[นิยายแปล] มหาวิบัติยีนกลายพันธุ์ 113 ผีบ้าแอนนา

Now you are reading [นิยายแปล] มหาวิบัติยีนกลายพันธุ์ Chapter 113 ผีบ้าแอนนา at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

 

       หลังจากได้สื่อสารกันอย่างเรียบง่ายแล้ว ผีเสื้อกลืนกินวิญญาณเหล่านี้ก็เข้าใจคำขอร้องของพวกไป๋อี้และยินยอมที่จะเดินทางไปกับพวกไป๋อี้เป็นการชั่วคราว

        จากการสื่อสารกันระหว่างโม่โม่และผีเสื้อกลืนกินวิญญาณ พวกไป๋อี้ถึงได้รู้ว่าผีเสื้อกลืนกินวิญญาณเหล่านี้มีความเคยชินในการกำหนดเวลาเฉพาะสำหรับการออกไปหาอาหารในตัวของพวกมันเองอยู่แล้ว สำหรับผีเสื้อกลืนกินวิญญาณ เหล่าภูตผีและผีร้ายก็เป็นเพียงอาหารเท่านั้น เมื่อมีผีเสื้อกลืนกินวิญญาณกลุ่มใหญ่ขนาดนี้นำทางไปด้วย พวกไป๋อี้เองก็ไม่ต้องเป็นกังวลเรื่องผีร้ายอีกแล้ว โม่โม่เป็นที่ชื่นชอบของเหล่าผีเสื้อกลืนกินวิญญาณเหล่านี้เป็นที่สุด เมื่อคนอื่น ๆ เห็นโม่โม่กำลังถูกผีเสื้อกลืนกินวิญญาณกลุ่มใหญ่ล้อมรอบอยู่ต่างก็เผยรอยยิ้มที่สดใสออกมาระคนไปด้วยความอิจฉาเล็กน้อย

        ไป๋อี้และคนทั้งกลุ่มได้เดินออกไปใหม่อีกรอบและข้าง ๆ ของโม่โม่นั้นก็มีผีเสื้อกลืนกินวิญญาณกลุ่มใหญ่ตามมาด้วย

    ……

        พวกไป๋อี้เดินกลับไปยังเส้นทางที่พวกเขาวิ่งหนีมาก่อนหน้านี้ ขณะที่ยังไม่ทันได้ออกไปไกลนักพวกเขาก็มองเห็นผีแก่จอห์นนี่และหลานสาวของเขาเนสซ่า ชัดเจนว่าหลังจากที่พวกเขาวิ่งหนีกระเจิงไปก่อนหน้านี้ ภูตผีสองตนนี้ก็ยังมีความเป็นห่วงพวกไป๋อี้อยู่

        ขณะที่โม่โม่เห็นผีสองตนนั้น ทางฝ่ายผีเองก็มองเห็นพวกไป๋อี้ด้วยเช่นกัน แต่ทว่าเมื่อจอห์นนี่และเนสซ่ามองเห็นผีเสื้อกลืนกินวิญญาณกลุ่มใหญ่กลุ่มนั้นที่อยู่ข้าง ๆ พวกไป๋อี้ พวกเขาก็แสดงสีหน้าตกใจกลัวออกมาทันทีจากนั้นก็ลอยออกไปอย่างรวดเร็ว และหายไปราวกับควันไฟ ในฐานะผีที่อาศัยอยู่ในสถานที่แห่งนี้มานานกว่าครึ่งปีเขาจะไม่รู้ความร้ายกาจของผีเสื้อกลืนกินวิญญาณได้อย่างไร

        ผีเสื้อกลืนกินวิญญาณที่อยู่ข้าง ๆ พวกไป๋อี้ได้บินตามพวกเขาไปในทันทีราวกับเห็นผีสองตนนั้นเป็นเหยื่อของตน

        “โม่โม่ อย่าให้ผีเสื้อกลืนกินวิญญาณทำร้ายพวกเขานะ” ไป๋อี้และคนอื่น ๆ ไม่สามารถมองเห็นผีวิญญาณได้ แต่หลังจากที่โม่โม่บอกว่าเมื่อสักครู่ผีเสื้อกลืนกินวิญญาณได้บินติดตามจอห์นนี่และเนสซ่าไป ไป๋อี้ก็รีบบอกให้โม่โม่ปรามผีเสื้อกลืนกินวิญญาณกลุ่มนั้นไว้ทันที ไป๋อี้ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าโม่โม่สื่อสารกับผีเสื้อกลืนกินวิญญาณกลุ่มนี้อย่างไร ถึงแม้เขาเองก็ได้รับการผสานรวมยีนของผีเสื้อเข้าไปด้วยเช่นกันแต่เมื่อเทียบกันแล้วคล้ายกับว่าโม่โม่จะมีความสนิทสนมกับสัตว์มากกว่า

       ในขณะที่พวกไป๋อี้กำลังวิ่งตามจอห์นนี่และเนสซ่าผีสองตนนี้อยู่นั้น ผีทั้งสองตนก็กำลังถูกล้อมไว้อยู่ตรงกลางถนน แม้กระทั่งจะขยับตัวไปไหนก็ไม่สามารถทำได้

        ความจริงแล้วรูปกายของผีเสื้อกลืนกินวิญญาณนั้นอ่อนแอมากซึ่งก็ไม่ได้มีความแตกต่างอะไรกับผีเสื้อธรรมดา หากปล่อยไว้ข้างนอกและเผชิญหน้ากับสิ่งมีชีวิตตัวอื่น ผีเสื้อกลืนกินวิญญาณก็คงเป็นเพียงอาหารให้กับผู้ล่าตัวอื่น ๆ อย่างสิ้นเชิงเช่นกัน สำหรับภูตผีวิญญาณผู้ใสซื่อและผีร้ายนั้นผีเสื้อกินวิญญาณก็คือหายนะโดยธรรมชาติ กล่าวได้เพียงว่าวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตนั้นเดิมทีก็คือการที่สิ่งหนึ่งถูกอีกสิ่งหนึ่งคุกคาม ซึ่งมีเซลล์ดัดแปลงเป็นตัวนำ อีกทั้งสภาพแวดล้อมในลักษณะพิเศษของเวลลิงตันจึงเกิดวิวัฒนาการเป็นผีเสื้อกลืนกินวิญญาณชนิดนี้

        ยิ่งไปกว่านั้นในขณะที่เผชิญหน้ากับผีเสื้อกลืนกินวิญญาณ ดูเหมือนว่าแม้แต่ความสามารถทะลุสรรพสิ่งของภูตผีวิญญาณเหล่านี้ก็ใช้งานไม่ได้ ร่างกายราวกับถูกพลังอะไรบางอย่างตรึงไว้และถูกมัดอยู่กับที่อย่างไรอย่างนั้น

        “เฮ้ เจอกันอีกแล้วนะครับ” ไป๋อี้มองไปยังภูตผีสองตนที่ปรากฏเป็นเงาอันหม่นมัวอยู่ตรงกลางของถนน

        “เฮ้…!” หลังจากที่จอห์นนี่ได้ยินคำทักทายของไป๋อี้แล้วก็เพียงแค่ยิ้มเจื่อน ๆ ให้ สถานการณ์ตอนนี้เขายังยิ้มไม่ออกหรอกนะ

        “เอ พวกคุณพูดได้ด้วยเหรอ?” ไป๋อี้และคนอื่น ๆ ล้วนประหลาดใจอย่างถึงที่สุด ถึงแม้เสียงที่ได้ยินจะเลือนรางมากแต่ว่าก็สามารถฟังได้ใจความอย่างชัดเจน

        “ให้ผีเสื้อพวกนี้ออกไปหน่อยได้ไหม แล้วฉันจะอธิบายให้พวกเธอฟัง” จอห์นนี่พูดขึ้น

        จากนั้นไป๋อี้ก็ส่งสัญญาณให้โม่โม่บอกผีเสื้อกลืนกินวิญญาณให้ออกมา ครั้นหลังจากที่ผีเสื้อกลืนกินวิญญาณเหล่านี้ออกมาแล้ว จอห์นนี่และเนสซ่าผีสองตนนี้ก็หายแวบไปกลางอากาศในทันที แต่ทว่าเมื่อเห็นโม่โม่มองไปตรงจุดหนึ่งตลอดก็รู้ได้ทันทีว่าภูตผีสองตนไม่ได้หายไปจากที่นี่แต่อย่างใด เพียงแค่พวกไป๋อี้มองไม่สามารถเห็นได้เหมือนเมื่อครู่นี้ก็เท่านั้น ทันใดนั้นก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ก่อนหน้านี้ก็เคยมีสถานการณ์แบบนี้เกิดขึ้น ตอนที่เนสซ่าเคยปรากฏตัวออกมาเพื่อหลอกพวกไป๋อี้ ก่อนหน้านี้พวกไป๋อี้ไม่ทันได้คิดว่าต้องการถามเกี่ยวกับเรื่อง ๆ นี้เนื่องจากเวลาอันกระชันชิด แต่ครั้งนี้พวกเขาจะต้องถามให้ชัดเจนให้ได้

        หลังจากได้ยินคำอธิบายจากพวกจอห์นนี่พวกไป๋อี้จึงเข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่

       ดินแดนสิงสถิตคือสภาพแวดล้อมที่พิเศษประเภทหนึ่ง ภายในดินแดนสิงสถิตนั้นวิญญาณผีเหล่านี้สามารถรักษาตัวตนการมีอยู่ของตนเองได้ในระยะยาวและยิ่งเป็นบริเวณที่มีสิ่งดึงดูดรุนแรงแล้วละก็ ผลกระทบที่วิญญาณผีได้รับต่อโลกความจริงก็จะมากยิ่งขึ้น ตัวอย่างเช่น ถ้าตอนนี้พวกไป๋อี้เข้าสู่ใจกลางของเวลลิงตันจะสามารถมองเห็นผีร้ายเหล่านั้นได้ด้วยตาเปล่าโดยตรง และอีกวิธีหนึ่งที่จะเพิ่มผลกระทบต่อโลกภายนอกได้นั้นก็คือพละกำลังที่มีอยู่กับตัว หากว่าเป็นผีที่มีพลังที่แข็งแกร่งอยู่แล้วแม้จะอยู่บริเวณที่มีสิ่งดึงดูดเบาบางภายในดินแดนสิงสถิต ก็จะยังสามารถปรากฏตัวออกมาได้และจะสามารถสนทนากับสิ่งมีชีวิตที่มีชีวิตอยู่ได้เช่นกัน

        ตัวอย่างเช่นก่อนหน้านี้ที่เนสซ่าปรากฏตัวออกมาเพื่อหลอกพวกไป๋อี้นั่นเอง

        แต่ทว่าเนสซ่าไม่ได้มีพลังที่แข็งแกร่งพอ เธอเพียงแค่ปรากฏวิญญาณออกมาได้ในรูปแบบเรียบง่ายเท่านั้น สถานการณ์เช่นนี้ไม่สามารถคงอยู่ได้นานเพราะถ้าหากใช้พลังนี้เป็นเวลานาน จะทำให้เกิดผลเสียที่รุนแรงมากต่อร่างกายของพวกเขา

        ฉะนั้นแล้วไม่ใช่ว่าจอห์นนี่ไม่อยากสื่อสารกับพวกไป๋อี้โดยตรง แต่สำหรับระดับพลังความสามารถของพวกเขาในตอนนี้นั้นไม่สามารถทำได้

        หลังจากที่ได้ยินสิ่งที่จอห์นนี่อธิบายเช่นนั้นแล้วไป๋อี้เองก็ไม่ได้กล่าวโทษพวกเขา เขาเพียงแค่สอบถามเกี่ยวกับข่าวสารที่เกี่ยวข้องให้ชัดเจนยิ่งขึ้นจากนั้นก็จดบันทึกไว้เท่านั้น

        ‘เคยเห็นคนหน้าตาแบบนี้ไหมครับ …….?’ หลังจากที่สอบถามถึงสาเหตุที่วิญญาณผีเหล่านี้แวบหายไปมาและปรากฏตัวออกมาได้เป็นบางเวลาแล้ว ในที่สุดไป๋อี้ก็ถามคำถามที่เกี่ยวกับจุดมุ่งหมายจริง ๆ ในการมาเวลลิงตันในครั้งนี้ของพวกเขา

        ‘พวกเธอมาที่นี่เพื่อตามหาคนหรอกเหรอ เป็นเพื่อนกันอย่างนั้นเหรอ การที่เข้ามายังสถานที่แห่งนี้มันอันตรายมากจริง ๆ นะ’

        ‘เพื่อนเหรอ …… ไม่ใช่แน่นอน!’ สีหน้าของไป๋อี้ทั้งเย็นชาและเหี้ยมโหด

        ถึงแม้ไม่สามารถสื่อสารกันได้โดยตรงแต่ทว่าจอห์นนี่และเนสซ่าเองก็ยังคงสามารถมองเห็นสีหน้าของไป๋อี้ได้อยู่ พอเห็นท่าทางของไป๋อี้แล้วก็รู้ได้ทันทีว่าหยูหานที่พวกเขาพูดถึงนั้นไม่ใช่เพื่อนอย่างแน่นอน จอห์นนี่ผีแก่ตนนี้ค่อนข้างอ่านสีหน้าคนออกพอสมควร เขาบอกกับไป๋อี้ว่าเขาสามารถประกาศบอกกับวิญญาณผีตัวอื่น ๆ ได้ว่าหากเจอพวกหยูหานละก็ให้รีบบอกไป๋อี้ให้เร็วที่สุด จากนั้นจอห์นนี่ก็พาเนสซ่าออกไปจากวงล้อมของผีเสื้อกลืนกินวิญญาณด้วยความหวาดกลัว

        “ลุงไป๋อี้ครับ จะปล่อยพวกเขาไปอย่างนี้เลยเหรอ?” เวอร์เนอร์ไม่เข้าใจ

        “อืม ปล่อยพวกเขาไปก็ไม่เป็นไรหรอก” ไป๋อี้เผยรอยยิ้มออกมา อันที่จริงถึงจะไม่ให้พวกเขาไปก็ใช่ว่าจะเกิดประโยชน์อะไรตามมา ในเมื่อการที่ให้พวกเขาอยู่ต่อก็ไม่สามารถบีบเค้นข่าวคราวของหยูหานออกมาได้อยู่ดี

        “เวอร์เนอร์!”

        “ครับ?” เวอร์เนอร์และพูพูมองไปยังไป๋อี้

        “นายมีอะไรจะบ่นหรือเปล่า?”

        “ทำไมเหรอครับ?”

        “ฉันหมายความว่า เพื่อความแค้นในใจของตัวเองฉันเลยพาทุกคนมายังที่แห่งนี้ ข้างกายของหยูหานจะต้องไม่ได้มีเพียงเขาคนเดียวเท่านั้นอย่างแน่นอน จากข้อมูลด้านเดียวที่เราได้เรียนรู้เมื่อเร็ว ๆ นี้เรารู้ว่าเขามีเพื่อนร่วมทีมที่ดีมากมายเช่นกัน ครั้งนี้ที่พวกเรามาตามหาหยูหานก็เพื่อแก้แค้น บางทีพวกเราอาจจะไม่เพียงแต่ทำไม่สำเร็จแต่กลับกันอาจจะมีคนต้องตายอยู่ที่นี่ก็เป็นได้ บางทีอาจจะเป็นนาย หรืออาจจะเป็นวูล์ฟก็ได้ …… อันที่จริงแล้วตอนนี้เรายังไม่เจอหยูหานเลยและเฮลัวส์เองก็หายไปเรียบร้อยแล้ว พวกนายไม่มีอะไรจะบ่นเลยหรือไง?” ไป๋อี้พูดช้า ๆ เริ่มแรกเขาเพียงต้องการพูดกับเวอร์เนอร์เท่านั้น แต่ต่อมาไป๋อี้ก็มองไปยังทุก ๆ คน

        ทุก ๆ คนเมื่อได้ยินดังนั้นก็เงียบไป!

        “ฉันเชื่อว่าเฮลัวส์จะไม่เป็นอะไร” หลังจากผ่านมาชั่วครู่วูล์ฟจึงได้พูดขึ้นมาประโยคหนึ่งอย่างจริงจัง

        “นี่ไม่ใช่เรื่องของนายเพียงคนเดียว อย่าเอาความรับผิดชอบทุกอย่างดึงมาใส่ตัวเองสิ นายจะต้องเข้าใจว่าถ้าพวกเราไม่อยากมาละก็ จะไม่ยอมตามนายมายังสถานที่แห่งนี้เพียงเพราะคล้อยตามนายอย่างแน่นอน” เมย์ริสพูดขึ้นช้า ๆ สายตาครั้งสุดท้ายของซาร่าปรากฏขึ้นมาในหัวของเธอ และคนอื่น ๆ ก็นึกถึงเพื่อนสนิทมิตรสหายของพวกเขาก่อนหน้านี้เช่นเดียวกัน

        มาร์ติน ซาร่า …… หงฉี่ฮว๋า!

        วิญญาณที่เยือกเย็นและแข็งกร้าวค่อย ๆ ปรากฏแก่ทุกคน ออร่าแห่งความพิฆาตได้แผ่ทำลายสิ่งดึงดูดรอบ ๆ ที่พิเศษของดินแดนสิงสถิตจนแตกกระจายไป แม้แต่ผีเสื้อกลืนกินวิญญาณที่อยู่ข้างกายโม่โม่เองก็ยังอดไม่ได้ที่จะกระพือปีกบินออกไป

        “ถ้าอย่างนั้นก็อย่าเสียใจภายหลังล่ะ!” ในดวงตาของไป๋อี้มีแสงสว่างอันโชติช่วงเย็นยะเยือกผิดปกติฉายออกมา

        “แน่นอนอยู่แล้ว!” ทุก ๆ คนล้วนตอบกลับอย่างหนักแน่นจริงจัง

        จนกระทั่งออร่ารอบตัวของคนทั้งกลุ่มลดลงกลับคืนเป็นความสงบนิ่ง ผีเสื้อกลืนกินวิญญาณกลุ่มนั้นจึงค่อยบินกลับมาข้างกายของโม่โม่อีกครั้ง สำหรับผีเสื้อกลืนกินวิญญาณกลุ่มนี้นั้นยังไม่สามารถเข้าใจถึงความเปลี่ยนแปลงของพวกไป๋อี้ได้ พวกมันเพียงแค่รู้สึกด้วยสัญชาติญาณว่าสนิทสนมกับโม่โม่มากอีกทั้งยังสามารถสื่อสารถึงกันได้ พวกเขาเป็นเพื่อนสนิทมิตรสหายต่อกัน แค่เพียงมีรูปร่างหน้าตาไม่เหมือนกันก็เท่านั้น

        “โม่โม่ ถ้าเห็นพวกหยูหานจริง ๆ ล่ะก็ลูกต้องรีบให้ผีเสื้อกลืนกินวิญญาณหนีไปทันทีเลยนะ สำหรับพวกวิญญาณนั้น ผีเสื้อกลืนกินวิญญาณอาจจะสามารถรับมือได้เป็นอย่างดี แต่ในความเป็นจริงสำหรับสิ่งมีชีวิตทั่วไปแล้วพวกมันทั้งตัวเล็กและบอบบางมาก สำหรับชอว์และคนอื่น ๆ ทั้งสี่คนก่อนหน้านี้ ถ้าหากไม่เป็นเพราะพวกเขาตัดสินใจผิดพลาดล่ะก็ ผีเสื้อกลืนกินวิญญาณเหล่านี้อาจจะถูกฆ่าตายไปเป็นจำนวนมากอย่างแน่นอน ……” ไป๋อี้เริ่มพูดกำชับกับโม่โม่

        “ค่ะ ๆ!” โม่โม่เองก็ไม่อยากให้เพื่อน ๆ ของเธอเหล่านี้ที่เพิ่งรู้จักกันได้มานานต้องมาตายจากไปเช่นกัน

  ……

        หลังจากรอคอยมาเนิ่นนาน ในขณะที่ทุกคนนึกว่าจอห์นนี่และเนสซ่าภูตผีสองตนนี้จะไม่กลับมาแล้ว แต่ในที่สุดพวกเขาก็ได้มองเห็นเงาร่างของผีสองตนนี้อีกครั้งหนึ่ง และก็ยังมีวิญญาณผีอื่น ๆ อีกสิบกว่าตนที่อยู่กับผีปู่หลานสองตนนี้ด้วย

       ‘จอห์นนี่ นายรนหาที่ตายหรือไง ทำไมไม่บอกว่าที่นี่มีผีเสื้อเยอะขนาดนี้!’ ในเหล่าวิญญาณผีที่มาพร้อมกับจอห์นนี่กล่าวขึ้น หลังจากที่ผีผู้หญิงเห็นผีเสื้อกลืนกินวิญญาณกลุ่มใหญ่เขาก็จับจอห์นนี่ไว้ทันทีแล้วด่าทอด้วยความโกรธ ครั้นวิญญาณผีตนอื่น ๆ ก็อดไม่ได้ที่จะถอยไปข้างหลังเพื่อเตรียมที่จะวิ่งหนี

        ‘ไม่เป็นไร ไม่เป็นไรจริง ๆ ผีเสื้อกลืนกินวิญญาณกลุ่มนี้ไม่โจมตีพวกเราหรอก พวกเขาจะเชื่อฟังที่โม่โม่พูด’

        ‘ผีเสื้อกลืนกินวิญญาณ?’

        ‘จะเชื่อฟังอย่างนั้นเหรอ?’ วิญญาณผีตัวอื่น ๆ ก็สงสัยมากเช่นกัน

        ผีสามตนมายังด้านหน้าพวกไป๋อี้ด้วยความระมัดระวัง ส่วนวิญญาณผีที่เหลือก็ได้แต่มองอยู่ไกลๆเพราะไม่กล้าเข้ามา ผีเสื้อกลืนกินวิญญาณเหล่านี้ซึ่งปกติถูกมองว่าเป็นนักล่ากำลังกระพือปีกบินอยู่บริเวณรอบ ๆ บนท้องฟ้า แอนนาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่าเธอเป็นเหมือนอาหารอันโอชะที่กำลังเสนอตัวเข้าปากของผู้ล่าเสียเอง

        “ได้ยินว่าพวกนายกำลังหาคนกลุ่มหนึ่งอยู่!” ผีผู้หญิงที่ด่าจอห์นนี่ก่อนหน้านี้ไม่ได้ปิดบังตัวตน เธอปล่อยพลังวิญญาณออกมาให้เห็นโดยตรงจากนั้นก็ปรากฏตัวออกมา

        “ใช่ พวกเรากำลังหาคนกลุ่มหนึ่งอยู่” ไป๋อี้พยักหน้า

        “ศัตรูเหรอ?”

        “อืม …… เธอสนทนากับฉันโดยตรงแบบนี้ ไม่กลัวว่าร่างกายตัวเองจะรับไม่ไหวเหรอ?” ไป๋อี้มองไปที่ผีผู้หญิงที่นั่งอยู่ที่พื้นตรงหน้าเขาแล้วถามออกไป

        “หึ อย่าเอาฉันไปเปรียบเทียบกับพวกโง่พวกนี้นะ”

        ‘แอนนาแข็งแกร่งกว่าพวกเรามาก’ พื้นทรายข้าง ๆ ปรากฏเป็นรอยตัวอักษรขึ้นมา

        ไป๋อี้มองไปยังแอนนาแวบหนึ่งจากนั้นจึงพยักหน้าอย่างช่วยไม่ได้ เห็นได้ชัดว่าผีผู้หญิงที่ชื่อว่าแอนนานั้นเป็นผู้ที่โดดเด่นในเหล่าบรรดาวิญญาณผีทั้งหมด ไม่น่าแปลกใจที่ผีแต่ละตัวจะแตกต่างกันอย่างชัดเจนและตราบใดที่วิญญาณผีมีจำนวนมากก็ย่อมมีวิญญาณผีที่เมื่อเปรียบเทียบแล้วมีความโดดเด่นเป็นที่ประจักษ์

        “ฉันเคยเห็นคนคนนั้นที่นายบอก!” แอนนาพูดกับไป๋อี้

        “มันอยู่ที่ไหน!”

  ……

        หลังจากที่พูดกับแอนนาเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้ว ในที่สุดพวกไป๋อี้ก็รู้แล้วว่าหยูหานอยู่ที่ไหน คิดไม่ถึงเลยว่าจะเขาอยู่อีกฟากหนึ่งของเมือง ถึงแม้พวกเขาจะไม่ได้อยู่ไกลกันมาก แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะพบกัน อีกอย่างการที่แอนนาบอกเรื่องนี้ให้พวกไป๋อี้ฟังอย่างกระตือรือร้นแบบนี้คงไม่ใช่ความประสงค์ดี

        “เฮ้อ ๆ เรื่องแก้แค้นให้คนในครอบครัวแบบนี้ฉันไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อนเลย อีกหน่อยนะพวกนายคงจะต้องตายเพิ่มอีกคนสองคนแน่ ๆ ฉันจะบอกพวกนายให้นะ ถ้าตายที่นี่พวกนายจะไม่ผิดหวังแน่นอน ถ้าหากตายอยู่ที่เวลลิงตันตอนนี้ละก็วิญญาณของพวกนายจะไม่สลายไปอย่างรวดเร็วแต่จะกลายเป็นวิญญาณผีเหมือนอย่างพวกเราตอนนี้แหละ …..” แอนนาพูดอย่างดีใจ

        ‘หนูรู้อยู่แล้วว่าไม่ควรพาหล่อนมาด้วย’

 

        ‘อันที่จริงปู่ไม่เคยคิดเลยว่าจะกลับมาอีก จะไปรู้ได้ยังไงว่าแอนนาผู้หญิงคนนี้จะได้ยินบทสนทนาของพวกเรา’ จอห์นนี่กระซิบกระซาบพูดกับหลานสาวของตัวเอง ที่จริงก่อนหน้านี้ก็ไม่คิดที่จะกลับมาหลังจากมองจุดประสงค์ของไป๋อี้ในการตามหาใครสักคนออก แต่ทว่าดันถูกแอนนาผีบ้าได้ยินเข้า และถูกข่มขู่แกมบังคับให้กลับมาที่นี่อีกครั้ง ในขณะที่วิญญาณผีตัวอื่น ๆ สิบกว่าตนก็ตามมาร่วมทางด้วยอย่างคึกคัก ต้องทำความเข้าใจว่าเวลลิงตันในตอนนี้นั้นไม่มีมนุษย์ย่างกรายเข้ามาที่นี่มากนัก และนั่นทำให้วิญญาณผีเหล่านี้เบื่อหน่ายมากทีเดียว

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

[นิยายแปล] มหาวิบัติยีนกลายพันธุ์ 113 ผีบ้าแอนนา

Now you are reading [นิยายแปล] มหาวิบัติยีนกลายพันธุ์ Chapter 113 ผีบ้าแอนนา at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

 

       หลังจากได้สื่อสารกันอย่างเรียบง่ายแล้ว ผีเสื้อกลืนกินวิญญาณเหล่านี้ก็เข้าใจคำขอร้องของพวกไป๋อี้และยินยอมที่จะเดินทางไปกับพวกไป๋อี้เป็นการชั่วคราว

        จากการสื่อสารกันระหว่างโม่โม่และผีเสื้อกลืนกินวิญญาณ พวกไป๋อี้ถึงได้รู้ว่าผีเสื้อกลืนกินวิญญาณเหล่านี้มีความเคยชินในการกำหนดเวลาเฉพาะสำหรับการออกไปหาอาหารในตัวของพวกมันเองอยู่แล้ว สำหรับผีเสื้อกลืนกินวิญญาณ เหล่าภูตผีและผีร้ายก็เป็นเพียงอาหารเท่านั้น เมื่อมีผีเสื้อกลืนกินวิญญาณกลุ่มใหญ่ขนาดนี้นำทางไปด้วย พวกไป๋อี้เองก็ไม่ต้องเป็นกังวลเรื่องผีร้ายอีกแล้ว โม่โม่เป็นที่ชื่นชอบของเหล่าผีเสื้อกลืนกินวิญญาณเหล่านี้เป็นที่สุด เมื่อคนอื่น ๆ เห็นโม่โม่กำลังถูกผีเสื้อกลืนกินวิญญาณกลุ่มใหญ่ล้อมรอบอยู่ต่างก็เผยรอยยิ้มที่สดใสออกมาระคนไปด้วยความอิจฉาเล็กน้อย

        ไป๋อี้และคนทั้งกลุ่มได้เดินออกไปใหม่อีกรอบและข้าง ๆ ของโม่โม่นั้นก็มีผีเสื้อกลืนกินวิญญาณกลุ่มใหญ่ตามมาด้วย

    ……

        พวกไป๋อี้เดินกลับไปยังเส้นทางที่พวกเขาวิ่งหนีมาก่อนหน้านี้ ขณะที่ยังไม่ทันได้ออกไปไกลนักพวกเขาก็มองเห็นผีแก่จอห์นนี่และหลานสาวของเขาเนสซ่า ชัดเจนว่าหลังจากที่พวกเขาวิ่งหนีกระเจิงไปก่อนหน้านี้ ภูตผีสองตนนี้ก็ยังมีความเป็นห่วงพวกไป๋อี้อยู่

        ขณะที่โม่โม่เห็นผีสองตนนั้น ทางฝ่ายผีเองก็มองเห็นพวกไป๋อี้ด้วยเช่นกัน แต่ทว่าเมื่อจอห์นนี่และเนสซ่ามองเห็นผีเสื้อกลืนกินวิญญาณกลุ่มใหญ่กลุ่มนั้นที่อยู่ข้าง ๆ พวกไป๋อี้ พวกเขาก็แสดงสีหน้าตกใจกลัวออกมาทันทีจากนั้นก็ลอยออกไปอย่างรวดเร็ว และหายไปราวกับควันไฟ ในฐานะผีที่อาศัยอยู่ในสถานที่แห่งนี้มานานกว่าครึ่งปีเขาจะไม่รู้ความร้ายกาจของผีเสื้อกลืนกินวิญญาณได้อย่างไร

        ผีเสื้อกลืนกินวิญญาณที่อยู่ข้าง ๆ พวกไป๋อี้ได้บินตามพวกเขาไปในทันทีราวกับเห็นผีสองตนนั้นเป็นเหยื่อของตน

        “โม่โม่ อย่าให้ผีเสื้อกลืนกินวิญญาณทำร้ายพวกเขานะ” ไป๋อี้และคนอื่น ๆ ไม่สามารถมองเห็นผีวิญญาณได้ แต่หลังจากที่โม่โม่บอกว่าเมื่อสักครู่ผีเสื้อกลืนกินวิญญาณได้บินติดตามจอห์นนี่และเนสซ่าไป ไป๋อี้ก็รีบบอกให้โม่โม่ปรามผีเสื้อกลืนกินวิญญาณกลุ่มนั้นไว้ทันที ไป๋อี้ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าโม่โม่สื่อสารกับผีเสื้อกลืนกินวิญญาณกลุ่มนี้อย่างไร ถึงแม้เขาเองก็ได้รับการผสานรวมยีนของผีเสื้อเข้าไปด้วยเช่นกันแต่เมื่อเทียบกันแล้วคล้ายกับว่าโม่โม่จะมีความสนิทสนมกับสัตว์มากกว่า

       ในขณะที่พวกไป๋อี้กำลังวิ่งตามจอห์นนี่และเนสซ่าผีสองตนนี้อยู่นั้น ผีทั้งสองตนก็กำลังถูกล้อมไว้อยู่ตรงกลางถนน แม้กระทั่งจะขยับตัวไปไหนก็ไม่สามารถทำได้

        ความจริงแล้วรูปกายของผีเสื้อกลืนกินวิญญาณนั้นอ่อนแอมากซึ่งก็ไม่ได้มีความแตกต่างอะไรกับผีเสื้อธรรมดา หากปล่อยไว้ข้างนอกและเผชิญหน้ากับสิ่งมีชีวิตตัวอื่น ผีเสื้อกลืนกินวิญญาณก็คงเป็นเพียงอาหารให้กับผู้ล่าตัวอื่น ๆ อย่างสิ้นเชิงเช่นกัน สำหรับภูตผีวิญญาณผู้ใสซื่อและผีร้ายนั้นผีเสื้อกินวิญญาณก็คือหายนะโดยธรรมชาติ กล่าวได้เพียงว่าวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตนั้นเดิมทีก็คือการที่สิ่งหนึ่งถูกอีกสิ่งหนึ่งคุกคาม ซึ่งมีเซลล์ดัดแปลงเป็นตัวนำ อีกทั้งสภาพแวดล้อมในลักษณะพิเศษของเวลลิงตันจึงเกิดวิวัฒนาการเป็นผีเสื้อกลืนกินวิญญาณชนิดนี้

        ยิ่งไปกว่านั้นในขณะที่เผชิญหน้ากับผีเสื้อกลืนกินวิญญาณ ดูเหมือนว่าแม้แต่ความสามารถทะลุสรรพสิ่งของภูตผีวิญญาณเหล่านี้ก็ใช้งานไม่ได้ ร่างกายราวกับถูกพลังอะไรบางอย่างตรึงไว้และถูกมัดอยู่กับที่อย่างไรอย่างนั้น

        “เฮ้ เจอกันอีกแล้วนะครับ” ไป๋อี้มองไปยังภูตผีสองตนที่ปรากฏเป็นเงาอันหม่นมัวอยู่ตรงกลางของถนน

        “เฮ้…!” หลังจากที่จอห์นนี่ได้ยินคำทักทายของไป๋อี้แล้วก็เพียงแค่ยิ้มเจื่อน ๆ ให้ สถานการณ์ตอนนี้เขายังยิ้มไม่ออกหรอกนะ

        “เอ พวกคุณพูดได้ด้วยเหรอ?” ไป๋อี้และคนอื่น ๆ ล้วนประหลาดใจอย่างถึงที่สุด ถึงแม้เสียงที่ได้ยินจะเลือนรางมากแต่ว่าก็สามารถฟังได้ใจความอย่างชัดเจน

        “ให้ผีเสื้อพวกนี้ออกไปหน่อยได้ไหม แล้วฉันจะอธิบายให้พวกเธอฟัง” จอห์นนี่พูดขึ้น

        จากนั้นไป๋อี้ก็ส่งสัญญาณให้โม่โม่บอกผีเสื้อกลืนกินวิญญาณให้ออกมา ครั้นหลังจากที่ผีเสื้อกลืนกินวิญญาณเหล่านี้ออกมาแล้ว จอห์นนี่และเนสซ่าผีสองตนนี้ก็หายแวบไปกลางอากาศในทันที แต่ทว่าเมื่อเห็นโม่โม่มองไปตรงจุดหนึ่งตลอดก็รู้ได้ทันทีว่าภูตผีสองตนไม่ได้หายไปจากที่นี่แต่อย่างใด เพียงแค่พวกไป๋อี้มองไม่สามารถเห็นได้เหมือนเมื่อครู่นี้ก็เท่านั้น ทันใดนั้นก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ก่อนหน้านี้ก็เคยมีสถานการณ์แบบนี้เกิดขึ้น ตอนที่เนสซ่าเคยปรากฏตัวออกมาเพื่อหลอกพวกไป๋อี้ ก่อนหน้านี้พวกไป๋อี้ไม่ทันได้คิดว่าต้องการถามเกี่ยวกับเรื่อง ๆ นี้เนื่องจากเวลาอันกระชันชิด แต่ครั้งนี้พวกเขาจะต้องถามให้ชัดเจนให้ได้

        หลังจากได้ยินคำอธิบายจากพวกจอห์นนี่พวกไป๋อี้จึงเข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่

       ดินแดนสิงสถิตคือสภาพแวดล้อมที่พิเศษประเภทหนึ่ง ภายในดินแดนสิงสถิตนั้นวิญญาณผีเหล่านี้สามารถรักษาตัวตนการมีอยู่ของตนเองได้ในระยะยาวและยิ่งเป็นบริเวณที่มีสิ่งดึงดูดรุนแรงแล้วละก็ ผลกระทบที่วิญญาณผีได้รับต่อโลกความจริงก็จะมากยิ่งขึ้น ตัวอย่างเช่น ถ้าตอนนี้พวกไป๋อี้เข้าสู่ใจกลางของเวลลิงตันจะสามารถมองเห็นผีร้ายเหล่านั้นได้ด้วยตาเปล่าโดยตรง และอีกวิธีหนึ่งที่จะเพิ่มผลกระทบต่อโลกภายนอกได้นั้นก็คือพละกำลังที่มีอยู่กับตัว หากว่าเป็นผีที่มีพลังที่แข็งแกร่งอยู่แล้วแม้จะอยู่บริเวณที่มีสิ่งดึงดูดเบาบางภายในดินแดนสิงสถิต ก็จะยังสามารถปรากฏตัวออกมาได้และจะสามารถสนทนากับสิ่งมีชีวิตที่มีชีวิตอยู่ได้เช่นกัน

        ตัวอย่างเช่นก่อนหน้านี้ที่เนสซ่าปรากฏตัวออกมาเพื่อหลอกพวกไป๋อี้นั่นเอง

        แต่ทว่าเนสซ่าไม่ได้มีพลังที่แข็งแกร่งพอ เธอเพียงแค่ปรากฏวิญญาณออกมาได้ในรูปแบบเรียบง่ายเท่านั้น สถานการณ์เช่นนี้ไม่สามารถคงอยู่ได้นานเพราะถ้าหากใช้พลังนี้เป็นเวลานาน จะทำให้เกิดผลเสียที่รุนแรงมากต่อร่างกายของพวกเขา

        ฉะนั้นแล้วไม่ใช่ว่าจอห์นนี่ไม่อยากสื่อสารกับพวกไป๋อี้โดยตรง แต่สำหรับระดับพลังความสามารถของพวกเขาในตอนนี้นั้นไม่สามารถทำได้

        หลังจากที่ได้ยินสิ่งที่จอห์นนี่อธิบายเช่นนั้นแล้วไป๋อี้เองก็ไม่ได้กล่าวโทษพวกเขา เขาเพียงแค่สอบถามเกี่ยวกับข่าวสารที่เกี่ยวข้องให้ชัดเจนยิ่งขึ้นจากนั้นก็จดบันทึกไว้เท่านั้น

        ‘เคยเห็นคนหน้าตาแบบนี้ไหมครับ …….?’ หลังจากที่สอบถามถึงสาเหตุที่วิญญาณผีเหล่านี้แวบหายไปมาและปรากฏตัวออกมาได้เป็นบางเวลาแล้ว ในที่สุดไป๋อี้ก็ถามคำถามที่เกี่ยวกับจุดมุ่งหมายจริง ๆ ในการมาเวลลิงตันในครั้งนี้ของพวกเขา

        ‘พวกเธอมาที่นี่เพื่อตามหาคนหรอกเหรอ เป็นเพื่อนกันอย่างนั้นเหรอ การที่เข้ามายังสถานที่แห่งนี้มันอันตรายมากจริง ๆ นะ’

        ‘เพื่อนเหรอ …… ไม่ใช่แน่นอน!’ สีหน้าของไป๋อี้ทั้งเย็นชาและเหี้ยมโหด

        ถึงแม้ไม่สามารถสื่อสารกันได้โดยตรงแต่ทว่าจอห์นนี่และเนสซ่าเองก็ยังคงสามารถมองเห็นสีหน้าของไป๋อี้ได้อยู่ พอเห็นท่าทางของไป๋อี้แล้วก็รู้ได้ทันทีว่าหยูหานที่พวกเขาพูดถึงนั้นไม่ใช่เพื่อนอย่างแน่นอน จอห์นนี่ผีแก่ตนนี้ค่อนข้างอ่านสีหน้าคนออกพอสมควร เขาบอกกับไป๋อี้ว่าเขาสามารถประกาศบอกกับวิญญาณผีตัวอื่น ๆ ได้ว่าหากเจอพวกหยูหานละก็ให้รีบบอกไป๋อี้ให้เร็วที่สุด จากนั้นจอห์นนี่ก็พาเนสซ่าออกไปจากวงล้อมของผีเสื้อกลืนกินวิญญาณด้วยความหวาดกลัว

        “ลุงไป๋อี้ครับ จะปล่อยพวกเขาไปอย่างนี้เลยเหรอ?” เวอร์เนอร์ไม่เข้าใจ

        “อืม ปล่อยพวกเขาไปก็ไม่เป็นไรหรอก” ไป๋อี้เผยรอยยิ้มออกมา อันที่จริงถึงจะไม่ให้พวกเขาไปก็ใช่ว่าจะเกิดประโยชน์อะไรตามมา ในเมื่อการที่ให้พวกเขาอยู่ต่อก็ไม่สามารถบีบเค้นข่าวคราวของหยูหานออกมาได้อยู่ดี

        “เวอร์เนอร์!”

        “ครับ?” เวอร์เนอร์และพูพูมองไปยังไป๋อี้

        “นายมีอะไรจะบ่นหรือเปล่า?”

        “ทำไมเหรอครับ?”

        “ฉันหมายความว่า เพื่อความแค้นในใจของตัวเองฉันเลยพาทุกคนมายังที่แห่งนี้ ข้างกายของหยูหานจะต้องไม่ได้มีเพียงเขาคนเดียวเท่านั้นอย่างแน่นอน จากข้อมูลด้านเดียวที่เราได้เรียนรู้เมื่อเร็ว ๆ นี้เรารู้ว่าเขามีเพื่อนร่วมทีมที่ดีมากมายเช่นกัน ครั้งนี้ที่พวกเรามาตามหาหยูหานก็เพื่อแก้แค้น บางทีพวกเราอาจจะไม่เพียงแต่ทำไม่สำเร็จแต่กลับกันอาจจะมีคนต้องตายอยู่ที่นี่ก็เป็นได้ บางทีอาจจะเป็นนาย หรืออาจจะเป็นวูล์ฟก็ได้ …… อันที่จริงแล้วตอนนี้เรายังไม่เจอหยูหานเลยและเฮลัวส์เองก็หายไปเรียบร้อยแล้ว พวกนายไม่มีอะไรจะบ่นเลยหรือไง?” ไป๋อี้พูดช้า ๆ เริ่มแรกเขาเพียงต้องการพูดกับเวอร์เนอร์เท่านั้น แต่ต่อมาไป๋อี้ก็มองไปยังทุก ๆ คน

        ทุก ๆ คนเมื่อได้ยินดังนั้นก็เงียบไป!

        “ฉันเชื่อว่าเฮลัวส์จะไม่เป็นอะไร” หลังจากผ่านมาชั่วครู่วูล์ฟจึงได้พูดขึ้นมาประโยคหนึ่งอย่างจริงจัง

        “นี่ไม่ใช่เรื่องของนายเพียงคนเดียว อย่าเอาความรับผิดชอบทุกอย่างดึงมาใส่ตัวเองสิ นายจะต้องเข้าใจว่าถ้าพวกเราไม่อยากมาละก็ จะไม่ยอมตามนายมายังสถานที่แห่งนี้เพียงเพราะคล้อยตามนายอย่างแน่นอน” เมย์ริสพูดขึ้นช้า ๆ สายตาครั้งสุดท้ายของซาร่าปรากฏขึ้นมาในหัวของเธอ และคนอื่น ๆ ก็นึกถึงเพื่อนสนิทมิตรสหายของพวกเขาก่อนหน้านี้เช่นเดียวกัน

        มาร์ติน ซาร่า …… หงฉี่ฮว๋า!

        วิญญาณที่เยือกเย็นและแข็งกร้าวค่อย ๆ ปรากฏแก่ทุกคน ออร่าแห่งความพิฆาตได้แผ่ทำลายสิ่งดึงดูดรอบ ๆ ที่พิเศษของดินแดนสิงสถิตจนแตกกระจายไป แม้แต่ผีเสื้อกลืนกินวิญญาณที่อยู่ข้างกายโม่โม่เองก็ยังอดไม่ได้ที่จะกระพือปีกบินออกไป

        “ถ้าอย่างนั้นก็อย่าเสียใจภายหลังล่ะ!” ในดวงตาของไป๋อี้มีแสงสว่างอันโชติช่วงเย็นยะเยือกผิดปกติฉายออกมา

        “แน่นอนอยู่แล้ว!” ทุก ๆ คนล้วนตอบกลับอย่างหนักแน่นจริงจัง

        จนกระทั่งออร่ารอบตัวของคนทั้งกลุ่มลดลงกลับคืนเป็นความสงบนิ่ง ผีเสื้อกลืนกินวิญญาณกลุ่มนั้นจึงค่อยบินกลับมาข้างกายของโม่โม่อีกครั้ง สำหรับผีเสื้อกลืนกินวิญญาณกลุ่มนี้นั้นยังไม่สามารถเข้าใจถึงความเปลี่ยนแปลงของพวกไป๋อี้ได้ พวกมันเพียงแค่รู้สึกด้วยสัญชาติญาณว่าสนิทสนมกับโม่โม่มากอีกทั้งยังสามารถสื่อสารถึงกันได้ พวกเขาเป็นเพื่อนสนิทมิตรสหายต่อกัน แค่เพียงมีรูปร่างหน้าตาไม่เหมือนกันก็เท่านั้น

        “โม่โม่ ถ้าเห็นพวกหยูหานจริง ๆ ล่ะก็ลูกต้องรีบให้ผีเสื้อกลืนกินวิญญาณหนีไปทันทีเลยนะ สำหรับพวกวิญญาณนั้น ผีเสื้อกลืนกินวิญญาณอาจจะสามารถรับมือได้เป็นอย่างดี แต่ในความเป็นจริงสำหรับสิ่งมีชีวิตทั่วไปแล้วพวกมันทั้งตัวเล็กและบอบบางมาก สำหรับชอว์และคนอื่น ๆ ทั้งสี่คนก่อนหน้านี้ ถ้าหากไม่เป็นเพราะพวกเขาตัดสินใจผิดพลาดล่ะก็ ผีเสื้อกลืนกินวิญญาณเหล่านี้อาจจะถูกฆ่าตายไปเป็นจำนวนมากอย่างแน่นอน ……” ไป๋อี้เริ่มพูดกำชับกับโม่โม่

        “ค่ะ ๆ!” โม่โม่เองก็ไม่อยากให้เพื่อน ๆ ของเธอเหล่านี้ที่เพิ่งรู้จักกันได้มานานต้องมาตายจากไปเช่นกัน

  ……

        หลังจากรอคอยมาเนิ่นนาน ในขณะที่ทุกคนนึกว่าจอห์นนี่และเนสซ่าภูตผีสองตนนี้จะไม่กลับมาแล้ว แต่ในที่สุดพวกเขาก็ได้มองเห็นเงาร่างของผีสองตนนี้อีกครั้งหนึ่ง และก็ยังมีวิญญาณผีอื่น ๆ อีกสิบกว่าตนที่อยู่กับผีปู่หลานสองตนนี้ด้วย

       ‘จอห์นนี่ นายรนหาที่ตายหรือไง ทำไมไม่บอกว่าที่นี่มีผีเสื้อเยอะขนาดนี้!’ ในเหล่าวิญญาณผีที่มาพร้อมกับจอห์นนี่กล่าวขึ้น หลังจากที่ผีผู้หญิงเห็นผีเสื้อกลืนกินวิญญาณกลุ่มใหญ่เขาก็จับจอห์นนี่ไว้ทันทีแล้วด่าทอด้วยความโกรธ ครั้นวิญญาณผีตนอื่น ๆ ก็อดไม่ได้ที่จะถอยไปข้างหลังเพื่อเตรียมที่จะวิ่งหนี

        ‘ไม่เป็นไร ไม่เป็นไรจริง ๆ ผีเสื้อกลืนกินวิญญาณกลุ่มนี้ไม่โจมตีพวกเราหรอก พวกเขาจะเชื่อฟังที่โม่โม่พูด’

        ‘ผีเสื้อกลืนกินวิญญาณ?’

        ‘จะเชื่อฟังอย่างนั้นเหรอ?’ วิญญาณผีตัวอื่น ๆ ก็สงสัยมากเช่นกัน

        ผีสามตนมายังด้านหน้าพวกไป๋อี้ด้วยความระมัดระวัง ส่วนวิญญาณผีที่เหลือก็ได้แต่มองอยู่ไกลๆเพราะไม่กล้าเข้ามา ผีเสื้อกลืนกินวิญญาณเหล่านี้ซึ่งปกติถูกมองว่าเป็นนักล่ากำลังกระพือปีกบินอยู่บริเวณรอบ ๆ บนท้องฟ้า แอนนาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่าเธอเป็นเหมือนอาหารอันโอชะที่กำลังเสนอตัวเข้าปากของผู้ล่าเสียเอง

        “ได้ยินว่าพวกนายกำลังหาคนกลุ่มหนึ่งอยู่!” ผีผู้หญิงที่ด่าจอห์นนี่ก่อนหน้านี้ไม่ได้ปิดบังตัวตน เธอปล่อยพลังวิญญาณออกมาให้เห็นโดยตรงจากนั้นก็ปรากฏตัวออกมา

        “ใช่ พวกเรากำลังหาคนกลุ่มหนึ่งอยู่” ไป๋อี้พยักหน้า

        “ศัตรูเหรอ?”

        “อืม …… เธอสนทนากับฉันโดยตรงแบบนี้ ไม่กลัวว่าร่างกายตัวเองจะรับไม่ไหวเหรอ?” ไป๋อี้มองไปที่ผีผู้หญิงที่นั่งอยู่ที่พื้นตรงหน้าเขาแล้วถามออกไป

        “หึ อย่าเอาฉันไปเปรียบเทียบกับพวกโง่พวกนี้นะ”

        ‘แอนนาแข็งแกร่งกว่าพวกเรามาก’ พื้นทรายข้าง ๆ ปรากฏเป็นรอยตัวอักษรขึ้นมา

        ไป๋อี้มองไปยังแอนนาแวบหนึ่งจากนั้นจึงพยักหน้าอย่างช่วยไม่ได้ เห็นได้ชัดว่าผีผู้หญิงที่ชื่อว่าแอนนานั้นเป็นผู้ที่โดดเด่นในเหล่าบรรดาวิญญาณผีทั้งหมด ไม่น่าแปลกใจที่ผีแต่ละตัวจะแตกต่างกันอย่างชัดเจนและตราบใดที่วิญญาณผีมีจำนวนมากก็ย่อมมีวิญญาณผีที่เมื่อเปรียบเทียบแล้วมีความโดดเด่นเป็นที่ประจักษ์

        “ฉันเคยเห็นคนคนนั้นที่นายบอก!” แอนนาพูดกับไป๋อี้

        “มันอยู่ที่ไหน!”

  ……

        หลังจากที่พูดกับแอนนาเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้ว ในที่สุดพวกไป๋อี้ก็รู้แล้วว่าหยูหานอยู่ที่ไหน คิดไม่ถึงเลยว่าจะเขาอยู่อีกฟากหนึ่งของเมือง ถึงแม้พวกเขาจะไม่ได้อยู่ไกลกันมาก แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะพบกัน อีกอย่างการที่แอนนาบอกเรื่องนี้ให้พวกไป๋อี้ฟังอย่างกระตือรือร้นแบบนี้คงไม่ใช่ความประสงค์ดี

        “เฮ้อ ๆ เรื่องแก้แค้นให้คนในครอบครัวแบบนี้ฉันไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อนเลย อีกหน่อยนะพวกนายคงจะต้องตายเพิ่มอีกคนสองคนแน่ ๆ ฉันจะบอกพวกนายให้นะ ถ้าตายที่นี่พวกนายจะไม่ผิดหวังแน่นอน ถ้าหากตายอยู่ที่เวลลิงตันตอนนี้ละก็วิญญาณของพวกนายจะไม่สลายไปอย่างรวดเร็วแต่จะกลายเป็นวิญญาณผีเหมือนอย่างพวกเราตอนนี้แหละ …..” แอนนาพูดอย่างดีใจ

        ‘หนูรู้อยู่แล้วว่าไม่ควรพาหล่อนมาด้วย’

 

        ‘อันที่จริงปู่ไม่เคยคิดเลยว่าจะกลับมาอีก จะไปรู้ได้ยังไงว่าแอนนาผู้หญิงคนนี้จะได้ยินบทสนทนาของพวกเรา’ จอห์นนี่กระซิบกระซาบพูดกับหลานสาวของตัวเอง ที่จริงก่อนหน้านี้ก็ไม่คิดที่จะกลับมาหลังจากมองจุดประสงค์ของไป๋อี้ในการตามหาใครสักคนออก แต่ทว่าดันถูกแอนนาผีบ้าได้ยินเข้า และถูกข่มขู่แกมบังคับให้กลับมาที่นี่อีกครั้ง ในขณะที่วิญญาณผีตัวอื่น ๆ สิบกว่าตนก็ตามมาร่วมทางด้วยอย่างคึกคัก ต้องทำความเข้าใจว่าเวลลิงตันในตอนนี้นั้นไม่มีมนุษย์ย่างกรายเข้ามาที่นี่มากนัก และนั่นทำให้วิญญาณผีเหล่านี้เบื่อหน่ายมากทีเดียว

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

[นิยายแปล] มหาวิบัติยีนกลายพันธุ์ 113 ผีบ้าแอนนา

Now you are reading [นิยายแปล] มหาวิบัติยีนกลายพันธุ์ Chapter 113 ผีบ้าแอนนา at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

 

       หลังจากได้สื่อสารกันอย่างเรียบง่ายแล้ว ผีเสื้อกลืนกินวิญญาณเหล่านี้ก็เข้าใจคำขอร้องของพวกไป๋อี้และยินยอมที่จะเดินทางไปกับพวกไป๋อี้เป็นการชั่วคราว

        จากการสื่อสารกันระหว่างโม่โม่และผีเสื้อกลืนกินวิญญาณ พวกไป๋อี้ถึงได้รู้ว่าผีเสื้อกลืนกินวิญญาณเหล่านี้มีความเคยชินในการกำหนดเวลาเฉพาะสำหรับการออกไปหาอาหารในตัวของพวกมันเองอยู่แล้ว สำหรับผีเสื้อกลืนกินวิญญาณ เหล่าภูตผีและผีร้ายก็เป็นเพียงอาหารเท่านั้น เมื่อมีผีเสื้อกลืนกินวิญญาณกลุ่มใหญ่ขนาดนี้นำทางไปด้วย พวกไป๋อี้เองก็ไม่ต้องเป็นกังวลเรื่องผีร้ายอีกแล้ว โม่โม่เป็นที่ชื่นชอบของเหล่าผีเสื้อกลืนกินวิญญาณเหล่านี้เป็นที่สุด เมื่อคนอื่น ๆ เห็นโม่โม่กำลังถูกผีเสื้อกลืนกินวิญญาณกลุ่มใหญ่ล้อมรอบอยู่ต่างก็เผยรอยยิ้มที่สดใสออกมาระคนไปด้วยความอิจฉาเล็กน้อย

        ไป๋อี้และคนทั้งกลุ่มได้เดินออกไปใหม่อีกรอบและข้าง ๆ ของโม่โม่นั้นก็มีผีเสื้อกลืนกินวิญญาณกลุ่มใหญ่ตามมาด้วย

    ……

        พวกไป๋อี้เดินกลับไปยังเส้นทางที่พวกเขาวิ่งหนีมาก่อนหน้านี้ ขณะที่ยังไม่ทันได้ออกไปไกลนักพวกเขาก็มองเห็นผีแก่จอห์นนี่และหลานสาวของเขาเนสซ่า ชัดเจนว่าหลังจากที่พวกเขาวิ่งหนีกระเจิงไปก่อนหน้านี้ ภูตผีสองตนนี้ก็ยังมีความเป็นห่วงพวกไป๋อี้อยู่

        ขณะที่โม่โม่เห็นผีสองตนนั้น ทางฝ่ายผีเองก็มองเห็นพวกไป๋อี้ด้วยเช่นกัน แต่ทว่าเมื่อจอห์นนี่และเนสซ่ามองเห็นผีเสื้อกลืนกินวิญญาณกลุ่มใหญ่กลุ่มนั้นที่อยู่ข้าง ๆ พวกไป๋อี้ พวกเขาก็แสดงสีหน้าตกใจกลัวออกมาทันทีจากนั้นก็ลอยออกไปอย่างรวดเร็ว และหายไปราวกับควันไฟ ในฐานะผีที่อาศัยอยู่ในสถานที่แห่งนี้มานานกว่าครึ่งปีเขาจะไม่รู้ความร้ายกาจของผีเสื้อกลืนกินวิญญาณได้อย่างไร

        ผีเสื้อกลืนกินวิญญาณที่อยู่ข้าง ๆ พวกไป๋อี้ได้บินตามพวกเขาไปในทันทีราวกับเห็นผีสองตนนั้นเป็นเหยื่อของตน

        “โม่โม่ อย่าให้ผีเสื้อกลืนกินวิญญาณทำร้ายพวกเขานะ” ไป๋อี้และคนอื่น ๆ ไม่สามารถมองเห็นผีวิญญาณได้ แต่หลังจากที่โม่โม่บอกว่าเมื่อสักครู่ผีเสื้อกลืนกินวิญญาณได้บินติดตามจอห์นนี่และเนสซ่าไป ไป๋อี้ก็รีบบอกให้โม่โม่ปรามผีเสื้อกลืนกินวิญญาณกลุ่มนั้นไว้ทันที ไป๋อี้ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าโม่โม่สื่อสารกับผีเสื้อกลืนกินวิญญาณกลุ่มนี้อย่างไร ถึงแม้เขาเองก็ได้รับการผสานรวมยีนของผีเสื้อเข้าไปด้วยเช่นกันแต่เมื่อเทียบกันแล้วคล้ายกับว่าโม่โม่จะมีความสนิทสนมกับสัตว์มากกว่า

       ในขณะที่พวกไป๋อี้กำลังวิ่งตามจอห์นนี่และเนสซ่าผีสองตนนี้อยู่นั้น ผีทั้งสองตนก็กำลังถูกล้อมไว้อยู่ตรงกลางถนน แม้กระทั่งจะขยับตัวไปไหนก็ไม่สามารถทำได้

        ความจริงแล้วรูปกายของผีเสื้อกลืนกินวิญญาณนั้นอ่อนแอมากซึ่งก็ไม่ได้มีความแตกต่างอะไรกับผีเสื้อธรรมดา หากปล่อยไว้ข้างนอกและเผชิญหน้ากับสิ่งมีชีวิตตัวอื่น ผีเสื้อกลืนกินวิญญาณก็คงเป็นเพียงอาหารให้กับผู้ล่าตัวอื่น ๆ อย่างสิ้นเชิงเช่นกัน สำหรับภูตผีวิญญาณผู้ใสซื่อและผีร้ายนั้นผีเสื้อกินวิญญาณก็คือหายนะโดยธรรมชาติ กล่าวได้เพียงว่าวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตนั้นเดิมทีก็คือการที่สิ่งหนึ่งถูกอีกสิ่งหนึ่งคุกคาม ซึ่งมีเซลล์ดัดแปลงเป็นตัวนำ อีกทั้งสภาพแวดล้อมในลักษณะพิเศษของเวลลิงตันจึงเกิดวิวัฒนาการเป็นผีเสื้อกลืนกินวิญญาณชนิดนี้

        ยิ่งไปกว่านั้นในขณะที่เผชิญหน้ากับผีเสื้อกลืนกินวิญญาณ ดูเหมือนว่าแม้แต่ความสามารถทะลุสรรพสิ่งของภูตผีวิญญาณเหล่านี้ก็ใช้งานไม่ได้ ร่างกายราวกับถูกพลังอะไรบางอย่างตรึงไว้และถูกมัดอยู่กับที่อย่างไรอย่างนั้น

        “เฮ้ เจอกันอีกแล้วนะครับ” ไป๋อี้มองไปยังภูตผีสองตนที่ปรากฏเป็นเงาอันหม่นมัวอยู่ตรงกลางของถนน

        “เฮ้…!” หลังจากที่จอห์นนี่ได้ยินคำทักทายของไป๋อี้แล้วก็เพียงแค่ยิ้มเจื่อน ๆ ให้ สถานการณ์ตอนนี้เขายังยิ้มไม่ออกหรอกนะ

        “เอ พวกคุณพูดได้ด้วยเหรอ?” ไป๋อี้และคนอื่น ๆ ล้วนประหลาดใจอย่างถึงที่สุด ถึงแม้เสียงที่ได้ยินจะเลือนรางมากแต่ว่าก็สามารถฟังได้ใจความอย่างชัดเจน

        “ให้ผีเสื้อพวกนี้ออกไปหน่อยได้ไหม แล้วฉันจะอธิบายให้พวกเธอฟัง” จอห์นนี่พูดขึ้น

        จากนั้นไป๋อี้ก็ส่งสัญญาณให้โม่โม่บอกผีเสื้อกลืนกินวิญญาณให้ออกมา ครั้นหลังจากที่ผีเสื้อกลืนกินวิญญาณเหล่านี้ออกมาแล้ว จอห์นนี่และเนสซ่าผีสองตนนี้ก็หายแวบไปกลางอากาศในทันที แต่ทว่าเมื่อเห็นโม่โม่มองไปตรงจุดหนึ่งตลอดก็รู้ได้ทันทีว่าภูตผีสองตนไม่ได้หายไปจากที่นี่แต่อย่างใด เพียงแค่พวกไป๋อี้มองไม่สามารถเห็นได้เหมือนเมื่อครู่นี้ก็เท่านั้น ทันใดนั้นก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ก่อนหน้านี้ก็เคยมีสถานการณ์แบบนี้เกิดขึ้น ตอนที่เนสซ่าเคยปรากฏตัวออกมาเพื่อหลอกพวกไป๋อี้ ก่อนหน้านี้พวกไป๋อี้ไม่ทันได้คิดว่าต้องการถามเกี่ยวกับเรื่อง ๆ นี้เนื่องจากเวลาอันกระชันชิด แต่ครั้งนี้พวกเขาจะต้องถามให้ชัดเจนให้ได้

        หลังจากได้ยินคำอธิบายจากพวกจอห์นนี่พวกไป๋อี้จึงเข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่

       ดินแดนสิงสถิตคือสภาพแวดล้อมที่พิเศษประเภทหนึ่ง ภายในดินแดนสิงสถิตนั้นวิญญาณผีเหล่านี้สามารถรักษาตัวตนการมีอยู่ของตนเองได้ในระยะยาวและยิ่งเป็นบริเวณที่มีสิ่งดึงดูดรุนแรงแล้วละก็ ผลกระทบที่วิญญาณผีได้รับต่อโลกความจริงก็จะมากยิ่งขึ้น ตัวอย่างเช่น ถ้าตอนนี้พวกไป๋อี้เข้าสู่ใจกลางของเวลลิงตันจะสามารถมองเห็นผีร้ายเหล่านั้นได้ด้วยตาเปล่าโดยตรง และอีกวิธีหนึ่งที่จะเพิ่มผลกระทบต่อโลกภายนอกได้นั้นก็คือพละกำลังที่มีอยู่กับตัว หากว่าเป็นผีที่มีพลังที่แข็งแกร่งอยู่แล้วแม้จะอยู่บริเวณที่มีสิ่งดึงดูดเบาบางภายในดินแดนสิงสถิต ก็จะยังสามารถปรากฏตัวออกมาได้และจะสามารถสนทนากับสิ่งมีชีวิตที่มีชีวิตอยู่ได้เช่นกัน

        ตัวอย่างเช่นก่อนหน้านี้ที่เนสซ่าปรากฏตัวออกมาเพื่อหลอกพวกไป๋อี้นั่นเอง

        แต่ทว่าเนสซ่าไม่ได้มีพลังที่แข็งแกร่งพอ เธอเพียงแค่ปรากฏวิญญาณออกมาได้ในรูปแบบเรียบง่ายเท่านั้น สถานการณ์เช่นนี้ไม่สามารถคงอยู่ได้นานเพราะถ้าหากใช้พลังนี้เป็นเวลานาน จะทำให้เกิดผลเสียที่รุนแรงมากต่อร่างกายของพวกเขา

        ฉะนั้นแล้วไม่ใช่ว่าจอห์นนี่ไม่อยากสื่อสารกับพวกไป๋อี้โดยตรง แต่สำหรับระดับพลังความสามารถของพวกเขาในตอนนี้นั้นไม่สามารถทำได้

        หลังจากที่ได้ยินสิ่งที่จอห์นนี่อธิบายเช่นนั้นแล้วไป๋อี้เองก็ไม่ได้กล่าวโทษพวกเขา เขาเพียงแค่สอบถามเกี่ยวกับข่าวสารที่เกี่ยวข้องให้ชัดเจนยิ่งขึ้นจากนั้นก็จดบันทึกไว้เท่านั้น

        ‘เคยเห็นคนหน้าตาแบบนี้ไหมครับ …….?’ หลังจากที่สอบถามถึงสาเหตุที่วิญญาณผีเหล่านี้แวบหายไปมาและปรากฏตัวออกมาได้เป็นบางเวลาแล้ว ในที่สุดไป๋อี้ก็ถามคำถามที่เกี่ยวกับจุดมุ่งหมายจริง ๆ ในการมาเวลลิงตันในครั้งนี้ของพวกเขา

        ‘พวกเธอมาที่นี่เพื่อตามหาคนหรอกเหรอ เป็นเพื่อนกันอย่างนั้นเหรอ การที่เข้ามายังสถานที่แห่งนี้มันอันตรายมากจริง ๆ นะ’

        ‘เพื่อนเหรอ …… ไม่ใช่แน่นอน!’ สีหน้าของไป๋อี้ทั้งเย็นชาและเหี้ยมโหด

        ถึงแม้ไม่สามารถสื่อสารกันได้โดยตรงแต่ทว่าจอห์นนี่และเนสซ่าเองก็ยังคงสามารถมองเห็นสีหน้าของไป๋อี้ได้อยู่ พอเห็นท่าทางของไป๋อี้แล้วก็รู้ได้ทันทีว่าหยูหานที่พวกเขาพูดถึงนั้นไม่ใช่เพื่อนอย่างแน่นอน จอห์นนี่ผีแก่ตนนี้ค่อนข้างอ่านสีหน้าคนออกพอสมควร เขาบอกกับไป๋อี้ว่าเขาสามารถประกาศบอกกับวิญญาณผีตัวอื่น ๆ ได้ว่าหากเจอพวกหยูหานละก็ให้รีบบอกไป๋อี้ให้เร็วที่สุด จากนั้นจอห์นนี่ก็พาเนสซ่าออกไปจากวงล้อมของผีเสื้อกลืนกินวิญญาณด้วยความหวาดกลัว

        “ลุงไป๋อี้ครับ จะปล่อยพวกเขาไปอย่างนี้เลยเหรอ?” เวอร์เนอร์ไม่เข้าใจ

        “อืม ปล่อยพวกเขาไปก็ไม่เป็นไรหรอก” ไป๋อี้เผยรอยยิ้มออกมา อันที่จริงถึงจะไม่ให้พวกเขาไปก็ใช่ว่าจะเกิดประโยชน์อะไรตามมา ในเมื่อการที่ให้พวกเขาอยู่ต่อก็ไม่สามารถบีบเค้นข่าวคราวของหยูหานออกมาได้อยู่ดี

        “เวอร์เนอร์!”

        “ครับ?” เวอร์เนอร์และพูพูมองไปยังไป๋อี้

        “นายมีอะไรจะบ่นหรือเปล่า?”

        “ทำไมเหรอครับ?”

        “ฉันหมายความว่า เพื่อความแค้นในใจของตัวเองฉันเลยพาทุกคนมายังที่แห่งนี้ ข้างกายของหยูหานจะต้องไม่ได้มีเพียงเขาคนเดียวเท่านั้นอย่างแน่นอน จากข้อมูลด้านเดียวที่เราได้เรียนรู้เมื่อเร็ว ๆ นี้เรารู้ว่าเขามีเพื่อนร่วมทีมที่ดีมากมายเช่นกัน ครั้งนี้ที่พวกเรามาตามหาหยูหานก็เพื่อแก้แค้น บางทีพวกเราอาจจะไม่เพียงแต่ทำไม่สำเร็จแต่กลับกันอาจจะมีคนต้องตายอยู่ที่นี่ก็เป็นได้ บางทีอาจจะเป็นนาย หรืออาจจะเป็นวูล์ฟก็ได้ …… อันที่จริงแล้วตอนนี้เรายังไม่เจอหยูหานเลยและเฮลัวส์เองก็หายไปเรียบร้อยแล้ว พวกนายไม่มีอะไรจะบ่นเลยหรือไง?” ไป๋อี้พูดช้า ๆ เริ่มแรกเขาเพียงต้องการพูดกับเวอร์เนอร์เท่านั้น แต่ต่อมาไป๋อี้ก็มองไปยังทุก ๆ คน

        ทุก ๆ คนเมื่อได้ยินดังนั้นก็เงียบไป!

        “ฉันเชื่อว่าเฮลัวส์จะไม่เป็นอะไร” หลังจากผ่านมาชั่วครู่วูล์ฟจึงได้พูดขึ้นมาประโยคหนึ่งอย่างจริงจัง

        “นี่ไม่ใช่เรื่องของนายเพียงคนเดียว อย่าเอาความรับผิดชอบทุกอย่างดึงมาใส่ตัวเองสิ นายจะต้องเข้าใจว่าถ้าพวกเราไม่อยากมาละก็ จะไม่ยอมตามนายมายังสถานที่แห่งนี้เพียงเพราะคล้อยตามนายอย่างแน่นอน” เมย์ริสพูดขึ้นช้า ๆ สายตาครั้งสุดท้ายของซาร่าปรากฏขึ้นมาในหัวของเธอ และคนอื่น ๆ ก็นึกถึงเพื่อนสนิทมิตรสหายของพวกเขาก่อนหน้านี้เช่นเดียวกัน

        มาร์ติน ซาร่า …… หงฉี่ฮว๋า!

        วิญญาณที่เยือกเย็นและแข็งกร้าวค่อย ๆ ปรากฏแก่ทุกคน ออร่าแห่งความพิฆาตได้แผ่ทำลายสิ่งดึงดูดรอบ ๆ ที่พิเศษของดินแดนสิงสถิตจนแตกกระจายไป แม้แต่ผีเสื้อกลืนกินวิญญาณที่อยู่ข้างกายโม่โม่เองก็ยังอดไม่ได้ที่จะกระพือปีกบินออกไป

        “ถ้าอย่างนั้นก็อย่าเสียใจภายหลังล่ะ!” ในดวงตาของไป๋อี้มีแสงสว่างอันโชติช่วงเย็นยะเยือกผิดปกติฉายออกมา

        “แน่นอนอยู่แล้ว!” ทุก ๆ คนล้วนตอบกลับอย่างหนักแน่นจริงจัง

        จนกระทั่งออร่ารอบตัวของคนทั้งกลุ่มลดลงกลับคืนเป็นความสงบนิ่ง ผีเสื้อกลืนกินวิญญาณกลุ่มนั้นจึงค่อยบินกลับมาข้างกายของโม่โม่อีกครั้ง สำหรับผีเสื้อกลืนกินวิญญาณกลุ่มนี้นั้นยังไม่สามารถเข้าใจถึงความเปลี่ยนแปลงของพวกไป๋อี้ได้ พวกมันเพียงแค่รู้สึกด้วยสัญชาติญาณว่าสนิทสนมกับโม่โม่มากอีกทั้งยังสามารถสื่อสารถึงกันได้ พวกเขาเป็นเพื่อนสนิทมิตรสหายต่อกัน แค่เพียงมีรูปร่างหน้าตาไม่เหมือนกันก็เท่านั้น

        “โม่โม่ ถ้าเห็นพวกหยูหานจริง ๆ ล่ะก็ลูกต้องรีบให้ผีเสื้อกลืนกินวิญญาณหนีไปทันทีเลยนะ สำหรับพวกวิญญาณนั้น ผีเสื้อกลืนกินวิญญาณอาจจะสามารถรับมือได้เป็นอย่างดี แต่ในความเป็นจริงสำหรับสิ่งมีชีวิตทั่วไปแล้วพวกมันทั้งตัวเล็กและบอบบางมาก สำหรับชอว์และคนอื่น ๆ ทั้งสี่คนก่อนหน้านี้ ถ้าหากไม่เป็นเพราะพวกเขาตัดสินใจผิดพลาดล่ะก็ ผีเสื้อกลืนกินวิญญาณเหล่านี้อาจจะถูกฆ่าตายไปเป็นจำนวนมากอย่างแน่นอน ……” ไป๋อี้เริ่มพูดกำชับกับโม่โม่

        “ค่ะ ๆ!” โม่โม่เองก็ไม่อยากให้เพื่อน ๆ ของเธอเหล่านี้ที่เพิ่งรู้จักกันได้มานานต้องมาตายจากไปเช่นกัน

  ……

        หลังจากรอคอยมาเนิ่นนาน ในขณะที่ทุกคนนึกว่าจอห์นนี่และเนสซ่าภูตผีสองตนนี้จะไม่กลับมาแล้ว แต่ในที่สุดพวกเขาก็ได้มองเห็นเงาร่างของผีสองตนนี้อีกครั้งหนึ่ง และก็ยังมีวิญญาณผีอื่น ๆ อีกสิบกว่าตนที่อยู่กับผีปู่หลานสองตนนี้ด้วย

       ‘จอห์นนี่ นายรนหาที่ตายหรือไง ทำไมไม่บอกว่าที่นี่มีผีเสื้อเยอะขนาดนี้!’ ในเหล่าวิญญาณผีที่มาพร้อมกับจอห์นนี่กล่าวขึ้น หลังจากที่ผีผู้หญิงเห็นผีเสื้อกลืนกินวิญญาณกลุ่มใหญ่เขาก็จับจอห์นนี่ไว้ทันทีแล้วด่าทอด้วยความโกรธ ครั้นวิญญาณผีตนอื่น ๆ ก็อดไม่ได้ที่จะถอยไปข้างหลังเพื่อเตรียมที่จะวิ่งหนี

        ‘ไม่เป็นไร ไม่เป็นไรจริง ๆ ผีเสื้อกลืนกินวิญญาณกลุ่มนี้ไม่โจมตีพวกเราหรอก พวกเขาจะเชื่อฟังที่โม่โม่พูด’

        ‘ผีเสื้อกลืนกินวิญญาณ?’

        ‘จะเชื่อฟังอย่างนั้นเหรอ?’ วิญญาณผีตัวอื่น ๆ ก็สงสัยมากเช่นกัน

        ผีสามตนมายังด้านหน้าพวกไป๋อี้ด้วยความระมัดระวัง ส่วนวิญญาณผีที่เหลือก็ได้แต่มองอยู่ไกลๆเพราะไม่กล้าเข้ามา ผีเสื้อกลืนกินวิญญาณเหล่านี้ซึ่งปกติถูกมองว่าเป็นนักล่ากำลังกระพือปีกบินอยู่บริเวณรอบ ๆ บนท้องฟ้า แอนนาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่าเธอเป็นเหมือนอาหารอันโอชะที่กำลังเสนอตัวเข้าปากของผู้ล่าเสียเอง

        “ได้ยินว่าพวกนายกำลังหาคนกลุ่มหนึ่งอยู่!” ผีผู้หญิงที่ด่าจอห์นนี่ก่อนหน้านี้ไม่ได้ปิดบังตัวตน เธอปล่อยพลังวิญญาณออกมาให้เห็นโดยตรงจากนั้นก็ปรากฏตัวออกมา

        “ใช่ พวกเรากำลังหาคนกลุ่มหนึ่งอยู่” ไป๋อี้พยักหน้า

        “ศัตรูเหรอ?”

        “อืม …… เธอสนทนากับฉันโดยตรงแบบนี้ ไม่กลัวว่าร่างกายตัวเองจะรับไม่ไหวเหรอ?” ไป๋อี้มองไปที่ผีผู้หญิงที่นั่งอยู่ที่พื้นตรงหน้าเขาแล้วถามออกไป

        “หึ อย่าเอาฉันไปเปรียบเทียบกับพวกโง่พวกนี้นะ”

        ‘แอนนาแข็งแกร่งกว่าพวกเรามาก’ พื้นทรายข้าง ๆ ปรากฏเป็นรอยตัวอักษรขึ้นมา

        ไป๋อี้มองไปยังแอนนาแวบหนึ่งจากนั้นจึงพยักหน้าอย่างช่วยไม่ได้ เห็นได้ชัดว่าผีผู้หญิงที่ชื่อว่าแอนนานั้นเป็นผู้ที่โดดเด่นในเหล่าบรรดาวิญญาณผีทั้งหมด ไม่น่าแปลกใจที่ผีแต่ละตัวจะแตกต่างกันอย่างชัดเจนและตราบใดที่วิญญาณผีมีจำนวนมากก็ย่อมมีวิญญาณผีที่เมื่อเปรียบเทียบแล้วมีความโดดเด่นเป็นที่ประจักษ์

        “ฉันเคยเห็นคนคนนั้นที่นายบอก!” แอนนาพูดกับไป๋อี้

        “มันอยู่ที่ไหน!”

  ……

        หลังจากที่พูดกับแอนนาเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้ว ในที่สุดพวกไป๋อี้ก็รู้แล้วว่าหยูหานอยู่ที่ไหน คิดไม่ถึงเลยว่าจะเขาอยู่อีกฟากหนึ่งของเมือง ถึงแม้พวกเขาจะไม่ได้อยู่ไกลกันมาก แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะพบกัน อีกอย่างการที่แอนนาบอกเรื่องนี้ให้พวกไป๋อี้ฟังอย่างกระตือรือร้นแบบนี้คงไม่ใช่ความประสงค์ดี

        “เฮ้อ ๆ เรื่องแก้แค้นให้คนในครอบครัวแบบนี้ฉันไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อนเลย อีกหน่อยนะพวกนายคงจะต้องตายเพิ่มอีกคนสองคนแน่ ๆ ฉันจะบอกพวกนายให้นะ ถ้าตายที่นี่พวกนายจะไม่ผิดหวังแน่นอน ถ้าหากตายอยู่ที่เวลลิงตันตอนนี้ละก็วิญญาณของพวกนายจะไม่สลายไปอย่างรวดเร็วแต่จะกลายเป็นวิญญาณผีเหมือนอย่างพวกเราตอนนี้แหละ …..” แอนนาพูดอย่างดีใจ

        ‘หนูรู้อยู่แล้วว่าไม่ควรพาหล่อนมาด้วย’

 

        ‘อันที่จริงปู่ไม่เคยคิดเลยว่าจะกลับมาอีก จะไปรู้ได้ยังไงว่าแอนนาผู้หญิงคนนี้จะได้ยินบทสนทนาของพวกเรา’ จอห์นนี่กระซิบกระซาบพูดกับหลานสาวของตัวเอง ที่จริงก่อนหน้านี้ก็ไม่คิดที่จะกลับมาหลังจากมองจุดประสงค์ของไป๋อี้ในการตามหาใครสักคนออก แต่ทว่าดันถูกแอนนาผีบ้าได้ยินเข้า และถูกข่มขู่แกมบังคับให้กลับมาที่นี่อีกครั้ง ในขณะที่วิญญาณผีตัวอื่น ๆ สิบกว่าตนก็ตามมาร่วมทางด้วยอย่างคึกคัก ต้องทำความเข้าใจว่าเวลลิงตันในตอนนี้นั้นไม่มีมนุษย์ย่างกรายเข้ามาที่นี่มากนัก และนั่นทำให้วิญญาณผีเหล่านี้เบื่อหน่ายมากทีเดียว

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+