[นิยายแปล] มหาวิบัติยีนกลายพันธุ์ 141 จุมพิตสีแดง

Now you are reading [นิยายแปล] มหาวิบัติยีนกลายพันธุ์ Chapter 141 จุมพิตสีแดง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

  เขาไม่ได้ปกปิดแต่อย่างใด เพราะไป๋อี้รู้ว่าไม่ช้าก็เร็วเรื่องดวงตาของเขา0tต้องถูกเปิดเผยอย่างแน่นอน คนที่แข็งแกร่งอย่างแท้จริงย่อมเป็นจุดสนใจของทุกคนและเป็นที่พึ่งพาได้ ไม่ใช่ว่าฝ่ายตรงข้ามจะไม่เข้าใจความสามารถของเขาเลย แต่อย่างไรก็ตามถึงจะเข้าใจความสามารถนั้นก็ไม่มีทางจะรับมือได้ ไป๋อี้ในตอนนี้มีทัศนคติเช่นนี้

  บุษบาผกผัน!

  การจำลองธรรมชาติและการสร้างความสับสนตื่นตระหนกที่เกิดจากการผสมรวมยีนกับผีเสื้อนั้นผ่านการกระตุ้นมาจากการสูญเสียเพื่อนร่วมทีมหลายต่อหลายครั้ง นั่นจึงทำให้ดวงตาของเขาเกิดวิวัฒนาการอย่างต่อเนื่องและกลายเป็นความสามารถในการสะกดจิตขั้นรุนแรงในปัจจุบัน ดูเหมือนว่าทุกครั้งการนองเลือดของเพื่อนจะกลายเป็นที่มาของการวิวัฒนาการของดวงตาไป๋อี้ กล่าวได้ว่านี่คือดวงตาต้องสาปคู่หนึ่ง อย่างไรก็ตามไป๋อี้ต้องให้ความสำคัญกับดวงตาคู่นี้มาก ๆ

  ผู้ชายคนที่จงใจจะตรวจสอบความลับของไป๋อี้ล้มลงกับพื้น ในเวลานี้ไป๋อี้หันศีรษะและมองไปที่เวทีอย่างสงบ ขณะเดียวกันดวงตาของเขาก็เริ่มมีเลือดไหลออกมา

  สายตานั่น!

  ทุกคนที่มองไปยังเวทีต่างก็ตกตะลึงไปในทันที จากนั้นก็เปลี่ยนความสนใจไปโดยไม่รู้ตัว ดวงตาพิเศษ สายตาที่เย็นชา และการสร้างความสับสนตื่นตระหนกที่ทรงพลังทำให้ในสายตาทุกคนรู้สึกราวกับกำลังมองแววตาของเทพ ก่อนที่พวกเขาจะหลบสายตาไป๋อี้ไปโดยไม่รู้ตัว หลังจากที่พวกเขาตระหนักได้ถึงการล่าถอยอันเนื่องมาจากสายตาของไป๋อี้โดยไม่รู้เนื้อรู้ตัวแล้วนั้น คนทั้งสี่ท่ามกลางฝูงชนก็หันมาทันทีจากนั้นก็มองไปที่ไป๋อี้

  ไป๋อี้ยิ้มเล็ก ๆ อยู่ในใจ การเปลี่ยนแปลงทั้งหมดของทุกคนจากม่านตาบุษบาผกผันในลานกว้างจัตุรัสแห่งนี้อยู่ในสายตาของเขา ทั้งสี่คนฝืนสัญชาตญาณของร่างกายไม่ยอมถอยและมองมาที่เขา เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ใช่คนธรรมดา อย่างไรก็ตามนี่ไม่ใช่โอกาสที่จะแข่งขันกับทั้งสี่คนนี้ ดวงตาของไป๋อี้ค่อย ๆ เปลี่ยนไปอย่างช้า ๆ และค่อย ๆ เปลี่ยนกลับกลายเป็นดวงตาธรรมดาอีกครั้ง

  อย่างไรก็ตาม ทุกคนในที่นี้จดจำดวงตาคู่พิเศษของไป๋อี้ได้——นั่นคือม่านตาบุษบาผกผัน!

  “นี่คือความสามารถที่เกิดขึ้นหลังจากการกลายพันธุ์ของเซลล์ดัดแปลงที่อยู่ในตัวผม มันมีผลต่อการสะกดจิตบางอย่างต่อคนที่มองผม ความสามารถในการสะกดจิตที่ทรงพลังสามารถทำให้สิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ทั้งหลายเข้าสู่การนอนหลับลึกและทำให้ความกลมกลืนระหว่างร่างกายและจิตวิญญาณสอดประสานกันอย่างลึกซึ้งขึ้น นั่นคือเหตุผลที่ผมสามารถหยุดยั้งเรย์มอนด์ได้” ไป๋อี้พูดช้า ๆ ขณะที่ตอนนี้ยังมีอีกหลายคนที่สติยังไม่กลับมา

  “อย่าถามผมว่าผมกลายเป็นแบบนี้ไปได้ยังไง เพราะผมเองก็ไม่รู้เช่นกัน ผมบอกได้แค่ว่านี่มันเป็นอุบัติเหตุ”

  “นอกจากนี้ถ้าไม่ใช่เรื่องฉุกเฉิน โปรดอย่าขอให้ผมสะกดจิตทุกคนให้เข้าสู่การหลับลึก เพราะผมไม่สามารถทำได้ กล่าวคือแม้จะอยากช่วยแต่ความสามารถผมมีไม่มากพอ พลังดวงตาของผมใช้ได้อย่างจำกัด ดูสิ ผมเริ่มมีเลือดไหลออกมาหลังจากใช้พลังไปแค่ครั้งเดียว อันที่จริงการใช้วันละหลายครั้งจะส่งผลต่อการมองเห็นของผมเป็นอย่างมาก ผมตาบอดมานานกว่าหนึ่งเดือนเนื่องจากการใช้งานสายตาที่มากเกินไป” ไป๋อี้ชี้ไปที่ดวงตาของเขาอีกครั้ง เลือดที่ไหลออกมาก่อนหน้านี้ยังคงไหลอยู่บนใบหน้าของไป๋อี้

  ทุกคนมองไปที่หยาดเลือดที่ไหลจากดวงตาของไป๋อี้และพยักหน้าโดยไม่รู้ตัว

  ดูเหมือนว่าจะไม่สามารถพึ่งพาดวงตาของไป๋อี้ในการรับมือกับช่วงเวลาที่เข้าสู่ระยะดุร้ายได้ พวกเขายังคงต้องสำรวจตัวเองให้ดี อย่างไรก็ตามหลังจากรู้จักการสะกดจิตแล้วพวกเขาต่างก็สามารถคิดหาวิธีในเรื่องนี้ได้เช่นกัน

  คนอื่น ๆ ถอนหายใจอย่างโล่งอก แม้ว่าไป๋อี้จะบอกเพียงว่าดวงตาของเขาสามารถสะกดจิตได้ แต่ในใจของพวกเขาก็รู้สึกว่าดวงตาของไป๋อี้ยังมีประสิทธิภาพมากในการต่อสู้อีกด้วย ใครก็ตามที่ต่อสู้กับไป๋อี้ต่างก็กลัวว่าจะรับมือกับเขาไม่ได้ เพราะดวงตาเป็นประสาทสัมผัสทั้งห้าที่ทุกคนใช้มากที่สุด หากกลัวที่จะมองไปยังศัตรู ก็เป็นการยากที่จะต่อกรด้วย แม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะไม่ได้เป็นศัตรูกับไป๋อี้ แต่ในอนาคตอาจจะเป็นใครก็ได้

  ฮ่า ๆ~~!

  ไป๋อี้ยิ้มกริ่มอยู่ในใจ แน่นอนว่าดวงตาของเขาไม่ได้บอบบางถึงขนาดนี้ การใช้เพียงครั้งเดียวแล้วมีเลือดไหลออกมาก็เพียงเพื่อเสริมสร้างการโน้มน้าวใจเท่านั้น ส่วนจะเชื่อหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับพวกเขาจะคิด ความสามารถที่ทรงพลัง แต่ขณะเดียวกันก็มีข้อจำกัดและมีข้อบกพร่อง อย่างไรก็ตามนั่นยังคงทำให้คนส่วนใหญ่อุ่นใจได้อยู่บ้าง

  “แน่นอนว่าถ้าเป็นสถานการณ์เร่งด่วน คุณยังสามารถมาหาผมได้ มันเป็นหน้าที่ที่ผมจะไม่ปฏิเสธ” เมื่อไป๋อี้พูดแบบนี้นั่นทำให้เหล่าผู้คนกลับมามีความหวังอีกครั้ง อย่างไรก็ตามคาดว่าภายใต้สถานการณ์ปกติ ผู้คนเหล่านี้คงไม่ได้มารบกวนไป๋อี้อยู่เรื่อยไป แต่ถึงอย่างนั้นไป๋อี้ก็ยังมีวิธีปฏิเสธที่ดีอยู่เนื่องจากสายตาของเขาไม่สามารถใช้งานได้มากเกินไปนั่นเอง

  หลังจากนั้นไป๋อี้และแกรี่ก็ได้จัดการวางแผนเกี่ยวกับปัญหาการรวมตัวกัน แน่นอนว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่จะแยกทีมทุกทีมในตอนแรกและคาดว่าคงไม่มีใครเห็นด้วย พวกเขาเพียงแค่จัดสรรแต่ละทีมอย่างคร่าว ๆ รวบรวมวัสดุ ค้นหาพรสวรรค์ ค้นหาวัสดุที่ยังหลงเหลืออยู่ในนิวซีแลนด์ และหน้าที่รับผิดชอบต่าง ๆ

  เพราะสิ่งที่ไป๋อี้พูดก่อนหน้านี้ ทำให้แทบทุกคนมีความกระตือรือร้นเป็นอย่างมากและต้องการเริ่มต้นสู่การสร้างอิทธิพลให้แก่ตนเอง เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับตำแหน่งที่สูงขึ้นสืบไป บางทีความทะเยอทะยานและจุดมุ่งหมายของคนเหล่านี้นี่แหละที่เป็นที่มาของการพัฒนาโลกใบนี้

  ไป๋อี้มองไปที่แกรี่และหัวหน้าของทีมอื่น ๆ ที่คุยกันอยู่ตรงนั้นแล้วยิ้มกริ่มอยู่ในใจ

  จำนวนคนในหุบเขาหิมะมีจำนวนมากกว่า 3,000 คน ภายในไม่กี่วันนี้ความสามารถต่างๆของผู้คนได้ถูกค้นพบอย่างต่อเนื่อง การวางแผนและการก่อสร้างได้เริ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกันเพื่อการพัฒนามนุษยชาติในอนาคต ภายในเวลาเพียงสัปดาห์เดียวบรรยากาศในหุบเขาหิมะก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงกลายเป็นบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความหวังและความเฟื่องฟู แม้ว่านิวซีแลนด์จะยังคงได้ชื่อว่าเป็นเกาะปีศาจ แต่ความคิดของทุกคนก็เริ่มเปลี่ยนไปในทางที่ดีมากขึ้น

  ไม่ว่าจะบังเอิญหรือจงใจ แต่ไป๋อี้ก็ไม่ได้ดำรงตำแหน่งใด ๆ ในหมู่คนทั้งหลาย ดูเหมือนว่าทุกคนจะบีบคั้นจำกัดขอบเขตหน้าที่ไป๋อี้ไปโดยปริยาย ไม่เพียงแต่ชื่อเสียงและความนิยมของไป๋อี้จะสูงเกินไปเท่านั้น แต่อีกเหตุผลหนึ่งก็คือไป๋อี้เป็นคนจีน ซึ่งไม่ว่าอย่างไรก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงการเหยียดผิวได้

  อย่างไรก็ตามไป๋อี้ไม่ได้สนใจ ภารกิจของพวกเขาไม่ได้อยู่ที่นี่ ไป๋อี้และคนอื่น ๆ จะเดินทางไปทั่วนิวซีแลนด์และเชื่อมต่อกับมนุษย์ที่เกิดการวิวัฒนาการทั้งหมดที่ยังมีชีวิตอยู่

  บางทีพวกไป๋อี้คงไม่ต้องทำงานหนัก ถ้าการสื่อสารของนิวซีแลนด์เริ่มเปิดกว้างอีกครั้ง

  ……

  พวกเขาอยู่ต่ออีกหนึ่งสัปดาห์ หลังจากที่สิ่งต่าง ๆ ในหุบเขาเป็นไปตามปกติ ทีมของไป๋อี้ก็พร้อมที่จะดำเนินการต่อ เหตุผลที่เขาอยู่นานกว่าหนึ่งสัปดาห์ไม่ใช่เพราะไป๋อี้กังวลเกี่ยวกับเรื่องต่าง ๆ ในหุบเขาหิมะ แต่เป็นเพราะเขากำลังรอให้มัลวีย์ซ่อมแซมดาบของเขาอยู่

  หลังจากผ่านไปกว่าหนึ่งเดือนครึ่งก็เกือบจะเป็นเวลาเดียวกับที่มัลวีย์กล่าวไว้ในตอนแรก ดาบเขี้ยวได้กลับคืนมาในที่สุด

  หลังจากผ่านการบูรณะซ่อมแซม ดาบเขี้ยวมีความหนาขึ้นเป็นพิเศษกว่าก่อนหน้านี้ อีกทั้งใบมีดยังมีสีแดงเข้ม ยิ่งไปกว่านั้นที่ด้านหลังของใบมีดก็มีความเข้มของสีเพิ่มขึ้นไปอีก นอกจากนี้มัลวีย์ยังได้ทำการปรับเปลี่ยนรูปร่างของมีดดาบบางประการเพื่อให้ดูสวยงามยิ่งขึ้น หากดาบเขี้ยวก่อนหน้านี้มีรายละเอียดที่หยาบไปเสียหน่อย ดาบเขี้ยวในปัจจุบันก็ถือได้ว่าเป็นผลงานศิลปะชิ้นหนึ่ง งานศิลปะสำหรับการฆ่า

  “ตามคำขอของนาย ฉันซ่อนสารพิษเข้าไปด้วย ขอบคุณตัวทำละลายที่บอนนี่ช่วยคิดค้นไว้ให้ฉันจริง ๆ เมื่อฉันซ่อมมันฉันไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ฉันรู้สึกเสมอว่ามีบางอย่างไหลเวียนในร่างกายของฉัน และเหมือนมีบางอย่างขับเคลื่อนอยู่ในดาบเขี้ยวเช่นกัน ตอนนี้พิษถูกซ่อนไว้แล้ว แต่ฉันไม่ค่อยเข้าใจวิธีใช้งานมัน ดูเหมือนว่ามันต้องใช้บางอย่างในการไหลเวียนเข้าไปในดาบเขี้ยว” มัลวีย์พูดกับไป๋อี้

  ไหลเวียน?

  ไป๋อี้มองไปที่มัลวีย์ ผู้ชายคนนี้มีความสามารถมากกว่าที่คิดเสียอีก

  “ถ้าเดาไม่ผิด มันคงเป็นพลังงานพิเศษในร่างกายของนาย แม้ว่าโดยทั่วไปเราจะไม่สามารถรู้สึกได้ แต่พลังงานพิเศษก็มีอยู่จริง จากแง่มุมพื้นฐานที่สุดมันจะช่วยเพิ่มสมรรถภาพทางกายของมนุษย์ที่เกิดการวิวัฒนาการอย่างครอบคลุม ฉันไม่รู้ว่านายผสานรวมยีนกับอะไร ตอนนี้ดูเหมือนว่าไม่ว่าจะผสานรวมกับยีนอะไรก็ไม่สำคัญแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการกลายพันธุ์อย่างฉับพลัน” ไป๋อี้อธิบายช้า ๆ

  “ดวงตาของฉันและดวงตาของโม่โม่ถูกขับเคลื่อนด้วยการไหลเวียนของพลังงานพิเศษอย่างแข็งขัน เมื่อใช้แล้วพวกมันจะรองรับความสามารถนี้โดยอัตโนมัติ เลือดของนายมีความสามารถในการละลายกระดูกและฟันของสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ มันน่าจะเป็นการกลายพันธุ์อย่างฉับพลันชนิดหนึ่งตามที่ระบุไว้ในข้อมูลก่อนช่วงการกลายพันธุ์ LV2 อันที่จริงไม่น่าจะเป็นไปได้ที่มนุษย์และสัตว์ที่เกิดการวิวัฒนาการจะระดมพลังงานพิเศษในร่างกายได้อย่างแข็งขัน อย่างไรก็ตามภายใต้สถานการณ์พิเศษบางอย่างก็สามารถเกิดขึ้นได้ พลังงานพิเศษไหลเวียนอย่างต่อเนื่อง ความรู้สึกของนายเช่นนั้นมันน่าจะเป็นสถานการณ์อย่างที่บอกไปไม่ผิดแน่”

  “อย่างนี้เองเหรอ?”มัลวีย์รู้สึกลังเลและประหลาดใจเล็กน้อย ในช่วงนี้เขายุ่งอยู่กับการซ่อมแซมดาบเขี้ยวของเขา ดังนั้นเขาจึงไม่มีความเข้าใจโดยละเอียดเกี่ยวกับข้อมูลที่มีอยู่ในทีม

  “น่าจะเป็นอย่างนั้น!” ไป๋อี้พยักหน้า

  “เก่งกาจจริง ๆ ผู้ชายคนนี้ นายเป็นคนที่สามในทีมที่สัมผัสได้ถึงการไหลเวียนของพลังงานพิเศษในร่างกาย แม้ว่าจะยังไม่เห็นอะไรมาก แต่ก็น่าทึ่งจริง ๆ” วูล์ฟตบที่ไหล่มัลวีย์เป็นการหยอกล้อ จนเกือบจะทิ่มลงกับพื้นอยู่แล้ว

  อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่ามัลวีย์จะยังไม่ได้สติกลับคืน น่าทึ่งมาก การกลายพันธุ์ฉับพลันอย่างนั้นเหรอ?

  ไป๋อี้รู้ว่ามัลวีย์ยังไม่เชื่อในทันที ตั้งแต่การสัมผัสครั้งแรกเขาก็ดูออกแล้ว เรื่องแบบนี้เป็นเรื่องที่ไม่ควรรีบร้อน และมัลวีย์จะค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงไปทีละเล็กละน้อย

  ไป๋อี้ถือดาบเขี้ยวของเขาอย่างเงียบงัน เป็นความรู้สึกที่พอดีกับมือของเขาอย่างเหมาะเจาะ ใบมีดสีแดงเข้มใสสกาวเหมือนแก้ว อย่างไรก็ตามเขาจะกระตุ้นสารพิษในนั้นเพื่อใช้งานมันได้อย่างไร จู่ ๆ ไป๋อี้ก็เปิดรูม่านตาบุษบาผกผัน เขาสัมผัสได้ถึงการไหลเวียนของพลังงานพิเศษ แต่น่าเสียดายที่ดูเหมือนว่ามันจะไม่มีผลใด ๆ ต่อการใช้ดาบเขี้ยวเลย

  “สถานการณ์เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง” วูล์ฟมองคนข้าง ๆ อย่างประหลาดใจ ปรากฏว่ามัลวีย์นั้นมีความแข็งแกร่ง เขาไม่ได้เป็นอย่างที่เขาเคยกล่าวไว้ว่านอกจากสารทำละลายพิเศษแล้วเขาก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลย

  “ใช่ มันเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง” ไป๋อี้ถือดาบเขี้ยวไว้ในมือแล้วค่อย ๆ ยกขึ้น

  “นายอยากจะตั้งชื่อให้มันเหมือนดวงตาของนายไหมล่ะ รู้ไหมว่าม่านตาบุษบาผกผันมีชื่อเสียงมากตอนนี้” เฮลัวส์พูดติดตลก

  “ชื่องั้นเหรอ!” ไป๋อี้มองไปที่ใบมีดสีแดงเข้มของดาบของเขาพลางคิดอะไรอย่างเงียบ ๆ

  “ฉันว่า น่าจะเรียกว่า ……” เรย์มอนด์และมัลวีย์กำลังจะเอ่ยชื่อขึ้นมา แต่ไป๋อี้ก็พูดขึ้นก่อน

  “จุมพิตสีแดง เรียกมันว่าจุมพิตสีแดง”

  ไป๋อี้ทำให้คำพูดของวูล์ฟและเรย์มอนด์ติดอยู่ที่ลำคอ เมื่อเห็นท่าทางที่ไม่มีข้อกังขาของไป๋อี้ ชื่อที่พวกเขาคิดจะตั้งให้กับดาบเขี้ยวก่อนหน้านี้ก็ต้องเป็นอันถูกยกเลิกไป เรย์มอนด์นิ่งไปพร้อมกับบอกว่าชื่อนั้นช่างไร้รสนิยมจริง ๆ ไป๋อี้ได้แต่ยิ้มโดยไม่ได้อธิบายอะไร มีเพียงวูล์ฟและเฮลัวส์เท่านั้นที่เห็นสีหน้าของไป๋อี้และนึกได้ว่าชื่อนี้เกี่ยวกับหงฉี่ฮว๋า พวกเขาจึงพอคาดเดาความหมายของชื่อนี้ได้คร่าว ๆ

  อย่างไรก็ตาม ไป๋อี้ไม่ได้ยอมรับในข้อนั้นซะทีเดียว!

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

[นิยายแปล] มหาวิบัติยีนกลายพันธุ์ 141 จุมพิตสีแดง

Now you are reading [นิยายแปล] มหาวิบัติยีนกลายพันธุ์ Chapter 141 จุมพิตสีแดง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

  เขาไม่ได้ปกปิดแต่อย่างใด เพราะไป๋อี้รู้ว่าไม่ช้าก็เร็วเรื่องดวงตาของเขา0tต้องถูกเปิดเผยอย่างแน่นอน คนที่แข็งแกร่งอย่างแท้จริงย่อมเป็นจุดสนใจของทุกคนและเป็นที่พึ่งพาได้ ไม่ใช่ว่าฝ่ายตรงข้ามจะไม่เข้าใจความสามารถของเขาเลย แต่อย่างไรก็ตามถึงจะเข้าใจความสามารถนั้นก็ไม่มีทางจะรับมือได้ ไป๋อี้ในตอนนี้มีทัศนคติเช่นนี้

  บุษบาผกผัน!

  การจำลองธรรมชาติและการสร้างความสับสนตื่นตระหนกที่เกิดจากการผสมรวมยีนกับผีเสื้อนั้นผ่านการกระตุ้นมาจากการสูญเสียเพื่อนร่วมทีมหลายต่อหลายครั้ง นั่นจึงทำให้ดวงตาของเขาเกิดวิวัฒนาการอย่างต่อเนื่องและกลายเป็นความสามารถในการสะกดจิตขั้นรุนแรงในปัจจุบัน ดูเหมือนว่าทุกครั้งการนองเลือดของเพื่อนจะกลายเป็นที่มาของการวิวัฒนาการของดวงตาไป๋อี้ กล่าวได้ว่านี่คือดวงตาต้องสาปคู่หนึ่ง อย่างไรก็ตามไป๋อี้ต้องให้ความสำคัญกับดวงตาคู่นี้มาก ๆ

  ผู้ชายคนที่จงใจจะตรวจสอบความลับของไป๋อี้ล้มลงกับพื้น ในเวลานี้ไป๋อี้หันศีรษะและมองไปที่เวทีอย่างสงบ ขณะเดียวกันดวงตาของเขาก็เริ่มมีเลือดไหลออกมา

  สายตานั่น!

  ทุกคนที่มองไปยังเวทีต่างก็ตกตะลึงไปในทันที จากนั้นก็เปลี่ยนความสนใจไปโดยไม่รู้ตัว ดวงตาพิเศษ สายตาที่เย็นชา และการสร้างความสับสนตื่นตระหนกที่ทรงพลังทำให้ในสายตาทุกคนรู้สึกราวกับกำลังมองแววตาของเทพ ก่อนที่พวกเขาจะหลบสายตาไป๋อี้ไปโดยไม่รู้ตัว หลังจากที่พวกเขาตระหนักได้ถึงการล่าถอยอันเนื่องมาจากสายตาของไป๋อี้โดยไม่รู้เนื้อรู้ตัวแล้วนั้น คนทั้งสี่ท่ามกลางฝูงชนก็หันมาทันทีจากนั้นก็มองไปที่ไป๋อี้

  ไป๋อี้ยิ้มเล็ก ๆ อยู่ในใจ การเปลี่ยนแปลงทั้งหมดของทุกคนจากม่านตาบุษบาผกผันในลานกว้างจัตุรัสแห่งนี้อยู่ในสายตาของเขา ทั้งสี่คนฝืนสัญชาตญาณของร่างกายไม่ยอมถอยและมองมาที่เขา เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ใช่คนธรรมดา อย่างไรก็ตามนี่ไม่ใช่โอกาสที่จะแข่งขันกับทั้งสี่คนนี้ ดวงตาของไป๋อี้ค่อย ๆ เปลี่ยนไปอย่างช้า ๆ และค่อย ๆ เปลี่ยนกลับกลายเป็นดวงตาธรรมดาอีกครั้ง

  อย่างไรก็ตาม ทุกคนในที่นี้จดจำดวงตาคู่พิเศษของไป๋อี้ได้——นั่นคือม่านตาบุษบาผกผัน!

  “นี่คือความสามารถที่เกิดขึ้นหลังจากการกลายพันธุ์ของเซลล์ดัดแปลงที่อยู่ในตัวผม มันมีผลต่อการสะกดจิตบางอย่างต่อคนที่มองผม ความสามารถในการสะกดจิตที่ทรงพลังสามารถทำให้สิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ทั้งหลายเข้าสู่การนอนหลับลึกและทำให้ความกลมกลืนระหว่างร่างกายและจิตวิญญาณสอดประสานกันอย่างลึกซึ้งขึ้น นั่นคือเหตุผลที่ผมสามารถหยุดยั้งเรย์มอนด์ได้” ไป๋อี้พูดช้า ๆ ขณะที่ตอนนี้ยังมีอีกหลายคนที่สติยังไม่กลับมา

  “อย่าถามผมว่าผมกลายเป็นแบบนี้ไปได้ยังไง เพราะผมเองก็ไม่รู้เช่นกัน ผมบอกได้แค่ว่านี่มันเป็นอุบัติเหตุ”

  “นอกจากนี้ถ้าไม่ใช่เรื่องฉุกเฉิน โปรดอย่าขอให้ผมสะกดจิตทุกคนให้เข้าสู่การหลับลึก เพราะผมไม่สามารถทำได้ กล่าวคือแม้จะอยากช่วยแต่ความสามารถผมมีไม่มากพอ พลังดวงตาของผมใช้ได้อย่างจำกัด ดูสิ ผมเริ่มมีเลือดไหลออกมาหลังจากใช้พลังไปแค่ครั้งเดียว อันที่จริงการใช้วันละหลายครั้งจะส่งผลต่อการมองเห็นของผมเป็นอย่างมาก ผมตาบอดมานานกว่าหนึ่งเดือนเนื่องจากการใช้งานสายตาที่มากเกินไป” ไป๋อี้ชี้ไปที่ดวงตาของเขาอีกครั้ง เลือดที่ไหลออกมาก่อนหน้านี้ยังคงไหลอยู่บนใบหน้าของไป๋อี้

  ทุกคนมองไปที่หยาดเลือดที่ไหลจากดวงตาของไป๋อี้และพยักหน้าโดยไม่รู้ตัว

  ดูเหมือนว่าจะไม่สามารถพึ่งพาดวงตาของไป๋อี้ในการรับมือกับช่วงเวลาที่เข้าสู่ระยะดุร้ายได้ พวกเขายังคงต้องสำรวจตัวเองให้ดี อย่างไรก็ตามหลังจากรู้จักการสะกดจิตแล้วพวกเขาต่างก็สามารถคิดหาวิธีในเรื่องนี้ได้เช่นกัน

  คนอื่น ๆ ถอนหายใจอย่างโล่งอก แม้ว่าไป๋อี้จะบอกเพียงว่าดวงตาของเขาสามารถสะกดจิตได้ แต่ในใจของพวกเขาก็รู้สึกว่าดวงตาของไป๋อี้ยังมีประสิทธิภาพมากในการต่อสู้อีกด้วย ใครก็ตามที่ต่อสู้กับไป๋อี้ต่างก็กลัวว่าจะรับมือกับเขาไม่ได้ เพราะดวงตาเป็นประสาทสัมผัสทั้งห้าที่ทุกคนใช้มากที่สุด หากกลัวที่จะมองไปยังศัตรู ก็เป็นการยากที่จะต่อกรด้วย แม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะไม่ได้เป็นศัตรูกับไป๋อี้ แต่ในอนาคตอาจจะเป็นใครก็ได้

  ฮ่า ๆ~~!

  ไป๋อี้ยิ้มกริ่มอยู่ในใจ แน่นอนว่าดวงตาของเขาไม่ได้บอบบางถึงขนาดนี้ การใช้เพียงครั้งเดียวแล้วมีเลือดไหลออกมาก็เพียงเพื่อเสริมสร้างการโน้มน้าวใจเท่านั้น ส่วนจะเชื่อหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับพวกเขาจะคิด ความสามารถที่ทรงพลัง แต่ขณะเดียวกันก็มีข้อจำกัดและมีข้อบกพร่อง อย่างไรก็ตามนั่นยังคงทำให้คนส่วนใหญ่อุ่นใจได้อยู่บ้าง

  “แน่นอนว่าถ้าเป็นสถานการณ์เร่งด่วน คุณยังสามารถมาหาผมได้ มันเป็นหน้าที่ที่ผมจะไม่ปฏิเสธ” เมื่อไป๋อี้พูดแบบนี้นั่นทำให้เหล่าผู้คนกลับมามีความหวังอีกครั้ง อย่างไรก็ตามคาดว่าภายใต้สถานการณ์ปกติ ผู้คนเหล่านี้คงไม่ได้มารบกวนไป๋อี้อยู่เรื่อยไป แต่ถึงอย่างนั้นไป๋อี้ก็ยังมีวิธีปฏิเสธที่ดีอยู่เนื่องจากสายตาของเขาไม่สามารถใช้งานได้มากเกินไปนั่นเอง

  หลังจากนั้นไป๋อี้และแกรี่ก็ได้จัดการวางแผนเกี่ยวกับปัญหาการรวมตัวกัน แน่นอนว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่จะแยกทีมทุกทีมในตอนแรกและคาดว่าคงไม่มีใครเห็นด้วย พวกเขาเพียงแค่จัดสรรแต่ละทีมอย่างคร่าว ๆ รวบรวมวัสดุ ค้นหาพรสวรรค์ ค้นหาวัสดุที่ยังหลงเหลืออยู่ในนิวซีแลนด์ และหน้าที่รับผิดชอบต่าง ๆ

  เพราะสิ่งที่ไป๋อี้พูดก่อนหน้านี้ ทำให้แทบทุกคนมีความกระตือรือร้นเป็นอย่างมากและต้องการเริ่มต้นสู่การสร้างอิทธิพลให้แก่ตนเอง เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับตำแหน่งที่สูงขึ้นสืบไป บางทีความทะเยอทะยานและจุดมุ่งหมายของคนเหล่านี้นี่แหละที่เป็นที่มาของการพัฒนาโลกใบนี้

  ไป๋อี้มองไปที่แกรี่และหัวหน้าของทีมอื่น ๆ ที่คุยกันอยู่ตรงนั้นแล้วยิ้มกริ่มอยู่ในใจ

  จำนวนคนในหุบเขาหิมะมีจำนวนมากกว่า 3,000 คน ภายในไม่กี่วันนี้ความสามารถต่างๆของผู้คนได้ถูกค้นพบอย่างต่อเนื่อง การวางแผนและการก่อสร้างได้เริ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกันเพื่อการพัฒนามนุษยชาติในอนาคต ภายในเวลาเพียงสัปดาห์เดียวบรรยากาศในหุบเขาหิมะก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงกลายเป็นบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความหวังและความเฟื่องฟู แม้ว่านิวซีแลนด์จะยังคงได้ชื่อว่าเป็นเกาะปีศาจ แต่ความคิดของทุกคนก็เริ่มเปลี่ยนไปในทางที่ดีมากขึ้น

  ไม่ว่าจะบังเอิญหรือจงใจ แต่ไป๋อี้ก็ไม่ได้ดำรงตำแหน่งใด ๆ ในหมู่คนทั้งหลาย ดูเหมือนว่าทุกคนจะบีบคั้นจำกัดขอบเขตหน้าที่ไป๋อี้ไปโดยปริยาย ไม่เพียงแต่ชื่อเสียงและความนิยมของไป๋อี้จะสูงเกินไปเท่านั้น แต่อีกเหตุผลหนึ่งก็คือไป๋อี้เป็นคนจีน ซึ่งไม่ว่าอย่างไรก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงการเหยียดผิวได้

  อย่างไรก็ตามไป๋อี้ไม่ได้สนใจ ภารกิจของพวกเขาไม่ได้อยู่ที่นี่ ไป๋อี้และคนอื่น ๆ จะเดินทางไปทั่วนิวซีแลนด์และเชื่อมต่อกับมนุษย์ที่เกิดการวิวัฒนาการทั้งหมดที่ยังมีชีวิตอยู่

  บางทีพวกไป๋อี้คงไม่ต้องทำงานหนัก ถ้าการสื่อสารของนิวซีแลนด์เริ่มเปิดกว้างอีกครั้ง

  ……

  พวกเขาอยู่ต่ออีกหนึ่งสัปดาห์ หลังจากที่สิ่งต่าง ๆ ในหุบเขาเป็นไปตามปกติ ทีมของไป๋อี้ก็พร้อมที่จะดำเนินการต่อ เหตุผลที่เขาอยู่นานกว่าหนึ่งสัปดาห์ไม่ใช่เพราะไป๋อี้กังวลเกี่ยวกับเรื่องต่าง ๆ ในหุบเขาหิมะ แต่เป็นเพราะเขากำลังรอให้มัลวีย์ซ่อมแซมดาบของเขาอยู่

  หลังจากผ่านไปกว่าหนึ่งเดือนครึ่งก็เกือบจะเป็นเวลาเดียวกับที่มัลวีย์กล่าวไว้ในตอนแรก ดาบเขี้ยวได้กลับคืนมาในที่สุด

  หลังจากผ่านการบูรณะซ่อมแซม ดาบเขี้ยวมีความหนาขึ้นเป็นพิเศษกว่าก่อนหน้านี้ อีกทั้งใบมีดยังมีสีแดงเข้ม ยิ่งไปกว่านั้นที่ด้านหลังของใบมีดก็มีความเข้มของสีเพิ่มขึ้นไปอีก นอกจากนี้มัลวีย์ยังได้ทำการปรับเปลี่ยนรูปร่างของมีดดาบบางประการเพื่อให้ดูสวยงามยิ่งขึ้น หากดาบเขี้ยวก่อนหน้านี้มีรายละเอียดที่หยาบไปเสียหน่อย ดาบเขี้ยวในปัจจุบันก็ถือได้ว่าเป็นผลงานศิลปะชิ้นหนึ่ง งานศิลปะสำหรับการฆ่า

  “ตามคำขอของนาย ฉันซ่อนสารพิษเข้าไปด้วย ขอบคุณตัวทำละลายที่บอนนี่ช่วยคิดค้นไว้ให้ฉันจริง ๆ เมื่อฉันซ่อมมันฉันไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ฉันรู้สึกเสมอว่ามีบางอย่างไหลเวียนในร่างกายของฉัน และเหมือนมีบางอย่างขับเคลื่อนอยู่ในดาบเขี้ยวเช่นกัน ตอนนี้พิษถูกซ่อนไว้แล้ว แต่ฉันไม่ค่อยเข้าใจวิธีใช้งานมัน ดูเหมือนว่ามันต้องใช้บางอย่างในการไหลเวียนเข้าไปในดาบเขี้ยว” มัลวีย์พูดกับไป๋อี้

  ไหลเวียน?

  ไป๋อี้มองไปที่มัลวีย์ ผู้ชายคนนี้มีความสามารถมากกว่าที่คิดเสียอีก

  “ถ้าเดาไม่ผิด มันคงเป็นพลังงานพิเศษในร่างกายของนาย แม้ว่าโดยทั่วไปเราจะไม่สามารถรู้สึกได้ แต่พลังงานพิเศษก็มีอยู่จริง จากแง่มุมพื้นฐานที่สุดมันจะช่วยเพิ่มสมรรถภาพทางกายของมนุษย์ที่เกิดการวิวัฒนาการอย่างครอบคลุม ฉันไม่รู้ว่านายผสานรวมยีนกับอะไร ตอนนี้ดูเหมือนว่าไม่ว่าจะผสานรวมกับยีนอะไรก็ไม่สำคัญแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการกลายพันธุ์อย่างฉับพลัน” ไป๋อี้อธิบายช้า ๆ

  “ดวงตาของฉันและดวงตาของโม่โม่ถูกขับเคลื่อนด้วยการไหลเวียนของพลังงานพิเศษอย่างแข็งขัน เมื่อใช้แล้วพวกมันจะรองรับความสามารถนี้โดยอัตโนมัติ เลือดของนายมีความสามารถในการละลายกระดูกและฟันของสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ มันน่าจะเป็นการกลายพันธุ์อย่างฉับพลันชนิดหนึ่งตามที่ระบุไว้ในข้อมูลก่อนช่วงการกลายพันธุ์ LV2 อันที่จริงไม่น่าจะเป็นไปได้ที่มนุษย์และสัตว์ที่เกิดการวิวัฒนาการจะระดมพลังงานพิเศษในร่างกายได้อย่างแข็งขัน อย่างไรก็ตามภายใต้สถานการณ์พิเศษบางอย่างก็สามารถเกิดขึ้นได้ พลังงานพิเศษไหลเวียนอย่างต่อเนื่อง ความรู้สึกของนายเช่นนั้นมันน่าจะเป็นสถานการณ์อย่างที่บอกไปไม่ผิดแน่”

  “อย่างนี้เองเหรอ?”มัลวีย์รู้สึกลังเลและประหลาดใจเล็กน้อย ในช่วงนี้เขายุ่งอยู่กับการซ่อมแซมดาบเขี้ยวของเขา ดังนั้นเขาจึงไม่มีความเข้าใจโดยละเอียดเกี่ยวกับข้อมูลที่มีอยู่ในทีม

  “น่าจะเป็นอย่างนั้น!” ไป๋อี้พยักหน้า

  “เก่งกาจจริง ๆ ผู้ชายคนนี้ นายเป็นคนที่สามในทีมที่สัมผัสได้ถึงการไหลเวียนของพลังงานพิเศษในร่างกาย แม้ว่าจะยังไม่เห็นอะไรมาก แต่ก็น่าทึ่งจริง ๆ” วูล์ฟตบที่ไหล่มัลวีย์เป็นการหยอกล้อ จนเกือบจะทิ่มลงกับพื้นอยู่แล้ว

  อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่ามัลวีย์จะยังไม่ได้สติกลับคืน น่าทึ่งมาก การกลายพันธุ์ฉับพลันอย่างนั้นเหรอ?

  ไป๋อี้รู้ว่ามัลวีย์ยังไม่เชื่อในทันที ตั้งแต่การสัมผัสครั้งแรกเขาก็ดูออกแล้ว เรื่องแบบนี้เป็นเรื่องที่ไม่ควรรีบร้อน และมัลวีย์จะค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงไปทีละเล็กละน้อย

  ไป๋อี้ถือดาบเขี้ยวของเขาอย่างเงียบงัน เป็นความรู้สึกที่พอดีกับมือของเขาอย่างเหมาะเจาะ ใบมีดสีแดงเข้มใสสกาวเหมือนแก้ว อย่างไรก็ตามเขาจะกระตุ้นสารพิษในนั้นเพื่อใช้งานมันได้อย่างไร จู่ ๆ ไป๋อี้ก็เปิดรูม่านตาบุษบาผกผัน เขาสัมผัสได้ถึงการไหลเวียนของพลังงานพิเศษ แต่น่าเสียดายที่ดูเหมือนว่ามันจะไม่มีผลใด ๆ ต่อการใช้ดาบเขี้ยวเลย

  “สถานการณ์เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง” วูล์ฟมองคนข้าง ๆ อย่างประหลาดใจ ปรากฏว่ามัลวีย์นั้นมีความแข็งแกร่ง เขาไม่ได้เป็นอย่างที่เขาเคยกล่าวไว้ว่านอกจากสารทำละลายพิเศษแล้วเขาก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลย

  “ใช่ มันเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง” ไป๋อี้ถือดาบเขี้ยวไว้ในมือแล้วค่อย ๆ ยกขึ้น

  “นายอยากจะตั้งชื่อให้มันเหมือนดวงตาของนายไหมล่ะ รู้ไหมว่าม่านตาบุษบาผกผันมีชื่อเสียงมากตอนนี้” เฮลัวส์พูดติดตลก

  “ชื่องั้นเหรอ!” ไป๋อี้มองไปที่ใบมีดสีแดงเข้มของดาบของเขาพลางคิดอะไรอย่างเงียบ ๆ

  “ฉันว่า น่าจะเรียกว่า ……” เรย์มอนด์และมัลวีย์กำลังจะเอ่ยชื่อขึ้นมา แต่ไป๋อี้ก็พูดขึ้นก่อน

  “จุมพิตสีแดง เรียกมันว่าจุมพิตสีแดง”

  ไป๋อี้ทำให้คำพูดของวูล์ฟและเรย์มอนด์ติดอยู่ที่ลำคอ เมื่อเห็นท่าทางที่ไม่มีข้อกังขาของไป๋อี้ ชื่อที่พวกเขาคิดจะตั้งให้กับดาบเขี้ยวก่อนหน้านี้ก็ต้องเป็นอันถูกยกเลิกไป เรย์มอนด์นิ่งไปพร้อมกับบอกว่าชื่อนั้นช่างไร้รสนิยมจริง ๆ ไป๋อี้ได้แต่ยิ้มโดยไม่ได้อธิบายอะไร มีเพียงวูล์ฟและเฮลัวส์เท่านั้นที่เห็นสีหน้าของไป๋อี้และนึกได้ว่าชื่อนี้เกี่ยวกับหงฉี่ฮว๋า พวกเขาจึงพอคาดเดาความหมายของชื่อนี้ได้คร่าว ๆ

  อย่างไรก็ตาม ไป๋อี้ไม่ได้ยอมรับในข้อนั้นซะทีเดียว!

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

[นิยายแปล] มหาวิบัติยีนกลายพันธุ์ 141 จุมพิตสีแดง

Now you are reading [นิยายแปล] มหาวิบัติยีนกลายพันธุ์ Chapter 141 จุมพิตสีแดง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

  เขาไม่ได้ปกปิดแต่อย่างใด เพราะไป๋อี้รู้ว่าไม่ช้าก็เร็วเรื่องดวงตาของเขา0tต้องถูกเปิดเผยอย่างแน่นอน คนที่แข็งแกร่งอย่างแท้จริงย่อมเป็นจุดสนใจของทุกคนและเป็นที่พึ่งพาได้ ไม่ใช่ว่าฝ่ายตรงข้ามจะไม่เข้าใจความสามารถของเขาเลย แต่อย่างไรก็ตามถึงจะเข้าใจความสามารถนั้นก็ไม่มีทางจะรับมือได้ ไป๋อี้ในตอนนี้มีทัศนคติเช่นนี้

  บุษบาผกผัน!

  การจำลองธรรมชาติและการสร้างความสับสนตื่นตระหนกที่เกิดจากการผสมรวมยีนกับผีเสื้อนั้นผ่านการกระตุ้นมาจากการสูญเสียเพื่อนร่วมทีมหลายต่อหลายครั้ง นั่นจึงทำให้ดวงตาของเขาเกิดวิวัฒนาการอย่างต่อเนื่องและกลายเป็นความสามารถในการสะกดจิตขั้นรุนแรงในปัจจุบัน ดูเหมือนว่าทุกครั้งการนองเลือดของเพื่อนจะกลายเป็นที่มาของการวิวัฒนาการของดวงตาไป๋อี้ กล่าวได้ว่านี่คือดวงตาต้องสาปคู่หนึ่ง อย่างไรก็ตามไป๋อี้ต้องให้ความสำคัญกับดวงตาคู่นี้มาก ๆ

  ผู้ชายคนที่จงใจจะตรวจสอบความลับของไป๋อี้ล้มลงกับพื้น ในเวลานี้ไป๋อี้หันศีรษะและมองไปที่เวทีอย่างสงบ ขณะเดียวกันดวงตาของเขาก็เริ่มมีเลือดไหลออกมา

  สายตานั่น!

  ทุกคนที่มองไปยังเวทีต่างก็ตกตะลึงไปในทันที จากนั้นก็เปลี่ยนความสนใจไปโดยไม่รู้ตัว ดวงตาพิเศษ สายตาที่เย็นชา และการสร้างความสับสนตื่นตระหนกที่ทรงพลังทำให้ในสายตาทุกคนรู้สึกราวกับกำลังมองแววตาของเทพ ก่อนที่พวกเขาจะหลบสายตาไป๋อี้ไปโดยไม่รู้ตัว หลังจากที่พวกเขาตระหนักได้ถึงการล่าถอยอันเนื่องมาจากสายตาของไป๋อี้โดยไม่รู้เนื้อรู้ตัวแล้วนั้น คนทั้งสี่ท่ามกลางฝูงชนก็หันมาทันทีจากนั้นก็มองไปที่ไป๋อี้

  ไป๋อี้ยิ้มเล็ก ๆ อยู่ในใจ การเปลี่ยนแปลงทั้งหมดของทุกคนจากม่านตาบุษบาผกผันในลานกว้างจัตุรัสแห่งนี้อยู่ในสายตาของเขา ทั้งสี่คนฝืนสัญชาตญาณของร่างกายไม่ยอมถอยและมองมาที่เขา เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ใช่คนธรรมดา อย่างไรก็ตามนี่ไม่ใช่โอกาสที่จะแข่งขันกับทั้งสี่คนนี้ ดวงตาของไป๋อี้ค่อย ๆ เปลี่ยนไปอย่างช้า ๆ และค่อย ๆ เปลี่ยนกลับกลายเป็นดวงตาธรรมดาอีกครั้ง

  อย่างไรก็ตาม ทุกคนในที่นี้จดจำดวงตาคู่พิเศษของไป๋อี้ได้——นั่นคือม่านตาบุษบาผกผัน!

  “นี่คือความสามารถที่เกิดขึ้นหลังจากการกลายพันธุ์ของเซลล์ดัดแปลงที่อยู่ในตัวผม มันมีผลต่อการสะกดจิตบางอย่างต่อคนที่มองผม ความสามารถในการสะกดจิตที่ทรงพลังสามารถทำให้สิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ทั้งหลายเข้าสู่การนอนหลับลึกและทำให้ความกลมกลืนระหว่างร่างกายและจิตวิญญาณสอดประสานกันอย่างลึกซึ้งขึ้น นั่นคือเหตุผลที่ผมสามารถหยุดยั้งเรย์มอนด์ได้” ไป๋อี้พูดช้า ๆ ขณะที่ตอนนี้ยังมีอีกหลายคนที่สติยังไม่กลับมา

  “อย่าถามผมว่าผมกลายเป็นแบบนี้ไปได้ยังไง เพราะผมเองก็ไม่รู้เช่นกัน ผมบอกได้แค่ว่านี่มันเป็นอุบัติเหตุ”

  “นอกจากนี้ถ้าไม่ใช่เรื่องฉุกเฉิน โปรดอย่าขอให้ผมสะกดจิตทุกคนให้เข้าสู่การหลับลึก เพราะผมไม่สามารถทำได้ กล่าวคือแม้จะอยากช่วยแต่ความสามารถผมมีไม่มากพอ พลังดวงตาของผมใช้ได้อย่างจำกัด ดูสิ ผมเริ่มมีเลือดไหลออกมาหลังจากใช้พลังไปแค่ครั้งเดียว อันที่จริงการใช้วันละหลายครั้งจะส่งผลต่อการมองเห็นของผมเป็นอย่างมาก ผมตาบอดมานานกว่าหนึ่งเดือนเนื่องจากการใช้งานสายตาที่มากเกินไป” ไป๋อี้ชี้ไปที่ดวงตาของเขาอีกครั้ง เลือดที่ไหลออกมาก่อนหน้านี้ยังคงไหลอยู่บนใบหน้าของไป๋อี้

  ทุกคนมองไปที่หยาดเลือดที่ไหลจากดวงตาของไป๋อี้และพยักหน้าโดยไม่รู้ตัว

  ดูเหมือนว่าจะไม่สามารถพึ่งพาดวงตาของไป๋อี้ในการรับมือกับช่วงเวลาที่เข้าสู่ระยะดุร้ายได้ พวกเขายังคงต้องสำรวจตัวเองให้ดี อย่างไรก็ตามหลังจากรู้จักการสะกดจิตแล้วพวกเขาต่างก็สามารถคิดหาวิธีในเรื่องนี้ได้เช่นกัน

  คนอื่น ๆ ถอนหายใจอย่างโล่งอก แม้ว่าไป๋อี้จะบอกเพียงว่าดวงตาของเขาสามารถสะกดจิตได้ แต่ในใจของพวกเขาก็รู้สึกว่าดวงตาของไป๋อี้ยังมีประสิทธิภาพมากในการต่อสู้อีกด้วย ใครก็ตามที่ต่อสู้กับไป๋อี้ต่างก็กลัวว่าจะรับมือกับเขาไม่ได้ เพราะดวงตาเป็นประสาทสัมผัสทั้งห้าที่ทุกคนใช้มากที่สุด หากกลัวที่จะมองไปยังศัตรู ก็เป็นการยากที่จะต่อกรด้วย แม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะไม่ได้เป็นศัตรูกับไป๋อี้ แต่ในอนาคตอาจจะเป็นใครก็ได้

  ฮ่า ๆ~~!

  ไป๋อี้ยิ้มกริ่มอยู่ในใจ แน่นอนว่าดวงตาของเขาไม่ได้บอบบางถึงขนาดนี้ การใช้เพียงครั้งเดียวแล้วมีเลือดไหลออกมาก็เพียงเพื่อเสริมสร้างการโน้มน้าวใจเท่านั้น ส่วนจะเชื่อหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับพวกเขาจะคิด ความสามารถที่ทรงพลัง แต่ขณะเดียวกันก็มีข้อจำกัดและมีข้อบกพร่อง อย่างไรก็ตามนั่นยังคงทำให้คนส่วนใหญ่อุ่นใจได้อยู่บ้าง

  “แน่นอนว่าถ้าเป็นสถานการณ์เร่งด่วน คุณยังสามารถมาหาผมได้ มันเป็นหน้าที่ที่ผมจะไม่ปฏิเสธ” เมื่อไป๋อี้พูดแบบนี้นั่นทำให้เหล่าผู้คนกลับมามีความหวังอีกครั้ง อย่างไรก็ตามคาดว่าภายใต้สถานการณ์ปกติ ผู้คนเหล่านี้คงไม่ได้มารบกวนไป๋อี้อยู่เรื่อยไป แต่ถึงอย่างนั้นไป๋อี้ก็ยังมีวิธีปฏิเสธที่ดีอยู่เนื่องจากสายตาของเขาไม่สามารถใช้งานได้มากเกินไปนั่นเอง

  หลังจากนั้นไป๋อี้และแกรี่ก็ได้จัดการวางแผนเกี่ยวกับปัญหาการรวมตัวกัน แน่นอนว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่จะแยกทีมทุกทีมในตอนแรกและคาดว่าคงไม่มีใครเห็นด้วย พวกเขาเพียงแค่จัดสรรแต่ละทีมอย่างคร่าว ๆ รวบรวมวัสดุ ค้นหาพรสวรรค์ ค้นหาวัสดุที่ยังหลงเหลืออยู่ในนิวซีแลนด์ และหน้าที่รับผิดชอบต่าง ๆ

  เพราะสิ่งที่ไป๋อี้พูดก่อนหน้านี้ ทำให้แทบทุกคนมีความกระตือรือร้นเป็นอย่างมากและต้องการเริ่มต้นสู่การสร้างอิทธิพลให้แก่ตนเอง เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับตำแหน่งที่สูงขึ้นสืบไป บางทีความทะเยอทะยานและจุดมุ่งหมายของคนเหล่านี้นี่แหละที่เป็นที่มาของการพัฒนาโลกใบนี้

  ไป๋อี้มองไปที่แกรี่และหัวหน้าของทีมอื่น ๆ ที่คุยกันอยู่ตรงนั้นแล้วยิ้มกริ่มอยู่ในใจ

  จำนวนคนในหุบเขาหิมะมีจำนวนมากกว่า 3,000 คน ภายในไม่กี่วันนี้ความสามารถต่างๆของผู้คนได้ถูกค้นพบอย่างต่อเนื่อง การวางแผนและการก่อสร้างได้เริ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกันเพื่อการพัฒนามนุษยชาติในอนาคต ภายในเวลาเพียงสัปดาห์เดียวบรรยากาศในหุบเขาหิมะก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงกลายเป็นบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความหวังและความเฟื่องฟู แม้ว่านิวซีแลนด์จะยังคงได้ชื่อว่าเป็นเกาะปีศาจ แต่ความคิดของทุกคนก็เริ่มเปลี่ยนไปในทางที่ดีมากขึ้น

  ไม่ว่าจะบังเอิญหรือจงใจ แต่ไป๋อี้ก็ไม่ได้ดำรงตำแหน่งใด ๆ ในหมู่คนทั้งหลาย ดูเหมือนว่าทุกคนจะบีบคั้นจำกัดขอบเขตหน้าที่ไป๋อี้ไปโดยปริยาย ไม่เพียงแต่ชื่อเสียงและความนิยมของไป๋อี้จะสูงเกินไปเท่านั้น แต่อีกเหตุผลหนึ่งก็คือไป๋อี้เป็นคนจีน ซึ่งไม่ว่าอย่างไรก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงการเหยียดผิวได้

  อย่างไรก็ตามไป๋อี้ไม่ได้สนใจ ภารกิจของพวกเขาไม่ได้อยู่ที่นี่ ไป๋อี้และคนอื่น ๆ จะเดินทางไปทั่วนิวซีแลนด์และเชื่อมต่อกับมนุษย์ที่เกิดการวิวัฒนาการทั้งหมดที่ยังมีชีวิตอยู่

  บางทีพวกไป๋อี้คงไม่ต้องทำงานหนัก ถ้าการสื่อสารของนิวซีแลนด์เริ่มเปิดกว้างอีกครั้ง

  ……

  พวกเขาอยู่ต่ออีกหนึ่งสัปดาห์ หลังจากที่สิ่งต่าง ๆ ในหุบเขาเป็นไปตามปกติ ทีมของไป๋อี้ก็พร้อมที่จะดำเนินการต่อ เหตุผลที่เขาอยู่นานกว่าหนึ่งสัปดาห์ไม่ใช่เพราะไป๋อี้กังวลเกี่ยวกับเรื่องต่าง ๆ ในหุบเขาหิมะ แต่เป็นเพราะเขากำลังรอให้มัลวีย์ซ่อมแซมดาบของเขาอยู่

  หลังจากผ่านไปกว่าหนึ่งเดือนครึ่งก็เกือบจะเป็นเวลาเดียวกับที่มัลวีย์กล่าวไว้ในตอนแรก ดาบเขี้ยวได้กลับคืนมาในที่สุด

  หลังจากผ่านการบูรณะซ่อมแซม ดาบเขี้ยวมีความหนาขึ้นเป็นพิเศษกว่าก่อนหน้านี้ อีกทั้งใบมีดยังมีสีแดงเข้ม ยิ่งไปกว่านั้นที่ด้านหลังของใบมีดก็มีความเข้มของสีเพิ่มขึ้นไปอีก นอกจากนี้มัลวีย์ยังได้ทำการปรับเปลี่ยนรูปร่างของมีดดาบบางประการเพื่อให้ดูสวยงามยิ่งขึ้น หากดาบเขี้ยวก่อนหน้านี้มีรายละเอียดที่หยาบไปเสียหน่อย ดาบเขี้ยวในปัจจุบันก็ถือได้ว่าเป็นผลงานศิลปะชิ้นหนึ่ง งานศิลปะสำหรับการฆ่า

  “ตามคำขอของนาย ฉันซ่อนสารพิษเข้าไปด้วย ขอบคุณตัวทำละลายที่บอนนี่ช่วยคิดค้นไว้ให้ฉันจริง ๆ เมื่อฉันซ่อมมันฉันไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ฉันรู้สึกเสมอว่ามีบางอย่างไหลเวียนในร่างกายของฉัน และเหมือนมีบางอย่างขับเคลื่อนอยู่ในดาบเขี้ยวเช่นกัน ตอนนี้พิษถูกซ่อนไว้แล้ว แต่ฉันไม่ค่อยเข้าใจวิธีใช้งานมัน ดูเหมือนว่ามันต้องใช้บางอย่างในการไหลเวียนเข้าไปในดาบเขี้ยว” มัลวีย์พูดกับไป๋อี้

  ไหลเวียน?

  ไป๋อี้มองไปที่มัลวีย์ ผู้ชายคนนี้มีความสามารถมากกว่าที่คิดเสียอีก

  “ถ้าเดาไม่ผิด มันคงเป็นพลังงานพิเศษในร่างกายของนาย แม้ว่าโดยทั่วไปเราจะไม่สามารถรู้สึกได้ แต่พลังงานพิเศษก็มีอยู่จริง จากแง่มุมพื้นฐานที่สุดมันจะช่วยเพิ่มสมรรถภาพทางกายของมนุษย์ที่เกิดการวิวัฒนาการอย่างครอบคลุม ฉันไม่รู้ว่านายผสานรวมยีนกับอะไร ตอนนี้ดูเหมือนว่าไม่ว่าจะผสานรวมกับยีนอะไรก็ไม่สำคัญแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการกลายพันธุ์อย่างฉับพลัน” ไป๋อี้อธิบายช้า ๆ

  “ดวงตาของฉันและดวงตาของโม่โม่ถูกขับเคลื่อนด้วยการไหลเวียนของพลังงานพิเศษอย่างแข็งขัน เมื่อใช้แล้วพวกมันจะรองรับความสามารถนี้โดยอัตโนมัติ เลือดของนายมีความสามารถในการละลายกระดูกและฟันของสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ มันน่าจะเป็นการกลายพันธุ์อย่างฉับพลันชนิดหนึ่งตามที่ระบุไว้ในข้อมูลก่อนช่วงการกลายพันธุ์ LV2 อันที่จริงไม่น่าจะเป็นไปได้ที่มนุษย์และสัตว์ที่เกิดการวิวัฒนาการจะระดมพลังงานพิเศษในร่างกายได้อย่างแข็งขัน อย่างไรก็ตามภายใต้สถานการณ์พิเศษบางอย่างก็สามารถเกิดขึ้นได้ พลังงานพิเศษไหลเวียนอย่างต่อเนื่อง ความรู้สึกของนายเช่นนั้นมันน่าจะเป็นสถานการณ์อย่างที่บอกไปไม่ผิดแน่”

  “อย่างนี้เองเหรอ?”มัลวีย์รู้สึกลังเลและประหลาดใจเล็กน้อย ในช่วงนี้เขายุ่งอยู่กับการซ่อมแซมดาบเขี้ยวของเขา ดังนั้นเขาจึงไม่มีความเข้าใจโดยละเอียดเกี่ยวกับข้อมูลที่มีอยู่ในทีม

  “น่าจะเป็นอย่างนั้น!” ไป๋อี้พยักหน้า

  “เก่งกาจจริง ๆ ผู้ชายคนนี้ นายเป็นคนที่สามในทีมที่สัมผัสได้ถึงการไหลเวียนของพลังงานพิเศษในร่างกาย แม้ว่าจะยังไม่เห็นอะไรมาก แต่ก็น่าทึ่งจริง ๆ” วูล์ฟตบที่ไหล่มัลวีย์เป็นการหยอกล้อ จนเกือบจะทิ่มลงกับพื้นอยู่แล้ว

  อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่ามัลวีย์จะยังไม่ได้สติกลับคืน น่าทึ่งมาก การกลายพันธุ์ฉับพลันอย่างนั้นเหรอ?

  ไป๋อี้รู้ว่ามัลวีย์ยังไม่เชื่อในทันที ตั้งแต่การสัมผัสครั้งแรกเขาก็ดูออกแล้ว เรื่องแบบนี้เป็นเรื่องที่ไม่ควรรีบร้อน และมัลวีย์จะค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงไปทีละเล็กละน้อย

  ไป๋อี้ถือดาบเขี้ยวของเขาอย่างเงียบงัน เป็นความรู้สึกที่พอดีกับมือของเขาอย่างเหมาะเจาะ ใบมีดสีแดงเข้มใสสกาวเหมือนแก้ว อย่างไรก็ตามเขาจะกระตุ้นสารพิษในนั้นเพื่อใช้งานมันได้อย่างไร จู่ ๆ ไป๋อี้ก็เปิดรูม่านตาบุษบาผกผัน เขาสัมผัสได้ถึงการไหลเวียนของพลังงานพิเศษ แต่น่าเสียดายที่ดูเหมือนว่ามันจะไม่มีผลใด ๆ ต่อการใช้ดาบเขี้ยวเลย

  “สถานการณ์เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง” วูล์ฟมองคนข้าง ๆ อย่างประหลาดใจ ปรากฏว่ามัลวีย์นั้นมีความแข็งแกร่ง เขาไม่ได้เป็นอย่างที่เขาเคยกล่าวไว้ว่านอกจากสารทำละลายพิเศษแล้วเขาก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลย

  “ใช่ มันเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง” ไป๋อี้ถือดาบเขี้ยวไว้ในมือแล้วค่อย ๆ ยกขึ้น

  “นายอยากจะตั้งชื่อให้มันเหมือนดวงตาของนายไหมล่ะ รู้ไหมว่าม่านตาบุษบาผกผันมีชื่อเสียงมากตอนนี้” เฮลัวส์พูดติดตลก

  “ชื่องั้นเหรอ!” ไป๋อี้มองไปที่ใบมีดสีแดงเข้มของดาบของเขาพลางคิดอะไรอย่างเงียบ ๆ

  “ฉันว่า น่าจะเรียกว่า ……” เรย์มอนด์และมัลวีย์กำลังจะเอ่ยชื่อขึ้นมา แต่ไป๋อี้ก็พูดขึ้นก่อน

  “จุมพิตสีแดง เรียกมันว่าจุมพิตสีแดง”

  ไป๋อี้ทำให้คำพูดของวูล์ฟและเรย์มอนด์ติดอยู่ที่ลำคอ เมื่อเห็นท่าทางที่ไม่มีข้อกังขาของไป๋อี้ ชื่อที่พวกเขาคิดจะตั้งให้กับดาบเขี้ยวก่อนหน้านี้ก็ต้องเป็นอันถูกยกเลิกไป เรย์มอนด์นิ่งไปพร้อมกับบอกว่าชื่อนั้นช่างไร้รสนิยมจริง ๆ ไป๋อี้ได้แต่ยิ้มโดยไม่ได้อธิบายอะไร มีเพียงวูล์ฟและเฮลัวส์เท่านั้นที่เห็นสีหน้าของไป๋อี้และนึกได้ว่าชื่อนี้เกี่ยวกับหงฉี่ฮว๋า พวกเขาจึงพอคาดเดาความหมายของชื่อนี้ได้คร่าว ๆ

  อย่างไรก็ตาม ไป๋อี้ไม่ได้ยอมรับในข้อนั้นซะทีเดียว!

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+