[นิยายแปล] มหาวิบัติยีนกลายพันธุ์ 103 ความหวังจากก้นบึ้งของหัวใจ

Now you are reading [นิยายแปล] มหาวิบัติยีนกลายพันธุ์ Chapter 103 ความหวังจากก้นบึ้งของหัวใจ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

        ทันทีที่ทั้งสองฝ่ายปะทะกัน ผลลัพธ์ที่ออกมาก็เกินความคาดหมายของทุกคน กลุ่มคนที่คิดว่าตนเองได้เปรียบกลับมีความรู้สึกราวกับกำลังเตะแผ่นเหล็ก ความแข็งแกร่งของทุกคนในกลุ่มไป๋อี้นั้นน่าทึ่งมาก หากจะให้พูดถึงความแข็งแกร่งของทุกคนก็คงพูดได้ว่าสามารถเทียบได้กับคนหัวเสือเลยทีเดียว อย่างไรก็ตามเมื่อคนเหล่านี้มองหาลูกพี่หัวเสือของเขา พวกเขาก็พบว่าลูกพี่หัวเสือได้ล้มลงกับพื้นไปเสียแล้ว เลือดและสมองที่ไหลออกมาจากรูหูก็เป็นเครื่องบ่งบอกได้เลยว่าเขาตายอย่างสนิทแล้วแน่นอน

  เร็วมาก!

  มีคนไม่กี่คนที่เห็นการเผชิญหน้าระหว่างคนหัวเสือและไป๋อี้ แต่การได้เห็นมันไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะเข้าใจมัน ผู้ชายที่ถูกปกคลุมไปด้วยขนปุยและยังคงเป็นมนุษย์กำลังเดินอยู่ในลานกว้าง

  สง่างาม …… ใช่ สง่างาม!

  ทุกคนมีความคิดเช่นนี้อยู่ในใจ พฤติกรรมของไป๋อี้ดูไม่เข้ากับการต่อสู้เลย ไม่มีอะไรโหดร้ายหรือนองเลือด การเดินในลานกว้างของเขาทำให้ทุกคนรู้สึกสง่างามราวกับว่าสนามรบทั้งหมดเป็นเพียงสวนหลังบ้านของเขา บางคนวิ่งเข้าหาไป๋อี้โดยไม่เชื่อในความร้ายกาจของเขา แต่ก่อนที่ทุกคนจะรีบพุ่งไปที่ไป๋อี้ พวกเขาก็ต้องหยุดชะงักให้ไป๋อี้เดินผ่านและฉกฉวยเอาชีวิตเขาไปอย่างง่ายดาย

  ปีศาจ! ในเวลานี้ยกเว้นคนในทีมของไป๋อี้ เกือบทุกคนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามคิดเช่นนั้น แม้ว่าตอนนี้ทุกคนจะเป็นสัตว์ประหลาด แต่อย่างน้อยพวกเขาก็ไม่มีความสามารถพิเศษอะไร แต่ความสามารถของไป๋อี้นั้นเกินความเข้าใจของพวกเขาอย่างสิ้นเชิงและนี่ไม่ใช่โลกแฟนตาซี

  ใช้เวลาไม่กี่สิบวินาทีในการต่อสู้ ฝั่งตรงข้ามตายไปกว่า 7-8 คนแล้วและคนที่เหลือทั้งหมดดูสิ้นไร้ไม้ตอกเหลือเกิน ผู้ชายที่ฉลาดคนหนึ่งเห็นเด็กอยู่ตรงข้ามจึงอดไม่ได้ที่จะรีบวิ่งไปหาโม่โม่ ไม่ว่าจะเป็นการเก็บลูกพลับนุ่ม ๆ หรือจับโม่โม่เป็นตัวประกันก็เป็นทางเลือกที่ถูกต้องอย่างยิ่ง

  เขามองไม่ผิด โม่โม่เหมือนกับไป๋อี้ ยีนที่ผสานรวมกันมีเพียงชนิดเดียวนั่นคือยีนของผีเสื้อ และโม่โม่ก็ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงอะไรมากนัก ดังนั้นจึงเป็นจุดอ่อนที่สุดในทีม เธอดูอ่อนแอกว่ามนุษย์ที่มีวิวัฒนาการทั่วไปเสียอีก แต่โม่โม่เป็นสมบัติของทุกคนในทีม โม่โม่เป็นที่รักที่เอ็นดูของทุกคน จะให้มีอะไรเกิดขึ้นกับโม่โม่ได้อย่างไร เมื่อเห็นผู้ชายคนนี้วิ่งเข้าหาโม่โม่ ก็ไม่มีใครหยุดพวกไป๋อี้ได้อีก แต่กลับเผยให้เห็นเพียงชายที่น่าสงสารซึ่งคิดผิดมหันต์ที่หมายจะจับโม่โม่แทน

  ผู้ชายที่พุ่งเข้าหาโม่โม่ไม่ได้ตระหนักถึงจุดจบที่น่าเศร้าของตัวเอง ไป๋อี้จะไม่ปกป้องโม่โม่ด้วยทุกอย่างในอ้อมแขนของเขาเพราะไป๋อี้รู้สึกว่าโม่โม่ควรเรียนรู้ที่จะต่อสู้ด้วยตัวเองบ้าง อย่างไรก็ตามไป๋อี้จะไม่มีวันปล่อยให้โม่โม่เสี่ยงอันตราย จึงยังต้องมีมาตรการที่จำเป็นอยู่ ทันทีที่ชายคนนี้วิ่งเข้ามาเขาก็ถูกชาร์ไป่ฉีกแขนจากนั้นก็ถูกกัดที่ขาอีกครั้ง จนเขากลายเป็นคู่ซ้อมของโม่โม่ไปเสียแล้ว ในตอนนี้จะวิ่งหนีก็วิ่งไม่ไหว เขาอาจได้ตายจริง ๆ เขาไม่กล้าลงมือฆ่าโม่โม่ ไม่เห็นสุนัขตัวใหญ่ที่ดุร้ายข้างๆหนูน้อยจ้องเขม็งมาหรือไง?

  ในไม่ช้าคนที่เหลือทั้งหมดก็ทรุดตัวลงและเริ่มหนีไป ในการต่อสู้รูปแบบนี้ ในเมื่อมองไม่เห็นโอกาสแห่งชัยชนะเลยแม้แต่น้อยแล้วจะรอความตายอยู่ที่นี่หรือไงกัน

  “คนที่คิดอยากจะหนี …… คงได้ตายก่อน!” ไป๋อี้กล่าว

  เฮลัวส์บินออกไปทันที เพื่อหยุดคนที่วิ่งหนีออกไปเร็วที่สุด หลังจากฝึกฝนมานานกว่าหนึ่งเดือนท้องฟ้าสูงและพื้นดินกว้างออก  เฮลัวส์ก็เชี่ยวชาญในการบินมากขึ้นแล้ว ราวกับจะยืนยันคำพูดของไป๋อี้ คนที่วิ่งหนีเร็วที่สุดไม่แม้แต่จะทันได้ตั้งตัว เขาก็ถูกเฮลัวส์ตัดหัวจากด้านหลัง ทันใดนั้นหัวอันแปลกประหลาดก็กระเด็นลอยออกไปในขณะที่เลือดก็ส่งกลิ่นเหม็นคละคลุ้งพุ่งขึ้นมาเช่นกัน

  ทันใดนั้นหัวใจของทุกคนก็ห่อเหี่ยวลง พวกเขาไม่สามารถหยุดอยู่ที่นี่ได้

  เจตจำนงของคนเหล่านี้ไม่หนักแน่นพอ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงน้ำเสียงล่อลวงของไป๋อี้ ในตอนนี้มันส่งผลต่อพวกเขามากไปอีก

  “พวกแกต้องการอะไร?” คนที่เหลืออีกประมาณสิบกว่าคนหยุดและหันหลังให้กันและกันเพื่อสร้างวงกลมป้องกันตนขึ้นมา หนึ่งในนั้นกล่าวด้วยความตื่นตระหนกที่มีผู้คนมากมายถูกฆ่าโดยไป๋อี้และทีมของเขา มันน่าอัปยศจริง ๆ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือเมื่อมองไปที่วิธีที่ไป๋อี้และทีมของเขาฆ่าในตอนนี้ ก็รู้ได้ทันทีว่าพวกเขาไม่ใช่คนประเภทที่ลงมืออย่างเห็นใจ มันยากมากที่จะบอกว่าพวกเขาจะมีชีวิตรอดหรือไม่

  “จะว่าไปแล้ว จะให้คนชาติชั่วอย่างพวกแกทำอะไรดีนะ?” ไป๋อี้ดึงดาบที่คาอยู่ออกจากร่างของคู่ต่อสู้คนสุดท้ายที่ขัดขืนเขาออกมา แล้วจึงค่อย ๆ เดินไป

  ไป๋อี้ไม่ได้สนใจกลุ่มคนที่ล้อมรอบกันอยู่ แต่เดินตรงไปที่ชายหน้าม้า

  “ยังขยับได้ไหม?” ไป๋อี้ถาม

  “ทำไมพวกนายไม่มาเร็วกว่านี้สักหน่อย” ชายหน้าม้าคำรามเสียงแหบ ประโยคนี้มีเสียงแปลก ๆ แต่ก็ฟังได้อย่างราบรื่นดี ดวงตาของชายผู้นั้นยังคงร้องไห้ เขากอดคู่หูที่ตายไปแล้วไว้ในอ้อมแขนของเขาด้วยความเจ็บปวด “ลิซฟ์ ฟาสเตอร์ ……” ผู้ชายคนนี้พึมพำอย่างต่อเนื่องในขณะที่กอดศพเพื่อนของเขา “ฉันขอโทษ ฉันไม่โทษพวกนายหรอกนะ” หลังจากนั้นไม่นานผู้ชายคนนี้ก็ตระหนักได้ว่าทัศนคติในตอนแรกของเขาผิดและไม่สามารถอธิบายได้

  “ไม่ ที่จริงพวกเรามาช้าไปนิดหน่อย” ไป๋อี้ส่ายหัว

  “บอกฉันได้ไหม ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่?” ไป๋อี้ถาม แม้ว่าจะมีคาดการณ์ไว้แล้ว แต่ก็เป็นเพียงการคาดเดาเท่านั้น

  ใบหน้าของชายหน้าม้าผ่อนคลายลงเล็กน้อย จิตใจของเขาสงบนิ่งขึ้นและจากนั้นถึงได้อธิบายเหตุผลทั้งหมด ปรากฏว่ามันเกือบจะเหมือนกับที่ไป๋อี้และเพื่อน ๆ คาดการณ์เอาไว้ไม่มีผิด ที่แท้ที่นี่ก็ไม่ใช่การตั้งถิ่นฐานที่ปลอดภัยอะไร แต่เป็นเพียงกับดักล่อลวงกลุ่มคนที่สิ้นหวังเข้ามาที่นี่และเผยแพร่กระจายข่าวออกไปเป็นวงกว้างผ่านสัญญาณไร้สายเพื่อหลอกล่อให้คนอื่นที่ต้องการมองหาความปลอดภัยและการปกป้องภัยให้เข้ามา หลังจากหลอกล่อให้กินอะไรบางอย่าง พวกเขาก็ฆ่ามนุษย์เหล่านั้นทิ้ง และตอนนี้สัตว์ประหลาดก็ถูกฆ่ามาเป็นอาหารของพวกมัน  

        อย่างไรก็ตามแม้ว่าชาติพันธุ์เดิมทีอยู่นิวซีแลนด์จะเป็นมนุษย์ แต่ตอนนี้ไม่สามารถพบเห็นได้สักคน คาดว่าเจ้าพวกนี้จะไม่มีความจิตใต้สำนึกอันดีในจิตใจอยู่เลย

  “พวกมันให้กินอะไร?” ไป๋อี้ถาม ในขณะที่ชายหน้าม้าไม่รู้ชัดเจนนัก

  “บอกมา พวกมันให้คนอื่น ๆ กินอะไร?”

  ม่านตาบุษบาผกผัน!

  เมื่อไป๋อี้เห็นว่าไม่มีใครพูดแววตาของเขาก็เปลี่ยนไปทันที เขาจ้องไปที่คนตรงหน้า ทำให้คน ๆ นั้นตกอยู่ในภวังค์ แต่ก็ยังไม่ตอบคำถามของไป๋อี้ หลังจากนั้นไม่กี่วินาทีไป๋อี้ก็หลับตาลงและกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง แน่นอนว่าดวงตาของเขายังไปไม่ถึงระดับสูงสุด เขามีความสามารถในการสร้างความสับสนและสะกดจิต แต่เขาไม่แข็งแกร่งพอที่จะควบคุมอีกฝ่ายได้ เช่นตอนนี้เขาไม่สามารถสะกดจิตอีกฝ่ายให้ทำตามความคิดของเขาได้ 

        ช่างเถอะ ไม่ตอบก็ไม่เป็นอะไร ก็แค่ต้องตรวจสอบอะไรสักหน่อยก็เท่านั้น

        ขณะที่ไป๋อี้ถามคำถามกับชายหน้าม้า วูล์ฟและคนอื่น ๆ ก็มัดร่างวิวัฒนาการอีก 11 คนที่เหลือ เป็นเรื่องน่าขันที่พวกอวนและเชือกเหล่านี้ถูกเตรียมพร้อมไว้โดยพวกเขาเอง แต่ตอนนี้มันกลับกลายเป็นสิ่งที่กักขังตัวเองเสียแล้ว แต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่มีใครขัดขืน ขณะที่หนึ่งในนั้นรอให้วูล์ฟมามัดตัวเขาก็ทำการต่อต้าน แต่สุดท้ายเขาก็ถูกวูล์ฟกัดเข้าที่ศีรษะอย่างจัง

  เลือดสาดกระจายออกมา ในปากของวูล์ฟนองไปด้วยเลือด นั่นทำให้ทุกคนเข้าใจว่าคนตรงหน้าพวกเขาไม่ใช่คนดี บางทีอาจโหดร้ายกว่าพวกเขาด้วยซ้ำไป

  หลังจากมัดทุกคนเข้าด้วยกันไป๋อี้และทีมก็เข้ามาในใจกลางเมืองจากนั้นก็เข้าไปตรวจสอบภายในอย่างละเอียด

  บ้านส่วนใหญ่ค่อนข้างธรรมดาและมีการจัดระเบียบที่ดี อย่างไรก็ตามคนกลุ่มนี้คงจัดฉากหลอกลวงพี่น้องมนุษย์ทั้งหลาย เพื่อให้พวกเขาคิดว่าที่นี่เป็นสถานที่ที่ปลอดภัยและปล่อยวางจิตใจที่คอยเอาแต่ระแวดระวังเสีย อย่างไรก็ตามเมื่อเดินไปยังสถานที่ที่ห่างไกลออกไปตามกลิ่นเลือดจาง ๆ ไป๋อี้ก็เห็นฉากของโรงงานแปรรูปแบบดั้งเดิม มีซากศพของมนุษย์มากกว่าหนึ่งโหล ซึ่งตอนนี้ยังมีสัตว์ประหลาดถูกฆ่าและแขวนอยู่บนชั้นวางเนื้อ ส่วนบนเขียงยังมีศพของเด็กผู้ชายที่ไม่ได้โตไปกว่าโม่โม่มากนักนอนอยู่ และสามารถมองเห็นได้ว่าศพพวกเขาเหล่านั้นล้วนแต่เป็นมนุษย์ทั้งสิ้น

  “ฆ่าซะ!” ไป๋อี้พูดอย่างเย็นชา

  “อื้ม!” ในเวลานี้ไม่มีใครขัดข้องแต่อย่างใด

  นี่ไม่ใช่ความกระหายเลือดของไป๋อี้ ถ้าเขากระหายเลือดจริง ๆ เขาคงจะไม่เก็บคนพวกนั้นไว้ แต่คนประเภทนี้ทำให้ยากที่จะอยากเก็บไว้ เมื่อเห็นกลุ่มคนของไป๋อี้ออกมาจากข้างในอีกครั้ง คนทั้ง 10 ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามต่างก็เป็นกังวลอย่างมาก ทุกคนหวังว่าไป๋อี้และคนอื่น ๆ จะไม่ค้นพบสิ่งที่อยู่ในโรงงานแปรรูปที่ทรุดโทรมในส่วนท้ายสุด

  “ขอโทษนะ ฉันปล่อยให้พวกแกมีชีวิตต่อไปไม่ได้” ไป๋อี้พูด

  หลังจากที่คนที่เหลืออีก 10 คนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย พวกเขาก็เริ่มต่อต้านทันทีด้วยความหมดหวัง ในเวลานี้มีประโยชน์อะไรที่จะขัดขืนได้ พวกเขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของไป๋อี้ แต่ในตอนนี้พวกเขาถูกมัดไว้ พวกเขาจะสามารถต่อกรกับไป๋อี้และพวกได้อย่างไร นี่ไม่ใช่การเข่นฆ่า แต่เป็นเพียงการพิพากษาเท่านั้น

  ทุกคนต่างพากันฆ่าพวกชาติชั่ว แม้แต่โม่โม่เองก็แทงมีดสั้นเข้าไปตรงหน้าอกของพวกคนเลว

  ผู้ชายคนนั้นส่งเสียงโอดครวญอย่างดุเดือด เขาพยายามที่จะกัดโม่โม่ ดูเหมือนว่าเขาไม่เคยคิดว่าเขาจะต้องมาตายด้วยน้ำมือของเด็ก คนกลุ่มนี้ดุร้ายกว่าพวกเขาจริง ๆ พวกเขาเป็นคนเลวก็จริงอยู่ แต่ไป๋อี้และคนในทีมถึงกับฝึกฝนเด็กตัวน้อยให้มีความกล้าหาญและความมุ่งมั่นที่จะฆ่าแบบนี้

  เลือดพุ่งออกมา โม่โม่ค่อย ๆ ดึงมีดสั้นสะบัดออกอย่างแรงเพื่อสลัดเลือดสกปรกออกไป แล้วจึงเก็บกลับเข้าไปในฝัก

  เมื่อมองไปที่ท่าทางที่สงบและเคร่งขรึมของโม่โม่ ไป๋อี้ก็รู้สึกทำอะไรไม่ถูกและปวดร้าวอยู่ในใจ มีหรือที่เขาจะอยากเลี้ยงโม่โม่ให้เป็นแบบนี้

  ……

  เมื่อฝังศพทั้งหมดแล้ว  ไป๋อี้และทีมก็ถามชายหน้าม้าว่ามีแผนจะทำอะไรต่อไป ในกรณีนี้ไป๋อี้และคนในทีมไม่สามารถทิ้งชายหน้าม้าไว้ที่นี่คนเดียวได้ ถ้าทำเช่นนั้น เขาต้องตายอยู่ที่นี่อย่างแน่นอน  

        “เดิมทีพวกเราต้องการไปที่พัลเมอร์สตันท์ทางตอนเหนือ ลิซฟ์บอกว่าเขามีญาติที่อาศัยอยู่ที่นั่น แน่นอนว่าการไปหาญาติในเวลานี้ไม่มีประโยชน์อะไร แต่ญาติของเขามีครอบครัวที่ร่ำรวยและมีเครื่องบินส่วนตัวหลายลำ ถ้าเป็นไปได้เราอยากบินไปออสเตรเลีย” ชายหน้าม้าอธิบาย

  “พวกนายคิดที่จะออกจากนิวซีแลนด์อย่างนั้นเหรอ?”

 

  “ใช่”

  “นี่อาจเป็นความคิดของคนส่วนใหญ่ในนิวซีแลนด์ในขณะนี้ แต่ว่าการออกจากประเทศนี้กลับกลายเป็นเรื่องอันตราย อย่างไรก็ตามการออกจากนิวซีแลนด์นั้นอาจไม่ปลอดภัย” ไป๋อี้กล่าว

  “ทำไม?”

  เห็นได้ชัดว่าในนิวซีแลนด์ตอนนี้ผู้คนส่วนใหญ่ยังคงเป็นเหมือนไป๋อี้และพวกพ้อง คนส่วนใหญ่ยังไม่ค่อยได้รับรู้เรื่องโลกภายนอกมากนัก ในความเป็นจริงแม้ว่าจะไม่เข้าใจ แต่คงยังพอจะคาดเดาได้ว่ามนุษย์ภายนอกจะยอมรับพวกเขาได้อย่างไรในเมื่อพวกเขากลายเป็นสัตว์ประหลาดแบบนี้ อย่างไรก็ตามผู้คนมักมีความคาดหวังบางอย่างในใจเสมอเพื่อที่จะอยู่รอดต่อไปโดยเฉพาะกับช่วงเวลาที่ยากลำบากเช่นนี้

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

[นิยายแปล] มหาวิบัติยีนกลายพันธุ์ 103 ความหวังจากก้นบึ้งของหัวใจ

Now you are reading [นิยายแปล] มหาวิบัติยีนกลายพันธุ์ Chapter 103 ความหวังจากก้นบึ้งของหัวใจ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

        ทันทีที่ทั้งสองฝ่ายปะทะกัน ผลลัพธ์ที่ออกมาก็เกินความคาดหมายของทุกคน กลุ่มคนที่คิดว่าตนเองได้เปรียบกลับมีความรู้สึกราวกับกำลังเตะแผ่นเหล็ก ความแข็งแกร่งของทุกคนในกลุ่มไป๋อี้นั้นน่าทึ่งมาก หากจะให้พูดถึงความแข็งแกร่งของทุกคนก็คงพูดได้ว่าสามารถเทียบได้กับคนหัวเสือเลยทีเดียว อย่างไรก็ตามเมื่อคนเหล่านี้มองหาลูกพี่หัวเสือของเขา พวกเขาก็พบว่าลูกพี่หัวเสือได้ล้มลงกับพื้นไปเสียแล้ว เลือดและสมองที่ไหลออกมาจากรูหูก็เป็นเครื่องบ่งบอกได้เลยว่าเขาตายอย่างสนิทแล้วแน่นอน

  เร็วมาก!

  มีคนไม่กี่คนที่เห็นการเผชิญหน้าระหว่างคนหัวเสือและไป๋อี้ แต่การได้เห็นมันไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะเข้าใจมัน ผู้ชายที่ถูกปกคลุมไปด้วยขนปุยและยังคงเป็นมนุษย์กำลังเดินอยู่ในลานกว้าง

  สง่างาม …… ใช่ สง่างาม!

  ทุกคนมีความคิดเช่นนี้อยู่ในใจ พฤติกรรมของไป๋อี้ดูไม่เข้ากับการต่อสู้เลย ไม่มีอะไรโหดร้ายหรือนองเลือด การเดินในลานกว้างของเขาทำให้ทุกคนรู้สึกสง่างามราวกับว่าสนามรบทั้งหมดเป็นเพียงสวนหลังบ้านของเขา บางคนวิ่งเข้าหาไป๋อี้โดยไม่เชื่อในความร้ายกาจของเขา แต่ก่อนที่ทุกคนจะรีบพุ่งไปที่ไป๋อี้ พวกเขาก็ต้องหยุดชะงักให้ไป๋อี้เดินผ่านและฉกฉวยเอาชีวิตเขาไปอย่างง่ายดาย

  ปีศาจ! ในเวลานี้ยกเว้นคนในทีมของไป๋อี้ เกือบทุกคนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามคิดเช่นนั้น แม้ว่าตอนนี้ทุกคนจะเป็นสัตว์ประหลาด แต่อย่างน้อยพวกเขาก็ไม่มีความสามารถพิเศษอะไร แต่ความสามารถของไป๋อี้นั้นเกินความเข้าใจของพวกเขาอย่างสิ้นเชิงและนี่ไม่ใช่โลกแฟนตาซี

  ใช้เวลาไม่กี่สิบวินาทีในการต่อสู้ ฝั่งตรงข้ามตายไปกว่า 7-8 คนแล้วและคนที่เหลือทั้งหมดดูสิ้นไร้ไม้ตอกเหลือเกิน ผู้ชายที่ฉลาดคนหนึ่งเห็นเด็กอยู่ตรงข้ามจึงอดไม่ได้ที่จะรีบวิ่งไปหาโม่โม่ ไม่ว่าจะเป็นการเก็บลูกพลับนุ่ม ๆ หรือจับโม่โม่เป็นตัวประกันก็เป็นทางเลือกที่ถูกต้องอย่างยิ่ง

  เขามองไม่ผิด โม่โม่เหมือนกับไป๋อี้ ยีนที่ผสานรวมกันมีเพียงชนิดเดียวนั่นคือยีนของผีเสื้อ และโม่โม่ก็ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงอะไรมากนัก ดังนั้นจึงเป็นจุดอ่อนที่สุดในทีม เธอดูอ่อนแอกว่ามนุษย์ที่มีวิวัฒนาการทั่วไปเสียอีก แต่โม่โม่เป็นสมบัติของทุกคนในทีม โม่โม่เป็นที่รักที่เอ็นดูของทุกคน จะให้มีอะไรเกิดขึ้นกับโม่โม่ได้อย่างไร เมื่อเห็นผู้ชายคนนี้วิ่งเข้าหาโม่โม่ ก็ไม่มีใครหยุดพวกไป๋อี้ได้อีก แต่กลับเผยให้เห็นเพียงชายที่น่าสงสารซึ่งคิดผิดมหันต์ที่หมายจะจับโม่โม่แทน

  ผู้ชายที่พุ่งเข้าหาโม่โม่ไม่ได้ตระหนักถึงจุดจบที่น่าเศร้าของตัวเอง ไป๋อี้จะไม่ปกป้องโม่โม่ด้วยทุกอย่างในอ้อมแขนของเขาเพราะไป๋อี้รู้สึกว่าโม่โม่ควรเรียนรู้ที่จะต่อสู้ด้วยตัวเองบ้าง อย่างไรก็ตามไป๋อี้จะไม่มีวันปล่อยให้โม่โม่เสี่ยงอันตราย จึงยังต้องมีมาตรการที่จำเป็นอยู่ ทันทีที่ชายคนนี้วิ่งเข้ามาเขาก็ถูกชาร์ไป่ฉีกแขนจากนั้นก็ถูกกัดที่ขาอีกครั้ง จนเขากลายเป็นคู่ซ้อมของโม่โม่ไปเสียแล้ว ในตอนนี้จะวิ่งหนีก็วิ่งไม่ไหว เขาอาจได้ตายจริง ๆ เขาไม่กล้าลงมือฆ่าโม่โม่ ไม่เห็นสุนัขตัวใหญ่ที่ดุร้ายข้างๆหนูน้อยจ้องเขม็งมาหรือไง?

  ในไม่ช้าคนที่เหลือทั้งหมดก็ทรุดตัวลงและเริ่มหนีไป ในการต่อสู้รูปแบบนี้ ในเมื่อมองไม่เห็นโอกาสแห่งชัยชนะเลยแม้แต่น้อยแล้วจะรอความตายอยู่ที่นี่หรือไงกัน

  “คนที่คิดอยากจะหนี …… คงได้ตายก่อน!” ไป๋อี้กล่าว

  เฮลัวส์บินออกไปทันที เพื่อหยุดคนที่วิ่งหนีออกไปเร็วที่สุด หลังจากฝึกฝนมานานกว่าหนึ่งเดือนท้องฟ้าสูงและพื้นดินกว้างออก  เฮลัวส์ก็เชี่ยวชาญในการบินมากขึ้นแล้ว ราวกับจะยืนยันคำพูดของไป๋อี้ คนที่วิ่งหนีเร็วที่สุดไม่แม้แต่จะทันได้ตั้งตัว เขาก็ถูกเฮลัวส์ตัดหัวจากด้านหลัง ทันใดนั้นหัวอันแปลกประหลาดก็กระเด็นลอยออกไปในขณะที่เลือดก็ส่งกลิ่นเหม็นคละคลุ้งพุ่งขึ้นมาเช่นกัน

  ทันใดนั้นหัวใจของทุกคนก็ห่อเหี่ยวลง พวกเขาไม่สามารถหยุดอยู่ที่นี่ได้

  เจตจำนงของคนเหล่านี้ไม่หนักแน่นพอ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงน้ำเสียงล่อลวงของไป๋อี้ ในตอนนี้มันส่งผลต่อพวกเขามากไปอีก

  “พวกแกต้องการอะไร?” คนที่เหลืออีกประมาณสิบกว่าคนหยุดและหันหลังให้กันและกันเพื่อสร้างวงกลมป้องกันตนขึ้นมา หนึ่งในนั้นกล่าวด้วยความตื่นตระหนกที่มีผู้คนมากมายถูกฆ่าโดยไป๋อี้และทีมของเขา มันน่าอัปยศจริง ๆ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือเมื่อมองไปที่วิธีที่ไป๋อี้และทีมของเขาฆ่าในตอนนี้ ก็รู้ได้ทันทีว่าพวกเขาไม่ใช่คนประเภทที่ลงมืออย่างเห็นใจ มันยากมากที่จะบอกว่าพวกเขาจะมีชีวิตรอดหรือไม่

  “จะว่าไปแล้ว จะให้คนชาติชั่วอย่างพวกแกทำอะไรดีนะ?” ไป๋อี้ดึงดาบที่คาอยู่ออกจากร่างของคู่ต่อสู้คนสุดท้ายที่ขัดขืนเขาออกมา แล้วจึงค่อย ๆ เดินไป

  ไป๋อี้ไม่ได้สนใจกลุ่มคนที่ล้อมรอบกันอยู่ แต่เดินตรงไปที่ชายหน้าม้า

  “ยังขยับได้ไหม?” ไป๋อี้ถาม

  “ทำไมพวกนายไม่มาเร็วกว่านี้สักหน่อย” ชายหน้าม้าคำรามเสียงแหบ ประโยคนี้มีเสียงแปลก ๆ แต่ก็ฟังได้อย่างราบรื่นดี ดวงตาของชายผู้นั้นยังคงร้องไห้ เขากอดคู่หูที่ตายไปแล้วไว้ในอ้อมแขนของเขาด้วยความเจ็บปวด “ลิซฟ์ ฟาสเตอร์ ……” ผู้ชายคนนี้พึมพำอย่างต่อเนื่องในขณะที่กอดศพเพื่อนของเขา “ฉันขอโทษ ฉันไม่โทษพวกนายหรอกนะ” หลังจากนั้นไม่นานผู้ชายคนนี้ก็ตระหนักได้ว่าทัศนคติในตอนแรกของเขาผิดและไม่สามารถอธิบายได้

  “ไม่ ที่จริงพวกเรามาช้าไปนิดหน่อย” ไป๋อี้ส่ายหัว

  “บอกฉันได้ไหม ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่?” ไป๋อี้ถาม แม้ว่าจะมีคาดการณ์ไว้แล้ว แต่ก็เป็นเพียงการคาดเดาเท่านั้น

  ใบหน้าของชายหน้าม้าผ่อนคลายลงเล็กน้อย จิตใจของเขาสงบนิ่งขึ้นและจากนั้นถึงได้อธิบายเหตุผลทั้งหมด ปรากฏว่ามันเกือบจะเหมือนกับที่ไป๋อี้และเพื่อน ๆ คาดการณ์เอาไว้ไม่มีผิด ที่แท้ที่นี่ก็ไม่ใช่การตั้งถิ่นฐานที่ปลอดภัยอะไร แต่เป็นเพียงกับดักล่อลวงกลุ่มคนที่สิ้นหวังเข้ามาที่นี่และเผยแพร่กระจายข่าวออกไปเป็นวงกว้างผ่านสัญญาณไร้สายเพื่อหลอกล่อให้คนอื่นที่ต้องการมองหาความปลอดภัยและการปกป้องภัยให้เข้ามา หลังจากหลอกล่อให้กินอะไรบางอย่าง พวกเขาก็ฆ่ามนุษย์เหล่านั้นทิ้ง และตอนนี้สัตว์ประหลาดก็ถูกฆ่ามาเป็นอาหารของพวกมัน  

        อย่างไรก็ตามแม้ว่าชาติพันธุ์เดิมทีอยู่นิวซีแลนด์จะเป็นมนุษย์ แต่ตอนนี้ไม่สามารถพบเห็นได้สักคน คาดว่าเจ้าพวกนี้จะไม่มีความจิตใต้สำนึกอันดีในจิตใจอยู่เลย

  “พวกมันให้กินอะไร?” ไป๋อี้ถาม ในขณะที่ชายหน้าม้าไม่รู้ชัดเจนนัก

  “บอกมา พวกมันให้คนอื่น ๆ กินอะไร?”

  ม่านตาบุษบาผกผัน!

  เมื่อไป๋อี้เห็นว่าไม่มีใครพูดแววตาของเขาก็เปลี่ยนไปทันที เขาจ้องไปที่คนตรงหน้า ทำให้คน ๆ นั้นตกอยู่ในภวังค์ แต่ก็ยังไม่ตอบคำถามของไป๋อี้ หลังจากนั้นไม่กี่วินาทีไป๋อี้ก็หลับตาลงและกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง แน่นอนว่าดวงตาของเขายังไปไม่ถึงระดับสูงสุด เขามีความสามารถในการสร้างความสับสนและสะกดจิต แต่เขาไม่แข็งแกร่งพอที่จะควบคุมอีกฝ่ายได้ เช่นตอนนี้เขาไม่สามารถสะกดจิตอีกฝ่ายให้ทำตามความคิดของเขาได้ 

        ช่างเถอะ ไม่ตอบก็ไม่เป็นอะไร ก็แค่ต้องตรวจสอบอะไรสักหน่อยก็เท่านั้น

        ขณะที่ไป๋อี้ถามคำถามกับชายหน้าม้า วูล์ฟและคนอื่น ๆ ก็มัดร่างวิวัฒนาการอีก 11 คนที่เหลือ เป็นเรื่องน่าขันที่พวกอวนและเชือกเหล่านี้ถูกเตรียมพร้อมไว้โดยพวกเขาเอง แต่ตอนนี้มันกลับกลายเป็นสิ่งที่กักขังตัวเองเสียแล้ว แต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่มีใครขัดขืน ขณะที่หนึ่งในนั้นรอให้วูล์ฟมามัดตัวเขาก็ทำการต่อต้าน แต่สุดท้ายเขาก็ถูกวูล์ฟกัดเข้าที่ศีรษะอย่างจัง

  เลือดสาดกระจายออกมา ในปากของวูล์ฟนองไปด้วยเลือด นั่นทำให้ทุกคนเข้าใจว่าคนตรงหน้าพวกเขาไม่ใช่คนดี บางทีอาจโหดร้ายกว่าพวกเขาด้วยซ้ำไป

  หลังจากมัดทุกคนเข้าด้วยกันไป๋อี้และทีมก็เข้ามาในใจกลางเมืองจากนั้นก็เข้าไปตรวจสอบภายในอย่างละเอียด

  บ้านส่วนใหญ่ค่อนข้างธรรมดาและมีการจัดระเบียบที่ดี อย่างไรก็ตามคนกลุ่มนี้คงจัดฉากหลอกลวงพี่น้องมนุษย์ทั้งหลาย เพื่อให้พวกเขาคิดว่าที่นี่เป็นสถานที่ที่ปลอดภัยและปล่อยวางจิตใจที่คอยเอาแต่ระแวดระวังเสีย อย่างไรก็ตามเมื่อเดินไปยังสถานที่ที่ห่างไกลออกไปตามกลิ่นเลือดจาง ๆ ไป๋อี้ก็เห็นฉากของโรงงานแปรรูปแบบดั้งเดิม มีซากศพของมนุษย์มากกว่าหนึ่งโหล ซึ่งตอนนี้ยังมีสัตว์ประหลาดถูกฆ่าและแขวนอยู่บนชั้นวางเนื้อ ส่วนบนเขียงยังมีศพของเด็กผู้ชายที่ไม่ได้โตไปกว่าโม่โม่มากนักนอนอยู่ และสามารถมองเห็นได้ว่าศพพวกเขาเหล่านั้นล้วนแต่เป็นมนุษย์ทั้งสิ้น

  “ฆ่าซะ!” ไป๋อี้พูดอย่างเย็นชา

  “อื้ม!” ในเวลานี้ไม่มีใครขัดข้องแต่อย่างใด

  นี่ไม่ใช่ความกระหายเลือดของไป๋อี้ ถ้าเขากระหายเลือดจริง ๆ เขาคงจะไม่เก็บคนพวกนั้นไว้ แต่คนประเภทนี้ทำให้ยากที่จะอยากเก็บไว้ เมื่อเห็นกลุ่มคนของไป๋อี้ออกมาจากข้างในอีกครั้ง คนทั้ง 10 ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามต่างก็เป็นกังวลอย่างมาก ทุกคนหวังว่าไป๋อี้และคนอื่น ๆ จะไม่ค้นพบสิ่งที่อยู่ในโรงงานแปรรูปที่ทรุดโทรมในส่วนท้ายสุด

  “ขอโทษนะ ฉันปล่อยให้พวกแกมีชีวิตต่อไปไม่ได้” ไป๋อี้พูด

  หลังจากที่คนที่เหลืออีก 10 คนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย พวกเขาก็เริ่มต่อต้านทันทีด้วยความหมดหวัง ในเวลานี้มีประโยชน์อะไรที่จะขัดขืนได้ พวกเขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของไป๋อี้ แต่ในตอนนี้พวกเขาถูกมัดไว้ พวกเขาจะสามารถต่อกรกับไป๋อี้และพวกได้อย่างไร นี่ไม่ใช่การเข่นฆ่า แต่เป็นเพียงการพิพากษาเท่านั้น

  ทุกคนต่างพากันฆ่าพวกชาติชั่ว แม้แต่โม่โม่เองก็แทงมีดสั้นเข้าไปตรงหน้าอกของพวกคนเลว

  ผู้ชายคนนั้นส่งเสียงโอดครวญอย่างดุเดือด เขาพยายามที่จะกัดโม่โม่ ดูเหมือนว่าเขาไม่เคยคิดว่าเขาจะต้องมาตายด้วยน้ำมือของเด็ก คนกลุ่มนี้ดุร้ายกว่าพวกเขาจริง ๆ พวกเขาเป็นคนเลวก็จริงอยู่ แต่ไป๋อี้และคนในทีมถึงกับฝึกฝนเด็กตัวน้อยให้มีความกล้าหาญและความมุ่งมั่นที่จะฆ่าแบบนี้

  เลือดพุ่งออกมา โม่โม่ค่อย ๆ ดึงมีดสั้นสะบัดออกอย่างแรงเพื่อสลัดเลือดสกปรกออกไป แล้วจึงเก็บกลับเข้าไปในฝัก

  เมื่อมองไปที่ท่าทางที่สงบและเคร่งขรึมของโม่โม่ ไป๋อี้ก็รู้สึกทำอะไรไม่ถูกและปวดร้าวอยู่ในใจ มีหรือที่เขาจะอยากเลี้ยงโม่โม่ให้เป็นแบบนี้

  ……

  เมื่อฝังศพทั้งหมดแล้ว  ไป๋อี้และทีมก็ถามชายหน้าม้าว่ามีแผนจะทำอะไรต่อไป ในกรณีนี้ไป๋อี้และคนในทีมไม่สามารถทิ้งชายหน้าม้าไว้ที่นี่คนเดียวได้ ถ้าทำเช่นนั้น เขาต้องตายอยู่ที่นี่อย่างแน่นอน  

        “เดิมทีพวกเราต้องการไปที่พัลเมอร์สตันท์ทางตอนเหนือ ลิซฟ์บอกว่าเขามีญาติที่อาศัยอยู่ที่นั่น แน่นอนว่าการไปหาญาติในเวลานี้ไม่มีประโยชน์อะไร แต่ญาติของเขามีครอบครัวที่ร่ำรวยและมีเครื่องบินส่วนตัวหลายลำ ถ้าเป็นไปได้เราอยากบินไปออสเตรเลีย” ชายหน้าม้าอธิบาย

  “พวกนายคิดที่จะออกจากนิวซีแลนด์อย่างนั้นเหรอ?”

 

  “ใช่”

  “นี่อาจเป็นความคิดของคนส่วนใหญ่ในนิวซีแลนด์ในขณะนี้ แต่ว่าการออกจากประเทศนี้กลับกลายเป็นเรื่องอันตราย อย่างไรก็ตามการออกจากนิวซีแลนด์นั้นอาจไม่ปลอดภัย” ไป๋อี้กล่าว

  “ทำไม?”

  เห็นได้ชัดว่าในนิวซีแลนด์ตอนนี้ผู้คนส่วนใหญ่ยังคงเป็นเหมือนไป๋อี้และพวกพ้อง คนส่วนใหญ่ยังไม่ค่อยได้รับรู้เรื่องโลกภายนอกมากนัก ในความเป็นจริงแม้ว่าจะไม่เข้าใจ แต่คงยังพอจะคาดเดาได้ว่ามนุษย์ภายนอกจะยอมรับพวกเขาได้อย่างไรในเมื่อพวกเขากลายเป็นสัตว์ประหลาดแบบนี้ อย่างไรก็ตามผู้คนมักมีความคาดหวังบางอย่างในใจเสมอเพื่อที่จะอยู่รอดต่อไปโดยเฉพาะกับช่วงเวลาที่ยากลำบากเช่นนี้

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

[นิยายแปล] มหาวิบัติยีนกลายพันธุ์ 103 ความหวังจากก้นบึ้งของหัวใจ

Now you are reading [นิยายแปล] มหาวิบัติยีนกลายพันธุ์ Chapter 103 ความหวังจากก้นบึ้งของหัวใจ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

        ทันทีที่ทั้งสองฝ่ายปะทะกัน ผลลัพธ์ที่ออกมาก็เกินความคาดหมายของทุกคน กลุ่มคนที่คิดว่าตนเองได้เปรียบกลับมีความรู้สึกราวกับกำลังเตะแผ่นเหล็ก ความแข็งแกร่งของทุกคนในกลุ่มไป๋อี้นั้นน่าทึ่งมาก หากจะให้พูดถึงความแข็งแกร่งของทุกคนก็คงพูดได้ว่าสามารถเทียบได้กับคนหัวเสือเลยทีเดียว อย่างไรก็ตามเมื่อคนเหล่านี้มองหาลูกพี่หัวเสือของเขา พวกเขาก็พบว่าลูกพี่หัวเสือได้ล้มลงกับพื้นไปเสียแล้ว เลือดและสมองที่ไหลออกมาจากรูหูก็เป็นเครื่องบ่งบอกได้เลยว่าเขาตายอย่างสนิทแล้วแน่นอน

  เร็วมาก!

  มีคนไม่กี่คนที่เห็นการเผชิญหน้าระหว่างคนหัวเสือและไป๋อี้ แต่การได้เห็นมันไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะเข้าใจมัน ผู้ชายที่ถูกปกคลุมไปด้วยขนปุยและยังคงเป็นมนุษย์กำลังเดินอยู่ในลานกว้าง

  สง่างาม …… ใช่ สง่างาม!

  ทุกคนมีความคิดเช่นนี้อยู่ในใจ พฤติกรรมของไป๋อี้ดูไม่เข้ากับการต่อสู้เลย ไม่มีอะไรโหดร้ายหรือนองเลือด การเดินในลานกว้างของเขาทำให้ทุกคนรู้สึกสง่างามราวกับว่าสนามรบทั้งหมดเป็นเพียงสวนหลังบ้านของเขา บางคนวิ่งเข้าหาไป๋อี้โดยไม่เชื่อในความร้ายกาจของเขา แต่ก่อนที่ทุกคนจะรีบพุ่งไปที่ไป๋อี้ พวกเขาก็ต้องหยุดชะงักให้ไป๋อี้เดินผ่านและฉกฉวยเอาชีวิตเขาไปอย่างง่ายดาย

  ปีศาจ! ในเวลานี้ยกเว้นคนในทีมของไป๋อี้ เกือบทุกคนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามคิดเช่นนั้น แม้ว่าตอนนี้ทุกคนจะเป็นสัตว์ประหลาด แต่อย่างน้อยพวกเขาก็ไม่มีความสามารถพิเศษอะไร แต่ความสามารถของไป๋อี้นั้นเกินความเข้าใจของพวกเขาอย่างสิ้นเชิงและนี่ไม่ใช่โลกแฟนตาซี

  ใช้เวลาไม่กี่สิบวินาทีในการต่อสู้ ฝั่งตรงข้ามตายไปกว่า 7-8 คนแล้วและคนที่เหลือทั้งหมดดูสิ้นไร้ไม้ตอกเหลือเกิน ผู้ชายที่ฉลาดคนหนึ่งเห็นเด็กอยู่ตรงข้ามจึงอดไม่ได้ที่จะรีบวิ่งไปหาโม่โม่ ไม่ว่าจะเป็นการเก็บลูกพลับนุ่ม ๆ หรือจับโม่โม่เป็นตัวประกันก็เป็นทางเลือกที่ถูกต้องอย่างยิ่ง

  เขามองไม่ผิด โม่โม่เหมือนกับไป๋อี้ ยีนที่ผสานรวมกันมีเพียงชนิดเดียวนั่นคือยีนของผีเสื้อ และโม่โม่ก็ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงอะไรมากนัก ดังนั้นจึงเป็นจุดอ่อนที่สุดในทีม เธอดูอ่อนแอกว่ามนุษย์ที่มีวิวัฒนาการทั่วไปเสียอีก แต่โม่โม่เป็นสมบัติของทุกคนในทีม โม่โม่เป็นที่รักที่เอ็นดูของทุกคน จะให้มีอะไรเกิดขึ้นกับโม่โม่ได้อย่างไร เมื่อเห็นผู้ชายคนนี้วิ่งเข้าหาโม่โม่ ก็ไม่มีใครหยุดพวกไป๋อี้ได้อีก แต่กลับเผยให้เห็นเพียงชายที่น่าสงสารซึ่งคิดผิดมหันต์ที่หมายจะจับโม่โม่แทน

  ผู้ชายที่พุ่งเข้าหาโม่โม่ไม่ได้ตระหนักถึงจุดจบที่น่าเศร้าของตัวเอง ไป๋อี้จะไม่ปกป้องโม่โม่ด้วยทุกอย่างในอ้อมแขนของเขาเพราะไป๋อี้รู้สึกว่าโม่โม่ควรเรียนรู้ที่จะต่อสู้ด้วยตัวเองบ้าง อย่างไรก็ตามไป๋อี้จะไม่มีวันปล่อยให้โม่โม่เสี่ยงอันตราย จึงยังต้องมีมาตรการที่จำเป็นอยู่ ทันทีที่ชายคนนี้วิ่งเข้ามาเขาก็ถูกชาร์ไป่ฉีกแขนจากนั้นก็ถูกกัดที่ขาอีกครั้ง จนเขากลายเป็นคู่ซ้อมของโม่โม่ไปเสียแล้ว ในตอนนี้จะวิ่งหนีก็วิ่งไม่ไหว เขาอาจได้ตายจริง ๆ เขาไม่กล้าลงมือฆ่าโม่โม่ ไม่เห็นสุนัขตัวใหญ่ที่ดุร้ายข้างๆหนูน้อยจ้องเขม็งมาหรือไง?

  ในไม่ช้าคนที่เหลือทั้งหมดก็ทรุดตัวลงและเริ่มหนีไป ในการต่อสู้รูปแบบนี้ ในเมื่อมองไม่เห็นโอกาสแห่งชัยชนะเลยแม้แต่น้อยแล้วจะรอความตายอยู่ที่นี่หรือไงกัน

  “คนที่คิดอยากจะหนี …… คงได้ตายก่อน!” ไป๋อี้กล่าว

  เฮลัวส์บินออกไปทันที เพื่อหยุดคนที่วิ่งหนีออกไปเร็วที่สุด หลังจากฝึกฝนมานานกว่าหนึ่งเดือนท้องฟ้าสูงและพื้นดินกว้างออก  เฮลัวส์ก็เชี่ยวชาญในการบินมากขึ้นแล้ว ราวกับจะยืนยันคำพูดของไป๋อี้ คนที่วิ่งหนีเร็วที่สุดไม่แม้แต่จะทันได้ตั้งตัว เขาก็ถูกเฮลัวส์ตัดหัวจากด้านหลัง ทันใดนั้นหัวอันแปลกประหลาดก็กระเด็นลอยออกไปในขณะที่เลือดก็ส่งกลิ่นเหม็นคละคลุ้งพุ่งขึ้นมาเช่นกัน

  ทันใดนั้นหัวใจของทุกคนก็ห่อเหี่ยวลง พวกเขาไม่สามารถหยุดอยู่ที่นี่ได้

  เจตจำนงของคนเหล่านี้ไม่หนักแน่นพอ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงน้ำเสียงล่อลวงของไป๋อี้ ในตอนนี้มันส่งผลต่อพวกเขามากไปอีก

  “พวกแกต้องการอะไร?” คนที่เหลืออีกประมาณสิบกว่าคนหยุดและหันหลังให้กันและกันเพื่อสร้างวงกลมป้องกันตนขึ้นมา หนึ่งในนั้นกล่าวด้วยความตื่นตระหนกที่มีผู้คนมากมายถูกฆ่าโดยไป๋อี้และทีมของเขา มันน่าอัปยศจริง ๆ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือเมื่อมองไปที่วิธีที่ไป๋อี้และทีมของเขาฆ่าในตอนนี้ ก็รู้ได้ทันทีว่าพวกเขาไม่ใช่คนประเภทที่ลงมืออย่างเห็นใจ มันยากมากที่จะบอกว่าพวกเขาจะมีชีวิตรอดหรือไม่

  “จะว่าไปแล้ว จะให้คนชาติชั่วอย่างพวกแกทำอะไรดีนะ?” ไป๋อี้ดึงดาบที่คาอยู่ออกจากร่างของคู่ต่อสู้คนสุดท้ายที่ขัดขืนเขาออกมา แล้วจึงค่อย ๆ เดินไป

  ไป๋อี้ไม่ได้สนใจกลุ่มคนที่ล้อมรอบกันอยู่ แต่เดินตรงไปที่ชายหน้าม้า

  “ยังขยับได้ไหม?” ไป๋อี้ถาม

  “ทำไมพวกนายไม่มาเร็วกว่านี้สักหน่อย” ชายหน้าม้าคำรามเสียงแหบ ประโยคนี้มีเสียงแปลก ๆ แต่ก็ฟังได้อย่างราบรื่นดี ดวงตาของชายผู้นั้นยังคงร้องไห้ เขากอดคู่หูที่ตายไปแล้วไว้ในอ้อมแขนของเขาด้วยความเจ็บปวด “ลิซฟ์ ฟาสเตอร์ ……” ผู้ชายคนนี้พึมพำอย่างต่อเนื่องในขณะที่กอดศพเพื่อนของเขา “ฉันขอโทษ ฉันไม่โทษพวกนายหรอกนะ” หลังจากนั้นไม่นานผู้ชายคนนี้ก็ตระหนักได้ว่าทัศนคติในตอนแรกของเขาผิดและไม่สามารถอธิบายได้

  “ไม่ ที่จริงพวกเรามาช้าไปนิดหน่อย” ไป๋อี้ส่ายหัว

  “บอกฉันได้ไหม ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่?” ไป๋อี้ถาม แม้ว่าจะมีคาดการณ์ไว้แล้ว แต่ก็เป็นเพียงการคาดเดาเท่านั้น

  ใบหน้าของชายหน้าม้าผ่อนคลายลงเล็กน้อย จิตใจของเขาสงบนิ่งขึ้นและจากนั้นถึงได้อธิบายเหตุผลทั้งหมด ปรากฏว่ามันเกือบจะเหมือนกับที่ไป๋อี้และเพื่อน ๆ คาดการณ์เอาไว้ไม่มีผิด ที่แท้ที่นี่ก็ไม่ใช่การตั้งถิ่นฐานที่ปลอดภัยอะไร แต่เป็นเพียงกับดักล่อลวงกลุ่มคนที่สิ้นหวังเข้ามาที่นี่และเผยแพร่กระจายข่าวออกไปเป็นวงกว้างผ่านสัญญาณไร้สายเพื่อหลอกล่อให้คนอื่นที่ต้องการมองหาความปลอดภัยและการปกป้องภัยให้เข้ามา หลังจากหลอกล่อให้กินอะไรบางอย่าง พวกเขาก็ฆ่ามนุษย์เหล่านั้นทิ้ง และตอนนี้สัตว์ประหลาดก็ถูกฆ่ามาเป็นอาหารของพวกมัน  

        อย่างไรก็ตามแม้ว่าชาติพันธุ์เดิมทีอยู่นิวซีแลนด์จะเป็นมนุษย์ แต่ตอนนี้ไม่สามารถพบเห็นได้สักคน คาดว่าเจ้าพวกนี้จะไม่มีความจิตใต้สำนึกอันดีในจิตใจอยู่เลย

  “พวกมันให้กินอะไร?” ไป๋อี้ถาม ในขณะที่ชายหน้าม้าไม่รู้ชัดเจนนัก

  “บอกมา พวกมันให้คนอื่น ๆ กินอะไร?”

  ม่านตาบุษบาผกผัน!

  เมื่อไป๋อี้เห็นว่าไม่มีใครพูดแววตาของเขาก็เปลี่ยนไปทันที เขาจ้องไปที่คนตรงหน้า ทำให้คน ๆ นั้นตกอยู่ในภวังค์ แต่ก็ยังไม่ตอบคำถามของไป๋อี้ หลังจากนั้นไม่กี่วินาทีไป๋อี้ก็หลับตาลงและกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง แน่นอนว่าดวงตาของเขายังไปไม่ถึงระดับสูงสุด เขามีความสามารถในการสร้างความสับสนและสะกดจิต แต่เขาไม่แข็งแกร่งพอที่จะควบคุมอีกฝ่ายได้ เช่นตอนนี้เขาไม่สามารถสะกดจิตอีกฝ่ายให้ทำตามความคิดของเขาได้ 

        ช่างเถอะ ไม่ตอบก็ไม่เป็นอะไร ก็แค่ต้องตรวจสอบอะไรสักหน่อยก็เท่านั้น

        ขณะที่ไป๋อี้ถามคำถามกับชายหน้าม้า วูล์ฟและคนอื่น ๆ ก็มัดร่างวิวัฒนาการอีก 11 คนที่เหลือ เป็นเรื่องน่าขันที่พวกอวนและเชือกเหล่านี้ถูกเตรียมพร้อมไว้โดยพวกเขาเอง แต่ตอนนี้มันกลับกลายเป็นสิ่งที่กักขังตัวเองเสียแล้ว แต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่มีใครขัดขืน ขณะที่หนึ่งในนั้นรอให้วูล์ฟมามัดตัวเขาก็ทำการต่อต้าน แต่สุดท้ายเขาก็ถูกวูล์ฟกัดเข้าที่ศีรษะอย่างจัง

  เลือดสาดกระจายออกมา ในปากของวูล์ฟนองไปด้วยเลือด นั่นทำให้ทุกคนเข้าใจว่าคนตรงหน้าพวกเขาไม่ใช่คนดี บางทีอาจโหดร้ายกว่าพวกเขาด้วยซ้ำไป

  หลังจากมัดทุกคนเข้าด้วยกันไป๋อี้และทีมก็เข้ามาในใจกลางเมืองจากนั้นก็เข้าไปตรวจสอบภายในอย่างละเอียด

  บ้านส่วนใหญ่ค่อนข้างธรรมดาและมีการจัดระเบียบที่ดี อย่างไรก็ตามคนกลุ่มนี้คงจัดฉากหลอกลวงพี่น้องมนุษย์ทั้งหลาย เพื่อให้พวกเขาคิดว่าที่นี่เป็นสถานที่ที่ปลอดภัยและปล่อยวางจิตใจที่คอยเอาแต่ระแวดระวังเสีย อย่างไรก็ตามเมื่อเดินไปยังสถานที่ที่ห่างไกลออกไปตามกลิ่นเลือดจาง ๆ ไป๋อี้ก็เห็นฉากของโรงงานแปรรูปแบบดั้งเดิม มีซากศพของมนุษย์มากกว่าหนึ่งโหล ซึ่งตอนนี้ยังมีสัตว์ประหลาดถูกฆ่าและแขวนอยู่บนชั้นวางเนื้อ ส่วนบนเขียงยังมีศพของเด็กผู้ชายที่ไม่ได้โตไปกว่าโม่โม่มากนักนอนอยู่ และสามารถมองเห็นได้ว่าศพพวกเขาเหล่านั้นล้วนแต่เป็นมนุษย์ทั้งสิ้น

  “ฆ่าซะ!” ไป๋อี้พูดอย่างเย็นชา

  “อื้ม!” ในเวลานี้ไม่มีใครขัดข้องแต่อย่างใด

  นี่ไม่ใช่ความกระหายเลือดของไป๋อี้ ถ้าเขากระหายเลือดจริง ๆ เขาคงจะไม่เก็บคนพวกนั้นไว้ แต่คนประเภทนี้ทำให้ยากที่จะอยากเก็บไว้ เมื่อเห็นกลุ่มคนของไป๋อี้ออกมาจากข้างในอีกครั้ง คนทั้ง 10 ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามต่างก็เป็นกังวลอย่างมาก ทุกคนหวังว่าไป๋อี้และคนอื่น ๆ จะไม่ค้นพบสิ่งที่อยู่ในโรงงานแปรรูปที่ทรุดโทรมในส่วนท้ายสุด

  “ขอโทษนะ ฉันปล่อยให้พวกแกมีชีวิตต่อไปไม่ได้” ไป๋อี้พูด

  หลังจากที่คนที่เหลืออีก 10 คนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย พวกเขาก็เริ่มต่อต้านทันทีด้วยความหมดหวัง ในเวลานี้มีประโยชน์อะไรที่จะขัดขืนได้ พวกเขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของไป๋อี้ แต่ในตอนนี้พวกเขาถูกมัดไว้ พวกเขาจะสามารถต่อกรกับไป๋อี้และพวกได้อย่างไร นี่ไม่ใช่การเข่นฆ่า แต่เป็นเพียงการพิพากษาเท่านั้น

  ทุกคนต่างพากันฆ่าพวกชาติชั่ว แม้แต่โม่โม่เองก็แทงมีดสั้นเข้าไปตรงหน้าอกของพวกคนเลว

  ผู้ชายคนนั้นส่งเสียงโอดครวญอย่างดุเดือด เขาพยายามที่จะกัดโม่โม่ ดูเหมือนว่าเขาไม่เคยคิดว่าเขาจะต้องมาตายด้วยน้ำมือของเด็ก คนกลุ่มนี้ดุร้ายกว่าพวกเขาจริง ๆ พวกเขาเป็นคนเลวก็จริงอยู่ แต่ไป๋อี้และคนในทีมถึงกับฝึกฝนเด็กตัวน้อยให้มีความกล้าหาญและความมุ่งมั่นที่จะฆ่าแบบนี้

  เลือดพุ่งออกมา โม่โม่ค่อย ๆ ดึงมีดสั้นสะบัดออกอย่างแรงเพื่อสลัดเลือดสกปรกออกไป แล้วจึงเก็บกลับเข้าไปในฝัก

  เมื่อมองไปที่ท่าทางที่สงบและเคร่งขรึมของโม่โม่ ไป๋อี้ก็รู้สึกทำอะไรไม่ถูกและปวดร้าวอยู่ในใจ มีหรือที่เขาจะอยากเลี้ยงโม่โม่ให้เป็นแบบนี้

  ……

  เมื่อฝังศพทั้งหมดแล้ว  ไป๋อี้และทีมก็ถามชายหน้าม้าว่ามีแผนจะทำอะไรต่อไป ในกรณีนี้ไป๋อี้และคนในทีมไม่สามารถทิ้งชายหน้าม้าไว้ที่นี่คนเดียวได้ ถ้าทำเช่นนั้น เขาต้องตายอยู่ที่นี่อย่างแน่นอน  

        “เดิมทีพวกเราต้องการไปที่พัลเมอร์สตันท์ทางตอนเหนือ ลิซฟ์บอกว่าเขามีญาติที่อาศัยอยู่ที่นั่น แน่นอนว่าการไปหาญาติในเวลานี้ไม่มีประโยชน์อะไร แต่ญาติของเขามีครอบครัวที่ร่ำรวยและมีเครื่องบินส่วนตัวหลายลำ ถ้าเป็นไปได้เราอยากบินไปออสเตรเลีย” ชายหน้าม้าอธิบาย

  “พวกนายคิดที่จะออกจากนิวซีแลนด์อย่างนั้นเหรอ?”

 

  “ใช่”

  “นี่อาจเป็นความคิดของคนส่วนใหญ่ในนิวซีแลนด์ในขณะนี้ แต่ว่าการออกจากประเทศนี้กลับกลายเป็นเรื่องอันตราย อย่างไรก็ตามการออกจากนิวซีแลนด์นั้นอาจไม่ปลอดภัย” ไป๋อี้กล่าว

  “ทำไม?”

  เห็นได้ชัดว่าในนิวซีแลนด์ตอนนี้ผู้คนส่วนใหญ่ยังคงเป็นเหมือนไป๋อี้และพวกพ้อง คนส่วนใหญ่ยังไม่ค่อยได้รับรู้เรื่องโลกภายนอกมากนัก ในความเป็นจริงแม้ว่าจะไม่เข้าใจ แต่คงยังพอจะคาดเดาได้ว่ามนุษย์ภายนอกจะยอมรับพวกเขาได้อย่างไรในเมื่อพวกเขากลายเป็นสัตว์ประหลาดแบบนี้ อย่างไรก็ตามผู้คนมักมีความคาดหวังบางอย่างในใจเสมอเพื่อที่จะอยู่รอดต่อไปโดยเฉพาะกับช่วงเวลาที่ยากลำบากเช่นนี้

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+