[นิยายแปล] มหาวิบัติยีนกลายพันธุ์ 3 ระยะแรกเริ่ม

Now you are reading [นิยายแปล] มหาวิบัติยีนกลายพันธุ์ Chapter 3 ระยะแรกเริ่ม at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

        “ผู้ชายไร้ความรับผิดชอบ” พยาบาลสาวปล่อยมือหลังจากที่ลากไป๋อี้กลับเข้าไปในห้องผู้ป่วย แต่ยังไม่วายทิ้งท้ายคำพูดไว้ประโยคหนึ่ง

 

        “ผมไม่ใช่พ่อของเธอจริง ๆ” ไป๋อี้ไม่รู้จะพูดอย่างไรให้เธอเชื่อ

 

        “คุณดูลักษณะหน้าตาของเจ้าหญิงน้อยสิ ยังจะกล้าพูดว่าไม่ใช่พ่อของเธออีก” พยาบาลสาวตอบกลับด้วยความฉุนเฉียว

 

        ไป๋อี้หันหน้ากลับไปมอง จึงได้เห็นว่าเด็กน้อยน้ำตาไหลเป็นทาง โดยไม่มีแม้แต่เสียงร้องไห้ ไม่เหมือนกับเด็กทารกทั่วไปที่ร้องไห้เสียงดังจ้า แต่เด็กน้อยคนนี้กลับไม่มีเสียงร้องสักแอะ ทันทีที่เด็กน้อยเห็นไป๋อี้ เพียงชั่วพริบตาเดียวเธอกลับเปลี่ยนสีหน้าเป็นยิ้มแย้มดีใจ

 

        “ผมไม่ได้ ……” ไป๋อี้เบือนหน้าหนี แต่หางตาของเขายังคงมองไปที่เด็กน้อยอย่างไม่ละสายตา

 

        เมื่อเด็กน้อยเห็นไป๋อี้หันตัวกลับไป ใบหน้าที่เปื้อนยิ้มกลับเย็นยะเยือกลง ดวงตาทั้งสองเปลี่ยนเป็นความว่างเปล่าและสิ้นหวัง อย่างไรก็ตามทารกน้อยไม่มีเสียงร้องไห้ออกมาเลยสักนิด มีเพียงน้ำตาที่ไหลรินอย่างเงียบ ๆ เมื่อไป๋อี้เห็นดังนั้น เขาก็รู้สึกถึงความปวดร้าวแวบเข้ามาในใจอย่างประหลาด มันเป็นความรู้สึกที่ไป๋อี้เองก็อธิบายไม่ถูก

 

        อย่างไรก็ตามไป๋อี้ยังคงเดินออกมาจากห้องผู้ป่วย จากนั้นก็ปิดประตูลง หากแต่ครั้งนี้ พยาบาลสาวตัวน้อยไม่ได้ดึงรั้งเขาเอาไว้เหมือนเช่นเคย ไป๋อี้จึงเดินออกไปได้อย่างง่ายดาย

 

        ไป๋อี้ยังยืนพิงอยู่ที่ประตู ทันใดนั้นก็รู้สึกเศร้าใจมากเกินกว่าจะเปรียบเปรยได้ หลังจากหยุดนิ่งอยู่ชั่วขณะหนึ่ง เขาก็รีบจ้ำอ้าวออกไป ราวกับว่าต้องการที่จะหนีออกจากที่แห่งนี้ ไป๋อี้ตั้งหน้าตั้งตาวิ่งมาจนถึงประตูทางเข้าโรงพยาบาล ไป๋อี้ยกเท้าขึ้นค้างไว้กลางอากาศ เหมือนกับว่าก้าวที่จะเหยียบลงไปนี้ เขาจะไม่กลับมาอีกตลอดไป

 

        “โอ้ เจอกันอีกแล้ว เจ้าหญิงน้อยของคุณเป็นอย่างไรบ้าง?” ทันใดนั้นเองก็มีเสียงชายคนหนึ่งดังขึ้น

 

        ไป๋อี้มองไปตามเสียง จึงได้พบว่าเป็นคนขับรถแท็กซี่ที่เขานั่งมาก่อนหน้านี้ ตอนนี้เขาได้พาผู้โดยสารอีกสองคนมาส่งที่โรงพยาบาลแห่งเดิม อย่างไรก็ตามตอนนี้ไป๋อี้ไม่ได้ให้ความสนใจเรื่องนี้สักนิด  สิ่งที่ดังก้องวนเวียนอยู่ในหัวเขา มีเพียงประโยคง่าย ๆ ประโยคเดียวจากคนขับรถคนนั้น “เจ้าหญิงน้อยของคุณ …… เจ้าหญิงน้อยของคุณ!”

 

        ทันใดนั้น ไป๋อี้ก็ดึงเท้ากลับเข้ามาอย่างฉับพลัน จากนั้นก็รีบวิ่งกลับเข้าไปในโรงพยาบาล

 

        “เฮ้ เฮ้! เจ้าหนุ่ม ทำไมถึงได้รีบร้อนอย่างนี้ …… บ้าเอ๊ย หรือว่าเขาคิดจะเบี้ยวค่าโดยสาร?” ทันทีที่คิดได้ดังนั้น ความรู้สึกโกรธของชายคนขับก็พลุ่งพล่านขึ้นมา

 

        ……

 

        เมื่อไป๋อี้กลับไปถึงห้องผู้ป่วย จึงพบว่าเด็กน้อยได้มองมาที่ประตูห้องอย่างมีความหวังมาตลอด นัยน์ตาของเธอทั้งว่างเปล่าและเศร้าสร้อยอย่างหาอะไรเปรียบไม่ได้ เมื่อเห็นไป๋อี้อยู่ที่ประตู นัยน์ตาของเด็กน้อยก็ดูเปล่งประกายสว่างสดใสขึ้นมาทันตา แต่เพียงไม่นานความเปล่งประกายนั้นกลับมืดมนลง ยิ่งไปกว่านั้นดูมืดมนยิ่งกว่าในตอนแรกเสียอีก

 

        ไป๋อี้ค่อย ๆ เดินเข้ามาข้าง ๆ เด็กน้อย จากนั้นก็ยื่นมือขวาออกไป หวังจะสัมผัสใบหน้าน้อย ๆ แต่ทว่าเขากลับกลัวว่าจะทำให้เด็กน้อยที่แสนเปราะบางได้รับบาดเจ็บ

 

        “ไม่ใช่ว่าคุณจากไปแล้วเหรอ แล้วจะกลับมาทำไม” พยาบาลได้ยินมาจากแพทย์หญิง

 

        “ผม ……!” ไป๋อี้หายใจเข้าลึก ๆ หนึ่งเฮือกใหญ่ เขามองไปที่นัยน์ตาอันว่างเปล่าไร้เดียงสาของเด็กน้อย จากนั้นก็ทำการตัดสินใจ

 

        “ผมไม่ไปแล้ว ถ้าหนูยินดีให้ฉันดูแล ก็ให้ยิ้มออกมา” ไป๋อี้ตั้งใจพูดออกมาจากใจจริง โดยที่ไป๋อี้เองก็ไม่รู้ตัวว่าเพราะอะไรจึงได้ตัดสินใจเช่นนี้ ถึงแม้จะรู้ดีว่าเด็กทารกน้อยเป็นเด็กที่เก็บมาจากข้างถนน ถึงจะรู้ดีว่าหนูน้อยมีโรคประจำตัวที่ติดตัวมาแต่เด็ก แต่ทว่าเขาก็ไม่สามารถวางใจเมินเฉยได้

 

        โชคชะตาของคนทั้งสอง ช่างเป็นเรื่องมหัศจรรย์เหลือเกิน!

 

        ในขณะนั้นเอง ราวกับว่าหนูน้อยเข้าใจสิ่งที่ไป๋อี้สื่อออกมา นัยน์ตาของเด็กน้อยที่ว่างเปล่ากลับเปล่งประกายขึ้นมาในฉับพลัน เปลี่ยนเป็นความมีชีวิตชีวาที่แท้จริงอีกครั้ง จากนั้นหนูน้อยก็เผยรอยยิ้มออกมา

 

        ทูตแห่งสวรรค์!

 

        ในเวลานั้นคำคำนี้ก็ผุดขึ้นมาในหัวของไป๋อี้และพยาบาลสาวทันที

 

        ————————————————

 

        สามปีต่อมา!

 

        ซุปหัวปลากำลังถูกเคี่ยวไฟแรงอยู่ในห้องครัว มีฟองขาวเดือดปุด ๆ ไปทั่ว ส่งกลิ่นหอมโชยแตะจมูก ในเวลาเดียวกันนั้น ไป๋อี้ก็กำลังง่วนอยู่กับการทำสลัดไข่พริกหยวก นอกจากนี้ยังมีหมูผัดซอสแดงน้ำผึ้งและอีกสองสามเมนู การเคลื่อนไหวของไป๋อี้ไม่ได้มีท่าทีลนลานหรืองก ๆ เงิ่น ๆ แต่อย่างใด แม้ว่าเขาจะทำทั้งหมดด้วยตัวคนเดียว แต่กลับมีความชำนาญงานในครัวเป็นอย่างดี

 

        จะว่าไปแล้ว ตอนนี้ไป๋อี้เป็นถึงเชฟในครัวใหญ่แห่งมหาวิทยาลัยไวกาโต้ในประเทศนิวซีแลนด์

 

        เอาล่ะ บางทีพวกคุณอาจจะคิดว่า เชฟใหญ่ของสถานศึกษา …… มีอะไรผิดพลาดหรือไม่ ในระดับความสามารถแบบนี้ ใช่อย่างที่ว่ามา ไม่ว่าสถานศึกษาไหน ๆ ทักษะการทำอาหารของเชฟนั้นมักจะมีไม่มากพอ และนักเรียนหลายคนมักบ่นเรื่องอาหารเสมอ ถึงทักษะการทำอาหารของไป๋อี้นั้นจะยังไม่สามารถเทียบได้กับเชฟชั้นนำ แต่ก็เทียบไม่ได้กับคนธรรมดาทั่วไป ในความเป็นจริงตราบใดที่คนทั่วไปไม่จู้จี้จุกจิกเกี่ยวกับรสชาติ ทุกคนที่ได้กินอาหารของไป๋อี้จะต้องเอ่ยปากชมว่า “อร่อย!”

 

        แม้ปราศจากคำชื่นชมอันงดงามสละสลวย คำว่าอร่อยเพียงคำเดียวก็ถือว่าเป็นการยอมรับที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแล้วสำหรับเชฟ

 

        ขณะเดียวกันนั้น ในห้องโถงมีเด็กหญิงอายุ 4 ขวบกำลังกอดสุนัขพันธุ์ชาร์ไป่ที่อยู่ข้างกายพร้อมกับนั่งดูการ์ตูนอยู่บนโซฟา เด็กหญิงคนนี้คือเด็กทารกน้อยเมื่อสามปีก่อน เขาตกลงรับเลี้ยงเด็กทารกน้อยในตอนนั้นและตื่นเต้นอยู่พักใหญ่ ต่อมาจึงได้รู้ว่าการเลี้ยงเด็กเป็นเรื่องยุ่งยากมากแค่ไหน 

 

        เมื่อตัดสินใจรับเลี้ยงเด็กน้อยในประเทศนิวซีแลนด์ เห็นได้ชัดว่าไม่สามารถพาเธอกลับไปที่ประเทศจีนได้ ดังนั้นไป๋อี้จึงหางานทำในประเทศนิวซีแลนด์ โชคดีที่แพทย์หญิงกับพยาบาลสาวในตอนแรกเป็นคนจิตใจดีให้ความช่วยเหลือไป๋อี้เอาไว้มาก ถึงแม้ว่าจะเป็นเรื่องยุ่งยาก แต่ทว่าไป๋อี้ไม่เคยนึกเสียใจเลยสักนิด มันเทียบไม่ได้กับความรู้สึกปิติยินดีที่ล้นปริ่ม

 

        ส่วนเจ้าสุนัขพันธุ์ชาร์ไป่ตัวนี้ก็คือสุนัขน้อยในตอนแรกนั่นเอง เวลาผ่านไปสามปี หน้าตาเจ้าสุนัขพันธุ์ชาร์ไป่เปลี่ยนไปเป็นหน้าย่นคิ้วขมวด ซึ่งก็มาจากตัวที่อ้วนกลมขึ้นของเจ้านี่ อย่างไรก็ตามมันมีชีวิตที่ดี ยิ่งไปกว่านั้นไป๋อี้มีอาชีพเป็นเชฟ เจ้าสุนัขพันธ์ชาร์ไป่ก็เป็นหนึ่งในสมาชิกของครอบครัวนี้  ไม่แปลกที่จะถูกเลี้ยงมาจนตัวอ้วนกลม อืม …… เหมือนกับโม่โม่ไม่มีผิด

 

        “โม่โม่” เป็นชื่อของเด็กหญิงที่ไป๋อี้รับมาเลี้ยง เรียบง่าย แต่เผยให้เห็นถึงความรักความเอาใจใส่ของไป๋อี้

 

        “โม่โม่ ชาร์ไป่ อาหารพร้อมแล้ว” ไป๋อี้ส่งเรียงเรียก

 

        “ค่ะ มาแล้ว” ตาของโม่โม่เป็นประกายขึ้นมาทันที ขณะที่เจ้าชาร์ไป่จอมเซ่อก็รีบผลุนผลันลุกขึ้นมาและตามติดโม่โม่ไปที่ห้องนั่งเล่น

 

        นักกินจุทั้งสอง!

 

        ไม่ว่าจะเป็นโม่โม่หรือชาร์ไป่ ปฏิเสธไม่ได้ว่าทั้งสองเป็นนักกินจุที่มีมาตรฐาน เพราะมีเชฟที่มีฝีมืออย่างไป๋อี้ อีกทั้งไป๋อี้ก็ยังปล่อยให้โม่โม่ได้กินอาหารตามอำเภอใจอีก ดังนั้นโม่โม่จึงถูกเลี้ยงดูมาเป็นนักกินจุที่สมบูรณ์แบบ เมื่อเจ้านายตัวน้อยเป็นเช่นนี้ เจ้าชาร์ไป่ก็ไม่ต่างกัน ดูรวม ๆ แล้วเหมือนกับลูกชิ้นเนื้อดี ๆ นี่เอง

 

        “โม่โม่ หนูอ้วนขึ้นอีกแล้ว!”  ไป๋อี้เปรยขึ้นขณะที่กำลังอุ้มโม่โม่ที่โผเข้ามาหา

 

        “คุณยายแม็กกี้บอกว่าหนูโตขึ้นแล้ว และยังแข็งแรงกว่านีน่าอีกด้วย” โม่โม่ตอบโต้กลับทันที คุณยายแม็กกี้ที่โม่โม่กล่าวถึง ก็คือคุณยายข้างบ้านที่มีอายุห้าสิบกว่า ๆ ตอนนี้เธออาศัยอยู่ในบ้านของลูกชาย ช่วยดูแลนีน่าหลานตัวน้อยที่โตกว่าโม่โม่เพียงปีเดียว แต่กลับตัวเล็กกว่าโม่โม่ เรื่องน้ำหนักยิ่งไม่ต้องพูดถึง

 

        “ใช่ ๆ โม่โม่โตแล้ว” ไป๋อี้พูดกับโม่โม่ด้วยความเอ็นดู

 

        “พรุ่งนี้พอจะมีเวลาว่างอยู่ โม่โม่ หนูอยากไปเล่นที่ไหน?” ไป๋อี้เอ่ยขึ้นในเวลาอาหาร

 

        “เอ๋ ……?” โม่โม่เอียงหัวเล็กน้อย ในขณะที่ค่อย ๆ เคี้ยวซาลาเปาเต็มแก้มทั้งสองข้าง ราวกับกำลังคิดว่าจะไปเล่นที่ไหนดี ครู่ต่อมา โม่โม่มองไปที่ชาร์ไป่ “ชาร์ไป่ พวกเราไปเล่นที่ไหนดี?”

 

        เด็กน้อยพูดขึ้นขณะที่เจ้าชาร์ไป่กำลังเคี้ยวเนื้อหมูตุ๋นจนแก้มตุ่ย สำหรับในครอบครัวนี้ ไม่ว่าไป๋อี้กับโม่โม่กินอาหารอะไรชาร์ไป่เองก็จะได้กินอาหารแบบเดียวกัน ไม่ใช่อาหารสุนัข เพราะสำหรับโม่โม่แล้ว ชาร์ไป่ไม่เพียงแต่เป็นสัตว์เลี้ยงเท่านั้น แต่เป็นเหมือนเพื่อนที่เล่นด้วยกันมาเสมอ อีกทั้งสำหรับครอบครัวนี้แล้ว ชาร์ไป่ก็นับว่าเป็นสมาชิกอีกคนหนึ่งในครอบครัวเช่นกัน

 

        “บรู๊วว!” ชาร์ไป่เงยหัวขึ้นเมื่อได้ยินเด็กน้อยถาม พลางหอนตอบรับ

 

        ไป๋อี้ไม่ได้ขัดการสนทนาของทั้งสอง ได้แต่มองดูโม่โม่และชาร์ไป่ที่กำลังสนทนากันอย่างสนุกสนานด้วยภาษาที่เขาเองก็ไม่เข้าใจนัก อันที่จริงไป๋อี้ก็ไม่อยากเชื่อว่าทั้งโม่โม่และชาร์ไป่จะสามารถสื่อสารกันได้ แต่ในบางครั้งตั้งแต่เล็กจนโตมาด้วยกัน โม่โม่กับชาร์ไป่ดูเหมือนจะเข้าใจความหมายซึ่งกันและกันจริงๆ

 

        “นีน่าบอกว่าไม่กี่วันก่อนได้ไปดูผีเสื้อ หนูก็อยากไปบ้าง”

 

        “ผีเสื้อ … หนูกำลังพูดถึงสวนผีเสื้อในแฮมิลตันอินเนอร์ซิตี้พาร์คใช่ไหม โอเค!” ไป๋อี้พยักหน้ารับคำสื่อความหมายว่าตัดสินใจตามนั้น จากนั้นไป๋อี้ก็พูดตอบรับโม่โม่อีกครั้ง สำหรับการคุยกับเด็กหญิงอายุสี่ขวบเรื่องจะไปเล่นที่ไหน แม้ว่าจะดูเป็นเรื่องน่าเบื่อ แต่สำหรับไป๋อี้แล้วไม่รู้สึกเบื่อหน่ายเลยสักนิด กลับมีความสนใจฟังเป็นอย่างมากมากกว่า 

 

        เมื่อรับประทานอาหารเสร็จ โม่โม่ก็วิ่งออกไปพร้อมกับชาร์ไป่เพื่อเตรียมพร้อมที่จะเล่นกับนีน่า ในขณะที่ไป๋อี้เริ่มทำความสะอาดโต๊ะอาหาร ความสงบเรียบร้อยในบริเวณนี้มีความปลอดภัยสูง อีกทั้งชาร์ไป่ก็ติดตามโม่โม่ไปด้วย ไป๋อี้จึงไม่กังวลอะไรมาก 

 

        ……

 

        ในเช้าตรู่ของวันที่ 23 มีนาคม ปี 2020 ไป๋อี้รู้สึกราวกับมีบางอย่างหนัก ๆ ทับอยู่บนตัว พอลืมตาขึ้นมาดู จึงได้พบกับโม่โม่ที่ปีนอยู่บนตัวเขา หนูน้อยกอดคอเขาไว้และทับอยู่บริเวณหน้าอก

 

        โม่โม่ไม่มีแม่ตั้งแต่เล็กแต่น้อย หนูน้อยจึงติดไป๋อี้มากเป็นพิเศษ ดังนั้นจึงมักปีนป่ายตามตัวไป๋อี้อยู่เสมอ แต่ทว่าจุดสำคัญในตอนนี้คือ …… โม่โม่ฉี่รดที่นอนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

 

        “โม่โม่หนูอายุสี่ขวบแล้วนะ ทำไมยังติดนิสัยฉี่รดที่นอนอยู่เป็นครั้งเป็นคราวอีก” ไป๋อี้อุ้มโม่โม่ขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ อีกทั้งตอนนี้โม่โม่ก็ยังคงงัวเงียอยู่

 

        ไป๋อี้ค่อย ๆ วางโม่โม่ลงบนโซฟา จากนั้นก็เริ่มทำความสะอาด โชคดีที่นี่ไม่ใช่ครั้งแรก ดังนั้นไป๋อี้จึงคุ้นชินไปเสียแล้ว เขาถอดผ้าปูที่โม่โม่ฉี่รดที่นอนจนเปียกแฉะออกมา จากนั้นก็ปูผ้าผืนใหม่ แล้วจึงอุ้มโม่โม่ไปยังห้องน้ำ

 

        ในขณะเดียวกันเจ้าชาร์ไป่ที่อยู่ข้าง ๆ ก็ถูกปลุกขึ้น มันเดินไปดูที่ประตู เห็นไป๋อี้ที่อุ้มโม่โม่อยู่ มุมปากของเจ้าชาร์ไป่ก็มีอาการสั่นคลอน ไม่รู้ว่าเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร แต่ไป๋อี้รู้สึกราวกับว่ามันกำลังหัวเราะอยู่ 

 

        “ดูสิ เจ้าชาร์ไป่ยังหัวเราะใส่หนูเลย สี่ขวบแล้วยังฉี่รดที่นอนอยู่อีก”

 

        “พ่อนี่แย่จริง ๆ แล้วก็ไม่อนุญาตให้ชาร์ไป่หัวเราะหนูนะ” โม่โม่ตื่นเต็มตาแล้วในตอนนี้ หนูน้อยรู้สึกละอายขึ้นมาทันทีหลังจากได้ยินไป๋อี้กล่าวเช่นนั้น

 

        เมื่อเข้ามาในห้องน้ำ หลังจากเปิดระบบน้ำอุ่นแล้ว ไป๋อี้ก็ช่วยโม่โม่อาบน้ำ จากนั้นก็โยนกองผ้าปูที่นอนและเสื้อผ้าลงไปในเครื่องซักผ้า ในระหว่างที่รอไป๋อี้อยู่นั้น กลับพบว่าโม่โม่กำลังยืนอยู่ที่ระเบียงด้วยผ้าเช็ดตัวเพียงผืนเดียว 

 

        “โม่โม่ ระวังเป็นหวัดนะ!”

 

        “พ่อคะ ตรงนั้น” โม่โม่หันกลับมามองไป๋อี้ จากนั้นก็คว้าราวระเบียงเอาไว้และจับตามองไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ชาร์ไป่เองก็ติดตามโม่โม่อยู่ข้าง ๆ ไม่ห่าง มันกระโดดไปพลางกระดิกหางไปพลาง   

 

        “มีอะไรเหรอ”

 

        “พ่อคะได้ยินเสียงอะไรไหม เป็นเสียงที่ดูปวดร้าวมาก” โม่โม่ชะงักงันมองไปทางเสียงนั้น

 

        เสียงที่ปวดร้าว? ไป๋อี้เดินตามมาที่ระเบียงและมองไปตามทิศทางของเสียงที่โม่โม่กล่าวถึง แต่ทว่ากลับไม่พบอะไร ทุกอย่างดูปกติดี ไป๋อี้ไม่ได้สงสัยในตัวลูกสาวของตัวเอง แต่ทุกอย่างมันเป็นปกติมากจริง ๆ เสียงปวดร้าวมาจากที่ไหน ขณะนี้เป็นเวลาย่ำรุ่ง ในเมืองมีเพียงแสงไฟประปรายและเงียบสงัด

 

        ไป๋อี้ไม่แน่ใจนัก แม้ว่าความสามารถในการมองเห็นของโม่โม่เริ่มถดถอยอย่างรวดเร็ว แต่สวรรค์ได้มอบความสามารถในการได้ยินที่ไม่เหมือนใครให้กับเธอ บางครั้งบางคราโม่โม่ก็ได้ยินเสียงอะไรบางอย่างที่อธิบายไม่ได้จริง ๆ

 

                                                                     ————————

                               อ่านเร็วก่อนใคร ไม่พลาดทุกการอัปเดตนิยายได้ที่เว็บ Kawebook ค่ะ^^

                                                  https://www.kawebook.com/story/6809

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

[นิยายแปล] มหาวิบัติยีนกลายพันธุ์ 3 ระยะแรกเริ่ม

Now you are reading [นิยายแปล] มหาวิบัติยีนกลายพันธุ์ Chapter 3 ระยะแรกเริ่ม at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

        “ผู้ชายไร้ความรับผิดชอบ” พยาบาลสาวปล่อยมือหลังจากที่ลากไป๋อี้กลับเข้าไปในห้องผู้ป่วย แต่ยังไม่วายทิ้งท้ายคำพูดไว้ประโยคหนึ่ง

 

        “ผมไม่ใช่พ่อของเธอจริง ๆ” ไป๋อี้ไม่รู้จะพูดอย่างไรให้เธอเชื่อ

 

        “คุณดูลักษณะหน้าตาของเจ้าหญิงน้อยสิ ยังจะกล้าพูดว่าไม่ใช่พ่อของเธออีก” พยาบาลสาวตอบกลับด้วยความฉุนเฉียว

 

        ไป๋อี้หันหน้ากลับไปมอง จึงได้เห็นว่าเด็กน้อยน้ำตาไหลเป็นทาง โดยไม่มีแม้แต่เสียงร้องไห้ ไม่เหมือนกับเด็กทารกทั่วไปที่ร้องไห้เสียงดังจ้า แต่เด็กน้อยคนนี้กลับไม่มีเสียงร้องสักแอะ ทันทีที่เด็กน้อยเห็นไป๋อี้ เพียงชั่วพริบตาเดียวเธอกลับเปลี่ยนสีหน้าเป็นยิ้มแย้มดีใจ

 

        “ผมไม่ได้ ……” ไป๋อี้เบือนหน้าหนี แต่หางตาของเขายังคงมองไปที่เด็กน้อยอย่างไม่ละสายตา

 

        เมื่อเด็กน้อยเห็นไป๋อี้หันตัวกลับไป ใบหน้าที่เปื้อนยิ้มกลับเย็นยะเยือกลง ดวงตาทั้งสองเปลี่ยนเป็นความว่างเปล่าและสิ้นหวัง อย่างไรก็ตามทารกน้อยไม่มีเสียงร้องไห้ออกมาเลยสักนิด มีเพียงน้ำตาที่ไหลรินอย่างเงียบ ๆ เมื่อไป๋อี้เห็นดังนั้น เขาก็รู้สึกถึงความปวดร้าวแวบเข้ามาในใจอย่างประหลาด มันเป็นความรู้สึกที่ไป๋อี้เองก็อธิบายไม่ถูก

 

        อย่างไรก็ตามไป๋อี้ยังคงเดินออกมาจากห้องผู้ป่วย จากนั้นก็ปิดประตูลง หากแต่ครั้งนี้ พยาบาลสาวตัวน้อยไม่ได้ดึงรั้งเขาเอาไว้เหมือนเช่นเคย ไป๋อี้จึงเดินออกไปได้อย่างง่ายดาย

 

        ไป๋อี้ยังยืนพิงอยู่ที่ประตู ทันใดนั้นก็รู้สึกเศร้าใจมากเกินกว่าจะเปรียบเปรยได้ หลังจากหยุดนิ่งอยู่ชั่วขณะหนึ่ง เขาก็รีบจ้ำอ้าวออกไป ราวกับว่าต้องการที่จะหนีออกจากที่แห่งนี้ ไป๋อี้ตั้งหน้าตั้งตาวิ่งมาจนถึงประตูทางเข้าโรงพยาบาล ไป๋อี้ยกเท้าขึ้นค้างไว้กลางอากาศ เหมือนกับว่าก้าวที่จะเหยียบลงไปนี้ เขาจะไม่กลับมาอีกตลอดไป

 

        “โอ้ เจอกันอีกแล้ว เจ้าหญิงน้อยของคุณเป็นอย่างไรบ้าง?” ทันใดนั้นเองก็มีเสียงชายคนหนึ่งดังขึ้น

 

        ไป๋อี้มองไปตามเสียง จึงได้พบว่าเป็นคนขับรถแท็กซี่ที่เขานั่งมาก่อนหน้านี้ ตอนนี้เขาได้พาผู้โดยสารอีกสองคนมาส่งที่โรงพยาบาลแห่งเดิม อย่างไรก็ตามตอนนี้ไป๋อี้ไม่ได้ให้ความสนใจเรื่องนี้สักนิด  สิ่งที่ดังก้องวนเวียนอยู่ในหัวเขา มีเพียงประโยคง่าย ๆ ประโยคเดียวจากคนขับรถคนนั้น “เจ้าหญิงน้อยของคุณ …… เจ้าหญิงน้อยของคุณ!”

 

        ทันใดนั้น ไป๋อี้ก็ดึงเท้ากลับเข้ามาอย่างฉับพลัน จากนั้นก็รีบวิ่งกลับเข้าไปในโรงพยาบาล

 

        “เฮ้ เฮ้! เจ้าหนุ่ม ทำไมถึงได้รีบร้อนอย่างนี้ …… บ้าเอ๊ย หรือว่าเขาคิดจะเบี้ยวค่าโดยสาร?” ทันทีที่คิดได้ดังนั้น ความรู้สึกโกรธของชายคนขับก็พลุ่งพล่านขึ้นมา

 

        ……

 

        เมื่อไป๋อี้กลับไปถึงห้องผู้ป่วย จึงพบว่าเด็กน้อยได้มองมาที่ประตูห้องอย่างมีความหวังมาตลอด นัยน์ตาของเธอทั้งว่างเปล่าและเศร้าสร้อยอย่างหาอะไรเปรียบไม่ได้ เมื่อเห็นไป๋อี้อยู่ที่ประตู นัยน์ตาของเด็กน้อยก็ดูเปล่งประกายสว่างสดใสขึ้นมาทันตา แต่เพียงไม่นานความเปล่งประกายนั้นกลับมืดมนลง ยิ่งไปกว่านั้นดูมืดมนยิ่งกว่าในตอนแรกเสียอีก

 

        ไป๋อี้ค่อย ๆ เดินเข้ามาข้าง ๆ เด็กน้อย จากนั้นก็ยื่นมือขวาออกไป หวังจะสัมผัสใบหน้าน้อย ๆ แต่ทว่าเขากลับกลัวว่าจะทำให้เด็กน้อยที่แสนเปราะบางได้รับบาดเจ็บ

 

        “ไม่ใช่ว่าคุณจากไปแล้วเหรอ แล้วจะกลับมาทำไม” พยาบาลได้ยินมาจากแพทย์หญิง

 

        “ผม ……!” ไป๋อี้หายใจเข้าลึก ๆ หนึ่งเฮือกใหญ่ เขามองไปที่นัยน์ตาอันว่างเปล่าไร้เดียงสาของเด็กน้อย จากนั้นก็ทำการตัดสินใจ

 

        “ผมไม่ไปแล้ว ถ้าหนูยินดีให้ฉันดูแล ก็ให้ยิ้มออกมา” ไป๋อี้ตั้งใจพูดออกมาจากใจจริง โดยที่ไป๋อี้เองก็ไม่รู้ตัวว่าเพราะอะไรจึงได้ตัดสินใจเช่นนี้ ถึงแม้จะรู้ดีว่าเด็กทารกน้อยเป็นเด็กที่เก็บมาจากข้างถนน ถึงจะรู้ดีว่าหนูน้อยมีโรคประจำตัวที่ติดตัวมาแต่เด็ก แต่ทว่าเขาก็ไม่สามารถวางใจเมินเฉยได้

 

        โชคชะตาของคนทั้งสอง ช่างเป็นเรื่องมหัศจรรย์เหลือเกิน!

 

        ในขณะนั้นเอง ราวกับว่าหนูน้อยเข้าใจสิ่งที่ไป๋อี้สื่อออกมา นัยน์ตาของเด็กน้อยที่ว่างเปล่ากลับเปล่งประกายขึ้นมาในฉับพลัน เปลี่ยนเป็นความมีชีวิตชีวาที่แท้จริงอีกครั้ง จากนั้นหนูน้อยก็เผยรอยยิ้มออกมา

 

        ทูตแห่งสวรรค์!

 

        ในเวลานั้นคำคำนี้ก็ผุดขึ้นมาในหัวของไป๋อี้และพยาบาลสาวทันที

 

        ————————————————

 

        สามปีต่อมา!

 

        ซุปหัวปลากำลังถูกเคี่ยวไฟแรงอยู่ในห้องครัว มีฟองขาวเดือดปุด ๆ ไปทั่ว ส่งกลิ่นหอมโชยแตะจมูก ในเวลาเดียวกันนั้น ไป๋อี้ก็กำลังง่วนอยู่กับการทำสลัดไข่พริกหยวก นอกจากนี้ยังมีหมูผัดซอสแดงน้ำผึ้งและอีกสองสามเมนู การเคลื่อนไหวของไป๋อี้ไม่ได้มีท่าทีลนลานหรืองก ๆ เงิ่น ๆ แต่อย่างใด แม้ว่าเขาจะทำทั้งหมดด้วยตัวคนเดียว แต่กลับมีความชำนาญงานในครัวเป็นอย่างดี

 

        จะว่าไปแล้ว ตอนนี้ไป๋อี้เป็นถึงเชฟในครัวใหญ่แห่งมหาวิทยาลัยไวกาโต้ในประเทศนิวซีแลนด์

 

        เอาล่ะ บางทีพวกคุณอาจจะคิดว่า เชฟใหญ่ของสถานศึกษา …… มีอะไรผิดพลาดหรือไม่ ในระดับความสามารถแบบนี้ ใช่อย่างที่ว่ามา ไม่ว่าสถานศึกษาไหน ๆ ทักษะการทำอาหารของเชฟนั้นมักจะมีไม่มากพอ และนักเรียนหลายคนมักบ่นเรื่องอาหารเสมอ ถึงทักษะการทำอาหารของไป๋อี้นั้นจะยังไม่สามารถเทียบได้กับเชฟชั้นนำ แต่ก็เทียบไม่ได้กับคนธรรมดาทั่วไป ในความเป็นจริงตราบใดที่คนทั่วไปไม่จู้จี้จุกจิกเกี่ยวกับรสชาติ ทุกคนที่ได้กินอาหารของไป๋อี้จะต้องเอ่ยปากชมว่า “อร่อย!”

 

        แม้ปราศจากคำชื่นชมอันงดงามสละสลวย คำว่าอร่อยเพียงคำเดียวก็ถือว่าเป็นการยอมรับที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแล้วสำหรับเชฟ

 

        ขณะเดียวกันนั้น ในห้องโถงมีเด็กหญิงอายุ 4 ขวบกำลังกอดสุนัขพันธุ์ชาร์ไป่ที่อยู่ข้างกายพร้อมกับนั่งดูการ์ตูนอยู่บนโซฟา เด็กหญิงคนนี้คือเด็กทารกน้อยเมื่อสามปีก่อน เขาตกลงรับเลี้ยงเด็กทารกน้อยในตอนนั้นและตื่นเต้นอยู่พักใหญ่ ต่อมาจึงได้รู้ว่าการเลี้ยงเด็กเป็นเรื่องยุ่งยากมากแค่ไหน 

 

        เมื่อตัดสินใจรับเลี้ยงเด็กน้อยในประเทศนิวซีแลนด์ เห็นได้ชัดว่าไม่สามารถพาเธอกลับไปที่ประเทศจีนได้ ดังนั้นไป๋อี้จึงหางานทำในประเทศนิวซีแลนด์ โชคดีที่แพทย์หญิงกับพยาบาลสาวในตอนแรกเป็นคนจิตใจดีให้ความช่วยเหลือไป๋อี้เอาไว้มาก ถึงแม้ว่าจะเป็นเรื่องยุ่งยาก แต่ทว่าไป๋อี้ไม่เคยนึกเสียใจเลยสักนิด มันเทียบไม่ได้กับความรู้สึกปิติยินดีที่ล้นปริ่ม

 

        ส่วนเจ้าสุนัขพันธุ์ชาร์ไป่ตัวนี้ก็คือสุนัขน้อยในตอนแรกนั่นเอง เวลาผ่านไปสามปี หน้าตาเจ้าสุนัขพันธุ์ชาร์ไป่เปลี่ยนไปเป็นหน้าย่นคิ้วขมวด ซึ่งก็มาจากตัวที่อ้วนกลมขึ้นของเจ้านี่ อย่างไรก็ตามมันมีชีวิตที่ดี ยิ่งไปกว่านั้นไป๋อี้มีอาชีพเป็นเชฟ เจ้าสุนัขพันธ์ชาร์ไป่ก็เป็นหนึ่งในสมาชิกของครอบครัวนี้  ไม่แปลกที่จะถูกเลี้ยงมาจนตัวอ้วนกลม อืม …… เหมือนกับโม่โม่ไม่มีผิด

 

        “โม่โม่” เป็นชื่อของเด็กหญิงที่ไป๋อี้รับมาเลี้ยง เรียบง่าย แต่เผยให้เห็นถึงความรักความเอาใจใส่ของไป๋อี้

 

        “โม่โม่ ชาร์ไป่ อาหารพร้อมแล้ว” ไป๋อี้ส่งเรียงเรียก

 

        “ค่ะ มาแล้ว” ตาของโม่โม่เป็นประกายขึ้นมาทันที ขณะที่เจ้าชาร์ไป่จอมเซ่อก็รีบผลุนผลันลุกขึ้นมาและตามติดโม่โม่ไปที่ห้องนั่งเล่น

 

        นักกินจุทั้งสอง!

 

        ไม่ว่าจะเป็นโม่โม่หรือชาร์ไป่ ปฏิเสธไม่ได้ว่าทั้งสองเป็นนักกินจุที่มีมาตรฐาน เพราะมีเชฟที่มีฝีมืออย่างไป๋อี้ อีกทั้งไป๋อี้ก็ยังปล่อยให้โม่โม่ได้กินอาหารตามอำเภอใจอีก ดังนั้นโม่โม่จึงถูกเลี้ยงดูมาเป็นนักกินจุที่สมบูรณ์แบบ เมื่อเจ้านายตัวน้อยเป็นเช่นนี้ เจ้าชาร์ไป่ก็ไม่ต่างกัน ดูรวม ๆ แล้วเหมือนกับลูกชิ้นเนื้อดี ๆ นี่เอง

 

        “โม่โม่ หนูอ้วนขึ้นอีกแล้ว!”  ไป๋อี้เปรยขึ้นขณะที่กำลังอุ้มโม่โม่ที่โผเข้ามาหา

 

        “คุณยายแม็กกี้บอกว่าหนูโตขึ้นแล้ว และยังแข็งแรงกว่านีน่าอีกด้วย” โม่โม่ตอบโต้กลับทันที คุณยายแม็กกี้ที่โม่โม่กล่าวถึง ก็คือคุณยายข้างบ้านที่มีอายุห้าสิบกว่า ๆ ตอนนี้เธออาศัยอยู่ในบ้านของลูกชาย ช่วยดูแลนีน่าหลานตัวน้อยที่โตกว่าโม่โม่เพียงปีเดียว แต่กลับตัวเล็กกว่าโม่โม่ เรื่องน้ำหนักยิ่งไม่ต้องพูดถึง

 

        “ใช่ ๆ โม่โม่โตแล้ว” ไป๋อี้พูดกับโม่โม่ด้วยความเอ็นดู

 

        “พรุ่งนี้พอจะมีเวลาว่างอยู่ โม่โม่ หนูอยากไปเล่นที่ไหน?” ไป๋อี้เอ่ยขึ้นในเวลาอาหาร

 

        “เอ๋ ……?” โม่โม่เอียงหัวเล็กน้อย ในขณะที่ค่อย ๆ เคี้ยวซาลาเปาเต็มแก้มทั้งสองข้าง ราวกับกำลังคิดว่าจะไปเล่นที่ไหนดี ครู่ต่อมา โม่โม่มองไปที่ชาร์ไป่ “ชาร์ไป่ พวกเราไปเล่นที่ไหนดี?”

 

        เด็กน้อยพูดขึ้นขณะที่เจ้าชาร์ไป่กำลังเคี้ยวเนื้อหมูตุ๋นจนแก้มตุ่ย สำหรับในครอบครัวนี้ ไม่ว่าไป๋อี้กับโม่โม่กินอาหารอะไรชาร์ไป่เองก็จะได้กินอาหารแบบเดียวกัน ไม่ใช่อาหารสุนัข เพราะสำหรับโม่โม่แล้ว ชาร์ไป่ไม่เพียงแต่เป็นสัตว์เลี้ยงเท่านั้น แต่เป็นเหมือนเพื่อนที่เล่นด้วยกันมาเสมอ อีกทั้งสำหรับครอบครัวนี้แล้ว ชาร์ไป่ก็นับว่าเป็นสมาชิกอีกคนหนึ่งในครอบครัวเช่นกัน

 

        “บรู๊วว!” ชาร์ไป่เงยหัวขึ้นเมื่อได้ยินเด็กน้อยถาม พลางหอนตอบรับ

 

        ไป๋อี้ไม่ได้ขัดการสนทนาของทั้งสอง ได้แต่มองดูโม่โม่และชาร์ไป่ที่กำลังสนทนากันอย่างสนุกสนานด้วยภาษาที่เขาเองก็ไม่เข้าใจนัก อันที่จริงไป๋อี้ก็ไม่อยากเชื่อว่าทั้งโม่โม่และชาร์ไป่จะสามารถสื่อสารกันได้ แต่ในบางครั้งตั้งแต่เล็กจนโตมาด้วยกัน โม่โม่กับชาร์ไป่ดูเหมือนจะเข้าใจความหมายซึ่งกันและกันจริงๆ

 

        “นีน่าบอกว่าไม่กี่วันก่อนได้ไปดูผีเสื้อ หนูก็อยากไปบ้าง”

 

        “ผีเสื้อ … หนูกำลังพูดถึงสวนผีเสื้อในแฮมิลตันอินเนอร์ซิตี้พาร์คใช่ไหม โอเค!” ไป๋อี้พยักหน้ารับคำสื่อความหมายว่าตัดสินใจตามนั้น จากนั้นไป๋อี้ก็พูดตอบรับโม่โม่อีกครั้ง สำหรับการคุยกับเด็กหญิงอายุสี่ขวบเรื่องจะไปเล่นที่ไหน แม้ว่าจะดูเป็นเรื่องน่าเบื่อ แต่สำหรับไป๋อี้แล้วไม่รู้สึกเบื่อหน่ายเลยสักนิด กลับมีความสนใจฟังเป็นอย่างมากมากกว่า 

 

        เมื่อรับประทานอาหารเสร็จ โม่โม่ก็วิ่งออกไปพร้อมกับชาร์ไป่เพื่อเตรียมพร้อมที่จะเล่นกับนีน่า ในขณะที่ไป๋อี้เริ่มทำความสะอาดโต๊ะอาหาร ความสงบเรียบร้อยในบริเวณนี้มีความปลอดภัยสูง อีกทั้งชาร์ไป่ก็ติดตามโม่โม่ไปด้วย ไป๋อี้จึงไม่กังวลอะไรมาก 

 

        ……

 

        ในเช้าตรู่ของวันที่ 23 มีนาคม ปี 2020 ไป๋อี้รู้สึกราวกับมีบางอย่างหนัก ๆ ทับอยู่บนตัว พอลืมตาขึ้นมาดู จึงได้พบกับโม่โม่ที่ปีนอยู่บนตัวเขา หนูน้อยกอดคอเขาไว้และทับอยู่บริเวณหน้าอก

 

        โม่โม่ไม่มีแม่ตั้งแต่เล็กแต่น้อย หนูน้อยจึงติดไป๋อี้มากเป็นพิเศษ ดังนั้นจึงมักปีนป่ายตามตัวไป๋อี้อยู่เสมอ แต่ทว่าจุดสำคัญในตอนนี้คือ …… โม่โม่ฉี่รดที่นอนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

 

        “โม่โม่หนูอายุสี่ขวบแล้วนะ ทำไมยังติดนิสัยฉี่รดที่นอนอยู่เป็นครั้งเป็นคราวอีก” ไป๋อี้อุ้มโม่โม่ขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ อีกทั้งตอนนี้โม่โม่ก็ยังคงงัวเงียอยู่

 

        ไป๋อี้ค่อย ๆ วางโม่โม่ลงบนโซฟา จากนั้นก็เริ่มทำความสะอาด โชคดีที่นี่ไม่ใช่ครั้งแรก ดังนั้นไป๋อี้จึงคุ้นชินไปเสียแล้ว เขาถอดผ้าปูที่โม่โม่ฉี่รดที่นอนจนเปียกแฉะออกมา จากนั้นก็ปูผ้าผืนใหม่ แล้วจึงอุ้มโม่โม่ไปยังห้องน้ำ

 

        ในขณะเดียวกันเจ้าชาร์ไป่ที่อยู่ข้าง ๆ ก็ถูกปลุกขึ้น มันเดินไปดูที่ประตู เห็นไป๋อี้ที่อุ้มโม่โม่อยู่ มุมปากของเจ้าชาร์ไป่ก็มีอาการสั่นคลอน ไม่รู้ว่าเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร แต่ไป๋อี้รู้สึกราวกับว่ามันกำลังหัวเราะอยู่ 

 

        “ดูสิ เจ้าชาร์ไป่ยังหัวเราะใส่หนูเลย สี่ขวบแล้วยังฉี่รดที่นอนอยู่อีก”

 

        “พ่อนี่แย่จริง ๆ แล้วก็ไม่อนุญาตให้ชาร์ไป่หัวเราะหนูนะ” โม่โม่ตื่นเต็มตาแล้วในตอนนี้ หนูน้อยรู้สึกละอายขึ้นมาทันทีหลังจากได้ยินไป๋อี้กล่าวเช่นนั้น

 

        เมื่อเข้ามาในห้องน้ำ หลังจากเปิดระบบน้ำอุ่นแล้ว ไป๋อี้ก็ช่วยโม่โม่อาบน้ำ จากนั้นก็โยนกองผ้าปูที่นอนและเสื้อผ้าลงไปในเครื่องซักผ้า ในระหว่างที่รอไป๋อี้อยู่นั้น กลับพบว่าโม่โม่กำลังยืนอยู่ที่ระเบียงด้วยผ้าเช็ดตัวเพียงผืนเดียว 

 

        “โม่โม่ ระวังเป็นหวัดนะ!”

 

        “พ่อคะ ตรงนั้น” โม่โม่หันกลับมามองไป๋อี้ จากนั้นก็คว้าราวระเบียงเอาไว้และจับตามองไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ชาร์ไป่เองก็ติดตามโม่โม่อยู่ข้าง ๆ ไม่ห่าง มันกระโดดไปพลางกระดิกหางไปพลาง   

 

        “มีอะไรเหรอ”

 

        “พ่อคะได้ยินเสียงอะไรไหม เป็นเสียงที่ดูปวดร้าวมาก” โม่โม่ชะงักงันมองไปทางเสียงนั้น

 

        เสียงที่ปวดร้าว? ไป๋อี้เดินตามมาที่ระเบียงและมองไปตามทิศทางของเสียงที่โม่โม่กล่าวถึง แต่ทว่ากลับไม่พบอะไร ทุกอย่างดูปกติดี ไป๋อี้ไม่ได้สงสัยในตัวลูกสาวของตัวเอง แต่ทุกอย่างมันเป็นปกติมากจริง ๆ เสียงปวดร้าวมาจากที่ไหน ขณะนี้เป็นเวลาย่ำรุ่ง ในเมืองมีเพียงแสงไฟประปรายและเงียบสงัด

 

        ไป๋อี้ไม่แน่ใจนัก แม้ว่าความสามารถในการมองเห็นของโม่โม่เริ่มถดถอยอย่างรวดเร็ว แต่สวรรค์ได้มอบความสามารถในการได้ยินที่ไม่เหมือนใครให้กับเธอ บางครั้งบางคราโม่โม่ก็ได้ยินเสียงอะไรบางอย่างที่อธิบายไม่ได้จริง ๆ

 

                                                                     ————————

                               อ่านเร็วก่อนใคร ไม่พลาดทุกการอัปเดตนิยายได้ที่เว็บ Kawebook ค่ะ^^

                                                  https://www.kawebook.com/story/6809

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+