[นิยายแปล] มหาวิบัติยีนกลายพันธุ์ 122 การรักษา

Now you are reading [นิยายแปล] มหาวิบัติยีนกลายพันธุ์ Chapter 122 การรักษา at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

         พวกเขาทั้งหลายพากันเลือกบ้านที่อยู่ไม่ไกล  จากระยะห่างออกไปนี้ทำให้สามารถหลีกเลี่ยงจากการล่อลวงจิตวิญญาณจากต้นไม้ที่อยู่ตรงกลางและไม่ถูกดูดซับเข้าไปเหมือนวิญญาณร้ายได้ แม้ว่าวิญญาณร้ายเหล่านี้จะดูสับสนมึนงงแต่ก็ดูเหมือนว่าสามารถทำความเข้าใจได้อยู่ไม่น้อย ต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ตรงกลางดึงดูดพวกมันเหมือนดอกป๊อปปี้ที่กระตุ้นทำให้พวกมันอยากที่จะเข้าใกล้แต่ในขณะเดียวกันก็ยังมีความกลัวโดยสัญชาตญาณอยู่

  ภายในบ้านมีศพอยู่สองสามศพ แต่ทุกคนก็ล้วนเฉยชา พวกเขาไม่แปลกใจและไม่ได้ให้ความสนใจด้วยซ้ำ

  “มีอะไร ทำไมไม่พูดอะไรกันเลย” ทั้งที่เข้ามาในบ้านกันเป็นเวลานาน แต่ก็ไม่มีใครพูดอะไรออกมาเลย ทุกคนต่างมองไปที่เมย์ริสด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกผิด รูปร่างของเมย์ริสในตอนนี้ไม่คงที่นัก มีการเปลี่ยนแปลงบิดเบี้ยวไปมาอยู่ตลอด เธอมีเพียงแค่รูปร่างอันเลือนรางเท่านั้น เมื่อเห็นดังนั้นทุกคนต่างก็เงียบกันหมด แต่ก่อนที่เมย์ริสจะทันได้พูดอะไรออกมา

  “ป้าเมย์ริส!” โม่โม่ก็มองไปที่เมย์ริสด้วยแววตาขมุกขมัว

  เมย์ริสยิ้ม เธออยากจะสัมผัสโม่โม่ แต่ในขณะที่กำลังจะสัมผัส เธอก็คิดขึ้นมาได้ว่าในตอนนี้ยังไม่เหมาะที่จะสัมผัสกับโม่โม่ การสัมผัสกันระหว่างวิญญาณที่ตายแล้วกับร่างกายคนเป็นไม่เพียงแต่จะเป็นการทำร้ายจิตวิญญาณของมนุษย์ ตัวของวิญญาณเองก็จะได้รับแรงกระตุ้นไปด้วย

  “ฉันผิดเอง เป็นเพราะฉันหมกมุ่นอยู่กับความอาฆาตแค้นมากเกินไป จึงทำให้ทุกคนต้องก้าวเข้ามาในสถานการณ์แบบนี้” ไป๋อี้พูดอย่างเจ็บปวด

  “อย่าโทษตัวเองเลย มันไม่ใช่เพราะนายทั้งหมดหรอกนะ ทุกคนต่างก็รู้กันดีตั้งแต่แรกแล้ว แต่ก็ยังไม่สายเกินไปที่นายจะตระหนักถึงสิ่งนี้” เมย์ริสพูด

  “การแก้แค้นไม่ใช่ทั้งหมด ในความเป็นจริง มีตำราหลายเล่มที่บันทึกไว้ถึงการแก้แค้นได้สำเร็จแต่ก็เหลือเพียงความว่างเปล่าในภายหลัง ฉันก็ไม่ได้เข้าใจอะไรมากนัก แต่นายเมื่อก่อนดูเหมือนจะไม่ฟังคำแนะนำของใครทั้งนั้น ดังนั้นฉันเลยไม่ได้พูดอะไร แต่ตอนนี้นายได้สติและรู้แล้วว่าในโลกนี้ยังมีสิ่งอื่นอีกมากมายที่สำคัญกว่าการแก้แค้น” เมย์ริสพูดต่อ ไป๋อี้มองไปที่เธอด้วยความประหลาดใจ ความจริงแล้วเมย์ริสก็สังเกตได้มานานแล้วแต่ก็ไม่ได้ห้ามปรามเขา แต่เธอกลับรอให้ไป๋อี้ได้ตระหนักรู้ด้วยตนเอง แม้ว่าการตระหนักรู้นี้จะต้องแลกกับการตายของตัวเธอเองก็ตาม

  “ขอโทษ ฉันขอโทษจริง ๆ!” สภาพของไป๋อี้ในตอนนี้ดูไม่ได้เลย ทั้งใบหน้าของเขาอาบไปด้วยน้ำตาที่ไหลเอ่อ

  เมื่อเห็นไป๋อี้ร้องไห้เป็นเด็กแบบนี้ เมย์ริสก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ ไม่มีใครเกิดมาตระหนักรู้ทุกอย่าง เมย์ริสไม่รู้อดีตที่ผ่านมาของไป๋อี้ แต่หลังจากที่ไป๋อี้มาที่นิวซีแลนด์ เมย์ริสก็เห็นได้ถึงการเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ ของเขา

  “ไม่ต้องขอโทษขอโพยแล้ว ฉันรู้สึกว่าการตายที่นี่ก็เป็นผลลัพธ์ที่ดี จะพูดยังไงดีล่ะ เหมือนกับว่าตอนนี้มีเพียงวิญญาณที่เวลลิงตันเท่านั้นที่สามารถรักษาสภาพของจิตวิญญาณได้ ก่อนหน้านี้ได้ยินจอห์นกับแอนนาบอกว่า ที่โลกภายนอกวิญญาณจะไม่สามารถดำรงอยู่ได้เลย” เมย์ริสยิ้มอย่างแผ่วเบา

  เห็นได้ชัดว่านี่เป็นเพียงคำพูดที่เมย์ริสใช้ปลอบใจทุกคน แต่ว่าทุกคนกลับเชื่อคำของเธออย่างง่ายดาย

  “แล้วเวอร์เนอร์ล่ะ?” เมย์ริสเปิดประเด็นใหม่

  “พวกเราหาเขาไม่เจอ ตอนที่ถูกโจมตีอย่างคลุ้มคลั่งของวิญญาณ ทุกคนต่างก็เข้าสู้ระยะดุร้ายและคลุ้มคลั่งจนไม่สามารถมีสติรับรู้ใด ๆ  เวอร์เนอร์และพวกหยูหานไม่ได้อยู่ในพื้นโดยรอบบริเวณใจกลางต้นไม้ใหญ่ ดังนั้นฉันจึงไม่รู้ว่าพวกเขาไปที่ไหน” หลังจากที่ไป๋อี้ร้องไห้ออกมา เขาก็รีบรวบรวมสติแล้วตอบคำถามของเมย์ริส

  “แบบนี้นี่เอง หวังว่าเด็กคนนั้นจะไม่เป็นอะไรนะ” เมย์ริสพยักหน้า

  “แล้วพวกนายมีแผนอะไรต่อ?”

  “เราต้องรักษาบาดแผลกันก่อน แล้วตามหาเฮลัวส์กับเวอร์เนอร์ในภายหลัง จากนั้นก็ออกไปจากที่นี่เพื่อหาวิธีคืนชีพให้กับทุกคน ถ้าหากหลังจากนี้ได้เจอกับหยูหานเข้า ฉันจะคิดให้รอบคอบในสิ่งที่จะทำมากขึ้นและจะไม่ทำให้เพื่อน ๆ ถูกทำร้ายอีกครั้งโดยเด็ดขาด” ไป๋อี้พูดอย่างจริงจัง

  “นายก็พิจารณาเอาเองก็แล้วกัน นายเป็นหัวหน้านี่!” เมย์ริสพยักหน้า

  “ฉันจะต้องหาวิธีช่วยคืนชีวิตป้าเมย์ริสได้แน่” อยู่ ๆ โม่โม่ก็พูดขึ้นมา ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นจริงจัง

  เมย์ริสชะงักไปครู่หนึ่งแล้วหัวเราะออกมา

  “โอเค งั้นฉันจะรอนะ เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ คำพูดของฉันก่อนหน้านี้ไม่ใช่เพื่อปลอบใจทุกคนนะ มันเป็นคำพูดจากใจฉันจริง ๆ สภาพของจิตวิญญาณไม่ใช่สิ่งที่ทุกคนจะเข้าใจมันได้ ในเมื่อตอนนี้ฉันกลายเป็นวิญญาณแล้ว งั้นก็มาลองทำความเข้าใจกับการเปลี่ยนแปลงของเวลลิงตันอย่างละเอียดดูกันเถอะ การเปลี่ยนแปลงของรูปแบบชีวิต ร่างกาย และจิตวิญญาณต่าง ๆ มันมีความสัมพันธ์กันยังไง แล้วหลังจากนั้น ฉันก็จะรอโมโม่มาช่วยฟื้นชีวิตฉัน” เมย์ริสพูดกับโม่โม่อย่างเอ็นดู

  “อือ หนูทำได้ค่ะ” โม่โม่ตอบอย่างจริงจัง

  ทุกคนมองไปที่ใบหน้าเล็ก ๆ ของโม่โม่และอดไม่ได้ที่จะเชื่อว่าโม่โม่จะสามารถหาวิธีที่ทำให้คนตายกลับมามีชีวิตอีกครั้งได้ ไม่เพียงแค่เพราะโม่โม่สามารถมองเห็นร่างวิญญาณได้เท่านั้น แต่เธอยังมีการเปลี่ยนแปลงบางอย่างที่ไม่สามารถอธิบายได้อีกด้วย  อย่างไรก็ตามสิ่งสำคัญคือทุกคนเชื่อใจและเชื่อมั่นอย่างแท้จริงว่าโม่โม่จะสามารถทำสิ่งนั้นได้อย่างแน่นอน

  “ดูเหมือนว่าอาการบาดเจ็บจะรุนแรงมาก เธอรู้วิธีรักษามันไหม?” เมย์ริสถาม

  “อาการบาดเจ็บของจิตวิญญาณ แน่นอนว่าต้องใช้ดอกไม้มรณะ” ไป๋อี้มองไปที่ดอกไม้มรณะดอกเล็กที่อยู่มุมห้อง เนื่องจากเป็นใจกลางเมืองผีสิงแห่งเวลลิงตัน ดังนั้นแม้ว่าจะไม่ได้พบมันได้ในทุกหนทุกแห่งแต่ก็ไม่ได้หายากขนาดนั้น

  “จะเก็บยังไงล่ะ?”

  นี่เป็นปัญหาหนึ่ง หากเด็ดดอกไม้มรณะอย่างไม่ถูกวิธี อาจจะส่งผลร้ายแรงยิ่งขึ้นต่อจิตวิญญาณจนอาจคลุ้มคลั่งอีก ยิ่งไปกว่านั้นจิตวิญญาณทุกคนในตอนนี้ก็ได้รับบาดเจ็บกันหมด ทำให้ยิ่งทวีผลกระทบมากขึ้นไปอีก แต่ก่อนที่ทุกคนจะได้พูดอะไร โม่โม่ก็ได้เดินไปทางดอกไม้ดอกนั้นเสียแล้ว และตอนที่ไป๋อี้กำลังจะพูดบางอย่าง โม่โม่ก็ได้ชักมีดสั้นออกมา

  ท่ามกลางสายตาฉงนของทุกคน โม่โม่ชูมีดสั้นขึ้นและปรากฏเป็นควันจาง ๆ ขึ้นมาจากด้านบน เห็นได้ชัดว่านี่ไม่ใช่แสงจันทร์ที่ส่องมาจากด้านนอกอย่างแน่นอน แต่เป็นควันที่กระจายมาจากปลายมีดสั้นของโม่โม่

  พลังพิเศษ!

  ในตอนนี้ไม่สามารถอธิบายเป็นคำอื่นได้อีก ทุกคนต่างประหลาดใจเป็นอย่างมาก แม้แต่ไป๋อี้ก็สามารถระดมพลังพิเศษมาที่ดวงตาได้ก็ต่อเมื่อใช้ม่านตาบุษบาผกผันเท่านั้น ทว่าโม่โม่กลับแค่ชูมีดสั้นธรรมดาขึ้นมาก็สามารถระดมพลังพิเศษได้แล้ว หรือว่าพรสวรรค์ของโม่โม่จะแข็งแกร่งยิ่งกว่าไป๋อี้?

  มีดสั้นของโม่โม่ปักเข้าที่รากของดอกไม้มรณะ ทันใดนั้นก็มีควันสีดำลอยขึ้นมา สีของมันดำมืดยิ่งกว่าวิญญาณร้ายเสียอีก แต่เมื่อกลุ่มควันสีดำพวกนี้สัมผัสโดนมีดสั้นของโม่โม่ มันก็ล่าถอยกลับไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นดอกไม้มรณะก็ถูกโม่โม่หยิบขึ้นมาจากซากศพ

  คนอื่น ๆ มองไปที่ดอกไม้มรณะพร้อมกัน การกระทำเช่นนี้นับว่าเป็นการเด็ดออกมาแล้วหรือเปล่า?

  แต่ว่า รู้สึกเหมือนขาดอะไรไปบางอย่าง

  “ไป๋อี้ นายจำสิ่งที่หยูหานหยดลงบนร่างตอนที่พวกเขาวิ่งไปตรงใจกลางเมืองได้ไหม? หน้าตามันเป็นยังไง” เมย์ริสพูดขึ้นมา แน่นอนว่าจิตใจของผู้หญิงนั้นมีความละเอียดละอ่อนกว่ามาก เมื่อพวกไป๋อี้ได้ยินดังนั้นก็หวนนึกได้ถึงสารบริสุทธิ์ของต้นไม้ที่พวกหยูหานหยดลงบนร่างกาย พวกไป๋อี้ไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่เหมือนว่ามันจะมีผลต่อการควบคุมจิตวิญญาณ

  “ใช่แล้ว พวกหยูหานมาเวลลิงตันเพื่อตามหาดอกไม้มรณะอย่างแน่นอน พวกเขาจึงเตรียมตัวมาดีกว่าพวกเรา”

  โม่โม่ไม่รอให้ไปอี้ได้เปิดปากพูด ก็ได้ยื่นมือขวาออกไป ผีเสื้อกลืนกินวิญญาณกลุ่มหนึ่งก็ค่อย ๆ บินออกมาจากหลังมือของโม่โม่ จากนั้นทุกคนก็เห็นโม่โม่และผีเสื้อกลืนกินวิญญาณสื่อสารกันโดยไร้ซึ่งเสียงเสวนา หลังจากกลุ่มผีเสื้อบินออกไป โม่โม่ก็เพิ่งจะเห็นว่าทุกคนกำลังมองเธออย่างตกตะลึง

  “หนูแค่ถามพวกผีเสื้อว่าพวกเขารู้ไหมว่าสิ่งที่พวกหยูหานทำอยู่ที่ไหน” โม่โม่รีบอธิบายอย่างรีบร้อน

  “ไม่ต้องกังวลไป หนูทำได้ดีมาก” ไป๋อี้ลูบหัวเล็ก ๆ ของโม่โม่

  พวกเขาต่างก็ประหลาดใจกับความสามารถในปัจจุบันของโม่โม่ ก่อนเข้ามาในเวลลิงตัน นอกจากที่โม่โม่จะมีความสงบและเข้มแข็งแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นเธอยังสามารถรับความกดดันได้ดีกว่าเด็กคนอื่น ๆ อีกด้วย และโม่โม่ก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษเลยเหนือจากสิ่งเหล่านั้น จนอาจกล่าวได้ว่าโม่โม่ในตอนนั้นอ่อนแอที่สุดในทีม แต่อย่างไรก็ตามหลังจากเข้าสู่เวลลิงตัน โม่โม่ก็เริ่มเปลี่ยนไปทีละเล็กละน้อยราวกับได้รับการกระตุ้นจากบางอย่าง ตั้งแต่ครั้งแรกที่หนูน้อยสามารถมองเห็นวิญญาณได้ จนมาถึงการสังหารวิญญาณในตอนนี้ การเปลี่ยนแปลงนี้รวดเร็วจนน่าตกใจ

  หรือความจริงแล้ว โม่โม่ไม่ได้เปลี่ยนไปแต่อย่างใด เธอเพียงแค่ขาดโอกาสในการแสดงความสามารถเท่านั้น เลือดจากร่างแม่แบบที่หยดสู่ดวงตาทั้งสองข้างของโม่โม่นั้นแน่นอนว่าเป็นส่วนขับเคลื่อนที่สำคัญมาก

  แต่คาดไม่ถึงเลยว่าจะเป็นความสามารถทางด้านจิตวิญญาณ  หลังจากนี้โม่โม่จะทนได้ไหมกับชีวิตที่ต้องเห็นวิญญาณอยู่ทุกวี่วัน

  ไป๋อี้ลูบโมโม่เบา ๆ ด้วยความกังวลกับสิ่งที่ขบคิดอยู่ในจิตใจ เวลานี้ไม่มีใครคิดการณ์ไกลไปถึงเรื่องในอนาคต ไม่รู้ว่าหลังจากนี้โม่โม่จะดำเนินชีวิตแบบไหน

  หลังจากนั้นไม่นาน โม่โม่ก็ได้รับข้อมูลจากผีเสื้อกลืนกินวิญญาณ พวกมันเจอสิ่งที่พวกหยูหานทำหาย นั่นก็คือกระเป๋าเดินทางลับ กระเป๋าเดินทางใบนี้คล้ายกับกระเป๋าที่พวกไป๋อี้ได้มาจากสถาบันวิจัย มันมีความแข็งแรงทนทานมาก จึงต้องใช้เวลาเกือบทั้งวันถึงจะสามารถเปิดมันออกมาได้ และในที่สุดพวกเขาก็ได้เห็นสิ่งที่อยู่ข้างใน

  น้ำสกัดจากต้นไม้วิญญาณบริสุทธิ์และยังมีวัตถุดิบสำคัญอีกจำนวนหนึ่ง

  “ดูเหมือนว่าเขาจะได้ของมามากกว่าพวกเรานะ” วูล์ฟพูด

  “อือ นั่นน่ะสิ เขาโชคดีมาโดยตลอด บางทีในตอนนั้นอาจจะมีคนช่วยเขาไว้ก็ได้ เขาถึงได้รอดจากวิกฤติมาได้ อีกทั้งยังได้ของดีแบบนี้มาอีก” ไป๋อี้พูดเย้ยหยันเล็กน้อย อันที่จริงโชคของหยูหานก็ดีจริง ๆ หากไม่ใช่เพราะความคิดมุ่งร้ายในช่วงแรก บางทีสถานการณ์ในตอนนี้คงจะเป็นไปอีกแบบหนึ่ง แต่สิ่งที่ไป๋อี้คาดไม่ถึงนั่นก็คือคำพูดเย้ยหยันที่พูดออกมานั้น มันคือการคาดเดาที่ถูกต้อง

  ในเวลาไม่นาน ทุกคนก็ค้นพบวิธีใช้น้ำสกัดจากต้นไม้วิญญาณบริสุทธิ์ เมื่อวิญญาณสกปรกโสมมที่อยู่ตรงรากดอกไม้มรณะถูกชำระล้างให้บริสุทธิ์แล้ว ก็ปรากฏแสงเปล่งประกายจาง ๆ ออกมา ทุกคนรู้ได้ทันทีว่าการคาดการณ์ของพวกเขาถูกต้อง นี่คือวิธีการเก็บดอกไม้มรณะที่แท้จริง แม้ว่าก่อนหน้านี้โม่โม่จะเด็ดดอกไม้มรณะขึ้นมาแล้ว แต่ดอกไม้มรณะดอกนั้นอาจมีข้อบกพร่อง

  “ขอโทษทีนะ ฉันไม่รู้วิธีปรุงยาจากดอกไม้มรณะ” เมย์ริสกล่าว

  “ไม่เป็นไร กินมันทั้งอย่างนี้เลย” ไป๋อี้พูดนิ่ง ๆ แล้วก็นำดอกไม้มรณะใส่เข้าไปในปาก

  เมย์ริสเป็นหมอ แต่ถึงแม้ว่าเธอจะคุ้นเคยกับร่างกายมนุษย์และการรักษาปัจจุบันเป็นอย่างดี แต่เธอไม่มีความชำนาญในการสกัดและปรุงยาจากพืชชนิดใหม่พวกนี้ พูดง่าย ๆ คือเมย์ริสเป็นหมอ แต่หญิงสาวที่พวกหยูหานเจอนั้นเป็น “นักปรุงยา” ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในนิวซีแลนด์ดินแดนใหม่แห่งนี้

  นักปรุงยา คือ ผู้มีความเชี่ยวชาญในการสกัดสรรพคุณของยา สามารถสกัดส่วนผสมที่มีประสิทธิภาพในพืชแต่ละชนิดและสามารถแยกแยะออกมาเพื่อนำมาปรุงยาได้

  นี่เป็นอาชีพใหม่ที่ปรากฏขึ้นบนเกาะปีศาจแห่งนี้ ซึ่งยังห่างไกลจากความสมบูรณ์แบบและยังคงทดลองอยู่

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

[นิยายแปล] มหาวิบัติยีนกลายพันธุ์ 122 การรักษา

Now you are reading [นิยายแปล] มหาวิบัติยีนกลายพันธุ์ Chapter 122 การรักษา at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

         พวกเขาทั้งหลายพากันเลือกบ้านที่อยู่ไม่ไกล  จากระยะห่างออกไปนี้ทำให้สามารถหลีกเลี่ยงจากการล่อลวงจิตวิญญาณจากต้นไม้ที่อยู่ตรงกลางและไม่ถูกดูดซับเข้าไปเหมือนวิญญาณร้ายได้ แม้ว่าวิญญาณร้ายเหล่านี้จะดูสับสนมึนงงแต่ก็ดูเหมือนว่าสามารถทำความเข้าใจได้อยู่ไม่น้อย ต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ตรงกลางดึงดูดพวกมันเหมือนดอกป๊อปปี้ที่กระตุ้นทำให้พวกมันอยากที่จะเข้าใกล้แต่ในขณะเดียวกันก็ยังมีความกลัวโดยสัญชาตญาณอยู่

  ภายในบ้านมีศพอยู่สองสามศพ แต่ทุกคนก็ล้วนเฉยชา พวกเขาไม่แปลกใจและไม่ได้ให้ความสนใจด้วยซ้ำ

  “มีอะไร ทำไมไม่พูดอะไรกันเลย” ทั้งที่เข้ามาในบ้านกันเป็นเวลานาน แต่ก็ไม่มีใครพูดอะไรออกมาเลย ทุกคนต่างมองไปที่เมย์ริสด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกผิด รูปร่างของเมย์ริสในตอนนี้ไม่คงที่นัก มีการเปลี่ยนแปลงบิดเบี้ยวไปมาอยู่ตลอด เธอมีเพียงแค่รูปร่างอันเลือนรางเท่านั้น เมื่อเห็นดังนั้นทุกคนต่างก็เงียบกันหมด แต่ก่อนที่เมย์ริสจะทันได้พูดอะไรออกมา

  “ป้าเมย์ริส!” โม่โม่ก็มองไปที่เมย์ริสด้วยแววตาขมุกขมัว

  เมย์ริสยิ้ม เธออยากจะสัมผัสโม่โม่ แต่ในขณะที่กำลังจะสัมผัส เธอก็คิดขึ้นมาได้ว่าในตอนนี้ยังไม่เหมาะที่จะสัมผัสกับโม่โม่ การสัมผัสกันระหว่างวิญญาณที่ตายแล้วกับร่างกายคนเป็นไม่เพียงแต่จะเป็นการทำร้ายจิตวิญญาณของมนุษย์ ตัวของวิญญาณเองก็จะได้รับแรงกระตุ้นไปด้วย

  “ฉันผิดเอง เป็นเพราะฉันหมกมุ่นอยู่กับความอาฆาตแค้นมากเกินไป จึงทำให้ทุกคนต้องก้าวเข้ามาในสถานการณ์แบบนี้” ไป๋อี้พูดอย่างเจ็บปวด

  “อย่าโทษตัวเองเลย มันไม่ใช่เพราะนายทั้งหมดหรอกนะ ทุกคนต่างก็รู้กันดีตั้งแต่แรกแล้ว แต่ก็ยังไม่สายเกินไปที่นายจะตระหนักถึงสิ่งนี้” เมย์ริสพูด

  “การแก้แค้นไม่ใช่ทั้งหมด ในความเป็นจริง มีตำราหลายเล่มที่บันทึกไว้ถึงการแก้แค้นได้สำเร็จแต่ก็เหลือเพียงความว่างเปล่าในภายหลัง ฉันก็ไม่ได้เข้าใจอะไรมากนัก แต่นายเมื่อก่อนดูเหมือนจะไม่ฟังคำแนะนำของใครทั้งนั้น ดังนั้นฉันเลยไม่ได้พูดอะไร แต่ตอนนี้นายได้สติและรู้แล้วว่าในโลกนี้ยังมีสิ่งอื่นอีกมากมายที่สำคัญกว่าการแก้แค้น” เมย์ริสพูดต่อ ไป๋อี้มองไปที่เธอด้วยความประหลาดใจ ความจริงแล้วเมย์ริสก็สังเกตได้มานานแล้วแต่ก็ไม่ได้ห้ามปรามเขา แต่เธอกลับรอให้ไป๋อี้ได้ตระหนักรู้ด้วยตนเอง แม้ว่าการตระหนักรู้นี้จะต้องแลกกับการตายของตัวเธอเองก็ตาม

  “ขอโทษ ฉันขอโทษจริง ๆ!” สภาพของไป๋อี้ในตอนนี้ดูไม่ได้เลย ทั้งใบหน้าของเขาอาบไปด้วยน้ำตาที่ไหลเอ่อ

  เมื่อเห็นไป๋อี้ร้องไห้เป็นเด็กแบบนี้ เมย์ริสก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ ไม่มีใครเกิดมาตระหนักรู้ทุกอย่าง เมย์ริสไม่รู้อดีตที่ผ่านมาของไป๋อี้ แต่หลังจากที่ไป๋อี้มาที่นิวซีแลนด์ เมย์ริสก็เห็นได้ถึงการเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ ของเขา

  “ไม่ต้องขอโทษขอโพยแล้ว ฉันรู้สึกว่าการตายที่นี่ก็เป็นผลลัพธ์ที่ดี จะพูดยังไงดีล่ะ เหมือนกับว่าตอนนี้มีเพียงวิญญาณที่เวลลิงตันเท่านั้นที่สามารถรักษาสภาพของจิตวิญญาณได้ ก่อนหน้านี้ได้ยินจอห์นกับแอนนาบอกว่า ที่โลกภายนอกวิญญาณจะไม่สามารถดำรงอยู่ได้เลย” เมย์ริสยิ้มอย่างแผ่วเบา

  เห็นได้ชัดว่านี่เป็นเพียงคำพูดที่เมย์ริสใช้ปลอบใจทุกคน แต่ว่าทุกคนกลับเชื่อคำของเธออย่างง่ายดาย

  “แล้วเวอร์เนอร์ล่ะ?” เมย์ริสเปิดประเด็นใหม่

  “พวกเราหาเขาไม่เจอ ตอนที่ถูกโจมตีอย่างคลุ้มคลั่งของวิญญาณ ทุกคนต่างก็เข้าสู้ระยะดุร้ายและคลุ้มคลั่งจนไม่สามารถมีสติรับรู้ใด ๆ  เวอร์เนอร์และพวกหยูหานไม่ได้อยู่ในพื้นโดยรอบบริเวณใจกลางต้นไม้ใหญ่ ดังนั้นฉันจึงไม่รู้ว่าพวกเขาไปที่ไหน” หลังจากที่ไป๋อี้ร้องไห้ออกมา เขาก็รีบรวบรวมสติแล้วตอบคำถามของเมย์ริส

  “แบบนี้นี่เอง หวังว่าเด็กคนนั้นจะไม่เป็นอะไรนะ” เมย์ริสพยักหน้า

  “แล้วพวกนายมีแผนอะไรต่อ?”

  “เราต้องรักษาบาดแผลกันก่อน แล้วตามหาเฮลัวส์กับเวอร์เนอร์ในภายหลัง จากนั้นก็ออกไปจากที่นี่เพื่อหาวิธีคืนชีพให้กับทุกคน ถ้าหากหลังจากนี้ได้เจอกับหยูหานเข้า ฉันจะคิดให้รอบคอบในสิ่งที่จะทำมากขึ้นและจะไม่ทำให้เพื่อน ๆ ถูกทำร้ายอีกครั้งโดยเด็ดขาด” ไป๋อี้พูดอย่างจริงจัง

  “นายก็พิจารณาเอาเองก็แล้วกัน นายเป็นหัวหน้านี่!” เมย์ริสพยักหน้า

  “ฉันจะต้องหาวิธีช่วยคืนชีวิตป้าเมย์ริสได้แน่” อยู่ ๆ โม่โม่ก็พูดขึ้นมา ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นจริงจัง

  เมย์ริสชะงักไปครู่หนึ่งแล้วหัวเราะออกมา

  “โอเค งั้นฉันจะรอนะ เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ คำพูดของฉันก่อนหน้านี้ไม่ใช่เพื่อปลอบใจทุกคนนะ มันเป็นคำพูดจากใจฉันจริง ๆ สภาพของจิตวิญญาณไม่ใช่สิ่งที่ทุกคนจะเข้าใจมันได้ ในเมื่อตอนนี้ฉันกลายเป็นวิญญาณแล้ว งั้นก็มาลองทำความเข้าใจกับการเปลี่ยนแปลงของเวลลิงตันอย่างละเอียดดูกันเถอะ การเปลี่ยนแปลงของรูปแบบชีวิต ร่างกาย และจิตวิญญาณต่าง ๆ มันมีความสัมพันธ์กันยังไง แล้วหลังจากนั้น ฉันก็จะรอโมโม่มาช่วยฟื้นชีวิตฉัน” เมย์ริสพูดกับโม่โม่อย่างเอ็นดู

  “อือ หนูทำได้ค่ะ” โม่โม่ตอบอย่างจริงจัง

  ทุกคนมองไปที่ใบหน้าเล็ก ๆ ของโม่โม่และอดไม่ได้ที่จะเชื่อว่าโม่โม่จะสามารถหาวิธีที่ทำให้คนตายกลับมามีชีวิตอีกครั้งได้ ไม่เพียงแค่เพราะโม่โม่สามารถมองเห็นร่างวิญญาณได้เท่านั้น แต่เธอยังมีการเปลี่ยนแปลงบางอย่างที่ไม่สามารถอธิบายได้อีกด้วย  อย่างไรก็ตามสิ่งสำคัญคือทุกคนเชื่อใจและเชื่อมั่นอย่างแท้จริงว่าโม่โม่จะสามารถทำสิ่งนั้นได้อย่างแน่นอน

  “ดูเหมือนว่าอาการบาดเจ็บจะรุนแรงมาก เธอรู้วิธีรักษามันไหม?” เมย์ริสถาม

  “อาการบาดเจ็บของจิตวิญญาณ แน่นอนว่าต้องใช้ดอกไม้มรณะ” ไป๋อี้มองไปที่ดอกไม้มรณะดอกเล็กที่อยู่มุมห้อง เนื่องจากเป็นใจกลางเมืองผีสิงแห่งเวลลิงตัน ดังนั้นแม้ว่าจะไม่ได้พบมันได้ในทุกหนทุกแห่งแต่ก็ไม่ได้หายากขนาดนั้น

  “จะเก็บยังไงล่ะ?”

  นี่เป็นปัญหาหนึ่ง หากเด็ดดอกไม้มรณะอย่างไม่ถูกวิธี อาจจะส่งผลร้ายแรงยิ่งขึ้นต่อจิตวิญญาณจนอาจคลุ้มคลั่งอีก ยิ่งไปกว่านั้นจิตวิญญาณทุกคนในตอนนี้ก็ได้รับบาดเจ็บกันหมด ทำให้ยิ่งทวีผลกระทบมากขึ้นไปอีก แต่ก่อนที่ทุกคนจะได้พูดอะไร โม่โม่ก็ได้เดินไปทางดอกไม้ดอกนั้นเสียแล้ว และตอนที่ไป๋อี้กำลังจะพูดบางอย่าง โม่โม่ก็ได้ชักมีดสั้นออกมา

  ท่ามกลางสายตาฉงนของทุกคน โม่โม่ชูมีดสั้นขึ้นและปรากฏเป็นควันจาง ๆ ขึ้นมาจากด้านบน เห็นได้ชัดว่านี่ไม่ใช่แสงจันทร์ที่ส่องมาจากด้านนอกอย่างแน่นอน แต่เป็นควันที่กระจายมาจากปลายมีดสั้นของโม่โม่

  พลังพิเศษ!

  ในตอนนี้ไม่สามารถอธิบายเป็นคำอื่นได้อีก ทุกคนต่างประหลาดใจเป็นอย่างมาก แม้แต่ไป๋อี้ก็สามารถระดมพลังพิเศษมาที่ดวงตาได้ก็ต่อเมื่อใช้ม่านตาบุษบาผกผันเท่านั้น ทว่าโม่โม่กลับแค่ชูมีดสั้นธรรมดาขึ้นมาก็สามารถระดมพลังพิเศษได้แล้ว หรือว่าพรสวรรค์ของโม่โม่จะแข็งแกร่งยิ่งกว่าไป๋อี้?

  มีดสั้นของโม่โม่ปักเข้าที่รากของดอกไม้มรณะ ทันใดนั้นก็มีควันสีดำลอยขึ้นมา สีของมันดำมืดยิ่งกว่าวิญญาณร้ายเสียอีก แต่เมื่อกลุ่มควันสีดำพวกนี้สัมผัสโดนมีดสั้นของโม่โม่ มันก็ล่าถอยกลับไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นดอกไม้มรณะก็ถูกโม่โม่หยิบขึ้นมาจากซากศพ

  คนอื่น ๆ มองไปที่ดอกไม้มรณะพร้อมกัน การกระทำเช่นนี้นับว่าเป็นการเด็ดออกมาแล้วหรือเปล่า?

  แต่ว่า รู้สึกเหมือนขาดอะไรไปบางอย่าง

  “ไป๋อี้ นายจำสิ่งที่หยูหานหยดลงบนร่างตอนที่พวกเขาวิ่งไปตรงใจกลางเมืองได้ไหม? หน้าตามันเป็นยังไง” เมย์ริสพูดขึ้นมา แน่นอนว่าจิตใจของผู้หญิงนั้นมีความละเอียดละอ่อนกว่ามาก เมื่อพวกไป๋อี้ได้ยินดังนั้นก็หวนนึกได้ถึงสารบริสุทธิ์ของต้นไม้ที่พวกหยูหานหยดลงบนร่างกาย พวกไป๋อี้ไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่เหมือนว่ามันจะมีผลต่อการควบคุมจิตวิญญาณ

  “ใช่แล้ว พวกหยูหานมาเวลลิงตันเพื่อตามหาดอกไม้มรณะอย่างแน่นอน พวกเขาจึงเตรียมตัวมาดีกว่าพวกเรา”

  โม่โม่ไม่รอให้ไปอี้ได้เปิดปากพูด ก็ได้ยื่นมือขวาออกไป ผีเสื้อกลืนกินวิญญาณกลุ่มหนึ่งก็ค่อย ๆ บินออกมาจากหลังมือของโม่โม่ จากนั้นทุกคนก็เห็นโม่โม่และผีเสื้อกลืนกินวิญญาณสื่อสารกันโดยไร้ซึ่งเสียงเสวนา หลังจากกลุ่มผีเสื้อบินออกไป โม่โม่ก็เพิ่งจะเห็นว่าทุกคนกำลังมองเธออย่างตกตะลึง

  “หนูแค่ถามพวกผีเสื้อว่าพวกเขารู้ไหมว่าสิ่งที่พวกหยูหานทำอยู่ที่ไหน” โม่โม่รีบอธิบายอย่างรีบร้อน

  “ไม่ต้องกังวลไป หนูทำได้ดีมาก” ไป๋อี้ลูบหัวเล็ก ๆ ของโม่โม่

  พวกเขาต่างก็ประหลาดใจกับความสามารถในปัจจุบันของโม่โม่ ก่อนเข้ามาในเวลลิงตัน นอกจากที่โม่โม่จะมีความสงบและเข้มแข็งแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นเธอยังสามารถรับความกดดันได้ดีกว่าเด็กคนอื่น ๆ อีกด้วย และโม่โม่ก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษเลยเหนือจากสิ่งเหล่านั้น จนอาจกล่าวได้ว่าโม่โม่ในตอนนั้นอ่อนแอที่สุดในทีม แต่อย่างไรก็ตามหลังจากเข้าสู่เวลลิงตัน โม่โม่ก็เริ่มเปลี่ยนไปทีละเล็กละน้อยราวกับได้รับการกระตุ้นจากบางอย่าง ตั้งแต่ครั้งแรกที่หนูน้อยสามารถมองเห็นวิญญาณได้ จนมาถึงการสังหารวิญญาณในตอนนี้ การเปลี่ยนแปลงนี้รวดเร็วจนน่าตกใจ

  หรือความจริงแล้ว โม่โม่ไม่ได้เปลี่ยนไปแต่อย่างใด เธอเพียงแค่ขาดโอกาสในการแสดงความสามารถเท่านั้น เลือดจากร่างแม่แบบที่หยดสู่ดวงตาทั้งสองข้างของโม่โม่นั้นแน่นอนว่าเป็นส่วนขับเคลื่อนที่สำคัญมาก

  แต่คาดไม่ถึงเลยว่าจะเป็นความสามารถทางด้านจิตวิญญาณ  หลังจากนี้โม่โม่จะทนได้ไหมกับชีวิตที่ต้องเห็นวิญญาณอยู่ทุกวี่วัน

  ไป๋อี้ลูบโมโม่เบา ๆ ด้วยความกังวลกับสิ่งที่ขบคิดอยู่ในจิตใจ เวลานี้ไม่มีใครคิดการณ์ไกลไปถึงเรื่องในอนาคต ไม่รู้ว่าหลังจากนี้โม่โม่จะดำเนินชีวิตแบบไหน

  หลังจากนั้นไม่นาน โม่โม่ก็ได้รับข้อมูลจากผีเสื้อกลืนกินวิญญาณ พวกมันเจอสิ่งที่พวกหยูหานทำหาย นั่นก็คือกระเป๋าเดินทางลับ กระเป๋าเดินทางใบนี้คล้ายกับกระเป๋าที่พวกไป๋อี้ได้มาจากสถาบันวิจัย มันมีความแข็งแรงทนทานมาก จึงต้องใช้เวลาเกือบทั้งวันถึงจะสามารถเปิดมันออกมาได้ และในที่สุดพวกเขาก็ได้เห็นสิ่งที่อยู่ข้างใน

  น้ำสกัดจากต้นไม้วิญญาณบริสุทธิ์และยังมีวัตถุดิบสำคัญอีกจำนวนหนึ่ง

  “ดูเหมือนว่าเขาจะได้ของมามากกว่าพวกเรานะ” วูล์ฟพูด

  “อือ นั่นน่ะสิ เขาโชคดีมาโดยตลอด บางทีในตอนนั้นอาจจะมีคนช่วยเขาไว้ก็ได้ เขาถึงได้รอดจากวิกฤติมาได้ อีกทั้งยังได้ของดีแบบนี้มาอีก” ไป๋อี้พูดเย้ยหยันเล็กน้อย อันที่จริงโชคของหยูหานก็ดีจริง ๆ หากไม่ใช่เพราะความคิดมุ่งร้ายในช่วงแรก บางทีสถานการณ์ในตอนนี้คงจะเป็นไปอีกแบบหนึ่ง แต่สิ่งที่ไป๋อี้คาดไม่ถึงนั่นก็คือคำพูดเย้ยหยันที่พูดออกมานั้น มันคือการคาดเดาที่ถูกต้อง

  ในเวลาไม่นาน ทุกคนก็ค้นพบวิธีใช้น้ำสกัดจากต้นไม้วิญญาณบริสุทธิ์ เมื่อวิญญาณสกปรกโสมมที่อยู่ตรงรากดอกไม้มรณะถูกชำระล้างให้บริสุทธิ์แล้ว ก็ปรากฏแสงเปล่งประกายจาง ๆ ออกมา ทุกคนรู้ได้ทันทีว่าการคาดการณ์ของพวกเขาถูกต้อง นี่คือวิธีการเก็บดอกไม้มรณะที่แท้จริง แม้ว่าก่อนหน้านี้โม่โม่จะเด็ดดอกไม้มรณะขึ้นมาแล้ว แต่ดอกไม้มรณะดอกนั้นอาจมีข้อบกพร่อง

  “ขอโทษทีนะ ฉันไม่รู้วิธีปรุงยาจากดอกไม้มรณะ” เมย์ริสกล่าว

  “ไม่เป็นไร กินมันทั้งอย่างนี้เลย” ไป๋อี้พูดนิ่ง ๆ แล้วก็นำดอกไม้มรณะใส่เข้าไปในปาก

  เมย์ริสเป็นหมอ แต่ถึงแม้ว่าเธอจะคุ้นเคยกับร่างกายมนุษย์และการรักษาปัจจุบันเป็นอย่างดี แต่เธอไม่มีความชำนาญในการสกัดและปรุงยาจากพืชชนิดใหม่พวกนี้ พูดง่าย ๆ คือเมย์ริสเป็นหมอ แต่หญิงสาวที่พวกหยูหานเจอนั้นเป็น “นักปรุงยา” ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในนิวซีแลนด์ดินแดนใหม่แห่งนี้

  นักปรุงยา คือ ผู้มีความเชี่ยวชาญในการสกัดสรรพคุณของยา สามารถสกัดส่วนผสมที่มีประสิทธิภาพในพืชแต่ละชนิดและสามารถแยกแยะออกมาเพื่อนำมาปรุงยาได้

  นี่เป็นอาชีพใหม่ที่ปรากฏขึ้นบนเกาะปีศาจแห่งนี้ ซึ่งยังห่างไกลจากความสมบูรณ์แบบและยังคงทดลองอยู่

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

[นิยายแปล] มหาวิบัติยีนกลายพันธุ์ 122 การรักษา

Now you are reading [นิยายแปล] มหาวิบัติยีนกลายพันธุ์ Chapter 122 การรักษา at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

         พวกเขาทั้งหลายพากันเลือกบ้านที่อยู่ไม่ไกล  จากระยะห่างออกไปนี้ทำให้สามารถหลีกเลี่ยงจากการล่อลวงจิตวิญญาณจากต้นไม้ที่อยู่ตรงกลางและไม่ถูกดูดซับเข้าไปเหมือนวิญญาณร้ายได้ แม้ว่าวิญญาณร้ายเหล่านี้จะดูสับสนมึนงงแต่ก็ดูเหมือนว่าสามารถทำความเข้าใจได้อยู่ไม่น้อย ต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ตรงกลางดึงดูดพวกมันเหมือนดอกป๊อปปี้ที่กระตุ้นทำให้พวกมันอยากที่จะเข้าใกล้แต่ในขณะเดียวกันก็ยังมีความกลัวโดยสัญชาตญาณอยู่

  ภายในบ้านมีศพอยู่สองสามศพ แต่ทุกคนก็ล้วนเฉยชา พวกเขาไม่แปลกใจและไม่ได้ให้ความสนใจด้วยซ้ำ

  “มีอะไร ทำไมไม่พูดอะไรกันเลย” ทั้งที่เข้ามาในบ้านกันเป็นเวลานาน แต่ก็ไม่มีใครพูดอะไรออกมาเลย ทุกคนต่างมองไปที่เมย์ริสด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกผิด รูปร่างของเมย์ริสในตอนนี้ไม่คงที่นัก มีการเปลี่ยนแปลงบิดเบี้ยวไปมาอยู่ตลอด เธอมีเพียงแค่รูปร่างอันเลือนรางเท่านั้น เมื่อเห็นดังนั้นทุกคนต่างก็เงียบกันหมด แต่ก่อนที่เมย์ริสจะทันได้พูดอะไรออกมา

  “ป้าเมย์ริส!” โม่โม่ก็มองไปที่เมย์ริสด้วยแววตาขมุกขมัว

  เมย์ริสยิ้ม เธออยากจะสัมผัสโม่โม่ แต่ในขณะที่กำลังจะสัมผัส เธอก็คิดขึ้นมาได้ว่าในตอนนี้ยังไม่เหมาะที่จะสัมผัสกับโม่โม่ การสัมผัสกันระหว่างวิญญาณที่ตายแล้วกับร่างกายคนเป็นไม่เพียงแต่จะเป็นการทำร้ายจิตวิญญาณของมนุษย์ ตัวของวิญญาณเองก็จะได้รับแรงกระตุ้นไปด้วย

  “ฉันผิดเอง เป็นเพราะฉันหมกมุ่นอยู่กับความอาฆาตแค้นมากเกินไป จึงทำให้ทุกคนต้องก้าวเข้ามาในสถานการณ์แบบนี้” ไป๋อี้พูดอย่างเจ็บปวด

  “อย่าโทษตัวเองเลย มันไม่ใช่เพราะนายทั้งหมดหรอกนะ ทุกคนต่างก็รู้กันดีตั้งแต่แรกแล้ว แต่ก็ยังไม่สายเกินไปที่นายจะตระหนักถึงสิ่งนี้” เมย์ริสพูด

  “การแก้แค้นไม่ใช่ทั้งหมด ในความเป็นจริง มีตำราหลายเล่มที่บันทึกไว้ถึงการแก้แค้นได้สำเร็จแต่ก็เหลือเพียงความว่างเปล่าในภายหลัง ฉันก็ไม่ได้เข้าใจอะไรมากนัก แต่นายเมื่อก่อนดูเหมือนจะไม่ฟังคำแนะนำของใครทั้งนั้น ดังนั้นฉันเลยไม่ได้พูดอะไร แต่ตอนนี้นายได้สติและรู้แล้วว่าในโลกนี้ยังมีสิ่งอื่นอีกมากมายที่สำคัญกว่าการแก้แค้น” เมย์ริสพูดต่อ ไป๋อี้มองไปที่เธอด้วยความประหลาดใจ ความจริงแล้วเมย์ริสก็สังเกตได้มานานแล้วแต่ก็ไม่ได้ห้ามปรามเขา แต่เธอกลับรอให้ไป๋อี้ได้ตระหนักรู้ด้วยตนเอง แม้ว่าการตระหนักรู้นี้จะต้องแลกกับการตายของตัวเธอเองก็ตาม

  “ขอโทษ ฉันขอโทษจริง ๆ!” สภาพของไป๋อี้ในตอนนี้ดูไม่ได้เลย ทั้งใบหน้าของเขาอาบไปด้วยน้ำตาที่ไหลเอ่อ

  เมื่อเห็นไป๋อี้ร้องไห้เป็นเด็กแบบนี้ เมย์ริสก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ ไม่มีใครเกิดมาตระหนักรู้ทุกอย่าง เมย์ริสไม่รู้อดีตที่ผ่านมาของไป๋อี้ แต่หลังจากที่ไป๋อี้มาที่นิวซีแลนด์ เมย์ริสก็เห็นได้ถึงการเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ ของเขา

  “ไม่ต้องขอโทษขอโพยแล้ว ฉันรู้สึกว่าการตายที่นี่ก็เป็นผลลัพธ์ที่ดี จะพูดยังไงดีล่ะ เหมือนกับว่าตอนนี้มีเพียงวิญญาณที่เวลลิงตันเท่านั้นที่สามารถรักษาสภาพของจิตวิญญาณได้ ก่อนหน้านี้ได้ยินจอห์นกับแอนนาบอกว่า ที่โลกภายนอกวิญญาณจะไม่สามารถดำรงอยู่ได้เลย” เมย์ริสยิ้มอย่างแผ่วเบา

  เห็นได้ชัดว่านี่เป็นเพียงคำพูดที่เมย์ริสใช้ปลอบใจทุกคน แต่ว่าทุกคนกลับเชื่อคำของเธออย่างง่ายดาย

  “แล้วเวอร์เนอร์ล่ะ?” เมย์ริสเปิดประเด็นใหม่

  “พวกเราหาเขาไม่เจอ ตอนที่ถูกโจมตีอย่างคลุ้มคลั่งของวิญญาณ ทุกคนต่างก็เข้าสู้ระยะดุร้ายและคลุ้มคลั่งจนไม่สามารถมีสติรับรู้ใด ๆ  เวอร์เนอร์และพวกหยูหานไม่ได้อยู่ในพื้นโดยรอบบริเวณใจกลางต้นไม้ใหญ่ ดังนั้นฉันจึงไม่รู้ว่าพวกเขาไปที่ไหน” หลังจากที่ไป๋อี้ร้องไห้ออกมา เขาก็รีบรวบรวมสติแล้วตอบคำถามของเมย์ริส

  “แบบนี้นี่เอง หวังว่าเด็กคนนั้นจะไม่เป็นอะไรนะ” เมย์ริสพยักหน้า

  “แล้วพวกนายมีแผนอะไรต่อ?”

  “เราต้องรักษาบาดแผลกันก่อน แล้วตามหาเฮลัวส์กับเวอร์เนอร์ในภายหลัง จากนั้นก็ออกไปจากที่นี่เพื่อหาวิธีคืนชีพให้กับทุกคน ถ้าหากหลังจากนี้ได้เจอกับหยูหานเข้า ฉันจะคิดให้รอบคอบในสิ่งที่จะทำมากขึ้นและจะไม่ทำให้เพื่อน ๆ ถูกทำร้ายอีกครั้งโดยเด็ดขาด” ไป๋อี้พูดอย่างจริงจัง

  “นายก็พิจารณาเอาเองก็แล้วกัน นายเป็นหัวหน้านี่!” เมย์ริสพยักหน้า

  “ฉันจะต้องหาวิธีช่วยคืนชีวิตป้าเมย์ริสได้แน่” อยู่ ๆ โม่โม่ก็พูดขึ้นมา ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นจริงจัง

  เมย์ริสชะงักไปครู่หนึ่งแล้วหัวเราะออกมา

  “โอเค งั้นฉันจะรอนะ เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ คำพูดของฉันก่อนหน้านี้ไม่ใช่เพื่อปลอบใจทุกคนนะ มันเป็นคำพูดจากใจฉันจริง ๆ สภาพของจิตวิญญาณไม่ใช่สิ่งที่ทุกคนจะเข้าใจมันได้ ในเมื่อตอนนี้ฉันกลายเป็นวิญญาณแล้ว งั้นก็มาลองทำความเข้าใจกับการเปลี่ยนแปลงของเวลลิงตันอย่างละเอียดดูกันเถอะ การเปลี่ยนแปลงของรูปแบบชีวิต ร่างกาย และจิตวิญญาณต่าง ๆ มันมีความสัมพันธ์กันยังไง แล้วหลังจากนั้น ฉันก็จะรอโมโม่มาช่วยฟื้นชีวิตฉัน” เมย์ริสพูดกับโม่โม่อย่างเอ็นดู

  “อือ หนูทำได้ค่ะ” โม่โม่ตอบอย่างจริงจัง

  ทุกคนมองไปที่ใบหน้าเล็ก ๆ ของโม่โม่และอดไม่ได้ที่จะเชื่อว่าโม่โม่จะสามารถหาวิธีที่ทำให้คนตายกลับมามีชีวิตอีกครั้งได้ ไม่เพียงแค่เพราะโม่โม่สามารถมองเห็นร่างวิญญาณได้เท่านั้น แต่เธอยังมีการเปลี่ยนแปลงบางอย่างที่ไม่สามารถอธิบายได้อีกด้วย  อย่างไรก็ตามสิ่งสำคัญคือทุกคนเชื่อใจและเชื่อมั่นอย่างแท้จริงว่าโม่โม่จะสามารถทำสิ่งนั้นได้อย่างแน่นอน

  “ดูเหมือนว่าอาการบาดเจ็บจะรุนแรงมาก เธอรู้วิธีรักษามันไหม?” เมย์ริสถาม

  “อาการบาดเจ็บของจิตวิญญาณ แน่นอนว่าต้องใช้ดอกไม้มรณะ” ไป๋อี้มองไปที่ดอกไม้มรณะดอกเล็กที่อยู่มุมห้อง เนื่องจากเป็นใจกลางเมืองผีสิงแห่งเวลลิงตัน ดังนั้นแม้ว่าจะไม่ได้พบมันได้ในทุกหนทุกแห่งแต่ก็ไม่ได้หายากขนาดนั้น

  “จะเก็บยังไงล่ะ?”

  นี่เป็นปัญหาหนึ่ง หากเด็ดดอกไม้มรณะอย่างไม่ถูกวิธี อาจจะส่งผลร้ายแรงยิ่งขึ้นต่อจิตวิญญาณจนอาจคลุ้มคลั่งอีก ยิ่งไปกว่านั้นจิตวิญญาณทุกคนในตอนนี้ก็ได้รับบาดเจ็บกันหมด ทำให้ยิ่งทวีผลกระทบมากขึ้นไปอีก แต่ก่อนที่ทุกคนจะได้พูดอะไร โม่โม่ก็ได้เดินไปทางดอกไม้ดอกนั้นเสียแล้ว และตอนที่ไป๋อี้กำลังจะพูดบางอย่าง โม่โม่ก็ได้ชักมีดสั้นออกมา

  ท่ามกลางสายตาฉงนของทุกคน โม่โม่ชูมีดสั้นขึ้นและปรากฏเป็นควันจาง ๆ ขึ้นมาจากด้านบน เห็นได้ชัดว่านี่ไม่ใช่แสงจันทร์ที่ส่องมาจากด้านนอกอย่างแน่นอน แต่เป็นควันที่กระจายมาจากปลายมีดสั้นของโม่โม่

  พลังพิเศษ!

  ในตอนนี้ไม่สามารถอธิบายเป็นคำอื่นได้อีก ทุกคนต่างประหลาดใจเป็นอย่างมาก แม้แต่ไป๋อี้ก็สามารถระดมพลังพิเศษมาที่ดวงตาได้ก็ต่อเมื่อใช้ม่านตาบุษบาผกผันเท่านั้น ทว่าโม่โม่กลับแค่ชูมีดสั้นธรรมดาขึ้นมาก็สามารถระดมพลังพิเศษได้แล้ว หรือว่าพรสวรรค์ของโม่โม่จะแข็งแกร่งยิ่งกว่าไป๋อี้?

  มีดสั้นของโม่โม่ปักเข้าที่รากของดอกไม้มรณะ ทันใดนั้นก็มีควันสีดำลอยขึ้นมา สีของมันดำมืดยิ่งกว่าวิญญาณร้ายเสียอีก แต่เมื่อกลุ่มควันสีดำพวกนี้สัมผัสโดนมีดสั้นของโม่โม่ มันก็ล่าถอยกลับไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นดอกไม้มรณะก็ถูกโม่โม่หยิบขึ้นมาจากซากศพ

  คนอื่น ๆ มองไปที่ดอกไม้มรณะพร้อมกัน การกระทำเช่นนี้นับว่าเป็นการเด็ดออกมาแล้วหรือเปล่า?

  แต่ว่า รู้สึกเหมือนขาดอะไรไปบางอย่าง

  “ไป๋อี้ นายจำสิ่งที่หยูหานหยดลงบนร่างตอนที่พวกเขาวิ่งไปตรงใจกลางเมืองได้ไหม? หน้าตามันเป็นยังไง” เมย์ริสพูดขึ้นมา แน่นอนว่าจิตใจของผู้หญิงนั้นมีความละเอียดละอ่อนกว่ามาก เมื่อพวกไป๋อี้ได้ยินดังนั้นก็หวนนึกได้ถึงสารบริสุทธิ์ของต้นไม้ที่พวกหยูหานหยดลงบนร่างกาย พวกไป๋อี้ไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่เหมือนว่ามันจะมีผลต่อการควบคุมจิตวิญญาณ

  “ใช่แล้ว พวกหยูหานมาเวลลิงตันเพื่อตามหาดอกไม้มรณะอย่างแน่นอน พวกเขาจึงเตรียมตัวมาดีกว่าพวกเรา”

  โม่โม่ไม่รอให้ไปอี้ได้เปิดปากพูด ก็ได้ยื่นมือขวาออกไป ผีเสื้อกลืนกินวิญญาณกลุ่มหนึ่งก็ค่อย ๆ บินออกมาจากหลังมือของโม่โม่ จากนั้นทุกคนก็เห็นโม่โม่และผีเสื้อกลืนกินวิญญาณสื่อสารกันโดยไร้ซึ่งเสียงเสวนา หลังจากกลุ่มผีเสื้อบินออกไป โม่โม่ก็เพิ่งจะเห็นว่าทุกคนกำลังมองเธออย่างตกตะลึง

  “หนูแค่ถามพวกผีเสื้อว่าพวกเขารู้ไหมว่าสิ่งที่พวกหยูหานทำอยู่ที่ไหน” โม่โม่รีบอธิบายอย่างรีบร้อน

  “ไม่ต้องกังวลไป หนูทำได้ดีมาก” ไป๋อี้ลูบหัวเล็ก ๆ ของโม่โม่

  พวกเขาต่างก็ประหลาดใจกับความสามารถในปัจจุบันของโม่โม่ ก่อนเข้ามาในเวลลิงตัน นอกจากที่โม่โม่จะมีความสงบและเข้มแข็งแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นเธอยังสามารถรับความกดดันได้ดีกว่าเด็กคนอื่น ๆ อีกด้วย และโม่โม่ก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษเลยเหนือจากสิ่งเหล่านั้น จนอาจกล่าวได้ว่าโม่โม่ในตอนนั้นอ่อนแอที่สุดในทีม แต่อย่างไรก็ตามหลังจากเข้าสู่เวลลิงตัน โม่โม่ก็เริ่มเปลี่ยนไปทีละเล็กละน้อยราวกับได้รับการกระตุ้นจากบางอย่าง ตั้งแต่ครั้งแรกที่หนูน้อยสามารถมองเห็นวิญญาณได้ จนมาถึงการสังหารวิญญาณในตอนนี้ การเปลี่ยนแปลงนี้รวดเร็วจนน่าตกใจ

  หรือความจริงแล้ว โม่โม่ไม่ได้เปลี่ยนไปแต่อย่างใด เธอเพียงแค่ขาดโอกาสในการแสดงความสามารถเท่านั้น เลือดจากร่างแม่แบบที่หยดสู่ดวงตาทั้งสองข้างของโม่โม่นั้นแน่นอนว่าเป็นส่วนขับเคลื่อนที่สำคัญมาก

  แต่คาดไม่ถึงเลยว่าจะเป็นความสามารถทางด้านจิตวิญญาณ  หลังจากนี้โม่โม่จะทนได้ไหมกับชีวิตที่ต้องเห็นวิญญาณอยู่ทุกวี่วัน

  ไป๋อี้ลูบโมโม่เบา ๆ ด้วยความกังวลกับสิ่งที่ขบคิดอยู่ในจิตใจ เวลานี้ไม่มีใครคิดการณ์ไกลไปถึงเรื่องในอนาคต ไม่รู้ว่าหลังจากนี้โม่โม่จะดำเนินชีวิตแบบไหน

  หลังจากนั้นไม่นาน โม่โม่ก็ได้รับข้อมูลจากผีเสื้อกลืนกินวิญญาณ พวกมันเจอสิ่งที่พวกหยูหานทำหาย นั่นก็คือกระเป๋าเดินทางลับ กระเป๋าเดินทางใบนี้คล้ายกับกระเป๋าที่พวกไป๋อี้ได้มาจากสถาบันวิจัย มันมีความแข็งแรงทนทานมาก จึงต้องใช้เวลาเกือบทั้งวันถึงจะสามารถเปิดมันออกมาได้ และในที่สุดพวกเขาก็ได้เห็นสิ่งที่อยู่ข้างใน

  น้ำสกัดจากต้นไม้วิญญาณบริสุทธิ์และยังมีวัตถุดิบสำคัญอีกจำนวนหนึ่ง

  “ดูเหมือนว่าเขาจะได้ของมามากกว่าพวกเรานะ” วูล์ฟพูด

  “อือ นั่นน่ะสิ เขาโชคดีมาโดยตลอด บางทีในตอนนั้นอาจจะมีคนช่วยเขาไว้ก็ได้ เขาถึงได้รอดจากวิกฤติมาได้ อีกทั้งยังได้ของดีแบบนี้มาอีก” ไป๋อี้พูดเย้ยหยันเล็กน้อย อันที่จริงโชคของหยูหานก็ดีจริง ๆ หากไม่ใช่เพราะความคิดมุ่งร้ายในช่วงแรก บางทีสถานการณ์ในตอนนี้คงจะเป็นไปอีกแบบหนึ่ง แต่สิ่งที่ไป๋อี้คาดไม่ถึงนั่นก็คือคำพูดเย้ยหยันที่พูดออกมานั้น มันคือการคาดเดาที่ถูกต้อง

  ในเวลาไม่นาน ทุกคนก็ค้นพบวิธีใช้น้ำสกัดจากต้นไม้วิญญาณบริสุทธิ์ เมื่อวิญญาณสกปรกโสมมที่อยู่ตรงรากดอกไม้มรณะถูกชำระล้างให้บริสุทธิ์แล้ว ก็ปรากฏแสงเปล่งประกายจาง ๆ ออกมา ทุกคนรู้ได้ทันทีว่าการคาดการณ์ของพวกเขาถูกต้อง นี่คือวิธีการเก็บดอกไม้มรณะที่แท้จริง แม้ว่าก่อนหน้านี้โม่โม่จะเด็ดดอกไม้มรณะขึ้นมาแล้ว แต่ดอกไม้มรณะดอกนั้นอาจมีข้อบกพร่อง

  “ขอโทษทีนะ ฉันไม่รู้วิธีปรุงยาจากดอกไม้มรณะ” เมย์ริสกล่าว

  “ไม่เป็นไร กินมันทั้งอย่างนี้เลย” ไป๋อี้พูดนิ่ง ๆ แล้วก็นำดอกไม้มรณะใส่เข้าไปในปาก

  เมย์ริสเป็นหมอ แต่ถึงแม้ว่าเธอจะคุ้นเคยกับร่างกายมนุษย์และการรักษาปัจจุบันเป็นอย่างดี แต่เธอไม่มีความชำนาญในการสกัดและปรุงยาจากพืชชนิดใหม่พวกนี้ พูดง่าย ๆ คือเมย์ริสเป็นหมอ แต่หญิงสาวที่พวกหยูหานเจอนั้นเป็น “นักปรุงยา” ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในนิวซีแลนด์ดินแดนใหม่แห่งนี้

  นักปรุงยา คือ ผู้มีความเชี่ยวชาญในการสกัดสรรพคุณของยา สามารถสกัดส่วนผสมที่มีประสิทธิภาพในพืชแต่ละชนิดและสามารถแยกแยะออกมาเพื่อนำมาปรุงยาได้

  นี่เป็นอาชีพใหม่ที่ปรากฏขึ้นบนเกาะปีศาจแห่งนี้ ซึ่งยังห่างไกลจากความสมบูรณ์แบบและยังคงทดลองอยู่

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+