[นิยายแปล] มหาวิบัติยีนกลายพันธุ์ 161 ขีดจำกัด

Now you are reading [นิยายแปล] มหาวิบัติยีนกลายพันธุ์ Chapter 161 ขีดจำกัด at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

        กิจวัตรประจำวันยังคงปฏิบัติดังเดิม เวลาในทุกวันของไป๋อี้ได้ถูกจัดวางแผนไว้เต็มไปหมด ส่วนเวลาในการนอนหลับของเขาได้เพิ่มขึ้นเป็น 8 ชั่วโมงต่อวัน ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เมื่อก่อนเขาไม่อาจจินตนาการได้โดยสิ้นเชิง เนื่องจากสมาชิกทุกคนในทีมของไป๋อี้จะต้องได้รับการสะกดจิตก่อนเข้านอนมาโดยตลอด ทำให้โดยพื้นฐานแล้วพวกเขาล้วนจะตกอยู่ในสภาวะนอนหลับที่ไร้ความฝันซึ่งเป็นการนอนหลับลึกโดยสมบูรณ์ และเพียงพวกเขาเข้านอนเป็นเวลาแค่ 1 ชั่วโมงเท่านั้นก็จะสามารถฟื้นฟูความกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาได้ แม้พวกเขาจะรับการสะกดจิตจากไป๋อี้แต่นั่นก็ทำเพื่อการปรับสมดุลของร่างกายและจิตวิญญาณเท่านั้น ซึ่งขณะที่พวกเขาเข้านอนเป็นเวลาไม่เกิน 3 ชั่วโมงก็จะตื่นขึ้นมาเองโดยอัตโนมัติ เนื่องจากร่างกายได้เติมเต็มพลังงานอย่างเต็มที่ในยามหลับจนเพียงพอแล้ว

        แต่ทว่าในขณะที่ไป๋อี้อยู่ภายใต้สภาวะมุ่งมั่นตั้งใจ 100 เปอร์เซ็นต์ เขาก็เพิ่งจะรู้ตัวว่าสมองของตนเองเหนื่อยล้าได้ง่ายมาก

        ด้วยเหตุนี้เวลาการนอนหลับของไป๋อี้ในทุกวันจึงยาวนานขึ้นเรื่อย ๆ ครั้นเมื่อการนอนหลับของไป๋อี้เต็มอิ่มแล้ว สภาพจิตใจและประสิทธิภาพการเรียนของไป๋อี้ก็จะยิ่งดีขึ้นเรื่อย ๆ เช่นกัน ถ้าหากมีประสิทธิภาพการเรียนเช่นนี้ตั้งแต่แรก ไป๋อี้คงกลายเป็นอัจฉริยะในโลกภายนอกไปตั้งนานแล้ว

  ……

        เวลาพลบค่ำของวันหนึ่ง ไป๋อี้มุ่งหน้าไปยังเรือนจำและทำการสะกดจิตคนที่ตกอยู่ในสภาวะดุร้ายจำนวนห้าคนให้หลับใหลไป หลังจากนั้นเขาก็ได้หาวนอนเล็กน้อย จะเห็นได้ชัดว่าเขามีความเหนื่อยล้าเป็นอย่างมาก แต่ไหนแต่ไรมาผู้อื่นมักจะคิดว่าเขาแลดูเหนื่อยล้าเนื่องจากใช้ม่านตาบุษบาผกผัน ทว่าพวกเขาคงคาดไม่ถึงว่าแท้จริงแล้วสาเหตุที่ไป๋อี้เหนื่อยล้า นั่นเป็นผลอันเนื่องมาจากการอ่านหนังสืออย่างมุ่งมั่นตั้งใจ 100 เปอร์เซ็นต์ อันที่จริงหลังจากที่ไป๋อี้ออกจากรังไหมจนกลายเป็นผีเสื้อแล้วก็ดูเหมือนว่าดวงตาของเขาจะแข็งแกร่งขึ้นอย่างเต็มที่ รวมถึงขีดจำกัดของความสามารถเขาก็ได้น้อยลงจากเมื่อก่อนเช่นกัน

        ไป๋อี้และลอทเทียร์กำลังเดินกลับไปยังศูนย์ฟื้นฟูสุขภาพกันสองคน ตอนนี้ลอทเทียร์เป็นเสมือนเลขาของไป๋อี้ไปแล้ว นอกจากเธอจะช่วยเหลือไป๋อี้ในการจัดการกับธุระที่เรียบง่าย เธอยังตามไปอ่านหนังสือกับไป๋อี้ด้วยเช่นกัน

        นอกเหนือจากทักษะในการสู้รบ ลอทเทียร์เองก็ยังสมัครใจไปศึกษาหาความรู้ในเนื้อหาด้านการวิจัยชีววิทยาอีกด้วย เพราะเธอหมายอยากจะกลายเป็นนักวิจัยที่อยู่ในทีมให้ได้ ตามคำพูดที่ลอทเทียร์กล่าวนั้นเธอบอกว่าความสนใจส่วนบุคคลสามารถบ่มเพาะขึ้นมาได้ด้วยตนเอง เพราะเธอไม่ได้มีประโยชน์มากเท่าไรเมื่ออยู่ในทีม ฉะนั้นการที่ทำให้ตนเองกลายเป็นผู้ที่มีประโยชน์ขึ้นมาบ้างเล็กน้อยก็เพียงพอแล้วสำหรับเธอ อีกทั้งสถานะในตอนนี้ของไป๋อี้เองก็สมควรที่จะมีผู้เดินตามหลังสักหนึ่งคนถึงจะเป็นการดีที่สุด ซึ่งบุคลิกภาพของลอทเทียร์ก็ค่อนข้างเหมาะสมกับเขา

        นอกเหนือจากไป๋อี้และลอทเทียร์แล้วยังมีทีมพนักงานของศูนย์ฟื้นฟูสุขภาพอยู่ด้วย ซึ่งพวกเขาเป็นผู้ที่องค์กรจากทั่วทุกสารทิศจัดเตรียมไว้ให้พวกไป๋อี้ตั้งแต่เนิ่น ๆ โดยเหล่าพนักงานดังกล่าวก็คล้ายจะเป็นหูเป็นตาให้กับองค์กรเหล่านั้นด้วยเช่นกัน และไป๋อี้เองก็ไม่ได้ให้ความสนใจเรื่องนี้เท่าไหร่นัก เพราะความต้องการหลักของเขาไม่ใช่ประเด็นนี้ แต่ทว่าการที่เขาเหมือนกำลังถูกจับตามองในทุกวัน มันก็ทำให้เขารู้สึกอึดอัดเป็นอย่างมากเช่นกัน

        ทันใดนั้นเอง ไป๋อี้ก็มีสายเข้ามา ถึงแม้เมืองแห่งใหม่ในปัจจุบันนี้จะติดต่อสื่อสารกันทั่วโลกไม่ได้ดังเมื่อครั้งอดีต ทว่าการติดต่อสื่อสารขั้นพื้นฐานภายในเมืองนั้นยังถือว่าสามารถทำได้อยู่  ความจริงแล้วการปฏิบัติการฟื้นฟูเมืองบนพื้นฐานของมนุษย์ในอดีตนั้นมีความสะดวกสบายเป็นอย่างมากเลยทีเดียว

        “คณบดีไป๋อี้ครับ!” สายโทรศัพท์ที่โทรเข้ามาคือสายจากฟรอยแลนซ์หัวหน้ากระทรวงกลาโหม

        “มีธุระอะไรเหรอ?”

        “มีธุระด่วน ทางนี้มีคนตกอยู่ในสภาวะดุร้าย ไม่ว่าจะจัดการยังไงก็ควบคุมไม่ได้เลย คณบดีไป๋อี้มาช่วยฟื้นฟูสติสัมปชัญญะให้พวกเขาตอนนี้เลยได้ไหม” ฟรอยแลนซ์กล่าว

        “ได้ ตอนนี้พวกคุณอยู่ที่ไหน?” ในขณะนั้นเองไป๋อี้ก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเมื่อสักครู่นี้ตนเพิ่งจะใช้ม่านตาบุษบาผกผันไปกับคนห้าคนนั้น เขาจึงคลึงหัวคิ้วอย่างช่วยไม่ได้

        “อยู่ทางทิศเหนือ ตรงขอบแม่น้ำไวมาคารีรี ผมได้ส่งลูกน้องคนหนึ่งไปรับคุณเรียบร้อยแล้ว เป็นมนุษย์ใบหน้านกชื่อชิโก รบกวนคณบดีไป๋อี้รีบมาด้วยนะครับ” เสียงของอีกฟากหนึ่งแลดูวุ่นวายมาก เห็นได้ชัดถึงความโกลาหลที่เกิดขึ้น หน้าที่ของกระทรวงกลาโหมก็คือรับผิดชอบขับไล่และเก็บกวาดสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ที่อยู่บริเวณรอบ ๆ ถึงแม้พละกำลังความสามารถของพวกเขาจะแข็งแกร่งมากแต่ก็ยังคงพบเจอกับความอันตรายอยู่บ่อย ๆ

        ไป๋อี้เปิดเสียงในสายโทรศัพท์ดังสุด ผู้คนที่อยู่บริเวณรอบ ๆ จึงได้ยินคำพูดเมื่อสักครู่นี้กันทุกคน และไม่นานก็มีจุดสีดำเล็ก ๆ กำลังโผบินเข้ามาด้วยความเร็วสูง พวกไป๋อี้ทอดสายตาไปมองและพบว่าเป็นมนุษย์ใบหน้านก ซึ่งกำลังกางปีกโผบินอยู่ห่างออกไป 800 เมตรกว่า ๆ ลักษณะท่าทางของการบินแลดูแข็งแรงและรวดเร็วโฉบเฉี่ยว ชิโกผู้ที่มีใบหน้าเป็นนกเขาเป็นลูกน้องของฟรอยแลนซ์และเป็นผู้ที่ค่อนข้างจะมีชื่อเสียงอยู่พอสมควร ดังนั้นไป๋อี้จึงไม่เกรงกลัวว่าจะเป็นกับดักแต่อย่างใด

        “คณบดีไป๋อี้ครับ โปรดมากับผมด้วยครับ สถานการณ์ตอนนี้ฉุกละหุกมาก” ชิโกกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความวิตกกังวล และตามร่างกายของเขาก็มีรอยเลือดสด ๆ ไหลอยู่ด้วย

        “เข้าใจแล้ว ลอทเทียร์พวกเราไปกันเถอะ” ไป๋อี้กล่าวพร้อมทั้งลากลอทเทียร์กระโดดเบา ๆ ขึ้นไปบนหลังของชิโกพร้อมกัน

        เดิมทีชิโกตั้งใจว่าจะมารับเพียงไป๋อี้ไปเท่านั้น แต่ทว่าการที่มีสตรีอีกหนึ่งคนเกินมาด้วยก็ไม่เป็นปัญหาแต่อย่างใด หลังจากที่ไป๋อี้และลอทเทียร์ขึ้นไปบนหลังชิโกแล้ว เขาจึงได้กล่าวเตือนว่าให้นั่งดี ๆ จากนั้นชิโกก็กระพือปีกสองข้างออกไปทันที เขาโผบินทะยานสู่ท้องฟ้ามุ่งตรงไปยังสนามรบอีกฟากหนึ่ง ลอทเทียร์นั่งลงอย่างว่าง่ายพร้อมจับขนปีกที่อยู่บนหลังของชิโกไว้แน่น แต่ทว่าไป๋อี้กลับลุกขึ้นยืนอยู่บนตัวชิโกอย่างไม่หวาดกลัว

        มิน่าเล่าในสมัยโบราณถึงได้มีทหารม้ามากมายเพียงนี้ ที่แท้การที่มียานพาหนะนำพานั้นให้ความรู้สึกที่เยี่ยมยอดมากเลยจริง ๆ แต่สิ่งที่น่าเสียดายนั่นก็คือสัตว์วิวัฒนาการในปัจจุบันนี้ทำให้เชื่องได้ยาก ส่วนชิโกเองเดิมทีเขาก็เป็นมนุษย์อยู่แล้ว

        แม่น้ำไวมาคารีรีคือแม่น้ำขนาดใหญ่ลำดับที่หนึ่งของนิวซีแลนด์ กองกำลังของพวกฟรอยแลนซ์นั้นแข็งแกร่งมาก ซึ่งโดยปกติแล้วพวกเขามักจะรวมตัวอยู่กันเป็นกลุ่มใหญ่ แต่ครั้งนี้พวกเขาจะต้องพบเจอกับสิ่งมีชีวิตวิวัฒนาการตัวใหญ่ยักษ์เป็นแน่ เวลาผ่านไปไม่นานไป๋อี้ก็ได้มาถึงสถานที่เกิดเหตุ ไป๋อี้จึงได้พบว่าสถานการณ์เป็นเช่นนี้นี่เอง ผู้คนจำนวน 20 กว่าคนกลุ่มหนึ่งกำลังยืนล้อมรอบคนสามคนอยู่เพื่อป้องกันไม่ให้พวกเขาหนีไปได้ ทว่าบนร่างกายของ 20 กว่าคนนั้นเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งไปทั่ว และสถานการณ์อับคับขันนี้ทำให้จิตใจของทุกคนไม่อาจสงบนิ่งได้

        ต้องเข้าใจว่าในตอนนี้ทุกคนล้วนตกอยู่ในสภาวะดุร้ายที่มีอันตรายสุ่มเสี่ยงซ่อนอยู่ ซึ่งไม่ได้มีเพียงสามคนนี้เท่านั้น

        ครั้นอีกฟากหนึ่งไป๋อี้ก็เหลือบไปเห็นหัวปลาขนาดยักษ์ลอยอยู่บนผิวแม่น้ำ มันมีฟันอันแหลมคมเต็มทั้งปากและกำลังจ้องพร้อมตะครุบดั่งพญาเสืออยู่ด้านข้าง เมื่อมองจากสีแดงอ่อน ๆ ที่ผุดขึ้นมาเป็นระยะ ๆ บนผิวน้ำแล้วดูเหมือนว่าเจ้าตัวนี้จะได้รับบาดเจ็บมากเช่นเดียวกัน แต่ทว่าเนื่องจากมันได้หนีลงไปในแม่น้ำแล้วเรียบร้อย ดังนั้นจึงถือว่ามันรอดพ้นจากอันตรายได้เป็นการชั่วคราว ดวงตาคู่นั้นของไป๋อี้ได้กวาดมองสถานการณ์บริเวณรอบ ๆ ด้วยความรวดเร็ว จากนั้นจึงกระโดดลงจากหลังชิโกมนุษย์ใบหน้านกในทันที

        บริเวณที่ไป๋อี้กระโดดลงมานั้นคือจุดกึ่งกลางของสนามรบ เคียงข้างฟรอยแลนซ์และลูกน้องของเขาพอดิบพอดี

        “คณบดีไป๋อี้!” แม้ว่าฟรอยแลนซ์กำลังสู้รบอยู่ก็ตามแต่เขาก็ยังหาช่องว่างในการกล่าวทักทายไป๋อี้ ถ้าหากสามคนนี้ไม่ใช่ลูกน้องของเขา เกรงว่าคงลงมือสังหารสามคนนี้ไปตั้งนานแล้ว แต่เนื่องจากพวกเขาคือลูกน้อง จึงได้ทำการมัดมือมัดเท้าเอาไว้เสียก่อน

        “กดเขาเอาไว้!” ไป๋อี้กล่าว ทันใดนั้นเขาก็กระโดดขึ้นพร้อมทั้งเหยียบบนศีรษะของชายที่อยู่ฝั่งตรงข้าม ซึ่งรูปร่างของอีกฝ่ายนั้นมีความสูงกว่า 4 เมตร จากนั้นไป๋อี้ก็ได้ใช้ส้นเท้าเตะท้ายทอยของฝ่ายตรงข้ามอย่างแรง และตีลังกาเหยียบไหล่ของฟรอยแลนซ์ในทันที

        ถึงแม้ฟรอยแลนซ์จะมีความไม่ชอบใจอยู่บ้าง แต่ทว่าใครใช้ให้รูปร่างของเขาใหญ่โตถึงเพียงนี้กันเล่า อีกทั้งตอนนี้พวกเขาก็กำลังขอความช่วยเหลือจากไป๋อี้อยู่ หลังจากนั้นฟรอยแลนซ์จึงได้เข้าไปกอดรัดตัวของลูกน้องที่ถูกไป๋อี้เตะท้ายทอยไว้แน่นพร้อมหันหน้ามองไป๋อี้ ในขณะนี้ไป๋อี้กลับกำลังหลับตาอยู่ปากพลางกล่าวอะไรบางอย่างออกมา

        “อย่ามองผม!”

        เมื่อฟรอยแลนซ์หันหน้ากลับไปแล้ว ไป๋อี้จึงเบิกตากว้างขึ้นมาในทันทีพร้อมใช้ม่านตาบุษบาผกผันกับคนที่อยู่ในสภาวะดุร้ายคนนั้นที่กำลังถูกจับกุมตัวอยู่ ฟรอยแลนซ์ไม่ได้มองดวงตาคู่นั้นของไป๋อี้จึงไม่เกิดผลกระทบอันใดต่อเขา ทว่าเขาก็รับรู้ได้ว่าแรงขัดขืนของลูกน้องผู้นี้กำลังอ่อนลงเรื่อยๆ จนสุดท้ายร่างกายของลูกน้องเขาก็อ่อนระทวยล้มพับลงไปนอนกองอยู่บนพื้นเสียงดังตุบ

        สุดยอดมาก!

        ฟรอยแลนซ์ตัวสั่นสะท้านอยู่ในใจ ดวงตาของไป๋อี้ไม่เพียงแต่มีประสิทธิภาพกับคนที่อยู่ในระยะดุร้ายเท่านั้น ตรงกันข้าม มันมีผลลัพธ์ต่อมนุษย์วิวัฒนาการธรรมดาเสียยิ่งกว่า ถ้าหากผู้ใดคิดเป็นปฏิปักษ์กับไป๋อี้เช่นนั้นสิ่งที่ควรระมัดระวังเป็นพิเศษนั่นก็คือจะทำเช่นไรจึงจะรับมือกับดวงตาคู่นั้นของไป๋อี้ได้ หลังจากที่ลูกน้องผู้นั้นหลับใหลไปแล้วฟรอยแลนซ์ก็พบว่าดวงตาของไป๋อี้เต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอยสีแดงคล้ายกับเต็มไปด้วยเลือดสด ๆ อย่างไรอย่างนั้น

        ส่วนลูกน้องอีกสองคนด้านหลังก็ได้ถูกจัดการอย่างคนก่อนหน้า พวกเขาจึงตกอยู่ในสภาวะหลับใหลเช่นเดียวกัน เมื่อฟรอยแลนซ์สังเกตดูอีกครั้งจึงพบว่าสายตาคู่นั้นของไป๋อี้มีรอยคราบเลือดสีแดงสดไหลลงมา ทว่าในเวลานี้ไป๋อี้ยังหลับตาอยู่ตลอดโดยที่ไม่ได้ลืมตาขึ้นมาเลยแม้แต่น้อย

        “ลอทเทียร์พยุงฉันหน่อย” ไป๋อี้กล่าว

        “ค่ะ” ลอทเทียร์ได้ยินดังนั้นก็เข้าไปพยุงไป๋อี้อย่างว่าง่าย

        “คณบดีไป๋อี้ครับ ต้องยกความดีความชอบให้คุณแท้ ๆ เลย ไม่อย่างนั้นผมก็คงไม่รู้จริง ๆ ว่าจะจับสามคนนี้กลับไปยังไงเหมือนกัน อีกอย่างต่อให้ผมจับพวกเขากลับไปแล้วก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะจัดการกับพวกเขาอย่างไรดี” ฟรอยแลนซ์กล่าวขอบคุณพร้อมมองสำรวจลักษณะท่าทางของไป๋อี้อย่างตั้งใจไปด้วย

        “ไม่เป็นอะไรหรอก เป็นเรื่องที่ผมสมควรทำอยู่แล้ว” ไป๋อี้ส่ายหน้า หลังจากที่ใช้ม่านตาบุษบาผกผันกับคนที่สามแล้ว ไป๋อี้ก็ไม่ได้ลืมตาขึ้นมาอีกเลยพร้อมทั้งใต้ดวงตาที่ปิดอยู่คู่นั้นก็มีรอยคราบน้ำตาเป็นเลือดสองเส้นไหลลงมามองแล้วแลดูสยดสยองเสียจริง

        ในเวลานี้สมาชิกในทีมของไป๋อี้ก็ได้เดินทางมาที่นี่เช่นเดียวกัน วูล์ฟ เฮลัวส์และพูพูพร้อมทั้งกลุ่มของคณะแพทย์ศาสตร์กลุ่มหนึ่ง พวกเขาได้รีบมาที่นี่ในทันทีเมื่อทราบว่ามีคนตกอยู่ในสภาวะดุร้ายหมายอยากจะเข้ามาช่วยทำการรักษาเยียวยา เมื่อวูล์ฟและคนอื่น ๆ มาถึงแล้วนั้นไป๋อี้จึงไปกล่าวอำลาฟรอยแลนซ์

  ……

        เมื่อกลับมายังศูนย์ฟื้นฟูสุขภาพแล้ว ไป๋อี้จึงเบิกตาสองข้างของเขาขึ้นมา และสิ่งที่เขามองเห็นเป็นอันดับแรกนั่นก็คือสายตาทะเล้นของเวร่า แน่นอนว่าขีดจำกัดของไป๋อี้ไม่ได้หยุดอยู่เพียงเท่านี้แต่อย่างใดทว่านี่เป็นเพียง ‘ขีดจำกัด’ ที่เขาเปิดเผยสู่โลกภายนอกเท่านั้น ซึ่งไป๋อี้มิได้มีความคิดหมายจะทำร้ายผู้อื่น แต่ตัวเขาเองรู้ดีว่าม่านตาบุษบาผกผันทำให้ผู้อื่นระแวดระวังมากเกินไป ถ้าหากไม่แสดงให้ผู้อื่นเห็นว่าเขาก็มีขีดจำกัดในการใช้ความสามารถนั้นอยู่ด้วยก็อาจจะก่อให้เกิดความไม่สบายใจจากใครหลาย ๆ คนได้ เมื่อไป๋อี้เห็นรอยยิ้มของเวร่า เขาจึงยิ้มออกมา จากนั้นเขาก็ใช้น้ำเปล่าเช็ดคราบน้ำตาบนแก้มออก

        ไม่นานฟรอยแลนซ์ก็ได้หอบของขวัญจำนวนมากมาให้ไป๋อี้เพื่อเป็นการขอบคุณ แต่ทว่าไป๋อี้กลับไม่ได้ออกไปเจอหน้าเขาแต่อย่างใด ดังนั้นผู้ที่ออกไปต้อนรับเขาก็คือเวร่า ช่วงเวลาหนึ่งอาทิตย์หลังจากนี้ไป๋อี้ไม่ได้ไปช่วยฟื้นฟูรักษาผู้ที่เข้าสู่ระยะดุร้ายที่ถูกขังอยู่ในเรือนจำเหล่านั้นต่อ เขาได้อ่านหนังสืออยู่ในศูนย์ฟื้นฟูสุขภาพอยู่คนเดียวเงียบ ๆ

        นอกจากนี้ไป๋อี้ก็ไม่ได้ออกมาป่าวประกาศประการใดอีกเลย แน่นอนว่าการที่เขาไม่ออกมาป่าวประกาศก็ไม่ได้แสดงว่าผู้อื่นจะไม่สามารถคาดคะเนเองได้ เรื่องที่ลูกน้องของฟรอยแลนซ์ประสบกับภัยอันตรายที่แม่น้ำไวมาคารีรีนั้นไม่ใช่ความลับแต่อย่างใด อีกทั้งทุกคนก็รู้อยู่แล้วว่าไป๋อี้ได้ใช้ม่านตาบุษบาผกผันเพื่อช่วยเหลือผู้ที่เข้าสู่สภาวะดุร้ายในเรือนจำก่อนที่จะไปช่วยเหลือพวกฟรอยแลนซ์อีกด้วย

        จำนวนการใช้ม่านตาบุษบาผกผันภายในเรือนจำคือ 5 ครั้ง ซึ่งเป็นจำนวนที่เขาใช้ปกติทุกวันอยู่แล้ว และขณะที่เขาเข้าไปช่วยเหลือฟรอยแลนซ์ก็ได้ใช้ไปอีก 3 ครั้ง หลังจากนั้นดวงตาของไป๋อี้ก็เริ่มมีเลือดไหลออกมา เขาจึงใช้เวลาในการพักผ่อนไปหนึ่งสัปดาห์กว่า ๆ

        โจทย์คณิตศาสตร์อันง่ายดายเช่นนี้เด็กเล็กก็ยังคิดคำนวณออก ดังนั้นหลายคนจึงได้ครุ่นคิดเรื่องนี้กันอยู่ในใจลึก ๆ  จำนวนการใช้งานปกติของม่านตาบุษบาผกผันของไป๋อี้ภายในหนึ่งวันควรจะเป็น 5-6 ครั้งจึงจะไม่เป็นการส่งผลกระทบต่อดวงตาเขา ครั้นหากดันทุรังใช้งานต่อไปอีกคาดว่าเขาจะสามารถใช้ได้อีกถึง 10 ครั้ง ทว่านั่นจะส่งผลข้างเคียงต่อดวงตาของไป๋อี้อย่างเห็นได้ชัด

        ขณะที่วิเคราะห์ข้อมูลนี้ออกมานั้น ก็ไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้น ทุกคนถึงล้วนรู้สึกคล้ายกับว่าดวงตาของไป๋อี้ก็ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิดแล้ว

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

[นิยายแปล] มหาวิบัติยีนกลายพันธุ์ 161 ขีดจำกัด

Now you are reading [นิยายแปล] มหาวิบัติยีนกลายพันธุ์ Chapter 161 ขีดจำกัด at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

        กิจวัตรประจำวันยังคงปฏิบัติดังเดิม เวลาในทุกวันของไป๋อี้ได้ถูกจัดวางแผนไว้เต็มไปหมด ส่วนเวลาในการนอนหลับของเขาได้เพิ่มขึ้นเป็น 8 ชั่วโมงต่อวัน ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เมื่อก่อนเขาไม่อาจจินตนาการได้โดยสิ้นเชิง เนื่องจากสมาชิกทุกคนในทีมของไป๋อี้จะต้องได้รับการสะกดจิตก่อนเข้านอนมาโดยตลอด ทำให้โดยพื้นฐานแล้วพวกเขาล้วนจะตกอยู่ในสภาวะนอนหลับที่ไร้ความฝันซึ่งเป็นการนอนหลับลึกโดยสมบูรณ์ และเพียงพวกเขาเข้านอนเป็นเวลาแค่ 1 ชั่วโมงเท่านั้นก็จะสามารถฟื้นฟูความกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาได้ แม้พวกเขาจะรับการสะกดจิตจากไป๋อี้แต่นั่นก็ทำเพื่อการปรับสมดุลของร่างกายและจิตวิญญาณเท่านั้น ซึ่งขณะที่พวกเขาเข้านอนเป็นเวลาไม่เกิน 3 ชั่วโมงก็จะตื่นขึ้นมาเองโดยอัตโนมัติ เนื่องจากร่างกายได้เติมเต็มพลังงานอย่างเต็มที่ในยามหลับจนเพียงพอแล้ว

        แต่ทว่าในขณะที่ไป๋อี้อยู่ภายใต้สภาวะมุ่งมั่นตั้งใจ 100 เปอร์เซ็นต์ เขาก็เพิ่งจะรู้ตัวว่าสมองของตนเองเหนื่อยล้าได้ง่ายมาก

        ด้วยเหตุนี้เวลาการนอนหลับของไป๋อี้ในทุกวันจึงยาวนานขึ้นเรื่อย ๆ ครั้นเมื่อการนอนหลับของไป๋อี้เต็มอิ่มแล้ว สภาพจิตใจและประสิทธิภาพการเรียนของไป๋อี้ก็จะยิ่งดีขึ้นเรื่อย ๆ เช่นกัน ถ้าหากมีประสิทธิภาพการเรียนเช่นนี้ตั้งแต่แรก ไป๋อี้คงกลายเป็นอัจฉริยะในโลกภายนอกไปตั้งนานแล้ว

  ……

        เวลาพลบค่ำของวันหนึ่ง ไป๋อี้มุ่งหน้าไปยังเรือนจำและทำการสะกดจิตคนที่ตกอยู่ในสภาวะดุร้ายจำนวนห้าคนให้หลับใหลไป หลังจากนั้นเขาก็ได้หาวนอนเล็กน้อย จะเห็นได้ชัดว่าเขามีความเหนื่อยล้าเป็นอย่างมาก แต่ไหนแต่ไรมาผู้อื่นมักจะคิดว่าเขาแลดูเหนื่อยล้าเนื่องจากใช้ม่านตาบุษบาผกผัน ทว่าพวกเขาคงคาดไม่ถึงว่าแท้จริงแล้วสาเหตุที่ไป๋อี้เหนื่อยล้า นั่นเป็นผลอันเนื่องมาจากการอ่านหนังสืออย่างมุ่งมั่นตั้งใจ 100 เปอร์เซ็นต์ อันที่จริงหลังจากที่ไป๋อี้ออกจากรังไหมจนกลายเป็นผีเสื้อแล้วก็ดูเหมือนว่าดวงตาของเขาจะแข็งแกร่งขึ้นอย่างเต็มที่ รวมถึงขีดจำกัดของความสามารถเขาก็ได้น้อยลงจากเมื่อก่อนเช่นกัน

        ไป๋อี้และลอทเทียร์กำลังเดินกลับไปยังศูนย์ฟื้นฟูสุขภาพกันสองคน ตอนนี้ลอทเทียร์เป็นเสมือนเลขาของไป๋อี้ไปแล้ว นอกจากเธอจะช่วยเหลือไป๋อี้ในการจัดการกับธุระที่เรียบง่าย เธอยังตามไปอ่านหนังสือกับไป๋อี้ด้วยเช่นกัน

        นอกเหนือจากทักษะในการสู้รบ ลอทเทียร์เองก็ยังสมัครใจไปศึกษาหาความรู้ในเนื้อหาด้านการวิจัยชีววิทยาอีกด้วย เพราะเธอหมายอยากจะกลายเป็นนักวิจัยที่อยู่ในทีมให้ได้ ตามคำพูดที่ลอทเทียร์กล่าวนั้นเธอบอกว่าความสนใจส่วนบุคคลสามารถบ่มเพาะขึ้นมาได้ด้วยตนเอง เพราะเธอไม่ได้มีประโยชน์มากเท่าไรเมื่ออยู่ในทีม ฉะนั้นการที่ทำให้ตนเองกลายเป็นผู้ที่มีประโยชน์ขึ้นมาบ้างเล็กน้อยก็เพียงพอแล้วสำหรับเธอ อีกทั้งสถานะในตอนนี้ของไป๋อี้เองก็สมควรที่จะมีผู้เดินตามหลังสักหนึ่งคนถึงจะเป็นการดีที่สุด ซึ่งบุคลิกภาพของลอทเทียร์ก็ค่อนข้างเหมาะสมกับเขา

        นอกเหนือจากไป๋อี้และลอทเทียร์แล้วยังมีทีมพนักงานของศูนย์ฟื้นฟูสุขภาพอยู่ด้วย ซึ่งพวกเขาเป็นผู้ที่องค์กรจากทั่วทุกสารทิศจัดเตรียมไว้ให้พวกไป๋อี้ตั้งแต่เนิ่น ๆ โดยเหล่าพนักงานดังกล่าวก็คล้ายจะเป็นหูเป็นตาให้กับองค์กรเหล่านั้นด้วยเช่นกัน และไป๋อี้เองก็ไม่ได้ให้ความสนใจเรื่องนี้เท่าไหร่นัก เพราะความต้องการหลักของเขาไม่ใช่ประเด็นนี้ แต่ทว่าการที่เขาเหมือนกำลังถูกจับตามองในทุกวัน มันก็ทำให้เขารู้สึกอึดอัดเป็นอย่างมากเช่นกัน

        ทันใดนั้นเอง ไป๋อี้ก็มีสายเข้ามา ถึงแม้เมืองแห่งใหม่ในปัจจุบันนี้จะติดต่อสื่อสารกันทั่วโลกไม่ได้ดังเมื่อครั้งอดีต ทว่าการติดต่อสื่อสารขั้นพื้นฐานภายในเมืองนั้นยังถือว่าสามารถทำได้อยู่  ความจริงแล้วการปฏิบัติการฟื้นฟูเมืองบนพื้นฐานของมนุษย์ในอดีตนั้นมีความสะดวกสบายเป็นอย่างมากเลยทีเดียว

        “คณบดีไป๋อี้ครับ!” สายโทรศัพท์ที่โทรเข้ามาคือสายจากฟรอยแลนซ์หัวหน้ากระทรวงกลาโหม

        “มีธุระอะไรเหรอ?”

        “มีธุระด่วน ทางนี้มีคนตกอยู่ในสภาวะดุร้าย ไม่ว่าจะจัดการยังไงก็ควบคุมไม่ได้เลย คณบดีไป๋อี้มาช่วยฟื้นฟูสติสัมปชัญญะให้พวกเขาตอนนี้เลยได้ไหม” ฟรอยแลนซ์กล่าว

        “ได้ ตอนนี้พวกคุณอยู่ที่ไหน?” ในขณะนั้นเองไป๋อี้ก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเมื่อสักครู่นี้ตนเพิ่งจะใช้ม่านตาบุษบาผกผันไปกับคนห้าคนนั้น เขาจึงคลึงหัวคิ้วอย่างช่วยไม่ได้

        “อยู่ทางทิศเหนือ ตรงขอบแม่น้ำไวมาคารีรี ผมได้ส่งลูกน้องคนหนึ่งไปรับคุณเรียบร้อยแล้ว เป็นมนุษย์ใบหน้านกชื่อชิโก รบกวนคณบดีไป๋อี้รีบมาด้วยนะครับ” เสียงของอีกฟากหนึ่งแลดูวุ่นวายมาก เห็นได้ชัดถึงความโกลาหลที่เกิดขึ้น หน้าที่ของกระทรวงกลาโหมก็คือรับผิดชอบขับไล่และเก็บกวาดสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ที่อยู่บริเวณรอบ ๆ ถึงแม้พละกำลังความสามารถของพวกเขาจะแข็งแกร่งมากแต่ก็ยังคงพบเจอกับความอันตรายอยู่บ่อย ๆ

        ไป๋อี้เปิดเสียงในสายโทรศัพท์ดังสุด ผู้คนที่อยู่บริเวณรอบ ๆ จึงได้ยินคำพูดเมื่อสักครู่นี้กันทุกคน และไม่นานก็มีจุดสีดำเล็ก ๆ กำลังโผบินเข้ามาด้วยความเร็วสูง พวกไป๋อี้ทอดสายตาไปมองและพบว่าเป็นมนุษย์ใบหน้านก ซึ่งกำลังกางปีกโผบินอยู่ห่างออกไป 800 เมตรกว่า ๆ ลักษณะท่าทางของการบินแลดูแข็งแรงและรวดเร็วโฉบเฉี่ยว ชิโกผู้ที่มีใบหน้าเป็นนกเขาเป็นลูกน้องของฟรอยแลนซ์และเป็นผู้ที่ค่อนข้างจะมีชื่อเสียงอยู่พอสมควร ดังนั้นไป๋อี้จึงไม่เกรงกลัวว่าจะเป็นกับดักแต่อย่างใด

        “คณบดีไป๋อี้ครับ โปรดมากับผมด้วยครับ สถานการณ์ตอนนี้ฉุกละหุกมาก” ชิโกกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความวิตกกังวล และตามร่างกายของเขาก็มีรอยเลือดสด ๆ ไหลอยู่ด้วย

        “เข้าใจแล้ว ลอทเทียร์พวกเราไปกันเถอะ” ไป๋อี้กล่าวพร้อมทั้งลากลอทเทียร์กระโดดเบา ๆ ขึ้นไปบนหลังของชิโกพร้อมกัน

        เดิมทีชิโกตั้งใจว่าจะมารับเพียงไป๋อี้ไปเท่านั้น แต่ทว่าการที่มีสตรีอีกหนึ่งคนเกินมาด้วยก็ไม่เป็นปัญหาแต่อย่างใด หลังจากที่ไป๋อี้และลอทเทียร์ขึ้นไปบนหลังชิโกแล้ว เขาจึงได้กล่าวเตือนว่าให้นั่งดี ๆ จากนั้นชิโกก็กระพือปีกสองข้างออกไปทันที เขาโผบินทะยานสู่ท้องฟ้ามุ่งตรงไปยังสนามรบอีกฟากหนึ่ง ลอทเทียร์นั่งลงอย่างว่าง่ายพร้อมจับขนปีกที่อยู่บนหลังของชิโกไว้แน่น แต่ทว่าไป๋อี้กลับลุกขึ้นยืนอยู่บนตัวชิโกอย่างไม่หวาดกลัว

        มิน่าเล่าในสมัยโบราณถึงได้มีทหารม้ามากมายเพียงนี้ ที่แท้การที่มียานพาหนะนำพานั้นให้ความรู้สึกที่เยี่ยมยอดมากเลยจริง ๆ แต่สิ่งที่น่าเสียดายนั่นก็คือสัตว์วิวัฒนาการในปัจจุบันนี้ทำให้เชื่องได้ยาก ส่วนชิโกเองเดิมทีเขาก็เป็นมนุษย์อยู่แล้ว

        แม่น้ำไวมาคารีรีคือแม่น้ำขนาดใหญ่ลำดับที่หนึ่งของนิวซีแลนด์ กองกำลังของพวกฟรอยแลนซ์นั้นแข็งแกร่งมาก ซึ่งโดยปกติแล้วพวกเขามักจะรวมตัวอยู่กันเป็นกลุ่มใหญ่ แต่ครั้งนี้พวกเขาจะต้องพบเจอกับสิ่งมีชีวิตวิวัฒนาการตัวใหญ่ยักษ์เป็นแน่ เวลาผ่านไปไม่นานไป๋อี้ก็ได้มาถึงสถานที่เกิดเหตุ ไป๋อี้จึงได้พบว่าสถานการณ์เป็นเช่นนี้นี่เอง ผู้คนจำนวน 20 กว่าคนกลุ่มหนึ่งกำลังยืนล้อมรอบคนสามคนอยู่เพื่อป้องกันไม่ให้พวกเขาหนีไปได้ ทว่าบนร่างกายของ 20 กว่าคนนั้นเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งไปทั่ว และสถานการณ์อับคับขันนี้ทำให้จิตใจของทุกคนไม่อาจสงบนิ่งได้

        ต้องเข้าใจว่าในตอนนี้ทุกคนล้วนตกอยู่ในสภาวะดุร้ายที่มีอันตรายสุ่มเสี่ยงซ่อนอยู่ ซึ่งไม่ได้มีเพียงสามคนนี้เท่านั้น

        ครั้นอีกฟากหนึ่งไป๋อี้ก็เหลือบไปเห็นหัวปลาขนาดยักษ์ลอยอยู่บนผิวแม่น้ำ มันมีฟันอันแหลมคมเต็มทั้งปากและกำลังจ้องพร้อมตะครุบดั่งพญาเสืออยู่ด้านข้าง เมื่อมองจากสีแดงอ่อน ๆ ที่ผุดขึ้นมาเป็นระยะ ๆ บนผิวน้ำแล้วดูเหมือนว่าเจ้าตัวนี้จะได้รับบาดเจ็บมากเช่นเดียวกัน แต่ทว่าเนื่องจากมันได้หนีลงไปในแม่น้ำแล้วเรียบร้อย ดังนั้นจึงถือว่ามันรอดพ้นจากอันตรายได้เป็นการชั่วคราว ดวงตาคู่นั้นของไป๋อี้ได้กวาดมองสถานการณ์บริเวณรอบ ๆ ด้วยความรวดเร็ว จากนั้นจึงกระโดดลงจากหลังชิโกมนุษย์ใบหน้านกในทันที

        บริเวณที่ไป๋อี้กระโดดลงมานั้นคือจุดกึ่งกลางของสนามรบ เคียงข้างฟรอยแลนซ์และลูกน้องของเขาพอดิบพอดี

        “คณบดีไป๋อี้!” แม้ว่าฟรอยแลนซ์กำลังสู้รบอยู่ก็ตามแต่เขาก็ยังหาช่องว่างในการกล่าวทักทายไป๋อี้ ถ้าหากสามคนนี้ไม่ใช่ลูกน้องของเขา เกรงว่าคงลงมือสังหารสามคนนี้ไปตั้งนานแล้ว แต่เนื่องจากพวกเขาคือลูกน้อง จึงได้ทำการมัดมือมัดเท้าเอาไว้เสียก่อน

        “กดเขาเอาไว้!” ไป๋อี้กล่าว ทันใดนั้นเขาก็กระโดดขึ้นพร้อมทั้งเหยียบบนศีรษะของชายที่อยู่ฝั่งตรงข้าม ซึ่งรูปร่างของอีกฝ่ายนั้นมีความสูงกว่า 4 เมตร จากนั้นไป๋อี้ก็ได้ใช้ส้นเท้าเตะท้ายทอยของฝ่ายตรงข้ามอย่างแรง และตีลังกาเหยียบไหล่ของฟรอยแลนซ์ในทันที

        ถึงแม้ฟรอยแลนซ์จะมีความไม่ชอบใจอยู่บ้าง แต่ทว่าใครใช้ให้รูปร่างของเขาใหญ่โตถึงเพียงนี้กันเล่า อีกทั้งตอนนี้พวกเขาก็กำลังขอความช่วยเหลือจากไป๋อี้อยู่ หลังจากนั้นฟรอยแลนซ์จึงได้เข้าไปกอดรัดตัวของลูกน้องที่ถูกไป๋อี้เตะท้ายทอยไว้แน่นพร้อมหันหน้ามองไป๋อี้ ในขณะนี้ไป๋อี้กลับกำลังหลับตาอยู่ปากพลางกล่าวอะไรบางอย่างออกมา

        “อย่ามองผม!”

        เมื่อฟรอยแลนซ์หันหน้ากลับไปแล้ว ไป๋อี้จึงเบิกตากว้างขึ้นมาในทันทีพร้อมใช้ม่านตาบุษบาผกผันกับคนที่อยู่ในสภาวะดุร้ายคนนั้นที่กำลังถูกจับกุมตัวอยู่ ฟรอยแลนซ์ไม่ได้มองดวงตาคู่นั้นของไป๋อี้จึงไม่เกิดผลกระทบอันใดต่อเขา ทว่าเขาก็รับรู้ได้ว่าแรงขัดขืนของลูกน้องผู้นี้กำลังอ่อนลงเรื่อยๆ จนสุดท้ายร่างกายของลูกน้องเขาก็อ่อนระทวยล้มพับลงไปนอนกองอยู่บนพื้นเสียงดังตุบ

        สุดยอดมาก!

        ฟรอยแลนซ์ตัวสั่นสะท้านอยู่ในใจ ดวงตาของไป๋อี้ไม่เพียงแต่มีประสิทธิภาพกับคนที่อยู่ในระยะดุร้ายเท่านั้น ตรงกันข้าม มันมีผลลัพธ์ต่อมนุษย์วิวัฒนาการธรรมดาเสียยิ่งกว่า ถ้าหากผู้ใดคิดเป็นปฏิปักษ์กับไป๋อี้เช่นนั้นสิ่งที่ควรระมัดระวังเป็นพิเศษนั่นก็คือจะทำเช่นไรจึงจะรับมือกับดวงตาคู่นั้นของไป๋อี้ได้ หลังจากที่ลูกน้องผู้นั้นหลับใหลไปแล้วฟรอยแลนซ์ก็พบว่าดวงตาของไป๋อี้เต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอยสีแดงคล้ายกับเต็มไปด้วยเลือดสด ๆ อย่างไรอย่างนั้น

        ส่วนลูกน้องอีกสองคนด้านหลังก็ได้ถูกจัดการอย่างคนก่อนหน้า พวกเขาจึงตกอยู่ในสภาวะหลับใหลเช่นเดียวกัน เมื่อฟรอยแลนซ์สังเกตดูอีกครั้งจึงพบว่าสายตาคู่นั้นของไป๋อี้มีรอยคราบเลือดสีแดงสดไหลลงมา ทว่าในเวลานี้ไป๋อี้ยังหลับตาอยู่ตลอดโดยที่ไม่ได้ลืมตาขึ้นมาเลยแม้แต่น้อย

        “ลอทเทียร์พยุงฉันหน่อย” ไป๋อี้กล่าว

        “ค่ะ” ลอทเทียร์ได้ยินดังนั้นก็เข้าไปพยุงไป๋อี้อย่างว่าง่าย

        “คณบดีไป๋อี้ครับ ต้องยกความดีความชอบให้คุณแท้ ๆ เลย ไม่อย่างนั้นผมก็คงไม่รู้จริง ๆ ว่าจะจับสามคนนี้กลับไปยังไงเหมือนกัน อีกอย่างต่อให้ผมจับพวกเขากลับไปแล้วก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะจัดการกับพวกเขาอย่างไรดี” ฟรอยแลนซ์กล่าวขอบคุณพร้อมมองสำรวจลักษณะท่าทางของไป๋อี้อย่างตั้งใจไปด้วย

        “ไม่เป็นอะไรหรอก เป็นเรื่องที่ผมสมควรทำอยู่แล้ว” ไป๋อี้ส่ายหน้า หลังจากที่ใช้ม่านตาบุษบาผกผันกับคนที่สามแล้ว ไป๋อี้ก็ไม่ได้ลืมตาขึ้นมาอีกเลยพร้อมทั้งใต้ดวงตาที่ปิดอยู่คู่นั้นก็มีรอยคราบน้ำตาเป็นเลือดสองเส้นไหลลงมามองแล้วแลดูสยดสยองเสียจริง

        ในเวลานี้สมาชิกในทีมของไป๋อี้ก็ได้เดินทางมาที่นี่เช่นเดียวกัน วูล์ฟ เฮลัวส์และพูพูพร้อมทั้งกลุ่มของคณะแพทย์ศาสตร์กลุ่มหนึ่ง พวกเขาได้รีบมาที่นี่ในทันทีเมื่อทราบว่ามีคนตกอยู่ในสภาวะดุร้ายหมายอยากจะเข้ามาช่วยทำการรักษาเยียวยา เมื่อวูล์ฟและคนอื่น ๆ มาถึงแล้วนั้นไป๋อี้จึงไปกล่าวอำลาฟรอยแลนซ์

  ……

        เมื่อกลับมายังศูนย์ฟื้นฟูสุขภาพแล้ว ไป๋อี้จึงเบิกตาสองข้างของเขาขึ้นมา และสิ่งที่เขามองเห็นเป็นอันดับแรกนั่นก็คือสายตาทะเล้นของเวร่า แน่นอนว่าขีดจำกัดของไป๋อี้ไม่ได้หยุดอยู่เพียงเท่านี้แต่อย่างใดทว่านี่เป็นเพียง ‘ขีดจำกัด’ ที่เขาเปิดเผยสู่โลกภายนอกเท่านั้น ซึ่งไป๋อี้มิได้มีความคิดหมายจะทำร้ายผู้อื่น แต่ตัวเขาเองรู้ดีว่าม่านตาบุษบาผกผันทำให้ผู้อื่นระแวดระวังมากเกินไป ถ้าหากไม่แสดงให้ผู้อื่นเห็นว่าเขาก็มีขีดจำกัดในการใช้ความสามารถนั้นอยู่ด้วยก็อาจจะก่อให้เกิดความไม่สบายใจจากใครหลาย ๆ คนได้ เมื่อไป๋อี้เห็นรอยยิ้มของเวร่า เขาจึงยิ้มออกมา จากนั้นเขาก็ใช้น้ำเปล่าเช็ดคราบน้ำตาบนแก้มออก

        ไม่นานฟรอยแลนซ์ก็ได้หอบของขวัญจำนวนมากมาให้ไป๋อี้เพื่อเป็นการขอบคุณ แต่ทว่าไป๋อี้กลับไม่ได้ออกไปเจอหน้าเขาแต่อย่างใด ดังนั้นผู้ที่ออกไปต้อนรับเขาก็คือเวร่า ช่วงเวลาหนึ่งอาทิตย์หลังจากนี้ไป๋อี้ไม่ได้ไปช่วยฟื้นฟูรักษาผู้ที่เข้าสู่ระยะดุร้ายที่ถูกขังอยู่ในเรือนจำเหล่านั้นต่อ เขาได้อ่านหนังสืออยู่ในศูนย์ฟื้นฟูสุขภาพอยู่คนเดียวเงียบ ๆ

        นอกจากนี้ไป๋อี้ก็ไม่ได้ออกมาป่าวประกาศประการใดอีกเลย แน่นอนว่าการที่เขาไม่ออกมาป่าวประกาศก็ไม่ได้แสดงว่าผู้อื่นจะไม่สามารถคาดคะเนเองได้ เรื่องที่ลูกน้องของฟรอยแลนซ์ประสบกับภัยอันตรายที่แม่น้ำไวมาคารีรีนั้นไม่ใช่ความลับแต่อย่างใด อีกทั้งทุกคนก็รู้อยู่แล้วว่าไป๋อี้ได้ใช้ม่านตาบุษบาผกผันเพื่อช่วยเหลือผู้ที่เข้าสู่สภาวะดุร้ายในเรือนจำก่อนที่จะไปช่วยเหลือพวกฟรอยแลนซ์อีกด้วย

        จำนวนการใช้ม่านตาบุษบาผกผันภายในเรือนจำคือ 5 ครั้ง ซึ่งเป็นจำนวนที่เขาใช้ปกติทุกวันอยู่แล้ว และขณะที่เขาเข้าไปช่วยเหลือฟรอยแลนซ์ก็ได้ใช้ไปอีก 3 ครั้ง หลังจากนั้นดวงตาของไป๋อี้ก็เริ่มมีเลือดไหลออกมา เขาจึงใช้เวลาในการพักผ่อนไปหนึ่งสัปดาห์กว่า ๆ

        โจทย์คณิตศาสตร์อันง่ายดายเช่นนี้เด็กเล็กก็ยังคิดคำนวณออก ดังนั้นหลายคนจึงได้ครุ่นคิดเรื่องนี้กันอยู่ในใจลึก ๆ  จำนวนการใช้งานปกติของม่านตาบุษบาผกผันของไป๋อี้ภายในหนึ่งวันควรจะเป็น 5-6 ครั้งจึงจะไม่เป็นการส่งผลกระทบต่อดวงตาเขา ครั้นหากดันทุรังใช้งานต่อไปอีกคาดว่าเขาจะสามารถใช้ได้อีกถึง 10 ครั้ง ทว่านั่นจะส่งผลข้างเคียงต่อดวงตาของไป๋อี้อย่างเห็นได้ชัด

        ขณะที่วิเคราะห์ข้อมูลนี้ออกมานั้น ก็ไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้น ทุกคนถึงล้วนรู้สึกคล้ายกับว่าดวงตาของไป๋อี้ก็ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิดแล้ว

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+