นแล้วนี่ว่าอาวุธที่อยู่บนแผงลอยของฉันไม่ได้มีเยอะเท่าไหร่ ความจริงแล้วนี่คืออาวุธที่ฉันเพิ่งจะสร้างมันออกมาเสร็จในเวลาสามเดือน ประสิทธิภาพการทำงานแบบนี้นายยังคิดว่าฉันคือผู้เชียวชาญการหลอมอาวุธระดับสุดยอดอย่างงั้นเหรอ” ชายผู้นี้กล่าว

        “อาวุธที่ดีสำคัญอยู่ที่คุณภาพไม่เกี่ยวกับจำนวน ประเทศจีนมีคำโบราณที่ว่า สิบปีหลอมหนึ่งดาบ ขอแค่เป็นอาวุธที่ดีจริง ๆ ถ้าจะใช้เวลาในการสร้างขึ้นนานมากสักหน่อยก็ถือเป็นเรื่องปกติ”

        “นายคิดว่าตอนนี้ใครจะให้เวลานายสิบปีเพื่อสร้างอาวุธหนึ่งชิ้นได้?”

        “ถูกของนาย” ไป๋อี้ยิ้มขึ้นมาเช่นเดียวกัน นิวซีแลนด์ในตอนนี้มีความอันตรายมาก ใครเล่าที่จะรอคอยการทำอาวุธหนึ่งชิ้นภายในระยะเวลาสิบปีได้ อีกทั้งอันที่จริงอาวุธที่วางอยู่บนแผงลอยของเขานอกเหนือจากปลายหอกที่ทำจากเขี้ยวพิษของตะขาบเกล็ดหยาดเลือดแล้ว อาวุธอย่างอื่นก็ไม่ถือว่ามีคุณภาพที่ดีนัก แต่ทว่าสิ่งที่ไป๋อี้สนใจนั่นก็คือเขาคนนี้ใช้วิธีอะไรในการหล่อหลอมวัสดุเข้าด้วยกันกันแน่

        “ขออภัย คุยกันมาตั้งนานขนาดนี้ยังไม่รู้ชื่อของนายเลย” ไป๋อี้พูดกับผู้เชียวชาญการหลอมอาวุธผู้นั้น

        “มัลวีย์ ฉันชื่อว่ามัลวีย์”

        “ถ้าอย่างนั้นมัลวีย์ หากจะพูดอย่างนี้มันอาจจะดูกะทันหันไป คือว่านายยินยอมที่จะช่วยฉันสร้างอาวุธสักหนึ่งชิ้นหรือว่านายมีความสนใจที่จะเข้าร่วมในทีมของฉันหรือเปล่า?” ไป๋อี้ถาม หากว่าจะสอบถามถึงวิธีที่มัลวีย์ใช้หล่อหลอมวัสดุเลยโดยตรงนั้นจะต้องได้รับคำปฏิเสธเป็นแน่

         “ให้ฉันสร้างอาวุธน่ะได้ แต่การเข้าร่วมทีมเอาไว้ก่อนเถอะ เพราะคาดว่าฉันคงทำได้แค่เป็นตัวถ่วงของทีมเท่านั้น และถ้าให้ฉันสร้างอาวุธให้ พวกนายจะต้องนำวัสดุมาเองนะ อีกทั้งค่าใช้จ่ายก็แพงมาก ๆ เลยล่ะ”

        ไป๋อี้ลุกขึ้นพร้อมหยิบเขี้ยวซี่หนึ่งออกมาจากถุงข้าง ๆ ชาร์ไป่ ซึ่งเขี้ยวซี่นี้มีความยาวไม่น้อยกว่าหนึ่งเมตรมีท่อนบนที่หนา และมีน้ำหนักมากอีกทั้งยังมีความใสแวววาวอีกด้วย

        “สิ่งนี้คือ!”

        “เขี้ยวของสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ชนิดหนึ่ง ส่วนรายละเอียดว่าเป็นสิ่งมีชีวิตอะไรฉันขอไม่พูดก็แล้วกัน สามารถทำได้ไหม?”

        “คาดว่า …… ทำไม่ได้หรอก!” มัลวีย์มีความลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ยิ้มเจื่อน ๆ ขึ้นมาพร้อมนำเขี้ยวซี่นั้นส่งกลับคืนให้กับไป๋อี้

        “อย่างนั้นเหรอ งั้นน่าเสียดายจริง ๆ เลย” หลังจากที่ไป๋อี้ได้ยินดังนั้นก็มีความผิดหวังเล็กน้อย เขี้ยวซี่นี้คือเขี้ยวของร่างทดลองของสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ ครั้งนั้นพวกไป๋อี้เองก็ได้ตกอยู่ในสงครามที่สุดแสนจะลำบากจนสุดท้ายถึงจะสามารถฆ่าเจ้านั่นให้ตายได้

        “หนึ่งปี ถ้านายสามารถรอจนถึงหนึ่งปีได้นะ อีกทั้งภายในหนึ่งปีนายจะต้องมอบอาหารและสมุนไพรที่เพียงพอกับฉันและก็สภาพแวดล้อมที่สงบด้วย” ทันใดนั้นเองมัลวีย์ก็ได้หวนนึกถึงคำพูดที่ไป๋อี้กล่าวพาดพิงถึงคำโบราณที่ว่า สิบปีหลอมหนึ่งดาบที่กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ขึ้นมา ก่อนจะกล่าวเช่นนั้นกับไป๋อี้อย่างฉับพลัน

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

[นิยายแปล] มหาวิบัติยีนกลายพันธุ์ 131 ช่างหลอมอาวุธผู้เชี่ยวชาญ

Now you are reading [นิยายแปล] มหาวิบัติยีนกลายพันธุ์ Chapter 131 ช่างหลอมอาวุธผู้เชี่ยวชาญ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

        “แย่แล้ว!” ทันใดนั้นเองบัคลีย์ก็ตะโกนออกมา “จู่ ๆ เมื่อกี้ก็รู้สึกหดหู่เป็นอย่างมากขึ้นมา เหมือนกับตกใจกลัวอะไรบางอย่าง ก็เลยลืมบอกพวกเขาไปว่าในหุบเขาหิมะยังมีกฎระเบียบที่ต้องปฏิบัติตามอยู่ด้วย”

        “ความจริงคนใหม่ที่เข้ามาหุบเขาหิมะในตอนแรกมักจะเกิดปัญหาขึ้นได้ง่ายมาก แต่ว่าไป๋อี้น่าจะไม่เป็นอะไรหรอกมั้ง”

        “ในเวลาที่รวดเร็วแบบนี้ใครจะไปก่อเรื่องอะไรได้ล่ะ โซลานายรีบรายงานเรื่องที่พวกไป๋อี้เดินทางมายังหุบเขาหิมะกับหัวหน้าซะ หัวหน้าจะต้องรีบไปหาพวกเขาอย่างรวดเร็วแน่ ๆ อย่างนั้นคงจะไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรอก” อีกหนึ่งคนกล่าวเตือนสติ

        “โอเค ๆ จะไปเดี๋ยวนี้แหละ” โซลาผู้นั้นพยักหน้าพร้อมกระพือปีกที่อยู่เบื้องหลังขึ้นมา จากนั้นเขาก็โผบินออกไปในทันที

        หลังจากเห็นโซลาบินออกไปไกลแล้วนั้น คนที่เหลือจึงมองไปยังเหยื่อที่อยู่บนพื้น โดยปกติแล้วภายในหุบเขาหิมะแห่งนี้ไม่ถือว่ามีผู้มาใหม่เยอะมากเท่าไหร่นัก ส่วนคนเก่าที่อาศัยอยู่นานแล้วล้วนส่งมอบอาหารตรงแผนกวัสดุกันเป็นครั้งครา เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้รับเหยื่อที่มีขนาดใหญ่มหึมาเช่นนี้ พวกเขาจึงสบตากันอีกครั้งสองครั้ง แล้วคิดในใจว่าเหยื่อที่ใหญ่ยักษ์เช่นนี้เราสามารถกักตุนไว้เป็นการส่วนตัวสักเล็กน้อยได้หรือไม่?

  ……

        จำนวนประชากรผู้พักอาศัยภายในหุบเขาหิมะแห่งนี้ไม่ถือว่าเยอะมาก แต่ผู้คนก็ยังอาศัยอยู่อย่างเบียดเสียด ผู้คนที่มีรูปร่างลักษณะแปลกประหลาดหลากหลายชนิดเดินขวักไขว่ไปมา มองดูแล้วมีความคึกคักมากทีเดียว นับตั้งแต่ที่ค้นพบมินต์น้ำแข็ง มนุษย์กลายพันธุ์จึงทยอยเคลื่อนย้ายมารวมตัวกันอยู่ ณ ที่แห่งนี้ ผ่านมาเป็นเวลาเพียงแค่ห้าเดือนกว่าเท่านั้น เมื่อมนุษย์กลายพันธุ์ได้ทำการก่อสร้างที่อยู่อาศัยขึ้นมาภายในหุบเขาหิมะจึงได้เกิดเป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง

        แน่นอนว่าหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งนี้มีความแปลกประหลาดอย่างมากเพราะบ้านเรือนและสิ่งก่อสร้างต่าง ๆ ล้วนแต่มีลักษณะเฉพาะตัว เพราะอันที่จริงรูปร่างหน้าตาของมนุษย์กลายพันธุ์ทุกคนในตอนนี้ก็มีความแตกต่างกันราวกับฟ้ากับเหว เพราะฉะนั้นการที่สิ่งก่อสร้างจะมีความเหมาะสมกับความเป็นอยู่ของทุกคนนั้นจึงเป็นเรื่องที่เป็นไม่ได้อย่างสิ้นเชิง ดังนั้นจึงมีทั้งการสร้างรังด้วยการขุดรูตรงบริเวณเหวของภูเขาบ้าง การสร้างน้ำแข็งเพื่อใช้ก่อกำแพงทำเป็นบ้านบ้าง

        หลังจากผ่านระยะหิวโหยจนถึงระยะดุร้ายเหี้ยมโหดมาแล้ว ร่างกายของมนุษย์กลายพันธุ์โดยพื้นฐานก็จะมีความมั่นคงและเสถียรมากขึ้น รวมถึงมีความคุ้นชินกับอาการงงงวยและความสับสนอลหม่านในระยะแรกได้เป็นอย่างดี ทุกคนต่างก็เริ่มซึมซับคุ้นชินกับชีวิตความเป็นอยู่เช่นนี้ไปอย่างช้า ๆ

        บนถนนหนทางมีการค้าขายแลกเปลี่ยนสิ่งของบางอย่าง หลังจากที่สกุลเงินล่มสลายไปแล้วนั้นวิถีการซื้อขายแลกเปลี่ยนที่โบราณที่สุดเช่นนี้กลับถูกนำกลับมาใช้อีกครั้ง

        อาหาร อาวุธ สมุนไพร วัตถุซากปรักหักพังของนิวซีแลนด์ …… สรุปแล้วสิ่งที่ผู้คนคิดว่ามีประโยชน์ล้วนสามารถกลายมาเป็นสินค้าแลกเปลี่ยนกันได้ทั้งนั้น สถานที่ที่มีผู้คนอาศัยอยู่จึงเกิดการแลกเปลี่ยนกันขึ้นจนกลายเป็นตลาดที่โบราณที่สุดแห่งหนึ่ง ซึ่งมนุษย์กลายพันธุ์เหล่านี้เดิมทีล้วนแต่เป็นมนุษย์ที่เคยใช้ชีวิตอยู่ในสังคมอันเจริญรุ่งเรืองมาก่อนทั้งสิ้น

        ไป๋อี้และสหาย เดินอยู่บนถนนพร้อมทั้งสีหน้าที่แสดงออกชัดเจนว่ามีความสนใจในทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่บริเวณรอบ ๆ เป็นอย่างมาก

        แต่ทว่าจุดมุ่งหมายหลักของการมาเยือนสถานที่แห่งนี้ของพวกไป๋อี้ในก็คือการมาค้นหาเพื่อนร่วมทีมคนใหม่ ซึ่งพวกเขาไม่ทราบเช่นกันว่าที่แห่งนี้จะมีสถานที่ที่เอาไว้ตามหามิตรสหายเข้าร่วมทีมโดยเฉพาะหรือไม่ แต่พวกไป๋อี้ก็ทราบดีอยู่แล้วว่าแหล่งรวมตัวกันที่อื่น ๆ โดยพื้นฐานแล้วก็จะมีลานจัตุรัสสำหรับตามหาสมาชิกโดยเฉพาะอยู่ เนื่องจากมีผู้เร่ร่อนจำนวนมากต้องการที่จะตามหาทีมที่เหมาะสมกับตัวเอง และมีหลายทีมที่ต้องการตามหาสมาชิกที่เหมาะสมเข้าร่วมทีมเช่นกัน ปัจจุบันนี้การอยู่คนเดียวหรือการมีชีวิตอยู่ต่อไปเพียงลำพังในนิวซีแลนด์เป็นไปได้ยากมาก และแน่นอนว่าหากสายตาของคนผู้นั้นไม่หลักแหลมพอ แล้วไปเข้าร่วมอยู่ในทีมที่ย่ำแย่ล่ะก็ บางทีอาจจะทำให้ต้องตายเร็วยิ่งขึ้นไปอีกก็เป็นได้

        “เฮ้ เพื่อน ที่นี่มีสถานที่เอาไว้ตามหาสมาชิกเข้าทีมหรือเปล่า” ไป๋อี้ได้สอบถามไปยังผู้ที่ขายอาวุธอยู่ริมถนนคนหนึ่งซึ่งตัวของเขามีเกล็ดของกิ้งก่างอกออกมาทั่วตัว

        “อาวุธ!”

        ไป๋อี้ยิ้มขึ้นมา เช่นนั้นก็ได้ รู้อยู่แล้วว่าเขาคงไม่บอกเปล่า ๆ หรอก ต่อให้เป็นเพียงข่าวสารที่เรียบง่ายเช่นนี้ก็ตาม “โอเค ฉันจะเลือกอาวุธหนึ่งอย่าง แล้วนายก็บอกฉันมาว่าที่ไหนเป็นที่ที่เอาไว้ตามหาสมาชิกเข้าทีม ตกลงไหม” ไป๋อี้กล่าว

        “OK!” เมื่อเห็นว่าไป๋อี้มีความตรงไปตรงมาเช่นนี้ ชายผู้นี้จึงได้ฉีกยิ้มออกมา

        อาวุธของชายผู้นี้ล้วนลับมาจากฟัน โครงกระดูก ซึ่งเป็นจุดที่แข็งแกร่งของสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ทั้งนั้น โดยแบ่งออกเป็นสามระดับซึ่งแลกเปลี่ยนด้วยเนื้อสัตว์หรือวัสดุที่สามารถนำมาสร้างเป็นอาวุธได้ ชิ้นที่ถูกที่สุดนั้นจ่ายเพียงเนื้อสัตว์ห้ากิโลกรัมเท่านั้น ถึงแม้ว่าพวกไป๋อี้เองได้นำเหยื่อหนึ่งตัวมอบให้กับแผนกยามรักษาการไปแล้ว แต่ทว่าภายในหีบห่อบนตัวของชาร์ไป่ยังมีอาหารอื่น ๆ อยู่อีก ทั้งยังเป็นเนื้อสัตว์ที่ค่อนข้างอร่อยและมีโภชนาการอีกด้วย

        ไป๋อี้เปิดถุงออกพร้อมหั่นเนื้อสัตว์หนึ่งชิ้นออกมาจากภายในถุง จากนั้นจึงโยนให้ชายผู้นั้นไป

        “บอกฉันมาได้แล้วใช่ไหมว่าสถานที่ที่เอาไว้ตามหาสมาชิกเข้าร่วมทีมอยู่ที่ไหน?” ไป๋อี้เห็นว่าผู้ชายคนนี้ยังหยิบเครื่องชั่งสปริงขนาดเล็กออกมาชั่งน้ำหนักอยู่อีก เขาจึงหัวเราะออกมาอย่างหมดคำจะพูด ตามความสามารถในการหั่นของไป๋อี้นั้น เพียงแค่ลงมือหั่นตามสัญชาตญาณ โดยปกติแล้วจะไม่เกิดความผิดพลาดขึ้นแน่นอน เนื้อสัตว์ชิ้นนี้มีน้ำหนักห้ากิโลกรัมจริง ๆ หากมีขาดเกินก็คงเป็นจำนวนเพียงน้อยนิดเท่านั้น

        “หนักไปนิดหน่อย ให้ฉันคืนให้นายไหม สามารถกินได้อีกหนึ่งคำเชียวนะ”

        “เครื่องชั่งสปริงของนายพังแล้วต่างหาก ใช้มานานเท่าไหร่แล้ว สปริงที่อยู่ข้างในหย่อนแล้วแน่ ๆ เลย” ไป๋อี้อยากจะฝืนยิ้มขึ้นมาเสียจริง เจ้าคนนี้นี่จริง ๆ เลยเชียว “โอเคหรือยัง บอกพวกเรามาหน่อยว่าตรงไหนสามารถตามหาสมาชิกเข้าร่วมทีมได้?”

        “สปริงหย่อนแล้วเหรอเนี่ย มิน่าล่ะ …… จากตรงนี้เดินเข้าไปข้างในจากนั้นก็เดินไปทางซ้าย แล้วเดินผ่านถนนเล็ก ๆ เส้นหนึ่ง ก็จะมีลานจัตุรัสแห่งหนึ่งอยู่ตรงนั้น” เมื่อชายผู้นี้ได้ยินไป๋อี้พูดมาเช่นนั้นเขาจึงนำเนื้อสัตว์ชิ้นนี้ใส่ไว้ในถุงของตนเอง

        “ขอบใจนะ” ไป๋อี้กล่าวพร้อมลุกขึ้นยืน

        “เดี๋ยวสิ นายยังไม่เลือกอาวุธเลยนะ” เมื่อชายผู้นี้เห็นว่าไป๋อี้จะเดินออกไปทันใด เขาจึงดึงไป๋อี้ไว้ทันที

        ไป๋อี้มองชายผู้นี้แล้วจึงมีความรู้สึกหดหู่ขึ้นมา เจ้าคนนี้ช่างซื่อสัตย์เสียจริง หากเป็นเจ้าของร้านค้าทั่วไปละก็คงอยากจะให้พวกไป๋อี้เดินออกไปตัวเปล่าจนใจจะขาด การทำเช่นนี้ก็จะสามารถประหยัดอาวุธได้ไม่น้อยเลยทีเดียว แต่ทว่าในใจของไป๋อี้นั้นกลับมีความสุขขึ้นมา ความจริงแล้วผู้ที่ซื่อสัตย์เช่นนี้ไม่ได้ทำให้ผู้อื่นเกลียดชังเลยแม้แต่น้อย ในเมื่อเป็นเช่นนี้เขาก็เลยตั้งใจเลือกสรรอาวุธสักอย่างหนึ่งขึ้นมา

        สำหรับเนื้อสัตว์ห้ากิโลกรัมถือว่าเป็นราคาที่ต่ำที่สุด พูดอีกอย่างก็คือต้องเลือกอาวุธชิ้นที่คุณภาพแย่ที่สุดนั่นเอง ไป๋อี้ได้หยิบมีดสั้นเล่มหนึ่งที่มีความยาวราว ๆ ครึ่งเมตรออกมาตามอำเภอใจ จากนั้นจึงชักมันออกมาจากปลอกหนัง ลักษณะของมีดเล่มนี้แลดูเกลี้ยงเกลา มันวาว อีกทั้งยังคมกริบอีกด้วย เพียงแค่คราเดียวไป๋อี้ก็มองออกแล้ว สำหรับเรื่องของมีดนั้นเป็นเรื่องถนัดของไป๋อี้อยู่แล้ว จากนั้นไป๋อี้ก็ได้กางนิ้วมือออกมาแล้วดีดไปยังใบมีดสีเขียวอ่อนแกมเหลือง ทันใดนั้นก็เกิดเป็นเสียงใส ๆ ดังกิ๊งออกมา สำหรับความเหนียวแน่นก็ถือว่าไม่เลวเลย แต่ทำได้แค่เพียงจัดอยู่ในจำพวกอาวุธธรรมดาเท่านั้น ไม่ถือว่าเยี่ยมยอดสักเท่าไหร่ แต่ทว่าสำหรับเนื้อสัตว์ห้ากิโลกรัมนั้นถือว่าประสิทธิภาพเหมาะสมกับราคาเลยทีเดียว

        “เอาเล่มนี้แหละ” ไป๋อี้นำมีดสั้นใส่ปลอกกลับคืนจากนั้นจึงถามขึ้นมาอีกหนึ่งประโยคโดยไม่ได้คิดอะไรมาก “มีดเล่มนี้ลับมาจากเขี้ยวของสัตว์ชนิดไหนเหรอ?”

        “ลับมาจากเขาเดี่ยวของแมลงกินซากน่ะ”

        “อ๋อ……” ไป๋อี้หันตัวกลับไป และทันใดนั้นเองเขาก็ต้องตกตะลึง แมลงกินซากเหรอ เป็นไปไม่ได้ เพราะสิ่งมีชีวิตชนิดนั้นขนาดใหญ่ที่สุดก็ไม่เกินหนึ่งเมตรกว่า บนศีรษะของมันมีเขาเล็ก ๆ ที่สั้นและหนาอยู่ก็จริง แต่โดยพื้นฐานแล้วความยาวของมันจะมีเพียง 20 ถึง 30 เซนติเมตรเท่านั้น ซึ่งเขาขนาดเล็กเช่นนี้มีประโยชน์ใช้สอยในการนำมาเป็นของประดับตกแต่งมากกว่าการนำมาสร้างเป็นอาวุธต่อสู้เสียอีก อีกทั้งตามที่ไป๋อี้ทราบมานั้นเขาของมันก็ไม่ได้มีความแข็งแรงทนทานเท่าไหร่นัก เจ้าคนนี้ทำอย่างไรถึงนำเขาขนาดเล็กเช่นนี้สร้างเป็นมีดสั้นที่มีความยาวครึ่งเมตรพร้อมทั้งระดับความแข็งแรงและความเหนียวแน่นอันสุดยอดเช่นนี้ได้กันนะ ?

        “แมลงกินซาก แมลง~ชนิดที่มีความยาวหนึ่งเมตรนั่นเหรอ?” ไป๋อี้หันกลับมาสอบถามอีกครั้ง

        “อืม สิ่งนั้นแหละ”

        ไป๋อี้เกิดความสนใจขึ้นมาในทันที จึงได้ลงไปนั่งยอง ๆ อีกครั้ง พร้อมทั้งมองสำรวจแผงขายของนี้อย่างระมัดระวัง อาวุธที่วางอยู่ด้านบนแผงขายของเขาไม่ได้มีเยอะมากนัก ซึ่งมีดเล่มที่อยู่ในมือของไป๋อี้นั้นคุณภาพแย่ที่สุดแล้ว นอกจากนั้นยังมีอีก 4 เล่มที่คุณภาพดีขึ้นมาหน่อย ซึ่งถือว่าไม่เลวเลยทีเดียว สำหรับอาวุธชิ้นสุดท้ายนั้นมีคุณภาพดีที่สุด คิดไม่ถึงเลยว่าจะมีเพียงครึ่งท่อน มีเพียงปลายหอกเท่านั้น

        ก่อนหน้านี้ไป๋อี้ยังไม่รู้ซึ้ง แต่ครานี้เมื่อได้เข้ามาสังเกตดูด้วยระยะใกล้แล้วนั้น ไป๋อี้จึงพบว่าปลายหอกสีแดงเข้มชิ้นนี้มีน้ำหนักและมีความคมกริบอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ พร้อมทั้งยังมีกลิ่นคาวเลือดกระจายออกมาจาง ๆ อีกด้วย

        “อันนี้ไม่ขาย แค่แลกเปลี่ยนกับวัสดุทำอาวุธเท่านั้นซึ่งจะต้องเป็นวัสดุที่คุณภาพระดับสุดยอดเท่านั้น”

        “อันนี้ทำมาจากวัสดุอะไรเหรอ?”

        “เขี้ยวของตะขาบเกล็ดหยาดเลือด!”

        “เขียวของตะขาบเกล็ดหยาดเลือด!” แม้แต่พวกไป๋อี้เองก็ยังต้องประหลาดใจ รูปร่างของตะขาบเกล็ดหยาดเลือดนั้นไม่ได้ใหญ่นัก ปกติแล้วมันมีความยาวเพียงแค่ครึ่งเมตรเท่านั้นซึ่งไม่ถือว่าใหญ่มาก แต่ทว่าตะขาบเกล็ดหยาดเลือดเป็นสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ที่หลายคนภาวนาที่ไม่อยากจะพบเจอเอาเสียเลย เพราะคนส่วนมากที่พบเจอสิ่งมีชีวิตชนิดนี้เข้าจะต้องตายสถานเดียวเท่านั้น ร่างกายที่แข็งแรง เขียวที่คมกริบทั้งยังมีพิษร้ายแรงพร้อมท่าทางที่คล่องตัวของมัน ทำให้ผู้คนส่วนมากมีความหวาดกลัวเมื่อพบเจอ

        อันที่จริงเขียวของตะขาบเกล็ดหยาดเลือดเป็นวัสดุในการสร้างอาวุธที่เยี่ยมยอดจริง ๆ ไม่เพียงแต่แข็งแรงทั้งยังมีพิษร้ายแรงจากการแตกตัวของเม็ดเลือดแดงที่มีอยู่กับตัวมันอีกด้วย แต่ทว่าร่างกายของมันเล็กเกินไป แม้กระทั่งสร้างให้เป็นกริชก็ยังถือว่าสั้นเกินไปเลยด้วยซ้ำ ปลายหอกชิ้นนี้มีความยาวราว ๆ 20 เซนติเมตร ซึ่งมันไม่ใช่ขนาดของเขียวตะขาบเกล็ดหยาดเลือดเลยแต่หากว่าหลอมรวมกันสัก 4 หรือ 5 ซี่ก็อาจจะเป็นไปได้

        หลอมรวมกัน!

        เมื่อไป๋อี้คิดได้เช่นนี้จึงได้สังเกตเห็นรอยยาวบนปลายหอก ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าเป็นเพียงลวดลายธรรมดาเท่านั้น ขณะนี้เมื่อพิจารณาดูจึงพบว่ารอยนี้เป็นรอยยาวที่มาจากการหลอมรวมเป็นแน่

        คนคนนี้ จะต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญการหลอมอาวุธที่มีระดับฝีมือสุดยอดที่สุดผู้หนึ่งอย่างแน่นอน !

        “ฉันสงสัยมาก นายที่เป็นผู้เชียวชาญการหลอมอาวุธระดับสุดยอดแบบนี้ทำไมถึงได้มาเปิดแผงลอยขายของอยู่ในสถานที่แห่งนี้ได้ล่ะ มองดูแล้วท่าทางนายคงไม่ได้มีชีวิตสุขสบายเท่าไหร่นะ”

        “ผู้เชี่ยวชาญการหลอมอาวุธระดับสุดยอดงั้นเหรอ …… แหะ ๆ !” เขาคนนี้ฝืนยิ้มออกมา

        “นายก็เห็นแล้วนี่ว่าอาวุธที่อยู่บนแผงลอยของฉันไม่ได้มีเยอะเท่าไหร่ ความจริงแล้วนี่คืออาวุธที่ฉันเพิ่งจะสร้างมันออกมาเสร็จในเวลาสามเดือน ประสิทธิภาพการทำงานแบบนี้นายยังคิดว่าฉันคือผู้เชียวชาญการหลอมอาวุธระดับสุดยอดอย่างงั้นเหรอ” ชายผู้นี้กล่าว

        “อาวุธที่ดีสำคัญอยู่ที่คุณภาพไม่เกี่ยวกับจำนวน ประเทศจีนมีคำโบราณที่ว่า สิบปีหลอมหนึ่งดาบ ขอแค่เป็นอาวุธที่ดีจริง ๆ ถ้าจะใช้เวลาในการสร้างขึ้นนานมากสักหน่อยก็ถือเป็นเรื่องปกติ”

        “นายคิดว่าตอนนี้ใครจะให้เวลานายสิบปีเพื่อสร้างอาวุธหนึ่งชิ้นได้?”

        “ถูกของนาย” ไป๋อี้ยิ้มขึ้นมาเช่นเดียวกัน นิวซีแลนด์ในตอนนี้มีความอันตรายมาก ใครเล่าที่จะรอคอยการทำอาวุธหนึ่งชิ้นภายในระยะเวลาสิบปีได้ อีกทั้งอันที่จริงอาวุธที่วางอยู่บนแผงลอยของเขานอกเหนือจากปลายหอกที่ทำจากเขี้ยวพิษของตะขาบเกล็ดหยาดเลือดแล้ว อาวุธอย่างอื่นก็ไม่ถือว่ามีคุณภาพที่ดีนัก แต่ทว่าสิ่งที่ไป๋อี้สนใจนั่นก็คือเขาคนนี้ใช้วิธีอะไรในการหล่อหลอมวัสดุเข้าด้วยกันกันแน่

        “ขออภัย คุยกันมาตั้งนานขนาดนี้ยังไม่รู้ชื่อของนายเลย” ไป๋อี้พูดกับผู้เชียวชาญการหลอมอาวุธผู้นั้น

        “มัลวีย์ ฉันชื่อว่ามัลวีย์”

        “ถ้าอย่างนั้นมัลวีย์ หากจะพูดอย่างนี้มันอาจจะดูกะทันหันไป คือว่านายยินยอมที่จะช่วยฉันสร้างอาวุธสักหนึ่งชิ้นหรือว่านายมีความสนใจที่จะเข้าร่วมในทีมของฉันหรือเปล่า?” ไป๋อี้ถาม หากว่าจะสอบถามถึงวิธีที่มัลวีย์ใช้หล่อหลอมวัสดุเลยโดยตรงนั้นจะต้องได้รับคำปฏิเสธเป็นแน่

         “ให้ฉันสร้างอาวุธน่ะได้ แต่การเข้าร่วมทีมเอาไว้ก่อนเถอะ เพราะคาดว่าฉันคงทำได้แค่เป็นตัวถ่วงของทีมเท่านั้น และถ้าให้ฉันสร้างอาวุธให้ พวกนายจะต้องนำวัสดุมาเองนะ อีกทั้งค่าใช้จ่ายก็แพงมาก ๆ เลยล่ะ”

        ไป๋อี้ลุกขึ้นพร้อมหยิบเขี้ยวซี่หนึ่งออกมาจากถุงข้าง ๆ ชาร์ไป่ ซึ่งเขี้ยวซี่นี้มีความยาวไม่น้อยกว่าหนึ่งเมตรมีท่อนบนที่หนา และมีน้ำหนักมากอีกทั้งยังมีความใสแวววาวอีกด้วย

        “สิ่งนี้คือ!”

        “เขี้ยวของสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ชนิดหนึ่ง ส่วนรายละเอียดว่าเป็นสิ่งมีชีวิตอะไรฉันขอไม่พูดก็แล้วกัน สามารถทำได้ไหม?”

        “คาดว่า …… ทำไม่ได้หรอก!” มัลวีย์มีความลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ยิ้มเจื่อน ๆ ขึ้นมาพร้อมนำเขี้ยวซี่นั้นส่งกลับคืนให้กับไป๋อี้

        “อย่างนั้นเหรอ งั้นน่าเสียดายจริง ๆ เลย” หลังจากที่ไป๋อี้ได้ยินดังนั้นก็มีความผิดหวังเล็กน้อย เขี้ยวซี่นี้คือเขี้ยวของร่างทดลองของสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ ครั้งนั้นพวกไป๋อี้เองก็ได้ตกอยู่ในสงครามที่สุดแสนจะลำบากจนสุดท้ายถึงจะสามารถฆ่าเจ้านั่นให้ตายได้

        “หนึ่งปี ถ้านายสามารถรอจนถึงหนึ่งปีได้นะ อีกทั้งภายในหนึ่งปีนายจะต้องมอบอาหารและสมุนไพรที่เพียงพอกับฉันและก็สภาพแวดล้อมที่สงบด้วย” ทันใดนั้นเองมัลวีย์ก็ได้หวนนึกถึงคำพูดที่ไป๋อี้กล่าวพาดพิงถึงคำโบราณที่ว่า สิบปีหลอมหนึ่งดาบที่กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ขึ้นมา ก่อนจะกล่าวเช่นนั้นกับไป๋อี้อย่างฉับพลัน

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

[นิยายแปล] มหาวิบัติยีนกลายพันธุ์ 131 ช่างหลอมอาวุธผู้เชี่ยวชาญ

Now you are reading [นิยายแปล] มหาวิบัติยีนกลายพันธุ์ Chapter 131 ช่างหลอมอาวุธผู้เชี่ยวชาญ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

        “แย่แล้ว!” ทันใดนั้นเองบัคลีย์ก็ตะโกนออกมา “จู่ ๆ เมื่อกี้ก็รู้สึกหดหู่เป็นอย่างมากขึ้นมา เหมือนกับตกใจกลัวอะไรบางอย่าง ก็เลยลืมบอกพวกเขาไปว่าในหุบเขาหิมะยังมีกฎระเบียบที่ต้องปฏิบัติตามอยู่ด้วย”

        “ความจริงคนใหม่ที่เข้ามาหุบเขาหิมะในตอนแรกมักจะเกิดปัญหาขึ้นได้ง่ายมาก แต่ว่าไป๋อี้น่าจะไม่เป็นอะไรหรอกมั้ง”

        “ในเวลาที่รวดเร็วแบบนี้ใครจะไปก่อเรื่องอะไรได้ล่ะ โซลานายรีบรายงานเรื่องที่พวกไป๋อี้เดินทางมายังหุบเขาหิมะกับหัวหน้าซะ หัวหน้าจะต้องรีบไปหาพวกเขาอย่างรวดเร็วแน่ ๆ อย่างนั้นคงจะไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรอก” อีกหนึ่งคนกล่าวเตือนสติ

        “โอเค ๆ จะไปเดี๋ยวนี้แหละ” โซลาผู้นั้นพยักหน้าพร้อมกระพือปีกที่อยู่เบื้องหลังขึ้นมา จากนั้นเขาก็โผบินออกไปในทันที

        หลังจากเห็นโซลาบินออกไปไกลแล้วนั้น คนที่เหลือจึงมองไปยังเหยื่อที่อยู่บนพื้น โดยปกติแล้วภายในหุบเขาหิมะแห่งนี้ไม่ถือว่ามีผู้มาใหม่เยอะมากเท่าไหร่นัก ส่วนคนเก่าที่อาศัยอยู่นานแล้วล้วนส่งมอบอาหารตรงแผนกวัสดุกันเป็นครั้งครา เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้รับเหยื่อที่มีขนาดใหญ่มหึมาเช่นนี้ พวกเขาจึงสบตากันอีกครั้งสองครั้ง แล้วคิดในใจว่าเหยื่อที่ใหญ่ยักษ์เช่นนี้เราสามารถกักตุนไว้เป็นการส่วนตัวสักเล็กน้อยได้หรือไม่?

  ……

        จำนวนประชากรผู้พักอาศัยภายในหุบเขาหิมะแห่งนี้ไม่ถือว่าเยอะมาก แต่ผู้คนก็ยังอาศัยอยู่อย่างเบียดเสียด ผู้คนที่มีรูปร่างลักษณะแปลกประหลาดหลากหลายชนิดเดินขวักไขว่ไปมา มองดูแล้วมีความคึกคักมากทีเดียว นับตั้งแต่ที่ค้นพบมินต์น้ำแข็ง มนุษย์กลายพันธุ์จึงทยอยเคลื่อนย้ายมารวมตัวกันอยู่ ณ ที่แห่งนี้ ผ่านมาเป็นเวลาเพียงแค่ห้าเดือนกว่าเท่านั้น เมื่อมนุษย์กลายพันธุ์ได้ทำการก่อสร้างที่อยู่อาศัยขึ้นมาภายในหุบเขาหิมะจึงได้เกิดเป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง

        แน่นอนว่าหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งนี้มีความแปลกประหลาดอย่างมากเพราะบ้านเรือนและสิ่งก่อสร้างต่าง ๆ ล้วนแต่มีลักษณะเฉพาะตัว เพราะอันที่จริงรูปร่างหน้าตาของมนุษย์กลายพันธุ์ทุกคนในตอนนี้ก็มีความแตกต่างกันราวกับฟ้ากับเหว เพราะฉะนั้นการที่สิ่งก่อสร้างจะมีความเหมาะสมกับความเป็นอยู่ของทุกคนนั้นจึงเป็นเรื่องที่เป็นไม่ได้อย่างสิ้นเชิง ดังนั้นจึงมีทั้งการสร้างรังด้วยการขุดรูตรงบริเวณเหวของภูเขาบ้าง การสร้างน้ำแข็งเพื่อใช้ก่อกำแพงทำเป็นบ้านบ้าง

        หลังจากผ่านระยะหิวโหยจนถึงระยะดุร้ายเหี้ยมโหดมาแล้ว ร่างกายของมนุษย์กลายพันธุ์โดยพื้นฐานก็จะมีความมั่นคงและเสถียรมากขึ้น รวมถึงมีความคุ้นชินกับอาการงงงวยและความสับสนอลหม่านในระยะแรกได้เป็นอย่างดี ทุกคนต่างก็เริ่มซึมซับคุ้นชินกับชีวิตความเป็นอยู่เช่นนี้ไปอย่างช้า ๆ

        บนถนนหนทางมีการค้าขายแลกเปลี่ยนสิ่งของบางอย่าง หลังจากที่สกุลเงินล่มสลายไปแล้วนั้นวิถีการซื้อขายแลกเปลี่ยนที่โบราณที่สุดเช่นนี้กลับถูกนำกลับมาใช้อีกครั้ง

        อาหาร อาวุธ สมุนไพร วัตถุซากปรักหักพังของนิวซีแลนด์ …… สรุปแล้วสิ่งที่ผู้คนคิดว่ามีประโยชน์ล้วนสามารถกลายมาเป็นสินค้าแลกเปลี่ยนกันได้ทั้งนั้น สถานที่ที่มีผู้คนอาศัยอยู่จึงเกิดการแลกเปลี่ยนกันขึ้นจนกลายเป็นตลาดที่โบราณที่สุดแห่งหนึ่ง ซึ่งมนุษย์กลายพันธุ์เหล่านี้เดิมทีล้วนแต่เป็นมนุษย์ที่เคยใช้ชีวิตอยู่ในสังคมอันเจริญรุ่งเรืองมาก่อนทั้งสิ้น

        ไป๋อี้และสหาย เดินอยู่บนถนนพร้อมทั้งสีหน้าที่แสดงออกชัดเจนว่ามีความสนใจในทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่บริเวณรอบ ๆ เป็นอย่างมาก

        แต่ทว่าจุดมุ่งหมายหลักของการมาเยือนสถานที่แห่งนี้ของพวกไป๋อี้ในก็คือการมาค้นหาเพื่อนร่วมทีมคนใหม่ ซึ่งพวกเขาไม่ทราบเช่นกันว่าที่แห่งนี้จะมีสถานที่ที่เอาไว้ตามหามิตรสหายเข้าร่วมทีมโดยเฉพาะหรือไม่ แต่พวกไป๋อี้ก็ทราบดีอยู่แล้วว่าแหล่งรวมตัวกันที่อื่น ๆ โดยพื้นฐานแล้วก็จะมีลานจัตุรัสสำหรับตามหาสมาชิกโดยเฉพาะอยู่ เนื่องจากมีผู้เร่ร่อนจำนวนมากต้องการที่จะตามหาทีมที่เหมาะสมกับตัวเอง และมีหลายทีมที่ต้องการตามหาสมาชิกที่เหมาะสมเข้าร่วมทีมเช่นกัน ปัจจุบันนี้การอยู่คนเดียวหรือการมีชีวิตอยู่ต่อไปเพียงลำพังในนิวซีแลนด์เป็นไปได้ยากมาก และแน่นอนว่าหากสายตาของคนผู้นั้นไม่หลักแหลมพอ แล้วไปเข้าร่วมอยู่ในทีมที่ย่ำแย่ล่ะก็ บางทีอาจจะทำให้ต้องตายเร็วยิ่งขึ้นไปอีกก็เป็นได้

        “เฮ้ เพื่อน ที่นี่มีสถานที่เอาไว้ตามหาสมาชิกเข้าทีมหรือเปล่า” ไป๋อี้ได้สอบถามไปยังผู้ที่ขายอาวุธอยู่ริมถนนคนหนึ่งซึ่งตัวของเขามีเกล็ดของกิ้งก่างอกออกมาทั่วตัว

        “อาวุธ!”

        ไป๋อี้ยิ้มขึ้นมา เช่นนั้นก็ได้ รู้อยู่แล้วว่าเขาคงไม่บอกเปล่า ๆ หรอก ต่อให้เป็นเพียงข่าวสารที่เรียบง่ายเช่นนี้ก็ตาม “โอเค ฉันจะเลือกอาวุธหนึ่งอย่าง แล้วนายก็บอกฉันมาว่าที่ไหนเป็นที่ที่เอาไว้ตามหาสมาชิกเข้าทีม ตกลงไหม” ไป๋อี้กล่าว

        “OK!” เมื่อเห็นว่าไป๋อี้มีความตรงไปตรงมาเช่นนี้ ชายผู้นี้จึงได้ฉีกยิ้มออกมา

        อาวุธของชายผู้นี้ล้วนลับมาจากฟัน โครงกระดูก ซึ่งเป็นจุดที่แข็งแกร่งของสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ทั้งนั้น โดยแบ่งออกเป็นสามระดับซึ่งแลกเปลี่ยนด้วยเนื้อสัตว์หรือวัสดุที่สามารถนำมาสร้างเป็นอาวุธได้ ชิ้นที่ถูกที่สุดนั้นจ่ายเพียงเนื้อสัตว์ห้ากิโลกรัมเท่านั้น ถึงแม้ว่าพวกไป๋อี้เองได้นำเหยื่อหนึ่งตัวมอบให้กับแผนกยามรักษาการไปแล้ว แต่ทว่าภายในหีบห่อบนตัวของชาร์ไป่ยังมีอาหารอื่น ๆ อยู่อีก ทั้งยังเป็นเนื้อสัตว์ที่ค่อนข้างอร่อยและมีโภชนาการอีกด้วย

        ไป๋อี้เปิดถุงออกพร้อมหั่นเนื้อสัตว์หนึ่งชิ้นออกมาจากภายในถุง จากนั้นจึงโยนให้ชายผู้นั้นไป

        “บอกฉันมาได้แล้วใช่ไหมว่าสถานที่ที่เอาไว้ตามหาสมาชิกเข้าร่วมทีมอยู่ที่ไหน?” ไป๋อี้เห็นว่าผู้ชายคนนี้ยังหยิบเครื่องชั่งสปริงขนาดเล็กออกมาชั่งน้ำหนักอยู่อีก เขาจึงหัวเราะออกมาอย่างหมดคำจะพูด ตามความสามารถในการหั่นของไป๋อี้นั้น เพียงแค่ลงมือหั่นตามสัญชาตญาณ โดยปกติแล้วจะไม่เกิดความผิดพลาดขึ้นแน่นอน เนื้อสัตว์ชิ้นนี้มีน้ำหนักห้ากิโลกรัมจริง ๆ หากมีขาดเกินก็คงเป็นจำนวนเพียงน้อยนิดเท่านั้น

        “หนักไปนิดหน่อย ให้ฉันคืนให้นายไหม สามารถกินได้อีกหนึ่งคำเชียวนะ”

        “เครื่องชั่งสปริงของนายพังแล้วต่างหาก ใช้มานานเท่าไหร่แล้ว สปริงที่อยู่ข้างในหย่อนแล้วแน่ ๆ เลย” ไป๋อี้อยากจะฝืนยิ้มขึ้นมาเสียจริง เจ้าคนนี้นี่จริง ๆ เลยเชียว “โอเคหรือยัง บอกพวกเรามาหน่อยว่าตรงไหนสามารถตามหาสมาชิกเข้าร่วมทีมได้?”

        “สปริงหย่อนแล้วเหรอเนี่ย มิน่าล่ะ …… จากตรงนี้เดินเข้าไปข้างในจากนั้นก็เดินไปทางซ้าย แล้วเดินผ่านถนนเล็ก ๆ เส้นหนึ่ง ก็จะมีลานจัตุรัสแห่งหนึ่งอยู่ตรงนั้น” เมื่อชายผู้นี้ได้ยินไป๋อี้พูดมาเช่นนั้นเขาจึงนำเนื้อสัตว์ชิ้นนี้ใส่ไว้ในถุงของตนเอง

        “ขอบใจนะ” ไป๋อี้กล่าวพร้อมลุกขึ้นยืน

        “เดี๋ยวสิ นายยังไม่เลือกอาวุธเลยนะ” เมื่อชายผู้นี้เห็นว่าไป๋อี้จะเดินออกไปทันใด เขาจึงดึงไป๋อี้ไว้ทันที

        ไป๋อี้มองชายผู้นี้แล้วจึงมีความรู้สึกหดหู่ขึ้นมา เจ้าคนนี้ช่างซื่อสัตย์เสียจริง หากเป็นเจ้าของร้านค้าทั่วไปละก็คงอยากจะให้พวกไป๋อี้เดินออกไปตัวเปล่าจนใจจะขาด การทำเช่นนี้ก็จะสามารถประหยัดอาวุธได้ไม่น้อยเลยทีเดียว แต่ทว่าในใจของไป๋อี้นั้นกลับมีความสุขขึ้นมา ความจริงแล้วผู้ที่ซื่อสัตย์เช่นนี้ไม่ได้ทำให้ผู้อื่นเกลียดชังเลยแม้แต่น้อย ในเมื่อเป็นเช่นนี้เขาก็เลยตั้งใจเลือกสรรอาวุธสักอย่างหนึ่งขึ้นมา

        สำหรับเนื้อสัตว์ห้ากิโลกรัมถือว่าเป็นราคาที่ต่ำที่สุด พูดอีกอย่างก็คือต้องเลือกอาวุธชิ้นที่คุณภาพแย่ที่สุดนั่นเอง ไป๋อี้ได้หยิบมีดสั้นเล่มหนึ่งที่มีความยาวราว ๆ ครึ่งเมตรออกมาตามอำเภอใจ จากนั้นจึงชักมันออกมาจากปลอกหนัง ลักษณะของมีดเล่มนี้แลดูเกลี้ยงเกลา มันวาว อีกทั้งยังคมกริบอีกด้วย เพียงแค่คราเดียวไป๋อี้ก็มองออกแล้ว สำหรับเรื่องของมีดนั้นเป็นเรื่องถนัดของไป๋อี้อยู่แล้ว จากนั้นไป๋อี้ก็ได้กางนิ้วมือออกมาแล้วดีดไปยังใบมีดสีเขียวอ่อนแกมเหลือง ทันใดนั้นก็เกิดเป็นเสียงใส ๆ ดังกิ๊งออกมา สำหรับความเหนียวแน่นก็ถือว่าไม่เลวเลย แต่ทำได้แค่เพียงจัดอยู่ในจำพวกอาวุธธรรมดาเท่านั้น ไม่ถือว่าเยี่ยมยอดสักเท่าไหร่ แต่ทว่าสำหรับเนื้อสัตว์ห้ากิโลกรัมนั้นถือว่าประสิทธิภาพเหมาะสมกับราคาเลยทีเดียว

        “เอาเล่มนี้แหละ” ไป๋อี้นำมีดสั้นใส่ปลอกกลับคืนจากนั้นจึงถามขึ้นมาอีกหนึ่งประโยคโดยไม่ได้คิดอะไรมาก “มีดเล่มนี้ลับมาจากเขี้ยวของสัตว์ชนิดไหนเหรอ?”

        “ลับมาจากเขาเดี่ยวของแมลงกินซากน่ะ”

        “อ๋อ……” ไป๋อี้หันตัวกลับไป และทันใดนั้นเองเขาก็ต้องตกตะลึง แมลงกินซากเหรอ เป็นไปไม่ได้ เพราะสิ่งมีชีวิตชนิดนั้นขนาดใหญ่ที่สุดก็ไม่เกินหนึ่งเมตรกว่า บนศีรษะของมันมีเขาเล็ก ๆ ที่สั้นและหนาอยู่ก็จริง แต่โดยพื้นฐานแล้วความยาวของมันจะมีเพียง 20 ถึง 30 เซนติเมตรเท่านั้น ซึ่งเขาขนาดเล็กเช่นนี้มีประโยชน์ใช้สอยในการนำมาเป็นของประดับตกแต่งมากกว่าการนำมาสร้างเป็นอาวุธต่อสู้เสียอีก อีกทั้งตามที่ไป๋อี้ทราบมานั้นเขาของมันก็ไม่ได้มีความแข็งแรงทนทานเท่าไหร่นัก เจ้าคนนี้ทำอย่างไรถึงนำเขาขนาดเล็กเช่นนี้สร้างเป็นมีดสั้นที่มีความยาวครึ่งเมตรพร้อมทั้งระดับความแข็งแรงและความเหนียวแน่นอันสุดยอดเช่นนี้ได้กันนะ ?

        “แมลงกินซาก แมลง~ชนิดที่มีความยาวหนึ่งเมตรนั่นเหรอ?” ไป๋อี้หันกลับมาสอบถามอีกครั้ง

        “อืม สิ่งนั้นแหละ”

        ไป๋อี้เกิดความสนใจขึ้นมาในทันที จึงได้ลงไปนั่งยอง ๆ อีกครั้ง พร้อมทั้งมองสำรวจแผงขายของนี้อย่างระมัดระวัง อาวุธที่วางอยู่ด้านบนแผงขายของเขาไม่ได้มีเยอะมากนัก ซึ่งมีดเล่มที่อยู่ในมือของไป๋อี้นั้นคุณภาพแย่ที่สุดแล้ว นอกจากนั้นยังมีอีก 4 เล่มที่คุณภาพดีขึ้นมาหน่อย ซึ่งถือว่าไม่เลวเลยทีเดียว สำหรับอาวุธชิ้นสุดท้ายนั้นมีคุณภาพดีที่สุด คิดไม่ถึงเลยว่าจะมีเพียงครึ่งท่อน มีเพียงปลายหอกเท่านั้น

        ก่อนหน้านี้ไป๋อี้ยังไม่รู้ซึ้ง แต่ครานี้เมื่อได้เข้ามาสังเกตดูด้วยระยะใกล้แล้วนั้น ไป๋อี้จึงพบว่าปลายหอกสีแดงเข้มชิ้นนี้มีน้ำหนักและมีความคมกริบอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ พร้อมทั้งยังมีกลิ่นคาวเลือดกระจายออกมาจาง ๆ อีกด้วย

        “อันนี้ไม่ขาย แค่แลกเปลี่ยนกับวัสดุทำอาวุธเท่านั้นซึ่งจะต้องเป็นวัสดุที่คุณภาพระดับสุดยอดเท่านั้น”

        “อันนี้ทำมาจากวัสดุอะไรเหรอ?”

        “เขี้ยวของตะขาบเกล็ดหยาดเลือด!”

        “เขียวของตะขาบเกล็ดหยาดเลือด!” แม้แต่พวกไป๋อี้เองก็ยังต้องประหลาดใจ รูปร่างของตะขาบเกล็ดหยาดเลือดนั้นไม่ได้ใหญ่นัก ปกติแล้วมันมีความยาวเพียงแค่ครึ่งเมตรเท่านั้นซึ่งไม่ถือว่าใหญ่มาก แต่ทว่าตะขาบเกล็ดหยาดเลือดเป็นสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ที่หลายคนภาวนาที่ไม่อยากจะพบเจอเอาเสียเลย เพราะคนส่วนมากที่พบเจอสิ่งมีชีวิตชนิดนี้เข้าจะต้องตายสถานเดียวเท่านั้น ร่างกายที่แข็งแรง เขียวที่คมกริบทั้งยังมีพิษร้ายแรงพร้อมท่าทางที่คล่องตัวของมัน ทำให้ผู้คนส่วนมากมีความหวาดกลัวเมื่อพบเจอ

        อันที่จริงเขียวของตะขาบเกล็ดหยาดเลือดเป็นวัสดุในการสร้างอาวุธที่เยี่ยมยอดจริง ๆ ไม่เพียงแต่แข็งแรงทั้งยังมีพิษร้ายแรงจากการแตกตัวของเม็ดเลือดแดงที่มีอยู่กับตัวมันอีกด้วย แต่ทว่าร่างกายของมันเล็กเกินไป แม้กระทั่งสร้างให้เป็นกริชก็ยังถือว่าสั้นเกินไปเลยด้วยซ้ำ ปลายหอกชิ้นนี้มีความยาวราว ๆ 20 เซนติเมตร ซึ่งมันไม่ใช่ขนาดของเขียวตะขาบเกล็ดหยาดเลือดเลยแต่หากว่าหลอมรวมกันสัก 4 หรือ 5 ซี่ก็อาจจะเป็นไปได้

        หลอมรวมกัน!

        เมื่อไป๋อี้คิดได้เช่นนี้จึงได้สังเกตเห็นรอยยาวบนปลายหอก ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าเป็นเพียงลวดลายธรรมดาเท่านั้น ขณะนี้เมื่อพิจารณาดูจึงพบว่ารอยนี้เป็นรอยยาวที่มาจากการหลอมรวมเป็นแน่

        คนคนนี้ จะต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญการหลอมอาวุธที่มีระดับฝีมือสุดยอดที่สุดผู้หนึ่งอย่างแน่นอน !

        “ฉันสงสัยมาก นายที่เป็นผู้เชียวชาญการหลอมอาวุธระดับสุดยอดแบบนี้ทำไมถึงได้มาเปิดแผงลอยขายของอยู่ในสถานที่แห่งนี้ได้ล่ะ มองดูแล้วท่าทางนายคงไม่ได้มีชีวิตสุขสบายเท่าไหร่นะ”

        “ผู้เชี่ยวชาญการหลอมอาวุธระดับสุดยอดงั้นเหรอ …… แหะ ๆ !” เขาคนนี้ฝืนยิ้มออกมา

        “นายก็เห็นแล้วนี่ว่าอาวุธที่อยู่บนแผงลอยของฉันไม่ได้มีเยอะเท่าไหร่ ความจริงแล้วนี่คืออาวุธที่ฉันเพิ่งจะสร้างมันออกมาเสร็จในเวลาสามเดือน ประสิทธิภาพการทำงานแบบนี้นายยังคิดว่าฉันคือผู้เชียวชาญการหลอมอาวุธระดับสุดยอดอย่างงั้นเหรอ” ชายผู้นี้กล่าว

        “อาวุธที่ดีสำคัญอยู่ที่คุณภาพไม่เกี่ยวกับจำนวน ประเทศจีนมีคำโบราณที่ว่า สิบปีหลอมหนึ่งดาบ ขอแค่เป็นอาวุธที่ดีจริง ๆ ถ้าจะใช้เวลาในการสร้างขึ้นนานมากสักหน่อยก็ถือเป็นเรื่องปกติ”

        “นายคิดว่าตอนนี้ใครจะให้เวลานายสิบปีเพื่อสร้างอาวุธหนึ่งชิ้นได้?”

        “ถูกของนาย” ไป๋อี้ยิ้มขึ้นมาเช่นเดียวกัน นิวซีแลนด์ในตอนนี้มีความอันตรายมาก ใครเล่าที่จะรอคอยการทำอาวุธหนึ่งชิ้นภายในระยะเวลาสิบปีได้ อีกทั้งอันที่จริงอาวุธที่วางอยู่บนแผงลอยของเขานอกเหนือจากปลายหอกที่ทำจากเขี้ยวพิษของตะขาบเกล็ดหยาดเลือดแล้ว อาวุธอย่างอื่นก็ไม่ถือว่ามีคุณภาพที่ดีนัก แต่ทว่าสิ่งที่ไป๋อี้สนใจนั่นก็คือเขาคนนี้ใช้วิธีอะไรในการหล่อหลอมวัสดุเข้าด้วยกันกันแน่

        “ขออภัย คุยกันมาตั้งนานขนาดนี้ยังไม่รู้ชื่อของนายเลย” ไป๋อี้พูดกับผู้เชียวชาญการหลอมอาวุธผู้นั้น

        “มัลวีย์ ฉันชื่อว่ามัลวีย์”

        “ถ้าอย่างนั้นมัลวีย์ หากจะพูดอย่างนี้มันอาจจะดูกะทันหันไป คือว่านายยินยอมที่จะช่วยฉันสร้างอาวุธสักหนึ่งชิ้นหรือว่านายมีความสนใจที่จะเข้าร่วมในทีมของฉันหรือเปล่า?” ไป๋อี้ถาม หากว่าจะสอบถามถึงวิธีที่มัลวีย์ใช้หล่อหลอมวัสดุเลยโดยตรงนั้นจะต้องได้รับคำปฏิเสธเป็นแน่

         “ให้ฉันสร้างอาวุธน่ะได้ แต่การเข้าร่วมทีมเอาไว้ก่อนเถอะ เพราะคาดว่าฉันคงทำได้แค่เป็นตัวถ่วงของทีมเท่านั้น และถ้าให้ฉันสร้างอาวุธให้ พวกนายจะต้องนำวัสดุมาเองนะ อีกทั้งค่าใช้จ่ายก็แพงมาก ๆ เลยล่ะ”

        ไป๋อี้ลุกขึ้นพร้อมหยิบเขี้ยวซี่หนึ่งออกมาจากถุงข้าง ๆ ชาร์ไป่ ซึ่งเขี้ยวซี่นี้มีความยาวไม่น้อยกว่าหนึ่งเมตรมีท่อนบนที่หนา และมีน้ำหนักมากอีกทั้งยังมีความใสแวววาวอีกด้วย

        “สิ่งนี้คือ!”

        “เขี้ยวของสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ชนิดหนึ่ง ส่วนรายละเอียดว่าเป็นสิ่งมีชีวิตอะไรฉันขอไม่พูดก็แล้วกัน สามารถทำได้ไหม?”

        “คาดว่า …… ทำไม่ได้หรอก!” มัลวีย์มีความลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ยิ้มเจื่อน ๆ ขึ้นมาพร้อมนำเขี้ยวซี่นั้นส่งกลับคืนให้กับไป๋อี้

        “อย่างนั้นเหรอ งั้นน่าเสียดายจริง ๆ เลย” หลังจากที่ไป๋อี้ได้ยินดังนั้นก็มีความผิดหวังเล็กน้อย เขี้ยวซี่นี้คือเขี้ยวของร่างทดลองของสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ ครั้งนั้นพวกไป๋อี้เองก็ได้ตกอยู่ในสงครามที่สุดแสนจะลำบากจนสุดท้ายถึงจะสามารถฆ่าเจ้านั่นให้ตายได้

        “หนึ่งปี ถ้านายสามารถรอจนถึงหนึ่งปีได้นะ อีกทั้งภายในหนึ่งปีนายจะต้องมอบอาหารและสมุนไพรที่เพียงพอกับฉันและก็สภาพแวดล้อมที่สงบด้วย” ทันใดนั้นเองมัลวีย์ก็ได้หวนนึกถึงคำพูดที่ไป๋อี้กล่าวพาดพิงถึงคำโบราณที่ว่า สิบปีหลอมหนึ่งดาบที่กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ขึ้นมา ก่อนจะกล่าวเช่นนั้นกับไป๋อี้อย่างฉับพลัน

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+