[นิยายแปล] มหาวิบัติยีนกลายพันธุ์ 60 การออกตัวที่ไม่ราบรื่น

Now you are reading [นิยายแปล] มหาวิบัติยีนกลายพันธุ์ Chapter 60 การออกตัวที่ไม่ราบรื่น at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

        ในปีเดียวกันภาพยนตร์เรื่อง Resident Evil กล่าวได้ว่าเป็นบทภาพยนตร์ที่คลาสสิกมาก ปรากฏการณ์วันโลกาวินาศที่โหดร้ายถูกฝังอยู่ในมโนภาพของผู้คนจนนับไม่ถ้วน โดยพื้นฐานแล้วตราบใดที่ยังมีโอกาสคนส่วนใหญ่ล้วนจะต้องดูภาพยนตร์เรื่องนี้อย่างแน่นอน กระเช้าไฟฟ้าในปัจจุบันมีลักษณะคล้ายกับรถรางที่นำไปสู่รังผึ้งในภาพยนตร์เรื่อง Resident Evil อย่างเหลือเชื่อ

        “ที่นี่มันคือรังผึ้งไม่ใช่เหรอ?” ไป๋อี้ถามมาร์ตินพลางขมวดคิ้วไปด้วย 

        “ไม่น่าจะใช่ …” มาร์ตินเองก็ตอบด้วยความไม่มั่นใจนักเช่นกัน

        “เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ฉันก็ยังไม่เข้าใจเลยว่าสถาบันวิจัยที่ใหญ่ที่สุดจะก่อตั้งอยู่ในสวนนิเวศวิทยาได้อย่างไร?” อยู่ ๆ เมย์ริสก็ได้พูดแทรกขึ้นมา

        “นี่ไม่ใช่สถาบันวิจัยที่ใหญ่ที่สุด แต่เป็นสถานที่วิจัยร่างต้นแบบการทดลองทั้งหมด ในตอนแรกยังไม่มีจุดประสงค์ที่ชัดเจนในการคัดเลือกเซลล์ดัดแปลงปรสิต ทั้งหมดมันเป็นเพียงแค่การสุ่มตามสถานการณ์เท่านั้น สมัยก่อนสถาบันวิจัยแห่งนี้ยังไม่นับว่าใหญ่มากนัก แต่เป็นเพราะความบังเอิญที่ร่างต้นแบบการทดลองทั้งหมดนั้นได้เกิดขึ้น ณ ที่แห่งนี้ ดังนั้นสถานที่แห่งนี้จึงได้รับความสนใจขึ้นมาทันที ร่างต้นแบบการทดลองนั้นไม่สมควรที่จะถูกเคลื่อนย้ายออกไป และแม้ว่าทุกคนจะมีส่วนร่วมในการทำวิจัยเดียวกัน แต่พวกเขาก็หวังว่าตนเองจะได้รับความสนใจและมีอำนาจการตัดสินใจในหน้าที่การงานมากขึ้น ร่างต้นแบบการทดลองจึงต้องถูกเก็บรักษาไว้ที่นี่ตลอดมา” มาร์ตินอธิบายเพื่อให้ทุกคนเข้าใจ

        “ด้านในของสถาบันวิจัย มันถูกควบคุมด้วยระบบคอมพิวเตอร์รึเปล่า?” ไป๋อี้ถามขึ้น

        “ก็ไม่ทั้งหมดหรอก ผู้ที่รับผิดชอบสูงสุดในสถาบันวิจัยแห่งนี้ยังคงใช้มนุษย์ในการควบคุมอยู่ นอกจากคนที่มีอำนาจสูงสุดในการควบคุมแล้ว พนักงานคนอื่น ๆ ที่อยู่ในสถาบันวิจัยแห่งนี้พวกเขาไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าออกตามอำเภอใจ ถ้าหากว่าที่นี่ไม่ได้พัฒนาร่างทดลองไปในทางที่ดีขึ้น บางทีฉันอาจจะยังคงติดอยู่ในสถาบันวิจัยแฮมิลตันอยู่ก็ได้” มาร์ตินอธิบาย 

        “มีแผนที่ในสถาบันวิจัยแห่งนี้ไหม?” ไป๋อี้ถามขึ้น

        มาร์ตินส่ายหน้าไปมาตามตรง ตอนนี้สภาพจิตใจของทุกคนไม่สู้ดีนัก แม้แต่แผนที่ก็ไม่มี และคงไม่ต้องบอกว่าสถาบันวิจัยที่มีร่างต้นแบบการทดลองแห่งนี้มีความสำคัญมากแค่ไหน

        หากพวกเขาถูกขังอยู่ใต้ดินในความลึกหลายร้อยเมตรเหมือนกับหนังเรื่อง Resident Evil พวกเขาอาจจะไม่ได้โชคดีที่จะหาทางออกมาได้

        ”ไปกันเถอะ!” ไป๋อี้พูดขึ้นพร้อมสูดหายใจเข้าลึก ๆ

        ถึงตอนนี้จะสัมผัสได้ถึงสายตาแปลก ๆ ที่มองมาจนทำให้เกิดความรู้สึกที่ไม่ดีนักแต่พวกเขาไม่มีทางที่จะถอยอย่างแน่นอน นั่นเป็นเพราะพวกเขาไม่อยากใช้ชีวิตเหมือนสัตว์ประหลาดแบบนี้อีกต่อไปแล้ว นี่จึงเป็นทางเลือกที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ และเป็นเหตุผลว่าทำไมพวกเขาต้องเข้าไปในสถาบันวิจัยใต้ดินแห่งนี้ ซึ่งนี่เป็นสาเหตุหลักที่พวกเขามาที่นี่และยืนอยู่ตรงนี้

      ……

        ในขณะที่ทีมของไป๋อี้เข้ามาในสถาบันวิจัยจากทางเข้าปกติอยู่นั้น ก็มีคนอีกกลุ่มหนึ่งได้เข้ามาด้านในอย่างรวดเร็วด้วยเช่นกัน นั่นคือหัวหน้าทีมที่อยู่ข้าง ๆ หยูหานและเพื่อนร่วมทีมของเขา คาดไม่ถึงเลยว่าหัวหน้าทีมนั้นจะมีความสูงมากกว่าสี่เมตร ร่างกายของเขานั้นถูกปกคลุมไปด้วยขนเต็มตัว เขามีแขนที่ใหญ่มหึมาจำนวนสี่แขน นอกจากนี้ด้านหลังเข้ายังมีปีกอีกหนึ่งคู่ รูปร่างของเขาดูราวกับสัตว์ประหลาดที่ดุร้ายที่มีลักษณะคล้ายกับกอลิล่าขนาดยักษ์และที่สำคัญที่สุดสัตว์ประหลาดตัวนี้กำลังเดินเคียงข้างมากับหยูหานอย่างปรองดอง

        “สถาบันวิจัยที่คุณพูดถึงมียาที่สามารถทำให้เรากลับคืนสู่ร่างมนุษย์ได้จริง ๆ ใช่ไหม?”

        “ใช่ครับ หัวหน้ายืนยันเรื่องนี้แล้วไม่ใช่เหรอ” หยูหานตอบอย่างนอบน้อม

        ตอนนี้คนที่มีอำนาจในการตัดสินสูงสุดในทีมไม่ใช่เขาอีกต่อไปแล้ว โลกใบนี้ยอมรับแค่คนคนเดียวที่มีศักยภาพและความแข็งแกร่งที่สุดเท่านั้น เบ็นสันเป็นร่างทดลองที่หนีออกมาจากสถาบันวิจัยแห่งนี้และขณะนี้เขาได้เริ่มเข้าสู่สภาพการเปลี่ยนแปลงเป็นสัตว์ประหลาด LV 2 แล้ว

        ดังที่มาร์ตินได้เคยกล่าวไว้ในตอนต้นว่าหลังจากเข้าสู่ LV 2 แล้ว ร่างกายภายในของสิ่งมีชีวิตนั้น ๆ จะสร้าง ‘สนามพลังชีวิตที่สมบูรณ์’ ขึ้นมา การควบคุมสนามพลังชีวิตจะทำให้มนุษย์สามารถระดมและประยุกต์ใช้พลังงานพิเศษในร่างกายได้ด้วยตนเอง และนี่คือการหมุนเวียนของพลังงานชีวิตอย่างแท้จริง ไม่ใช่การเยียวยาร่างกายอย่างก่อนหน้านี้ แต่กลับเพิ่มความแข็งแรง ความคล่องตัวและอื่น ๆ ให้กับร่างกายมนุษย์

        ในสายตาของหยูหานการประยุกต์ใช้พลังงานพิเศษของเบ็นสันนั้นยังเป็นแบบสุกเอาเผากิน แต่ศักยภาพความแข็งแกร่งของเขานั้นไม่สามารถเปรียบเทียบได้เลย ศักยภาพความแข็งแกร่งในตัวผู้ชายคนนี้คล้ายกับตัวละครที่อยู่ในการ์ตูนอนิเมชั่นไม่มีผิด เมื่อได้เห็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้า ภายในจิตใจของหยูหานก็เกิดความโหยหามากยิ่งขึ้น แทนที่เขาจะได้ใช้ชีวิตแบบธรรมดาเรียบง่าย เขากลับอยากที่จะเข้าสู่โลกที่ไม่รู้จักนี้

        “หัวหน้า พวกเราจะสามารถหาสถาบันวิจัยเจอได้จริง ๆ ใช่ไหมครับ?”

        หยูหานได้ถามขึ้น ถึงแม้เขาจะรู้ดีว่าสถาบันวิจัยแห่งชาติตองการิโรมียาที่สามารถรักษาฟื้นฟูร่างกายมนุษย์ได้ แต่สถานที่ตั้งของสถาบันวิจัยแห่งนี้นั้นแท้จริงแล้วอยู่ที่ไหน เขาก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน หลังจากเห็นคนกลุ่มหนึ่งเข้าไปในอุทยานตองการิโร เบ็นสันก็พาทุกคนเดินเลียบไปข้างหน้าจนในที่สุดพวกเขาจึงมาถึงที่นี่

        “อยู่ข้างหน้านั่น!”

        “พวกเราได้ผสานรวมยีนกับปรสิตของเซลล์ดัดแปลงจากร่างต้นแบบทดลองยังไม่นานนัก ดังนั้นฉันจึงไม่รู้สึกถึงมันสักเท่าไร ในความเป็นจริงตั้งแต่ฉันได้เริ่มเข้ามาในอุทยานตองการิโร ฉันได้รู้สึกถึงบรรยากาศความน่ากลัว ไม่ผิดแน่ บรรยากาศแบบนี้มาจากร่างต้นแบบทดลองแน่ ๆ” เบ็นสันกล่าวด้วยแววตาที่เขร่งขรึม 

        “เป็นแบบนี้เองหรือ?”

        ทุกคนนั้นดูประหลาดใจเป็นอย่างมาก แต่ในเมื่อเบ็นสันเป็นคนพูดออกมาแบบนั้น ทุกคนจึงไม่มีการโต้แย้งใด ๆ เพราะเบ็นสันมีพลังที่แข็งแกร่งกว่าพวกเขาเป็นอย่างมาก

        ในไม่ช้าทุกคนก็มาถึงลานโล่งที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางมากกว่า 30 เมตร พวกเขาไม่รู้ว่าข้างล่างนี้มีความลึกเท่าไร มันดูมืดมิดไปหมด ดินโดยรอบยังดูเป็นรอยใหม่อยู่ ที่นี่คือพื้นที่ที่ร่างต้นแบบทดลองได้ปะทุขึ้นในตอนแรกและได้ฝ่าทะลุจากลานของสถาบันวิจัยแห่งนี้ออกไป เมื่อก่อนที่นี่เต็มไปด้วยพนักงานที่ทำงานอยู่ในสถาบันวิจัยแห่งนี้ แต่ทว่าหลังจากนั้นไม่กี่วันอยู่ ๆ เซลล์ดัดแปลงทั้งหมดก็เกิดระเบิดขึ้น จนเอาไม่อยู่

        “ตรงนี้ฉันรู้สึกได้ว่าร่างต้นแบบการทดลองอยู่ข้างล่างนี้ แต่ลมหายใจนั้นอ่อนแรงมาก”

        “พวกเราลงไปข้างล่างกันเถอะ หลังจากนั้นค่อยขุดเข้าไปข้างในของสถาบันวิจัยและไปหายาที่คุณบอกว่าสามารถรักษาฟื้นฟูร่างกายของมนุษย์ได้” เบ็นสันได้พูดขึ้นและไม่เปิดโอกาสให้ใครได้ปฏิเสธ โดยเขารีบคว้ามือของคนในทีมและพุ่งทะยานลงไปในช่องของลานโล่งตรงนั้นทันที 

        นอกจากหยูหานและเบ็นสันแล้ว ในทีมของเขายังมีอีกสามคนที่เพิ่งเข้าร่วมทีมได้ไม่นาน ในเวลานี้เมื่อได้มองลงไปข้างล่างพวกเขาไม่สามารถมองเห็นพื้นด้านล่างได้เลย ทำให้พวกเขารู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาโดยสัญชาตญาณ แต่พวกเขาไม่มีทางถอยกลับไปอย่างแน่นอนเบ็นสันได้จับมือชายทั้งสี่คนก่อนพุ่งทะยานลงไป ส่วนหนิงเสวี่ยและเบลลิก้าทีน่าถูกปล่อยให้ยืนรออยู่ที่ขอบลานโล่งนั้น

        “เรายังจะได้เจอกับลุงไป๋และคนอื่น ๆ อีกไหม?”

        เบลลิก้าทีน่ามองลงไปยังช่องในลานโล่งที่มืดมิด พลางคิดกับตัวเองอย่างเงียบ ๆ หนิงเสวี่ยที่กลัวจนตัวสั่นได้ขยับเข้ามาใกล้ ๆ เบลลิก้าทีน่า ถึงแม้ว่าตอนนี้เบลิก้าทีน่าจะกลายเป็นเป็นสัตว์ประหลาดไปแล้วก็ตาม แต่ไม่ว่าอย่างไรคนที่สนิทคุ้นเคยกับหนิงเสวี่ยก็มีแค่เพียงเบลลิก้าทีน่าเพียงคนเดียว

        ส่วนกลุ่มของไป๋อี้นั้นพวกเขาไม่รู้ตัวเลยว่าหยูหานและคนอื่น ๆ ก็ได้ลงมาที่นี่ในเวลานี้เช่นกันและยิ่งไปกว่านั้นหยูหานและทีมของเขาไม่ได้เข้ามาจากทางเข้าปกติแต่มาจากทางช่องในลานโล่งที่ร่างต้นแบบทดลองได้ระเบิด ทำให้เป็นการสร้างทางเข้าอีกทางขึ้นมาโดยปริยาย

        “เราจะหยุดสิ่งนี้ได้อย่างไร?” ไป๋อี้ถาม หลังจากรถกระเช้าได้เริ่มเคลื่นตัวไปสักพักแล้ว 

        เมื่อพูดถึงอาชีพการงานแล้ว ไป๋อี้เป็นเพียงพ่อครัว หงฉี่ฮว๋าเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย (วิชาเอกกฎหมาย) วูฟล์เป็นเจ้าของกิจการวัตถุดิบประกอบอาหาร เฮลัวส์เป็นแค่เพียงหญิงสาวที่เพิ่งแต่งงานซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นครูอยู่ที่โรงเรียนมัธยมโอโทโรฮังกามาสองปี มาร์ตินเป็นนักวิจัยชีววิทยา เมย์ริสเป็นคุณหมอและซาร่าเป็นแค่นางพยาบาล ส่วนทั้งเวอร์เนอร์และโม่โม่ที่ทั้งสองคนยังเป็นเด็กน้อยอยู่ พวกเขาไม่มีใครสามารถขับรถกระเช้าแบบนี้ได้จริง ๆ เลยสักคน

        มาร์ตินที่เพิ่งขึ้นมาบังคับได้ไม่กี่นาที ก็ได้บังคับให้รถกระเช้าเริ่มเคลื่อนตัวอย่างช้า ๆ แต่ทว่าเมื่อมองท่าทีของเขาแล้วก็รู้ได้ทันทีเลยว่าเขาขับไม่เป็น

        “จะหยุดได้อย่างไร!”

        ทุกคนมองหน้ากันจากนั้นจึงได้มองไปที่มาร์ติน ส่วนตัวมาร์ตินลเองก็ตกตะลึงอยู่เหมือนกัน หลังจากนั้นเขาจึงครุ่นคิดถึงหน้าจอควบคุมการทำงานและได้กดปุ่มควบคุมมั่ว ๆ ไปสองสามปุ่ม ทันใดนั้นเองทุก ๆ คนก็รู้สึกว่าร่างกายของตัวเองนั่นกำลังสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง จากนั้นรถกระเช้าก็ได้เร่งความเร็วในการเคลื่อนตัวอีกครั้ง มาร์ตินเองก็รู้สึกเหมือนกัน เขาอดที่จะตื่นตระหนกตกใจอีกครั้งไม่ได้ มือขวาที่ถูกปกคลุมด้วยขนแหลม ๆ ได้กดปุ่มควบคุมอย่างลุกลี้ลุกลน

        ทันใดนั้นเองก็มีเสียงไซเรนในรถกระเช้าอันแสบแก้วหูดังขึ้น ถึงแม้ทุกคนจะไม่ได้ใช้สมองคิด ทุกคนก็รู้ดีว่ามันคงไม่ใช่สัญญาณที่ดีแน่ๆ

        กระโดดลงจากรถอย่างนั้นเหรอ?

        ไป๋อี้กระชากประตูรถกระเช้าออกอย่างแรง ห่างออกไปไม่ถึงหนึ่งเมตรรถกำลังจะชนกับกำแพงด้านหน้าแล้ว ด้วยพื้นที่ที่คับแคบ การกระโดดออกจากพื้นที่ตรงนี้จะต้องโดนบีบอัดระหว่างรถกับกำแพงอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นไป๋อี้หรือคนอื่น ๆ พวกเขาอาจจะได้รับบาดเจ็บเจียนตายเลยก็ได้ แต่ไป๋อี้ก็ไม่สนใจเสียงทัดทานของคนอื่น จะว่าไปแล้วมันก็เป็นความคิดที่ไม่รอบคอบของเขาเอง

        “มาร์ตินลองพยายามหยุดรถซิ ส่วนคนที่เอาเนื้อมาให้ไปที่ท้ายรถ และเตรียมตัวทำหน้าที่ใช้เนื้อเป็นเบาะรอง ระวังมีดและโลหะมีคมทุกชนิด อย่าให้แทงโดนตัวเองโดยเด็ดขาด” ไป๋อี้กล่าว

        วูฟล์และหนูน้อยเวอร์เนอร์รีบพุ่งตัวไปด้านหลังของรถทันที ในเวลานี้ไม่มีใครจะมาเอาแต่คิดเห็นแก่ตัวได้แล้ว

        ไป๋อี้ได้มองไปที่ตู้รถไฟทั้งสองด้าน ตอนที่เขาเข้ามาในรถกระเช้าเขาเห็นว่าล้อรถอยู่ตรงไหน เขาเหลือบไปเห็นท่อนเหล็กที่อยู่ตรงกลางระหว่างโบกี้ทั้งสองที่ใช้เป็นตัวยึดที่มั่นคง จากนั้นเขาก็มองไปที่ดาบในมือของเขาพลางสูดหายใจเข้าลึก ๆ ในตอนนี้สามารถวางใจได้เลยว่าดาบที่ได้มาจากปู่ฮาร์วีย์นั้นเป็นอาวุธที่ดีที่สุดจริง ๆ 

        ไป๋อี้จับดาบไว้ในมือทั้งสองข้างแล้วออกแรงกระแทกอย่างแรง 

        เสียงของโลหะกระทบดังกึกก้องกันหลังจากเขาได้ใช้ดาบตัดท่อนเหล็กออกมาอย่างง่ายดายราวกับตัดท่อนไม้อย่างไรอย่างนั้น เขาตัดได้เพียงหนึ่งในสามของท่อนเหล็กทั้งหมด เมื่อทุกคนเห็นดังนั้นพวกเขาก็อยู่ในอาการตกตะลึงจนตาค้างพูดอะไรไม่ออก ไป๋อี้เขาบ้าความรุนแรงมากขึ้นทุกที ถึงแม้เขาจะเคยบอกว่าตัวเองไม่มีทักษะในการใช้อาวุธมีดดาบเหมือนในภาพยนตร์หรือการ์ตูนอะไรแบบนั้นก็ตาม แล้วที่เห็นอยู่นี่มันคืออะไร?

        ท้ายที่สุดทุกคนก็ต่างหัวเราะออกมาเพราะดาบของไป๋อี้ได้ติดอยู่ตรงท่อนเหล็กและไม่สามารถดึงออกมาได้ จนในที่สุดไป๋อี้ต้องใช้เท้าถีบราวยึดข้างบนอย่างรุนแรง ทำให้ทุกคนอดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้กับอริยาบถของเขา

        ไป๋อี้ไม่ได้บ้าความรุนแรงขนาดนั้น ที่เขาตัดเหล็กได้หนึ่งในสามส่วน โดยส่วนใหญ่แล้วเป็นเพราะอาศัยความแข็งแรงทนทานและความคมของดาบ ปู่ฮาร์วีย์ได้เก็บรักษาดาบไว้เป็นอย่างดีจริง ๆ แต่ในขณะเดียวกันนั้น ทักษะการใช้ดาบของไป๋อี้ก็ค่อย ๆ พัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ ตั้งแต่การใช้กลศาสตร์ขั้นพื้นฐานจนถึงขั้นฝ่าฝืนสามัญสำนัก

        ไป๋อี้ถีบท่อนเหล็กออกด้วยเท้าของเขา จนในที่สุดก็สามารถดึงดาบออกมาได้ เขาใช้แรงทั้งหมดตัดมันอีกครั้งจนได้ผลลัพธ์ออกมาเป็นไปตามที่คาดหวังไว้ สุดท้ายเขาก็สามารถตัดท่อนเหล็กออกมาได้สำเร็จ ตอนนี้เขาเพิ่งค้นพบว่าดาบของเขาเกิดร่องรอยจากการใช้มันตัดเหล็กเพียงไม่กี่ครั้ง แต่ตัวคมดาบนั้นไม่มีรอยแตกแม้แต่นิดเดียว

        “วูล์ฟ มาทางนี้ ทำให้มันทะลุที” ไป๋อี้กล่าวกับวูล์ฟ

        วูลฟ์ไม่มีท่าทีลังเลในการเข้าไปหาไป๋อี้แม้แต่น้อย เขารีบมุ่งตรงไปในตำแหน่งที่ไป๋อี้อยู่และใช้มีดตัดเพื่อให้เกิดช่องโหว่ เมื่อมองลงไปตามช่องโหว่นั่น ก็จะเห็นล้อที่กำลังหมุนอย่างรวดเร็ว

        “มาร์ตินหาวิธีทำให้รถหยุดยังไม่ได้เหรอ!” ไป๋อี้ได้ตะโกนถามมาร์ตินสุดเสียง

        “รอเดี๋ยว มันใกล้จะหยุดแล้ว มันใกล้จะ…” น้ำเสียงของมาร์ตินดูเหมือนวิตกกังวลมากเช่นกัน

        เมื่อไป๋อี้เห็นมาร์ตินเป็นเช่นนี้ เขาก็รู้ได้ในทันทีว่าไม่สามารถฝากความหวังไว้กับมาร์ตินได้อีกต่อไป “ทุก ๆ คนจับฉันให้แน่น ๆ ระวังแรงสั่นสะเทือนด้วย” ไป๋อี้ตะโกนบอกทุกคนอย่างสุดเสียง

        หลังจากที่ทุกคนได้จับไว้อย่างมั่นคงแล้ว ไป๋อี้ก็สอดแท่งเหล็กเข้าไปในช่องว่างของเพลารถในทันที

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

[นิยายแปล] มหาวิบัติยีนกลายพันธุ์ 60 การออกตัวที่ไม่ราบรื่น

Now you are reading [นิยายแปล] มหาวิบัติยีนกลายพันธุ์ Chapter 60 การออกตัวที่ไม่ราบรื่น at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

        ในปีเดียวกันภาพยนตร์เรื่อง Resident Evil กล่าวได้ว่าเป็นบทภาพยนตร์ที่คลาสสิกมาก ปรากฏการณ์วันโลกาวินาศที่โหดร้ายถูกฝังอยู่ในมโนภาพของผู้คนจนนับไม่ถ้วน โดยพื้นฐานแล้วตราบใดที่ยังมีโอกาสคนส่วนใหญ่ล้วนจะต้องดูภาพยนตร์เรื่องนี้อย่างแน่นอน กระเช้าไฟฟ้าในปัจจุบันมีลักษณะคล้ายกับรถรางที่นำไปสู่รังผึ้งในภาพยนตร์เรื่อง Resident Evil อย่างเหลือเชื่อ

        “ที่นี่มันคือรังผึ้งไม่ใช่เหรอ?” ไป๋อี้ถามมาร์ตินพลางขมวดคิ้วไปด้วย 

        “ไม่น่าจะใช่ …” มาร์ตินเองก็ตอบด้วยความไม่มั่นใจนักเช่นกัน

        “เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ฉันก็ยังไม่เข้าใจเลยว่าสถาบันวิจัยที่ใหญ่ที่สุดจะก่อตั้งอยู่ในสวนนิเวศวิทยาได้อย่างไร?” อยู่ ๆ เมย์ริสก็ได้พูดแทรกขึ้นมา

        “นี่ไม่ใช่สถาบันวิจัยที่ใหญ่ที่สุด แต่เป็นสถานที่วิจัยร่างต้นแบบการทดลองทั้งหมด ในตอนแรกยังไม่มีจุดประสงค์ที่ชัดเจนในการคัดเลือกเซลล์ดัดแปลงปรสิต ทั้งหมดมันเป็นเพียงแค่การสุ่มตามสถานการณ์เท่านั้น สมัยก่อนสถาบันวิจัยแห่งนี้ยังไม่นับว่าใหญ่มากนัก แต่เป็นเพราะความบังเอิญที่ร่างต้นแบบการทดลองทั้งหมดนั้นได้เกิดขึ้น ณ ที่แห่งนี้ ดังนั้นสถานที่แห่งนี้จึงได้รับความสนใจขึ้นมาทันที ร่างต้นแบบการทดลองนั้นไม่สมควรที่จะถูกเคลื่อนย้ายออกไป และแม้ว่าทุกคนจะมีส่วนร่วมในการทำวิจัยเดียวกัน แต่พวกเขาก็หวังว่าตนเองจะได้รับความสนใจและมีอำนาจการตัดสินใจในหน้าที่การงานมากขึ้น ร่างต้นแบบการทดลองจึงต้องถูกเก็บรักษาไว้ที่นี่ตลอดมา” มาร์ตินอธิบายเพื่อให้ทุกคนเข้าใจ

        “ด้านในของสถาบันวิจัย มันถูกควบคุมด้วยระบบคอมพิวเตอร์รึเปล่า?” ไป๋อี้ถามขึ้น

        “ก็ไม่ทั้งหมดหรอก ผู้ที่รับผิดชอบสูงสุดในสถาบันวิจัยแห่งนี้ยังคงใช้มนุษย์ในการควบคุมอยู่ นอกจากคนที่มีอำนาจสูงสุดในการควบคุมแล้ว พนักงานคนอื่น ๆ ที่อยู่ในสถาบันวิจัยแห่งนี้พวกเขาไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าออกตามอำเภอใจ ถ้าหากว่าที่นี่ไม่ได้พัฒนาร่างทดลองไปในทางที่ดีขึ้น บางทีฉันอาจจะยังคงติดอยู่ในสถาบันวิจัยแฮมิลตันอยู่ก็ได้” มาร์ตินอธิบาย 

        “มีแผนที่ในสถาบันวิจัยแห่งนี้ไหม?” ไป๋อี้ถามขึ้น

        มาร์ตินส่ายหน้าไปมาตามตรง ตอนนี้สภาพจิตใจของทุกคนไม่สู้ดีนัก แม้แต่แผนที่ก็ไม่มี และคงไม่ต้องบอกว่าสถาบันวิจัยที่มีร่างต้นแบบการทดลองแห่งนี้มีความสำคัญมากแค่ไหน

        หากพวกเขาถูกขังอยู่ใต้ดินในความลึกหลายร้อยเมตรเหมือนกับหนังเรื่อง Resident Evil พวกเขาอาจจะไม่ได้โชคดีที่จะหาทางออกมาได้

        ”ไปกันเถอะ!” ไป๋อี้พูดขึ้นพร้อมสูดหายใจเข้าลึก ๆ

        ถึงตอนนี้จะสัมผัสได้ถึงสายตาแปลก ๆ ที่มองมาจนทำให้เกิดความรู้สึกที่ไม่ดีนักแต่พวกเขาไม่มีทางที่จะถอยอย่างแน่นอน นั่นเป็นเพราะพวกเขาไม่อยากใช้ชีวิตเหมือนสัตว์ประหลาดแบบนี้อีกต่อไปแล้ว นี่จึงเป็นทางเลือกที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ และเป็นเหตุผลว่าทำไมพวกเขาต้องเข้าไปในสถาบันวิจัยใต้ดินแห่งนี้ ซึ่งนี่เป็นสาเหตุหลักที่พวกเขามาที่นี่และยืนอยู่ตรงนี้

      ……

        ในขณะที่ทีมของไป๋อี้เข้ามาในสถาบันวิจัยจากทางเข้าปกติอยู่นั้น ก็มีคนอีกกลุ่มหนึ่งได้เข้ามาด้านในอย่างรวดเร็วด้วยเช่นกัน นั่นคือหัวหน้าทีมที่อยู่ข้าง ๆ หยูหานและเพื่อนร่วมทีมของเขา คาดไม่ถึงเลยว่าหัวหน้าทีมนั้นจะมีความสูงมากกว่าสี่เมตร ร่างกายของเขานั้นถูกปกคลุมไปด้วยขนเต็มตัว เขามีแขนที่ใหญ่มหึมาจำนวนสี่แขน นอกจากนี้ด้านหลังเข้ายังมีปีกอีกหนึ่งคู่ รูปร่างของเขาดูราวกับสัตว์ประหลาดที่ดุร้ายที่มีลักษณะคล้ายกับกอลิล่าขนาดยักษ์และที่สำคัญที่สุดสัตว์ประหลาดตัวนี้กำลังเดินเคียงข้างมากับหยูหานอย่างปรองดอง

        “สถาบันวิจัยที่คุณพูดถึงมียาที่สามารถทำให้เรากลับคืนสู่ร่างมนุษย์ได้จริง ๆ ใช่ไหม?”

        “ใช่ครับ หัวหน้ายืนยันเรื่องนี้แล้วไม่ใช่เหรอ” หยูหานตอบอย่างนอบน้อม

        ตอนนี้คนที่มีอำนาจในการตัดสินสูงสุดในทีมไม่ใช่เขาอีกต่อไปแล้ว โลกใบนี้ยอมรับแค่คนคนเดียวที่มีศักยภาพและความแข็งแกร่งที่สุดเท่านั้น เบ็นสันเป็นร่างทดลองที่หนีออกมาจากสถาบันวิจัยแห่งนี้และขณะนี้เขาได้เริ่มเข้าสู่สภาพการเปลี่ยนแปลงเป็นสัตว์ประหลาด LV 2 แล้ว

        ดังที่มาร์ตินได้เคยกล่าวไว้ในตอนต้นว่าหลังจากเข้าสู่ LV 2 แล้ว ร่างกายภายในของสิ่งมีชีวิตนั้น ๆ จะสร้าง ‘สนามพลังชีวิตที่สมบูรณ์’ ขึ้นมา การควบคุมสนามพลังชีวิตจะทำให้มนุษย์สามารถระดมและประยุกต์ใช้พลังงานพิเศษในร่างกายได้ด้วยตนเอง และนี่คือการหมุนเวียนของพลังงานชีวิตอย่างแท้จริง ไม่ใช่การเยียวยาร่างกายอย่างก่อนหน้านี้ แต่กลับเพิ่มความแข็งแรง ความคล่องตัวและอื่น ๆ ให้กับร่างกายมนุษย์

        ในสายตาของหยูหานการประยุกต์ใช้พลังงานพิเศษของเบ็นสันนั้นยังเป็นแบบสุกเอาเผากิน แต่ศักยภาพความแข็งแกร่งของเขานั้นไม่สามารถเปรียบเทียบได้เลย ศักยภาพความแข็งแกร่งในตัวผู้ชายคนนี้คล้ายกับตัวละครที่อยู่ในการ์ตูนอนิเมชั่นไม่มีผิด เมื่อได้เห็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้า ภายในจิตใจของหยูหานก็เกิดความโหยหามากยิ่งขึ้น แทนที่เขาจะได้ใช้ชีวิตแบบธรรมดาเรียบง่าย เขากลับอยากที่จะเข้าสู่โลกที่ไม่รู้จักนี้

        “หัวหน้า พวกเราจะสามารถหาสถาบันวิจัยเจอได้จริง ๆ ใช่ไหมครับ?”

        หยูหานได้ถามขึ้น ถึงแม้เขาจะรู้ดีว่าสถาบันวิจัยแห่งชาติตองการิโรมียาที่สามารถรักษาฟื้นฟูร่างกายมนุษย์ได้ แต่สถานที่ตั้งของสถาบันวิจัยแห่งนี้นั้นแท้จริงแล้วอยู่ที่ไหน เขาก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน หลังจากเห็นคนกลุ่มหนึ่งเข้าไปในอุทยานตองการิโร เบ็นสันก็พาทุกคนเดินเลียบไปข้างหน้าจนในที่สุดพวกเขาจึงมาถึงที่นี่

        “อยู่ข้างหน้านั่น!”

        “พวกเราได้ผสานรวมยีนกับปรสิตของเซลล์ดัดแปลงจากร่างต้นแบบทดลองยังไม่นานนัก ดังนั้นฉันจึงไม่รู้สึกถึงมันสักเท่าไร ในความเป็นจริงตั้งแต่ฉันได้เริ่มเข้ามาในอุทยานตองการิโร ฉันได้รู้สึกถึงบรรยากาศความน่ากลัว ไม่ผิดแน่ บรรยากาศแบบนี้มาจากร่างต้นแบบทดลองแน่ ๆ” เบ็นสันกล่าวด้วยแววตาที่เขร่งขรึม 

        “เป็นแบบนี้เองหรือ?”

        ทุกคนนั้นดูประหลาดใจเป็นอย่างมาก แต่ในเมื่อเบ็นสันเป็นคนพูดออกมาแบบนั้น ทุกคนจึงไม่มีการโต้แย้งใด ๆ เพราะเบ็นสันมีพลังที่แข็งแกร่งกว่าพวกเขาเป็นอย่างมาก

        ในไม่ช้าทุกคนก็มาถึงลานโล่งที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางมากกว่า 30 เมตร พวกเขาไม่รู้ว่าข้างล่างนี้มีความลึกเท่าไร มันดูมืดมิดไปหมด ดินโดยรอบยังดูเป็นรอยใหม่อยู่ ที่นี่คือพื้นที่ที่ร่างต้นแบบทดลองได้ปะทุขึ้นในตอนแรกและได้ฝ่าทะลุจากลานของสถาบันวิจัยแห่งนี้ออกไป เมื่อก่อนที่นี่เต็มไปด้วยพนักงานที่ทำงานอยู่ในสถาบันวิจัยแห่งนี้ แต่ทว่าหลังจากนั้นไม่กี่วันอยู่ ๆ เซลล์ดัดแปลงทั้งหมดก็เกิดระเบิดขึ้น จนเอาไม่อยู่

        “ตรงนี้ฉันรู้สึกได้ว่าร่างต้นแบบการทดลองอยู่ข้างล่างนี้ แต่ลมหายใจนั้นอ่อนแรงมาก”

        “พวกเราลงไปข้างล่างกันเถอะ หลังจากนั้นค่อยขุดเข้าไปข้างในของสถาบันวิจัยและไปหายาที่คุณบอกว่าสามารถรักษาฟื้นฟูร่างกายของมนุษย์ได้” เบ็นสันได้พูดขึ้นและไม่เปิดโอกาสให้ใครได้ปฏิเสธ โดยเขารีบคว้ามือของคนในทีมและพุ่งทะยานลงไปในช่องของลานโล่งตรงนั้นทันที 

        นอกจากหยูหานและเบ็นสันแล้ว ในทีมของเขายังมีอีกสามคนที่เพิ่งเข้าร่วมทีมได้ไม่นาน ในเวลานี้เมื่อได้มองลงไปข้างล่างพวกเขาไม่สามารถมองเห็นพื้นด้านล่างได้เลย ทำให้พวกเขารู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาโดยสัญชาตญาณ แต่พวกเขาไม่มีทางถอยกลับไปอย่างแน่นอนเบ็นสันได้จับมือชายทั้งสี่คนก่อนพุ่งทะยานลงไป ส่วนหนิงเสวี่ยและเบลลิก้าทีน่าถูกปล่อยให้ยืนรออยู่ที่ขอบลานโล่งนั้น

        “เรายังจะได้เจอกับลุงไป๋และคนอื่น ๆ อีกไหม?”

        เบลลิก้าทีน่ามองลงไปยังช่องในลานโล่งที่มืดมิด พลางคิดกับตัวเองอย่างเงียบ ๆ หนิงเสวี่ยที่กลัวจนตัวสั่นได้ขยับเข้ามาใกล้ ๆ เบลลิก้าทีน่า ถึงแม้ว่าตอนนี้เบลิก้าทีน่าจะกลายเป็นเป็นสัตว์ประหลาดไปแล้วก็ตาม แต่ไม่ว่าอย่างไรคนที่สนิทคุ้นเคยกับหนิงเสวี่ยก็มีแค่เพียงเบลลิก้าทีน่าเพียงคนเดียว

        ส่วนกลุ่มของไป๋อี้นั้นพวกเขาไม่รู้ตัวเลยว่าหยูหานและคนอื่น ๆ ก็ได้ลงมาที่นี่ในเวลานี้เช่นกันและยิ่งไปกว่านั้นหยูหานและทีมของเขาไม่ได้เข้ามาจากทางเข้าปกติแต่มาจากทางช่องในลานโล่งที่ร่างต้นแบบทดลองได้ระเบิด ทำให้เป็นการสร้างทางเข้าอีกทางขึ้นมาโดยปริยาย

        “เราจะหยุดสิ่งนี้ได้อย่างไร?” ไป๋อี้ถาม หลังจากรถกระเช้าได้เริ่มเคลื่นตัวไปสักพักแล้ว 

        เมื่อพูดถึงอาชีพการงานแล้ว ไป๋อี้เป็นเพียงพ่อครัว หงฉี่ฮว๋าเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย (วิชาเอกกฎหมาย) วูฟล์เป็นเจ้าของกิจการวัตถุดิบประกอบอาหาร เฮลัวส์เป็นแค่เพียงหญิงสาวที่เพิ่งแต่งงานซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นครูอยู่ที่โรงเรียนมัธยมโอโทโรฮังกามาสองปี มาร์ตินเป็นนักวิจัยชีววิทยา เมย์ริสเป็นคุณหมอและซาร่าเป็นแค่นางพยาบาล ส่วนทั้งเวอร์เนอร์และโม่โม่ที่ทั้งสองคนยังเป็นเด็กน้อยอยู่ พวกเขาไม่มีใครสามารถขับรถกระเช้าแบบนี้ได้จริง ๆ เลยสักคน

        มาร์ตินที่เพิ่งขึ้นมาบังคับได้ไม่กี่นาที ก็ได้บังคับให้รถกระเช้าเริ่มเคลื่อนตัวอย่างช้า ๆ แต่ทว่าเมื่อมองท่าทีของเขาแล้วก็รู้ได้ทันทีเลยว่าเขาขับไม่เป็น

        “จะหยุดได้อย่างไร!”

        ทุกคนมองหน้ากันจากนั้นจึงได้มองไปที่มาร์ติน ส่วนตัวมาร์ตินลเองก็ตกตะลึงอยู่เหมือนกัน หลังจากนั้นเขาจึงครุ่นคิดถึงหน้าจอควบคุมการทำงานและได้กดปุ่มควบคุมมั่ว ๆ ไปสองสามปุ่ม ทันใดนั้นเองทุก ๆ คนก็รู้สึกว่าร่างกายของตัวเองนั่นกำลังสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง จากนั้นรถกระเช้าก็ได้เร่งความเร็วในการเคลื่อนตัวอีกครั้ง มาร์ตินเองก็รู้สึกเหมือนกัน เขาอดที่จะตื่นตระหนกตกใจอีกครั้งไม่ได้ มือขวาที่ถูกปกคลุมด้วยขนแหลม ๆ ได้กดปุ่มควบคุมอย่างลุกลี้ลุกลน

        ทันใดนั้นเองก็มีเสียงไซเรนในรถกระเช้าอันแสบแก้วหูดังขึ้น ถึงแม้ทุกคนจะไม่ได้ใช้สมองคิด ทุกคนก็รู้ดีว่ามันคงไม่ใช่สัญญาณที่ดีแน่ๆ

        กระโดดลงจากรถอย่างนั้นเหรอ?

        ไป๋อี้กระชากประตูรถกระเช้าออกอย่างแรง ห่างออกไปไม่ถึงหนึ่งเมตรรถกำลังจะชนกับกำแพงด้านหน้าแล้ว ด้วยพื้นที่ที่คับแคบ การกระโดดออกจากพื้นที่ตรงนี้จะต้องโดนบีบอัดระหว่างรถกับกำแพงอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นไป๋อี้หรือคนอื่น ๆ พวกเขาอาจจะได้รับบาดเจ็บเจียนตายเลยก็ได้ แต่ไป๋อี้ก็ไม่สนใจเสียงทัดทานของคนอื่น จะว่าไปแล้วมันก็เป็นความคิดที่ไม่รอบคอบของเขาเอง

        “มาร์ตินลองพยายามหยุดรถซิ ส่วนคนที่เอาเนื้อมาให้ไปที่ท้ายรถ และเตรียมตัวทำหน้าที่ใช้เนื้อเป็นเบาะรอง ระวังมีดและโลหะมีคมทุกชนิด อย่าให้แทงโดนตัวเองโดยเด็ดขาด” ไป๋อี้กล่าว

        วูฟล์และหนูน้อยเวอร์เนอร์รีบพุ่งตัวไปด้านหลังของรถทันที ในเวลานี้ไม่มีใครจะมาเอาแต่คิดเห็นแก่ตัวได้แล้ว

        ไป๋อี้ได้มองไปที่ตู้รถไฟทั้งสองด้าน ตอนที่เขาเข้ามาในรถกระเช้าเขาเห็นว่าล้อรถอยู่ตรงไหน เขาเหลือบไปเห็นท่อนเหล็กที่อยู่ตรงกลางระหว่างโบกี้ทั้งสองที่ใช้เป็นตัวยึดที่มั่นคง จากนั้นเขาก็มองไปที่ดาบในมือของเขาพลางสูดหายใจเข้าลึก ๆ ในตอนนี้สามารถวางใจได้เลยว่าดาบที่ได้มาจากปู่ฮาร์วีย์นั้นเป็นอาวุธที่ดีที่สุดจริง ๆ 

        ไป๋อี้จับดาบไว้ในมือทั้งสองข้างแล้วออกแรงกระแทกอย่างแรง 

        เสียงของโลหะกระทบดังกึกก้องกันหลังจากเขาได้ใช้ดาบตัดท่อนเหล็กออกมาอย่างง่ายดายราวกับตัดท่อนไม้อย่างไรอย่างนั้น เขาตัดได้เพียงหนึ่งในสามของท่อนเหล็กทั้งหมด เมื่อทุกคนเห็นดังนั้นพวกเขาก็อยู่ในอาการตกตะลึงจนตาค้างพูดอะไรไม่ออก ไป๋อี้เขาบ้าความรุนแรงมากขึ้นทุกที ถึงแม้เขาจะเคยบอกว่าตัวเองไม่มีทักษะในการใช้อาวุธมีดดาบเหมือนในภาพยนตร์หรือการ์ตูนอะไรแบบนั้นก็ตาม แล้วที่เห็นอยู่นี่มันคืออะไร?

        ท้ายที่สุดทุกคนก็ต่างหัวเราะออกมาเพราะดาบของไป๋อี้ได้ติดอยู่ตรงท่อนเหล็กและไม่สามารถดึงออกมาได้ จนในที่สุดไป๋อี้ต้องใช้เท้าถีบราวยึดข้างบนอย่างรุนแรง ทำให้ทุกคนอดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้กับอริยาบถของเขา

        ไป๋อี้ไม่ได้บ้าความรุนแรงขนาดนั้น ที่เขาตัดเหล็กได้หนึ่งในสามส่วน โดยส่วนใหญ่แล้วเป็นเพราะอาศัยความแข็งแรงทนทานและความคมของดาบ ปู่ฮาร์วีย์ได้เก็บรักษาดาบไว้เป็นอย่างดีจริง ๆ แต่ในขณะเดียวกันนั้น ทักษะการใช้ดาบของไป๋อี้ก็ค่อย ๆ พัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ ตั้งแต่การใช้กลศาสตร์ขั้นพื้นฐานจนถึงขั้นฝ่าฝืนสามัญสำนัก

        ไป๋อี้ถีบท่อนเหล็กออกด้วยเท้าของเขา จนในที่สุดก็สามารถดึงดาบออกมาได้ เขาใช้แรงทั้งหมดตัดมันอีกครั้งจนได้ผลลัพธ์ออกมาเป็นไปตามที่คาดหวังไว้ สุดท้ายเขาก็สามารถตัดท่อนเหล็กออกมาได้สำเร็จ ตอนนี้เขาเพิ่งค้นพบว่าดาบของเขาเกิดร่องรอยจากการใช้มันตัดเหล็กเพียงไม่กี่ครั้ง แต่ตัวคมดาบนั้นไม่มีรอยแตกแม้แต่นิดเดียว

        “วูล์ฟ มาทางนี้ ทำให้มันทะลุที” ไป๋อี้กล่าวกับวูล์ฟ

        วูลฟ์ไม่มีท่าทีลังเลในการเข้าไปหาไป๋อี้แม้แต่น้อย เขารีบมุ่งตรงไปในตำแหน่งที่ไป๋อี้อยู่และใช้มีดตัดเพื่อให้เกิดช่องโหว่ เมื่อมองลงไปตามช่องโหว่นั่น ก็จะเห็นล้อที่กำลังหมุนอย่างรวดเร็ว

        “มาร์ตินหาวิธีทำให้รถหยุดยังไม่ได้เหรอ!” ไป๋อี้ได้ตะโกนถามมาร์ตินสุดเสียง

        “รอเดี๋ยว มันใกล้จะหยุดแล้ว มันใกล้จะ…” น้ำเสียงของมาร์ตินดูเหมือนวิตกกังวลมากเช่นกัน

        เมื่อไป๋อี้เห็นมาร์ตินเป็นเช่นนี้ เขาก็รู้ได้ในทันทีว่าไม่สามารถฝากความหวังไว้กับมาร์ตินได้อีกต่อไป “ทุก ๆ คนจับฉันให้แน่น ๆ ระวังแรงสั่นสะเทือนด้วย” ไป๋อี้ตะโกนบอกทุกคนอย่างสุดเสียง

        หลังจากที่ทุกคนได้จับไว้อย่างมั่นคงแล้ว ไป๋อี้ก็สอดแท่งเหล็กเข้าไปในช่องว่างของเพลารถในทันที

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

[นิยายแปล] มหาวิบัติยีนกลายพันธุ์ 60 การออกตัวที่ไม่ราบรื่น

Now you are reading [นิยายแปล] มหาวิบัติยีนกลายพันธุ์ Chapter 60 การออกตัวที่ไม่ราบรื่น at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

        ในปีเดียวกันภาพยนตร์เรื่อง Resident Evil กล่าวได้ว่าเป็นบทภาพยนตร์ที่คลาสสิกมาก ปรากฏการณ์วันโลกาวินาศที่โหดร้ายถูกฝังอยู่ในมโนภาพของผู้คนจนนับไม่ถ้วน โดยพื้นฐานแล้วตราบใดที่ยังมีโอกาสคนส่วนใหญ่ล้วนจะต้องดูภาพยนตร์เรื่องนี้อย่างแน่นอน กระเช้าไฟฟ้าในปัจจุบันมีลักษณะคล้ายกับรถรางที่นำไปสู่รังผึ้งในภาพยนตร์เรื่อง Resident Evil อย่างเหลือเชื่อ

        “ที่นี่มันคือรังผึ้งไม่ใช่เหรอ?” ไป๋อี้ถามมาร์ตินพลางขมวดคิ้วไปด้วย 

        “ไม่น่าจะใช่ …” มาร์ตินเองก็ตอบด้วยความไม่มั่นใจนักเช่นกัน

        “เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ฉันก็ยังไม่เข้าใจเลยว่าสถาบันวิจัยที่ใหญ่ที่สุดจะก่อตั้งอยู่ในสวนนิเวศวิทยาได้อย่างไร?” อยู่ ๆ เมย์ริสก็ได้พูดแทรกขึ้นมา

        “นี่ไม่ใช่สถาบันวิจัยที่ใหญ่ที่สุด แต่เป็นสถานที่วิจัยร่างต้นแบบการทดลองทั้งหมด ในตอนแรกยังไม่มีจุดประสงค์ที่ชัดเจนในการคัดเลือกเซลล์ดัดแปลงปรสิต ทั้งหมดมันเป็นเพียงแค่การสุ่มตามสถานการณ์เท่านั้น สมัยก่อนสถาบันวิจัยแห่งนี้ยังไม่นับว่าใหญ่มากนัก แต่เป็นเพราะความบังเอิญที่ร่างต้นแบบการทดลองทั้งหมดนั้นได้เกิดขึ้น ณ ที่แห่งนี้ ดังนั้นสถานที่แห่งนี้จึงได้รับความสนใจขึ้นมาทันที ร่างต้นแบบการทดลองนั้นไม่สมควรที่จะถูกเคลื่อนย้ายออกไป และแม้ว่าทุกคนจะมีส่วนร่วมในการทำวิจัยเดียวกัน แต่พวกเขาก็หวังว่าตนเองจะได้รับความสนใจและมีอำนาจการตัดสินใจในหน้าที่การงานมากขึ้น ร่างต้นแบบการทดลองจึงต้องถูกเก็บรักษาไว้ที่นี่ตลอดมา” มาร์ตินอธิบายเพื่อให้ทุกคนเข้าใจ

        “ด้านในของสถาบันวิจัย มันถูกควบคุมด้วยระบบคอมพิวเตอร์รึเปล่า?” ไป๋อี้ถามขึ้น

        “ก็ไม่ทั้งหมดหรอก ผู้ที่รับผิดชอบสูงสุดในสถาบันวิจัยแห่งนี้ยังคงใช้มนุษย์ในการควบคุมอยู่ นอกจากคนที่มีอำนาจสูงสุดในการควบคุมแล้ว พนักงานคนอื่น ๆ ที่อยู่ในสถาบันวิจัยแห่งนี้พวกเขาไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าออกตามอำเภอใจ ถ้าหากว่าที่นี่ไม่ได้พัฒนาร่างทดลองไปในทางที่ดีขึ้น บางทีฉันอาจจะยังคงติดอยู่ในสถาบันวิจัยแฮมิลตันอยู่ก็ได้” มาร์ตินอธิบาย 

        “มีแผนที่ในสถาบันวิจัยแห่งนี้ไหม?” ไป๋อี้ถามขึ้น

        มาร์ตินส่ายหน้าไปมาตามตรง ตอนนี้สภาพจิตใจของทุกคนไม่สู้ดีนัก แม้แต่แผนที่ก็ไม่มี และคงไม่ต้องบอกว่าสถาบันวิจัยที่มีร่างต้นแบบการทดลองแห่งนี้มีความสำคัญมากแค่ไหน

        หากพวกเขาถูกขังอยู่ใต้ดินในความลึกหลายร้อยเมตรเหมือนกับหนังเรื่อง Resident Evil พวกเขาอาจจะไม่ได้โชคดีที่จะหาทางออกมาได้

        ”ไปกันเถอะ!” ไป๋อี้พูดขึ้นพร้อมสูดหายใจเข้าลึก ๆ

        ถึงตอนนี้จะสัมผัสได้ถึงสายตาแปลก ๆ ที่มองมาจนทำให้เกิดความรู้สึกที่ไม่ดีนักแต่พวกเขาไม่มีทางที่จะถอยอย่างแน่นอน นั่นเป็นเพราะพวกเขาไม่อยากใช้ชีวิตเหมือนสัตว์ประหลาดแบบนี้อีกต่อไปแล้ว นี่จึงเป็นทางเลือกที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ และเป็นเหตุผลว่าทำไมพวกเขาต้องเข้าไปในสถาบันวิจัยใต้ดินแห่งนี้ ซึ่งนี่เป็นสาเหตุหลักที่พวกเขามาที่นี่และยืนอยู่ตรงนี้

      ……

        ในขณะที่ทีมของไป๋อี้เข้ามาในสถาบันวิจัยจากทางเข้าปกติอยู่นั้น ก็มีคนอีกกลุ่มหนึ่งได้เข้ามาด้านในอย่างรวดเร็วด้วยเช่นกัน นั่นคือหัวหน้าทีมที่อยู่ข้าง ๆ หยูหานและเพื่อนร่วมทีมของเขา คาดไม่ถึงเลยว่าหัวหน้าทีมนั้นจะมีความสูงมากกว่าสี่เมตร ร่างกายของเขานั้นถูกปกคลุมไปด้วยขนเต็มตัว เขามีแขนที่ใหญ่มหึมาจำนวนสี่แขน นอกจากนี้ด้านหลังเข้ายังมีปีกอีกหนึ่งคู่ รูปร่างของเขาดูราวกับสัตว์ประหลาดที่ดุร้ายที่มีลักษณะคล้ายกับกอลิล่าขนาดยักษ์และที่สำคัญที่สุดสัตว์ประหลาดตัวนี้กำลังเดินเคียงข้างมากับหยูหานอย่างปรองดอง

        “สถาบันวิจัยที่คุณพูดถึงมียาที่สามารถทำให้เรากลับคืนสู่ร่างมนุษย์ได้จริง ๆ ใช่ไหม?”

        “ใช่ครับ หัวหน้ายืนยันเรื่องนี้แล้วไม่ใช่เหรอ” หยูหานตอบอย่างนอบน้อม

        ตอนนี้คนที่มีอำนาจในการตัดสินสูงสุดในทีมไม่ใช่เขาอีกต่อไปแล้ว โลกใบนี้ยอมรับแค่คนคนเดียวที่มีศักยภาพและความแข็งแกร่งที่สุดเท่านั้น เบ็นสันเป็นร่างทดลองที่หนีออกมาจากสถาบันวิจัยแห่งนี้และขณะนี้เขาได้เริ่มเข้าสู่สภาพการเปลี่ยนแปลงเป็นสัตว์ประหลาด LV 2 แล้ว

        ดังที่มาร์ตินได้เคยกล่าวไว้ในตอนต้นว่าหลังจากเข้าสู่ LV 2 แล้ว ร่างกายภายในของสิ่งมีชีวิตนั้น ๆ จะสร้าง ‘สนามพลังชีวิตที่สมบูรณ์’ ขึ้นมา การควบคุมสนามพลังชีวิตจะทำให้มนุษย์สามารถระดมและประยุกต์ใช้พลังงานพิเศษในร่างกายได้ด้วยตนเอง และนี่คือการหมุนเวียนของพลังงานชีวิตอย่างแท้จริง ไม่ใช่การเยียวยาร่างกายอย่างก่อนหน้านี้ แต่กลับเพิ่มความแข็งแรง ความคล่องตัวและอื่น ๆ ให้กับร่างกายมนุษย์

        ในสายตาของหยูหานการประยุกต์ใช้พลังงานพิเศษของเบ็นสันนั้นยังเป็นแบบสุกเอาเผากิน แต่ศักยภาพความแข็งแกร่งของเขานั้นไม่สามารถเปรียบเทียบได้เลย ศักยภาพความแข็งแกร่งในตัวผู้ชายคนนี้คล้ายกับตัวละครที่อยู่ในการ์ตูนอนิเมชั่นไม่มีผิด เมื่อได้เห็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้า ภายในจิตใจของหยูหานก็เกิดความโหยหามากยิ่งขึ้น แทนที่เขาจะได้ใช้ชีวิตแบบธรรมดาเรียบง่าย เขากลับอยากที่จะเข้าสู่โลกที่ไม่รู้จักนี้

        “หัวหน้า พวกเราจะสามารถหาสถาบันวิจัยเจอได้จริง ๆ ใช่ไหมครับ?”

        หยูหานได้ถามขึ้น ถึงแม้เขาจะรู้ดีว่าสถาบันวิจัยแห่งชาติตองการิโรมียาที่สามารถรักษาฟื้นฟูร่างกายมนุษย์ได้ แต่สถานที่ตั้งของสถาบันวิจัยแห่งนี้นั้นแท้จริงแล้วอยู่ที่ไหน เขาก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน หลังจากเห็นคนกลุ่มหนึ่งเข้าไปในอุทยานตองการิโร เบ็นสันก็พาทุกคนเดินเลียบไปข้างหน้าจนในที่สุดพวกเขาจึงมาถึงที่นี่

        “อยู่ข้างหน้านั่น!”

        “พวกเราได้ผสานรวมยีนกับปรสิตของเซลล์ดัดแปลงจากร่างต้นแบบทดลองยังไม่นานนัก ดังนั้นฉันจึงไม่รู้สึกถึงมันสักเท่าไร ในความเป็นจริงตั้งแต่ฉันได้เริ่มเข้ามาในอุทยานตองการิโร ฉันได้รู้สึกถึงบรรยากาศความน่ากลัว ไม่ผิดแน่ บรรยากาศแบบนี้มาจากร่างต้นแบบทดลองแน่ ๆ” เบ็นสันกล่าวด้วยแววตาที่เขร่งขรึม 

        “เป็นแบบนี้เองหรือ?”

        ทุกคนนั้นดูประหลาดใจเป็นอย่างมาก แต่ในเมื่อเบ็นสันเป็นคนพูดออกมาแบบนั้น ทุกคนจึงไม่มีการโต้แย้งใด ๆ เพราะเบ็นสันมีพลังที่แข็งแกร่งกว่าพวกเขาเป็นอย่างมาก

        ในไม่ช้าทุกคนก็มาถึงลานโล่งที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางมากกว่า 30 เมตร พวกเขาไม่รู้ว่าข้างล่างนี้มีความลึกเท่าไร มันดูมืดมิดไปหมด ดินโดยรอบยังดูเป็นรอยใหม่อยู่ ที่นี่คือพื้นที่ที่ร่างต้นแบบทดลองได้ปะทุขึ้นในตอนแรกและได้ฝ่าทะลุจากลานของสถาบันวิจัยแห่งนี้ออกไป เมื่อก่อนที่นี่เต็มไปด้วยพนักงานที่ทำงานอยู่ในสถาบันวิจัยแห่งนี้ แต่ทว่าหลังจากนั้นไม่กี่วันอยู่ ๆ เซลล์ดัดแปลงทั้งหมดก็เกิดระเบิดขึ้น จนเอาไม่อยู่

        “ตรงนี้ฉันรู้สึกได้ว่าร่างต้นแบบการทดลองอยู่ข้างล่างนี้ แต่ลมหายใจนั้นอ่อนแรงมาก”

        “พวกเราลงไปข้างล่างกันเถอะ หลังจากนั้นค่อยขุดเข้าไปข้างในของสถาบันวิจัยและไปหายาที่คุณบอกว่าสามารถรักษาฟื้นฟูร่างกายของมนุษย์ได้” เบ็นสันได้พูดขึ้นและไม่เปิดโอกาสให้ใครได้ปฏิเสธ โดยเขารีบคว้ามือของคนในทีมและพุ่งทะยานลงไปในช่องของลานโล่งตรงนั้นทันที 

        นอกจากหยูหานและเบ็นสันแล้ว ในทีมของเขายังมีอีกสามคนที่เพิ่งเข้าร่วมทีมได้ไม่นาน ในเวลานี้เมื่อได้มองลงไปข้างล่างพวกเขาไม่สามารถมองเห็นพื้นด้านล่างได้เลย ทำให้พวกเขารู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาโดยสัญชาตญาณ แต่พวกเขาไม่มีทางถอยกลับไปอย่างแน่นอนเบ็นสันได้จับมือชายทั้งสี่คนก่อนพุ่งทะยานลงไป ส่วนหนิงเสวี่ยและเบลลิก้าทีน่าถูกปล่อยให้ยืนรออยู่ที่ขอบลานโล่งนั้น

        “เรายังจะได้เจอกับลุงไป๋และคนอื่น ๆ อีกไหม?”

        เบลลิก้าทีน่ามองลงไปยังช่องในลานโล่งที่มืดมิด พลางคิดกับตัวเองอย่างเงียบ ๆ หนิงเสวี่ยที่กลัวจนตัวสั่นได้ขยับเข้ามาใกล้ ๆ เบลลิก้าทีน่า ถึงแม้ว่าตอนนี้เบลิก้าทีน่าจะกลายเป็นเป็นสัตว์ประหลาดไปแล้วก็ตาม แต่ไม่ว่าอย่างไรคนที่สนิทคุ้นเคยกับหนิงเสวี่ยก็มีแค่เพียงเบลลิก้าทีน่าเพียงคนเดียว

        ส่วนกลุ่มของไป๋อี้นั้นพวกเขาไม่รู้ตัวเลยว่าหยูหานและคนอื่น ๆ ก็ได้ลงมาที่นี่ในเวลานี้เช่นกันและยิ่งไปกว่านั้นหยูหานและทีมของเขาไม่ได้เข้ามาจากทางเข้าปกติแต่มาจากทางช่องในลานโล่งที่ร่างต้นแบบทดลองได้ระเบิด ทำให้เป็นการสร้างทางเข้าอีกทางขึ้นมาโดยปริยาย

        “เราจะหยุดสิ่งนี้ได้อย่างไร?” ไป๋อี้ถาม หลังจากรถกระเช้าได้เริ่มเคลื่นตัวไปสักพักแล้ว 

        เมื่อพูดถึงอาชีพการงานแล้ว ไป๋อี้เป็นเพียงพ่อครัว หงฉี่ฮว๋าเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย (วิชาเอกกฎหมาย) วูฟล์เป็นเจ้าของกิจการวัตถุดิบประกอบอาหาร เฮลัวส์เป็นแค่เพียงหญิงสาวที่เพิ่งแต่งงานซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นครูอยู่ที่โรงเรียนมัธยมโอโทโรฮังกามาสองปี มาร์ตินเป็นนักวิจัยชีววิทยา เมย์ริสเป็นคุณหมอและซาร่าเป็นแค่นางพยาบาล ส่วนทั้งเวอร์เนอร์และโม่โม่ที่ทั้งสองคนยังเป็นเด็กน้อยอยู่ พวกเขาไม่มีใครสามารถขับรถกระเช้าแบบนี้ได้จริง ๆ เลยสักคน

        มาร์ตินที่เพิ่งขึ้นมาบังคับได้ไม่กี่นาที ก็ได้บังคับให้รถกระเช้าเริ่มเคลื่อนตัวอย่างช้า ๆ แต่ทว่าเมื่อมองท่าทีของเขาแล้วก็รู้ได้ทันทีเลยว่าเขาขับไม่เป็น

        “จะหยุดได้อย่างไร!”

        ทุกคนมองหน้ากันจากนั้นจึงได้มองไปที่มาร์ติน ส่วนตัวมาร์ตินลเองก็ตกตะลึงอยู่เหมือนกัน หลังจากนั้นเขาจึงครุ่นคิดถึงหน้าจอควบคุมการทำงานและได้กดปุ่มควบคุมมั่ว ๆ ไปสองสามปุ่ม ทันใดนั้นเองทุก ๆ คนก็รู้สึกว่าร่างกายของตัวเองนั่นกำลังสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง จากนั้นรถกระเช้าก็ได้เร่งความเร็วในการเคลื่อนตัวอีกครั้ง มาร์ตินเองก็รู้สึกเหมือนกัน เขาอดที่จะตื่นตระหนกตกใจอีกครั้งไม่ได้ มือขวาที่ถูกปกคลุมด้วยขนแหลม ๆ ได้กดปุ่มควบคุมอย่างลุกลี้ลุกลน

        ทันใดนั้นเองก็มีเสียงไซเรนในรถกระเช้าอันแสบแก้วหูดังขึ้น ถึงแม้ทุกคนจะไม่ได้ใช้สมองคิด ทุกคนก็รู้ดีว่ามันคงไม่ใช่สัญญาณที่ดีแน่ๆ

        กระโดดลงจากรถอย่างนั้นเหรอ?

        ไป๋อี้กระชากประตูรถกระเช้าออกอย่างแรง ห่างออกไปไม่ถึงหนึ่งเมตรรถกำลังจะชนกับกำแพงด้านหน้าแล้ว ด้วยพื้นที่ที่คับแคบ การกระโดดออกจากพื้นที่ตรงนี้จะต้องโดนบีบอัดระหว่างรถกับกำแพงอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นไป๋อี้หรือคนอื่น ๆ พวกเขาอาจจะได้รับบาดเจ็บเจียนตายเลยก็ได้ แต่ไป๋อี้ก็ไม่สนใจเสียงทัดทานของคนอื่น จะว่าไปแล้วมันก็เป็นความคิดที่ไม่รอบคอบของเขาเอง

        “มาร์ตินลองพยายามหยุดรถซิ ส่วนคนที่เอาเนื้อมาให้ไปที่ท้ายรถ และเตรียมตัวทำหน้าที่ใช้เนื้อเป็นเบาะรอง ระวังมีดและโลหะมีคมทุกชนิด อย่าให้แทงโดนตัวเองโดยเด็ดขาด” ไป๋อี้กล่าว

        วูฟล์และหนูน้อยเวอร์เนอร์รีบพุ่งตัวไปด้านหลังของรถทันที ในเวลานี้ไม่มีใครจะมาเอาแต่คิดเห็นแก่ตัวได้แล้ว

        ไป๋อี้ได้มองไปที่ตู้รถไฟทั้งสองด้าน ตอนที่เขาเข้ามาในรถกระเช้าเขาเห็นว่าล้อรถอยู่ตรงไหน เขาเหลือบไปเห็นท่อนเหล็กที่อยู่ตรงกลางระหว่างโบกี้ทั้งสองที่ใช้เป็นตัวยึดที่มั่นคง จากนั้นเขาก็มองไปที่ดาบในมือของเขาพลางสูดหายใจเข้าลึก ๆ ในตอนนี้สามารถวางใจได้เลยว่าดาบที่ได้มาจากปู่ฮาร์วีย์นั้นเป็นอาวุธที่ดีที่สุดจริง ๆ 

        ไป๋อี้จับดาบไว้ในมือทั้งสองข้างแล้วออกแรงกระแทกอย่างแรง 

        เสียงของโลหะกระทบดังกึกก้องกันหลังจากเขาได้ใช้ดาบตัดท่อนเหล็กออกมาอย่างง่ายดายราวกับตัดท่อนไม้อย่างไรอย่างนั้น เขาตัดได้เพียงหนึ่งในสามของท่อนเหล็กทั้งหมด เมื่อทุกคนเห็นดังนั้นพวกเขาก็อยู่ในอาการตกตะลึงจนตาค้างพูดอะไรไม่ออก ไป๋อี้เขาบ้าความรุนแรงมากขึ้นทุกที ถึงแม้เขาจะเคยบอกว่าตัวเองไม่มีทักษะในการใช้อาวุธมีดดาบเหมือนในภาพยนตร์หรือการ์ตูนอะไรแบบนั้นก็ตาม แล้วที่เห็นอยู่นี่มันคืออะไร?

        ท้ายที่สุดทุกคนก็ต่างหัวเราะออกมาเพราะดาบของไป๋อี้ได้ติดอยู่ตรงท่อนเหล็กและไม่สามารถดึงออกมาได้ จนในที่สุดไป๋อี้ต้องใช้เท้าถีบราวยึดข้างบนอย่างรุนแรง ทำให้ทุกคนอดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้กับอริยาบถของเขา

        ไป๋อี้ไม่ได้บ้าความรุนแรงขนาดนั้น ที่เขาตัดเหล็กได้หนึ่งในสามส่วน โดยส่วนใหญ่แล้วเป็นเพราะอาศัยความแข็งแรงทนทานและความคมของดาบ ปู่ฮาร์วีย์ได้เก็บรักษาดาบไว้เป็นอย่างดีจริง ๆ แต่ในขณะเดียวกันนั้น ทักษะการใช้ดาบของไป๋อี้ก็ค่อย ๆ พัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ ตั้งแต่การใช้กลศาสตร์ขั้นพื้นฐานจนถึงขั้นฝ่าฝืนสามัญสำนัก

        ไป๋อี้ถีบท่อนเหล็กออกด้วยเท้าของเขา จนในที่สุดก็สามารถดึงดาบออกมาได้ เขาใช้แรงทั้งหมดตัดมันอีกครั้งจนได้ผลลัพธ์ออกมาเป็นไปตามที่คาดหวังไว้ สุดท้ายเขาก็สามารถตัดท่อนเหล็กออกมาได้สำเร็จ ตอนนี้เขาเพิ่งค้นพบว่าดาบของเขาเกิดร่องรอยจากการใช้มันตัดเหล็กเพียงไม่กี่ครั้ง แต่ตัวคมดาบนั้นไม่มีรอยแตกแม้แต่นิดเดียว

        “วูล์ฟ มาทางนี้ ทำให้มันทะลุที” ไป๋อี้กล่าวกับวูล์ฟ

        วูลฟ์ไม่มีท่าทีลังเลในการเข้าไปหาไป๋อี้แม้แต่น้อย เขารีบมุ่งตรงไปในตำแหน่งที่ไป๋อี้อยู่และใช้มีดตัดเพื่อให้เกิดช่องโหว่ เมื่อมองลงไปตามช่องโหว่นั่น ก็จะเห็นล้อที่กำลังหมุนอย่างรวดเร็ว

        “มาร์ตินหาวิธีทำให้รถหยุดยังไม่ได้เหรอ!” ไป๋อี้ได้ตะโกนถามมาร์ตินสุดเสียง

        “รอเดี๋ยว มันใกล้จะหยุดแล้ว มันใกล้จะ…” น้ำเสียงของมาร์ตินดูเหมือนวิตกกังวลมากเช่นกัน

        เมื่อไป๋อี้เห็นมาร์ตินเป็นเช่นนี้ เขาก็รู้ได้ในทันทีว่าไม่สามารถฝากความหวังไว้กับมาร์ตินได้อีกต่อไป “ทุก ๆ คนจับฉันให้แน่น ๆ ระวังแรงสั่นสะเทือนด้วย” ไป๋อี้ตะโกนบอกทุกคนอย่างสุดเสียง

        หลังจากที่ทุกคนได้จับไว้อย่างมั่นคงแล้ว ไป๋อี้ก็สอดแท่งเหล็กเข้าไปในช่องว่างของเพลารถในทันที

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

[นิยายแปล] มหาวิบัติยีนกลายพันธุ์ 60 การออกตัวที่ไม่ราบรื่น

Now you are reading [นิยายแปล] มหาวิบัติยีนกลายพันธุ์ Chapter 60 การออกตัวที่ไม่ราบรื่น at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

        ในปีเดียวกันภาพยนตร์เรื่อง Resident Evil กล่าวได้ว่าเป็นบทภาพยนตร์ที่คลาสสิกมาก ปรากฏการณ์วันโลกาวินาศที่โหดร้ายถูกฝังอยู่ในมโนภาพของผู้คนจนนับไม่ถ้วน โดยพื้นฐานแล้วตราบใดที่ยังมีโอกาสคนส่วนใหญ่ล้วนจะต้องดูภาพยนตร์เรื่องนี้อย่างแน่นอน กระเช้าไฟฟ้าในปัจจุบันมีลักษณะคล้ายกับรถรางที่นำไปสู่รังผึ้งในภาพยนตร์เรื่อง Resident Evil อย่างเหลือเชื่อ

        “ที่นี่มันคือรังผึ้งไม่ใช่เหรอ?” ไป๋อี้ถามมาร์ตินพลางขมวดคิ้วไปด้วย 

        “ไม่น่าจะใช่ …” มาร์ตินเองก็ตอบด้วยความไม่มั่นใจนักเช่นกัน

        “เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ฉันก็ยังไม่เข้าใจเลยว่าสถาบันวิจัยที่ใหญ่ที่สุดจะก่อตั้งอยู่ในสวนนิเวศวิทยาได้อย่างไร?” อยู่ ๆ เมย์ริสก็ได้พูดแทรกขึ้นมา

        “นี่ไม่ใช่สถาบันวิจัยที่ใหญ่ที่สุด แต่เป็นสถานที่วิจัยร่างต้นแบบการทดลองทั้งหมด ในตอนแรกยังไม่มีจุดประสงค์ที่ชัดเจนในการคัดเลือกเซลล์ดัดแปลงปรสิต ทั้งหมดมันเป็นเพียงแค่การสุ่มตามสถานการณ์เท่านั้น สมัยก่อนสถาบันวิจัยแห่งนี้ยังไม่นับว่าใหญ่มากนัก แต่เป็นเพราะความบังเอิญที่ร่างต้นแบบการทดลองทั้งหมดนั้นได้เกิดขึ้น ณ ที่แห่งนี้ ดังนั้นสถานที่แห่งนี้จึงได้รับความสนใจขึ้นมาทันที ร่างต้นแบบการทดลองนั้นไม่สมควรที่จะถูกเคลื่อนย้ายออกไป และแม้ว่าทุกคนจะมีส่วนร่วมในการทำวิจัยเดียวกัน แต่พวกเขาก็หวังว่าตนเองจะได้รับความสนใจและมีอำนาจการตัดสินใจในหน้าที่การงานมากขึ้น ร่างต้นแบบการทดลองจึงต้องถูกเก็บรักษาไว้ที่นี่ตลอดมา” มาร์ตินอธิบายเพื่อให้ทุกคนเข้าใจ

        “ด้านในของสถาบันวิจัย มันถูกควบคุมด้วยระบบคอมพิวเตอร์รึเปล่า?” ไป๋อี้ถามขึ้น

        “ก็ไม่ทั้งหมดหรอก ผู้ที่รับผิดชอบสูงสุดในสถาบันวิจัยแห่งนี้ยังคงใช้มนุษย์ในการควบคุมอยู่ นอกจากคนที่มีอำนาจสูงสุดในการควบคุมแล้ว พนักงานคนอื่น ๆ ที่อยู่ในสถาบันวิจัยแห่งนี้พวกเขาไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าออกตามอำเภอใจ ถ้าหากว่าที่นี่ไม่ได้พัฒนาร่างทดลองไปในทางที่ดีขึ้น บางทีฉันอาจจะยังคงติดอยู่ในสถาบันวิจัยแฮมิลตันอยู่ก็ได้” มาร์ตินอธิบาย 

        “มีแผนที่ในสถาบันวิจัยแห่งนี้ไหม?” ไป๋อี้ถามขึ้น

        มาร์ตินส่ายหน้าไปมาตามตรง ตอนนี้สภาพจิตใจของทุกคนไม่สู้ดีนัก แม้แต่แผนที่ก็ไม่มี และคงไม่ต้องบอกว่าสถาบันวิจัยที่มีร่างต้นแบบการทดลองแห่งนี้มีความสำคัญมากแค่ไหน

        หากพวกเขาถูกขังอยู่ใต้ดินในความลึกหลายร้อยเมตรเหมือนกับหนังเรื่อง Resident Evil พวกเขาอาจจะไม่ได้โชคดีที่จะหาทางออกมาได้

        ”ไปกันเถอะ!” ไป๋อี้พูดขึ้นพร้อมสูดหายใจเข้าลึก ๆ

        ถึงตอนนี้จะสัมผัสได้ถึงสายตาแปลก ๆ ที่มองมาจนทำให้เกิดความรู้สึกที่ไม่ดีนักแต่พวกเขาไม่มีทางที่จะถอยอย่างแน่นอน นั่นเป็นเพราะพวกเขาไม่อยากใช้ชีวิตเหมือนสัตว์ประหลาดแบบนี้อีกต่อไปแล้ว นี่จึงเป็นทางเลือกที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ และเป็นเหตุผลว่าทำไมพวกเขาต้องเข้าไปในสถาบันวิจัยใต้ดินแห่งนี้ ซึ่งนี่เป็นสาเหตุหลักที่พวกเขามาที่นี่และยืนอยู่ตรงนี้

      ……

        ในขณะที่ทีมของไป๋อี้เข้ามาในสถาบันวิจัยจากทางเข้าปกติอยู่นั้น ก็มีคนอีกกลุ่มหนึ่งได้เข้ามาด้านในอย่างรวดเร็วด้วยเช่นกัน นั่นคือหัวหน้าทีมที่อยู่ข้าง ๆ หยูหานและเพื่อนร่วมทีมของเขา คาดไม่ถึงเลยว่าหัวหน้าทีมนั้นจะมีความสูงมากกว่าสี่เมตร ร่างกายของเขานั้นถูกปกคลุมไปด้วยขนเต็มตัว เขามีแขนที่ใหญ่มหึมาจำนวนสี่แขน นอกจากนี้ด้านหลังเข้ายังมีปีกอีกหนึ่งคู่ รูปร่างของเขาดูราวกับสัตว์ประหลาดที่ดุร้ายที่มีลักษณะคล้ายกับกอลิล่าขนาดยักษ์และที่สำคัญที่สุดสัตว์ประหลาดตัวนี้กำลังเดินเคียงข้างมากับหยูหานอย่างปรองดอง

        “สถาบันวิจัยที่คุณพูดถึงมียาที่สามารถทำให้เรากลับคืนสู่ร่างมนุษย์ได้จริง ๆ ใช่ไหม?”

        “ใช่ครับ หัวหน้ายืนยันเรื่องนี้แล้วไม่ใช่เหรอ” หยูหานตอบอย่างนอบน้อม

        ตอนนี้คนที่มีอำนาจในการตัดสินสูงสุดในทีมไม่ใช่เขาอีกต่อไปแล้ว โลกใบนี้ยอมรับแค่คนคนเดียวที่มีศักยภาพและความแข็งแกร่งที่สุดเท่านั้น เบ็นสันเป็นร่างทดลองที่หนีออกมาจากสถาบันวิจัยแห่งนี้และขณะนี้เขาได้เริ่มเข้าสู่สภาพการเปลี่ยนแปลงเป็นสัตว์ประหลาด LV 2 แล้ว

        ดังที่มาร์ตินได้เคยกล่าวไว้ในตอนต้นว่าหลังจากเข้าสู่ LV 2 แล้ว ร่างกายภายในของสิ่งมีชีวิตนั้น ๆ จะสร้าง ‘สนามพลังชีวิตที่สมบูรณ์’ ขึ้นมา การควบคุมสนามพลังชีวิตจะทำให้มนุษย์สามารถระดมและประยุกต์ใช้พลังงานพิเศษในร่างกายได้ด้วยตนเอง และนี่คือการหมุนเวียนของพลังงานชีวิตอย่างแท้จริง ไม่ใช่การเยียวยาร่างกายอย่างก่อนหน้านี้ แต่กลับเพิ่มความแข็งแรง ความคล่องตัวและอื่น ๆ ให้กับร่างกายมนุษย์

        ในสายตาของหยูหานการประยุกต์ใช้พลังงานพิเศษของเบ็นสันนั้นยังเป็นแบบสุกเอาเผากิน แต่ศักยภาพความแข็งแกร่งของเขานั้นไม่สามารถเปรียบเทียบได้เลย ศักยภาพความแข็งแกร่งในตัวผู้ชายคนนี้คล้ายกับตัวละครที่อยู่ในการ์ตูนอนิเมชั่นไม่มีผิด เมื่อได้เห็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้า ภายในจิตใจของหยูหานก็เกิดความโหยหามากยิ่งขึ้น แทนที่เขาจะได้ใช้ชีวิตแบบธรรมดาเรียบง่าย เขากลับอยากที่จะเข้าสู่โลกที่ไม่รู้จักนี้

        “หัวหน้า พวกเราจะสามารถหาสถาบันวิจัยเจอได้จริง ๆ ใช่ไหมครับ?”

        หยูหานได้ถามขึ้น ถึงแม้เขาจะรู้ดีว่าสถาบันวิจัยแห่งชาติตองการิโรมียาที่สามารถรักษาฟื้นฟูร่างกายมนุษย์ได้ แต่สถานที่ตั้งของสถาบันวิจัยแห่งนี้นั้นแท้จริงแล้วอยู่ที่ไหน เขาก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน หลังจากเห็นคนกลุ่มหนึ่งเข้าไปในอุทยานตองการิโร เบ็นสันก็พาทุกคนเดินเลียบไปข้างหน้าจนในที่สุดพวกเขาจึงมาถึงที่นี่

        “อยู่ข้างหน้านั่น!”

        “พวกเราได้ผสานรวมยีนกับปรสิตของเซลล์ดัดแปลงจากร่างต้นแบบทดลองยังไม่นานนัก ดังนั้นฉันจึงไม่รู้สึกถึงมันสักเท่าไร ในความเป็นจริงตั้งแต่ฉันได้เริ่มเข้ามาในอุทยานตองการิโร ฉันได้รู้สึกถึงบรรยากาศความน่ากลัว ไม่ผิดแน่ บรรยากาศแบบนี้มาจากร่างต้นแบบทดลองแน่ ๆ” เบ็นสันกล่าวด้วยแววตาที่เขร่งขรึม 

        “เป็นแบบนี้เองหรือ?”

        ทุกคนนั้นดูประหลาดใจเป็นอย่างมาก แต่ในเมื่อเบ็นสันเป็นคนพูดออกมาแบบนั้น ทุกคนจึงไม่มีการโต้แย้งใด ๆ เพราะเบ็นสันมีพลังที่แข็งแกร่งกว่าพวกเขาเป็นอย่างมาก

        ในไม่ช้าทุกคนก็มาถึงลานโล่งที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางมากกว่า 30 เมตร พวกเขาไม่รู้ว่าข้างล่างนี้มีความลึกเท่าไร มันดูมืดมิดไปหมด ดินโดยรอบยังดูเป็นรอยใหม่อยู่ ที่นี่คือพื้นที่ที่ร่างต้นแบบทดลองได้ปะทุขึ้นในตอนแรกและได้ฝ่าทะลุจากลานของสถาบันวิจัยแห่งนี้ออกไป เมื่อก่อนที่นี่เต็มไปด้วยพนักงานที่ทำงานอยู่ในสถาบันวิจัยแห่งนี้ แต่ทว่าหลังจากนั้นไม่กี่วันอยู่ ๆ เซลล์ดัดแปลงทั้งหมดก็เกิดระเบิดขึ้น จนเอาไม่อยู่

        “ตรงนี้ฉันรู้สึกได้ว่าร่างต้นแบบการทดลองอยู่ข้างล่างนี้ แต่ลมหายใจนั้นอ่อนแรงมาก”

        “พวกเราลงไปข้างล่างกันเถอะ หลังจากนั้นค่อยขุดเข้าไปข้างในของสถาบันวิจัยและไปหายาที่คุณบอกว่าสามารถรักษาฟื้นฟูร่างกายของมนุษย์ได้” เบ็นสันได้พูดขึ้นและไม่เปิดโอกาสให้ใครได้ปฏิเสธ โดยเขารีบคว้ามือของคนในทีมและพุ่งทะยานลงไปในช่องของลานโล่งตรงนั้นทันที 

        นอกจากหยูหานและเบ็นสันแล้ว ในทีมของเขายังมีอีกสามคนที่เพิ่งเข้าร่วมทีมได้ไม่นาน ในเวลานี้เมื่อได้มองลงไปข้างล่างพวกเขาไม่สามารถมองเห็นพื้นด้านล่างได้เลย ทำให้พวกเขารู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาโดยสัญชาตญาณ แต่พวกเขาไม่มีทางถอยกลับไปอย่างแน่นอนเบ็นสันได้จับมือชายทั้งสี่คนก่อนพุ่งทะยานลงไป ส่วนหนิงเสวี่ยและเบลลิก้าทีน่าถูกปล่อยให้ยืนรออยู่ที่ขอบลานโล่งนั้น

        “เรายังจะได้เจอกับลุงไป๋และคนอื่น ๆ อีกไหม?”

        เบลลิก้าทีน่ามองลงไปยังช่องในลานโล่งที่มืดมิด พลางคิดกับตัวเองอย่างเงียบ ๆ หนิงเสวี่ยที่กลัวจนตัวสั่นได้ขยับเข้ามาใกล้ ๆ เบลลิก้าทีน่า ถึงแม้ว่าตอนนี้เบลิก้าทีน่าจะกลายเป็นเป็นสัตว์ประหลาดไปแล้วก็ตาม แต่ไม่ว่าอย่างไรคนที่สนิทคุ้นเคยกับหนิงเสวี่ยก็มีแค่เพียงเบลลิก้าทีน่าเพียงคนเดียว

        ส่วนกลุ่มของไป๋อี้นั้นพวกเขาไม่รู้ตัวเลยว่าหยูหานและคนอื่น ๆ ก็ได้ลงมาที่นี่ในเวลานี้เช่นกันและยิ่งไปกว่านั้นหยูหานและทีมของเขาไม่ได้เข้ามาจากทางเข้าปกติแต่มาจากทางช่องในลานโล่งที่ร่างต้นแบบทดลองได้ระเบิด ทำให้เป็นการสร้างทางเข้าอีกทางขึ้นมาโดยปริยาย

        “เราจะหยุดสิ่งนี้ได้อย่างไร?” ไป๋อี้ถาม หลังจากรถกระเช้าได้เริ่มเคลื่นตัวไปสักพักแล้ว 

        เมื่อพูดถึงอาชีพการงานแล้ว ไป๋อี้เป็นเพียงพ่อครัว หงฉี่ฮว๋าเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย (วิชาเอกกฎหมาย) วูฟล์เป็นเจ้าของกิจการวัตถุดิบประกอบอาหาร เฮลัวส์เป็นแค่เพียงหญิงสาวที่เพิ่งแต่งงานซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นครูอยู่ที่โรงเรียนมัธยมโอโทโรฮังกามาสองปี มาร์ตินเป็นนักวิจัยชีววิทยา เมย์ริสเป็นคุณหมอและซาร่าเป็นแค่นางพยาบาล ส่วนทั้งเวอร์เนอร์และโม่โม่ที่ทั้งสองคนยังเป็นเด็กน้อยอยู่ พวกเขาไม่มีใครสามารถขับรถกระเช้าแบบนี้ได้จริง ๆ เลยสักคน

        มาร์ตินที่เพิ่งขึ้นมาบังคับได้ไม่กี่นาที ก็ได้บังคับให้รถกระเช้าเริ่มเคลื่อนตัวอย่างช้า ๆ แต่ทว่าเมื่อมองท่าทีของเขาแล้วก็รู้ได้ทันทีเลยว่าเขาขับไม่เป็น

        “จะหยุดได้อย่างไร!”

        ทุกคนมองหน้ากันจากนั้นจึงได้มองไปที่มาร์ติน ส่วนตัวมาร์ตินลเองก็ตกตะลึงอยู่เหมือนกัน หลังจากนั้นเขาจึงครุ่นคิดถึงหน้าจอควบคุมการทำงานและได้กดปุ่มควบคุมมั่ว ๆ ไปสองสามปุ่ม ทันใดนั้นเองทุก ๆ คนก็รู้สึกว่าร่างกายของตัวเองนั่นกำลังสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง จากนั้นรถกระเช้าก็ได้เร่งความเร็วในการเคลื่อนตัวอีกครั้ง มาร์ตินเองก็รู้สึกเหมือนกัน เขาอดที่จะตื่นตระหนกตกใจอีกครั้งไม่ได้ มือขวาที่ถูกปกคลุมด้วยขนแหลม ๆ ได้กดปุ่มควบคุมอย่างลุกลี้ลุกลน

        ทันใดนั้นเองก็มีเสียงไซเรนในรถกระเช้าอันแสบแก้วหูดังขึ้น ถึงแม้ทุกคนจะไม่ได้ใช้สมองคิด ทุกคนก็รู้ดีว่ามันคงไม่ใช่สัญญาณที่ดีแน่ๆ

        กระโดดลงจากรถอย่างนั้นเหรอ?

        ไป๋อี้กระชากประตูรถกระเช้าออกอย่างแรง ห่างออกไปไม่ถึงหนึ่งเมตรรถกำลังจะชนกับกำแพงด้านหน้าแล้ว ด้วยพื้นที่ที่คับแคบ การกระโดดออกจากพื้นที่ตรงนี้จะต้องโดนบีบอัดระหว่างรถกับกำแพงอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นไป๋อี้หรือคนอื่น ๆ พวกเขาอาจจะได้รับบาดเจ็บเจียนตายเลยก็ได้ แต่ไป๋อี้ก็ไม่สนใจเสียงทัดทานของคนอื่น จะว่าไปแล้วมันก็เป็นความคิดที่ไม่รอบคอบของเขาเอง

        “มาร์ตินลองพยายามหยุดรถซิ ส่วนคนที่เอาเนื้อมาให้ไปที่ท้ายรถ และเตรียมตัวทำหน้าที่ใช้เนื้อเป็นเบาะรอง ระวังมีดและโลหะมีคมทุกชนิด อย่าให้แทงโดนตัวเองโดยเด็ดขาด” ไป๋อี้กล่าว

        วูฟล์และหนูน้อยเวอร์เนอร์รีบพุ่งตัวไปด้านหลังของรถทันที ในเวลานี้ไม่มีใครจะมาเอาแต่คิดเห็นแก่ตัวได้แล้ว

        ไป๋อี้ได้มองไปที่ตู้รถไฟทั้งสองด้าน ตอนที่เขาเข้ามาในรถกระเช้าเขาเห็นว่าล้อรถอยู่ตรงไหน เขาเหลือบไปเห็นท่อนเหล็กที่อยู่ตรงกลางระหว่างโบกี้ทั้งสองที่ใช้เป็นตัวยึดที่มั่นคง จากนั้นเขาก็มองไปที่ดาบในมือของเขาพลางสูดหายใจเข้าลึก ๆ ในตอนนี้สามารถวางใจได้เลยว่าดาบที่ได้มาจากปู่ฮาร์วีย์นั้นเป็นอาวุธที่ดีที่สุดจริง ๆ 

        ไป๋อี้จับดาบไว้ในมือทั้งสองข้างแล้วออกแรงกระแทกอย่างแรง 

        เสียงของโลหะกระทบดังกึกก้องกันหลังจากเขาได้ใช้ดาบตัดท่อนเหล็กออกมาอย่างง่ายดายราวกับตัดท่อนไม้อย่างไรอย่างนั้น เขาตัดได้เพียงหนึ่งในสามของท่อนเหล็กทั้งหมด เมื่อทุกคนเห็นดังนั้นพวกเขาก็อยู่ในอาการตกตะลึงจนตาค้างพูดอะไรไม่ออก ไป๋อี้เขาบ้าความรุนแรงมากขึ้นทุกที ถึงแม้เขาจะเคยบอกว่าตัวเองไม่มีทักษะในการใช้อาวุธมีดดาบเหมือนในภาพยนตร์หรือการ์ตูนอะไรแบบนั้นก็ตาม แล้วที่เห็นอยู่นี่มันคืออะไร?

        ท้ายที่สุดทุกคนก็ต่างหัวเราะออกมาเพราะดาบของไป๋อี้ได้ติดอยู่ตรงท่อนเหล็กและไม่สามารถดึงออกมาได้ จนในที่สุดไป๋อี้ต้องใช้เท้าถีบราวยึดข้างบนอย่างรุนแรง ทำให้ทุกคนอดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้กับอริยาบถของเขา

        ไป๋อี้ไม่ได้บ้าความรุนแรงขนาดนั้น ที่เขาตัดเหล็กได้หนึ่งในสามส่วน โดยส่วนใหญ่แล้วเป็นเพราะอาศัยความแข็งแรงทนทานและความคมของดาบ ปู่ฮาร์วีย์ได้เก็บรักษาดาบไว้เป็นอย่างดีจริง ๆ แต่ในขณะเดียวกันนั้น ทักษะการใช้ดาบของไป๋อี้ก็ค่อย ๆ พัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ ตั้งแต่การใช้กลศาสตร์ขั้นพื้นฐานจนถึงขั้นฝ่าฝืนสามัญสำนัก

        ไป๋อี้ถีบท่อนเหล็กออกด้วยเท้าของเขา จนในที่สุดก็สามารถดึงดาบออกมาได้ เขาใช้แรงทั้งหมดตัดมันอีกครั้งจนได้ผลลัพธ์ออกมาเป็นไปตามที่คาดหวังไว้ สุดท้ายเขาก็สามารถตัดท่อนเหล็กออกมาได้สำเร็จ ตอนนี้เขาเพิ่งค้นพบว่าดาบของเขาเกิดร่องรอยจากการใช้มันตัดเหล็กเพียงไม่กี่ครั้ง แต่ตัวคมดาบนั้นไม่มีรอยแตกแม้แต่นิดเดียว

        “วูล์ฟ มาทางนี้ ทำให้มันทะลุที” ไป๋อี้กล่าวกับวูล์ฟ

        วูลฟ์ไม่มีท่าทีลังเลในการเข้าไปหาไป๋อี้แม้แต่น้อย เขารีบมุ่งตรงไปในตำแหน่งที่ไป๋อี้อยู่และใช้มีดตัดเพื่อให้เกิดช่องโหว่ เมื่อมองลงไปตามช่องโหว่นั่น ก็จะเห็นล้อที่กำลังหมุนอย่างรวดเร็ว

        “มาร์ตินหาวิธีทำให้รถหยุดยังไม่ได้เหรอ!” ไป๋อี้ได้ตะโกนถามมาร์ตินสุดเสียง

        “รอเดี๋ยว มันใกล้จะหยุดแล้ว มันใกล้จะ…” น้ำเสียงของมาร์ตินดูเหมือนวิตกกังวลมากเช่นกัน

        เมื่อไป๋อี้เห็นมาร์ตินเป็นเช่นนี้ เขาก็รู้ได้ในทันทีว่าไม่สามารถฝากความหวังไว้กับมาร์ตินได้อีกต่อไป “ทุก ๆ คนจับฉันให้แน่น ๆ ระวังแรงสั่นสะเทือนด้วย” ไป๋อี้ตะโกนบอกทุกคนอย่างสุดเสียง

        หลังจากที่ทุกคนได้จับไว้อย่างมั่นคงแล้ว ไป๋อี้ก็สอดแท่งเหล็กเข้าไปในช่องว่างของเพลารถในทันที

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+