[นิยายแปล] มหาวิบัติยีนกลายพันธุ์ 127 ความรักของแม่

Now you are reading [นิยายแปล] มหาวิบัติยีนกลายพันธุ์ Chapter 127 ความรักของแม่ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

        จริง ๆ เลยเชียว แค่จะกินอาหารสักหน่อยก็มีคนมารบกวน!

        ถึงแม้จะเป็นเสียงการเคลื่อนไหวเบา ๆ เท่านั้นแต่นั่นก็เพียงพอที่จะทำให้พวกไป๋อี้ได้ยินกันแทบทุกคน ช่วยไม่ได้ เพราะนิวซีแลนด์ในตอนนี้หากทุกคนไม่มีความระแวดระวังกับสิ่งรอบข้างกันสักนิดก็อาจจะทำให้เกิดเรื่องอันตรายขึ้นได้อย่างง่ายดาย เดิมทีไป๋อี้อยากถามโม่โม่ว่าเกิดอะไรขึ้นกับชาร์ไป่กันแน่ แต่ดันถูกตัดบทเสียก่อน ในเวลาชั่วครู่นั้นทำให้จุดสนใจของเขาย้ายไปยังเบื้องหลังแทน

        ทันใดนั้นก็มีสัตว์ตัวหนึ่งที่มีรูปร่างใหญ่มหึมาเดินออกมาจากเบื้องหลัง เมื่อไป๋อี้และคนอื่น ๆ มองเห็นสัตว์ตัวนั้นต่างก็ตะลึงงันไปในทันที …… เสือเหรอ? ไม่สิ ไม่ใช่ มันไม่ใช่เสือ เพียงแค่มองดูแล้วลักษณะคล้ายกับเสือเท่านั้น แต่สิ่งนี้น่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในตระกูลแมวหรืออาจกล่าวได้เลยว่ามันก็คือแมวนั่นเอง และแน่นอนว่าที่นิวซีแลนด์ในตอนนี้ไม่มีสิ่งมีชีวิตที่สมบูรณ์อย่างสิ้นเชิงเหลืออยู่เลย พวกไป๋อี้เองก็คร้านที่จะไปพิจารณาแยกแยะสิ่งมีชีวิตทุกชนิดเช่นกัน เพียงแค่จำลักษณะเด่น ๆ ของสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นได้อย่างถูกต้องก็น่าจะเพียงพอแล้ว

        ชาร์ไป่ลุกยืนขึ้นแต่ทว่าไป๋อี้กลับยกมือขวาขึ้นมาขวางไว้เบื้องหน้า

        แปลกจริง!

        แมวยักษ์ตัวนี้มีความยาวถึง 2 เมตรกว่า ๆ และดูเหมือนมันจะไม่ได้มีท่าทีที่ดูเป็นศัตรูเท่าไหร่นัก มันดูเหมือนมีความหวังระคนความระแวดระวังเสียมากกว่า เพียงแค่ไป๋อี้หันหน้าไปมอง แมวยักษ์ตัวนี้ก็เกร็งตัวและส่งเสียงร้องขู่อย่างดุร้ายออกมา จากนั้นแมวยักษ์ตัวนี้จึงค่อย ๆ ย่างก้าวเข้ามาใกล้พวกไป๋อี้อย่างระมัดระวัง ทำให้ทุกคนเริ่มสังเกตเห็นว่าบนเอวของแมวยักษ์ตัวนี้มีบาดแผลตรงโครงกระดูกลามไปจนถึงขาหลัง นั่นจึงทำให้ท่าเดินของมันดูไม่ค่อยเป็นปกตินัก

        เป็นอย่างนี้นี่เอง เสียงการเดินไม่สม่ำเสมอกันเบา ๆ ที่ได้ยินนั่นก็คือเจ้านี่เอง

        “แกอยากได้ของกินเหรอ?” ขณะนั้นเองไป๋อี้ก็รับรู้ได้ถึงจุดประสงค์ในการมาเยือนของมัน และถึงแม้แมวยักษ์ตัวนี้จะมีความระแวดระวังแต่มันก็ไม่ได้มีท่าทีที่เป็นศัตรูเลย รวมถึงท่าทางของมันที่แสดงออกมาดูราวกับว่ามันกำลังออดอ้อนพวกเขาอยู่อย่างไรอย่างนั้น ซึ่งพฤติกรรมของมันก็คล้ายกับท่าทางของแมวปกติทั่วไปที่ปฏิบัติต่อมนุษย์ และจากพฤติกรรมของมัน ไป๋อี้จึงตัดสินชี้ขาดได้ในทันทีว่าแมวยักษ์ตัวนี้มาเพื่อขออาหารกินเท่านั้น

        “เหมียว ~!”

        ไป๋อี้หยิบชามใส่อาหารออกมาแล้วนำหนังของหนอนแก้วใส่ลงไปจนเต็มชาม จากนั้นก็วางไว้เบื้องหน้าของแมวยักษ์ ต่อมามันใช้ปากคาบชามอาหารไว้ทันทีพร้อมยกขึ้นแล้ววิ่งหนีออกไป เป็นเพราะร่างกายของแมวยักษ์ตัวนี้บาดเจ็บอยู่ จึงทำให้ลักษณะท่าทางในขณะที่มันวิ่งออกไปแลดูไม่เป็นธรรมชาติ และในเวลาต่อมามันก็ได้วิ่งหายไปต่อหน้าทุกคนภายในเวลาอันรวดเร็ว

        “มันคือ?”

        “มันน่าจะได้กลิ่นอาหารก็เลยเข้ามาขออาหารน่ะ เมื่อก่อนแมวตัวนี้น่าจะเป็นแมวที่ถูกมนุษย์เลี้ยงดูมาเลยมีความเป็นมิตรกับมนุษย์” ไป๋อี้พูดอธิบายช้า ๆ

        “น่าแปลกจริง พวกเราเคยเจอสัตว์เลี้ยงไม่น้อยเลยนะ แต่ว่านี่เป็นครั้งแรกที่ได้เจอกับสิ่งมีชีวิตที่มีความเป็นมิตรกับมนุษย์แบบนี้”

        “พวกนายก็เห็นแล้วนี่ว่าบนลำตัวของแมวยักษ์ตัวนั้นมีแผลที่ใหญ่มาก ฉะนั้นนั่นคงส่งผลกระทบกับมันเวลาที่ออกล่าหาอาหารในชีวิตประจำวันเป็นแน่ มันก็คงไม่มีทางเลือกล่ะมั้ง ดูเหมือนมันจะไม่ได้กินอะไรมานานมากแล้วด้วย พอจู่ ๆ ได้กลิ่นอาหารบวกกับยังมีความทรงจำลึก ๆ เกี่ยวกับการที่เมื่อก่อนเคยมีมนุษย์ให้อาหาร มันก็เลยเดินออกมาหาเรา อันที่จริงตอนที่มันปรากฏตัวออกมา ความเป็นมิตรของมันมีมากกว่าความระแวดระวังเสียอีก” ไป๋อี้พูดอธิบาย

        “เป็นอย่างนี้นี่เอง แต่ว่ากินอยู่ที่นี่ก็ได้นี่นาทำไมต้องคาบชามอาหารไปด้วย” วูล์ฟพูดขึ้นมา

        “น่าจะเอาไปให้เพื่อนตัวอื่นด้วยล่ะมั้ง” เฮลัวส์พูดขึ้นเช่นกัน

        “อืม น่าจะเป็นอย่างนั้น” ไป๋อี้พยักหน้า

        ไป๋อี้ไม่ได้เก็บเรื่องของแมวยักษ์ตัวนี้มาใส่ใจนัก อันที่จริงเรื่องราวลักษณะนี้ในความคิดของไป๋อี้นั้นมันไม่คุ้มแก่การกล่าวถึงสักเท่าไหร่ และถึงแม้พวกไป๋อี้ก็ไล่ล่าเหยื่อเช่นกันแต่พวกเขาก็ไม่เคยไล่ฆ่าตามอำเภอใจเพราะความชอบส่วนตัวเลย โดยเฉพาะกับสัตว์เลี้ยงที่ไม่ได้มีท่าทีเป็นศัตรูและยิ่งเคยเป็นสัตว์เลี้ยงของมนุษย์ด้วยเช่นนี้

        “โม่โม่!”

        “ค่ะ!” เมื่อโม่โม่ได้ยินเสียงของไป๋อี้ก็ถึงกับสะดุ้งตกใจในทันที

        “ลูกและชาร์ไป่กำลังทำอะไรอยู่กันแน่?” น้ำเสียงของไป๋อี้ไม่ได้ดังสักเท่าไหร่แต่กลับทำให้โม่โม่รู้สึกกลัวเอามาก ๆ เพราะเธอยังเป็นเด็กจึงมีความรู้สึกเกรงกลัวต่อผู้ปกครองอยู่เสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลาที่ตนเองกำลังมีเรื่องอะไรปิดบังอยู่

        “คือ คือว่า ……” สายตาของโม่โม่เคลื่อนไปเคลื่อนมาไม่หยุดนิ่ง โม่โม่ ท่าทางของเธอนี่ช่างไม่แนบเนียนเอาเสียเลย ท่าทางแบบนี้เป็นท่าทางที่ในหัวต้องมีเรื่องลับลมคมในอยู่แน่ ๆ และขณะนี้ภายในหัวของโม่โม่ก็กำลังใช้ความคิดไปมาไม่หยุดเพื่อคิดหาข้ออ้างมาตอบกลับพ่อไปพลาง ๆ ก่อน แต่ทว่าหัวสมองอันเล็กและเรียบง่ายของโม่โม่กลับคิดหาวิธีอะไรไม่ออกเลย ส่วนวูล์ฟและเฮลัวส์เองก็คงจะไม่ยื่นมือเข้าไปแทรกเพื่อช่วยเหลือโม่โม่อย่างแน่นอน ก็ถือเสียว่าดูละครตลกก็แล้วกัน

        “พ่อคะ หนูได้ยินเสียงค่ะ เสียง!” ทันใดนั้นโม่โม่ก็พูดโพล่งขึ้นมา

        “อย่าบ่ายเบี่ยงประเด็น”

        “จริง ๆ นะคะ มีเสียงดัง” โม่โม่ชี้นิ้วมือน้อย ๆ ของเธอไปยังทางที่แมวยักษ์ตัวนั้นวิ่งออกไปก่อนหน้านี้ จากนั้นก็พูดขึ้น

        ในเวลานี้ สายตาของไป๋อี้และคนอื่น ๆ ก็ไม่ได้จดจ่ออยู่กับเรื่องที่ตนกำลังสนใจตรงนี้อีกแล้ว แต่พวกเขากลับหันไปทางเสียงนั้นแล้วตั้งใจฟังตามที่โม่โม่บอก ที่แท้ก็มีเสียงบางอย่างอย่างที่โม่โม่บอกไว้จริง ๆ แม้เสียงนั้นจะเบามากแต่ก็สามารถฟังออกว่าเป็นเสียงแมวร้องคำรามที่ทุ้มและดุดัน ครั้นภายในเวลาชั่วพริบตาทุกคนจึงได้นึกถึงแมวยักษ์ตัวนั้นที่วิ่งออกไปก่อนหน้านี้

        “ไปดูกันหน่อยเถอะ” เมื่อไป๋อี้เห็นว่าทุกคนล้วนกำลังจ้องมองมายังตน เขาจึงพูดขึ้นมาเช่นนั้นอย่างช่วยไม่ได้

        ทันใดนั้นเองโม่โม่ก็คว้าเอากระดูกของชาร์ไป่ไว้แล้วตีลังกาขึ้นไปนั่งบนหลังของชาร์ไป่ “หนูไปเองค่ะ” โม่โม่พูดขึ้นอย่างรีบร้อน คล้ายกับว่าโม่โม่กำลังจะหนีเพราะกลัวว่าจะถูกไป๋อี้ดึงห้ามเอาไว้อย่างไรอย่างนั้น เฮลัวส์เห็นท่าทางของโม่โม่จึงหัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้ อย่างไรเสียก็ไม่มีทางที่จะให้โม่โม่เข้าไปดูเพียงลำพังหรอก ดังนั้นทุกคนจึงตามโม่โม่ไปยังทางซึ่งมีเสียงดังออกมาในทันที

        คิดไม่ถึงจริง ๆ ว่าเพียงแค่เวลาอันสั้นเช่นนี้แมวยักษ์ตัวนั้นจะวิ่งไปได้ไกลมากแล้ว พวกไป๋อี้วิ่งตามไปจนเป็นระยะทางถึง 1 กิโลเมตรถึงเจอแมวยักษ์ตัวนั้น

        เห็นได้ชัดว่าตรงนี้คือรังของสัตว์ ซึ่งก็คือรังของแมวยักษ์ตัวนี้นั่นเอง แต่ทว่าภายในรังแห่งนี้กลับเต็มไปด้วยรอยเปื้อนเลือดที่ไหลนองอยู่ และแมวยักษ์ตัวนี้ก็กำลังเผชิญหน้าอยู่กับสิ่งมีชีวิตอีกตัวหนึ่ง

        ลำคอของสิ่งมีชีวิตตัวนั้นทั้งหนาและใหญ่มาก ซึ่งความยาวของลำตัวมันนั้นยาวราว ๆ 3 เมตรได้ บริเวณลำตัวเผยส่วนเว้าส่วนโค้งมองดูแล้วรูปร่างผอมเพรียว แต่ทว่ากล้ามเนื้อส่วนขาและลำคอของมันกลับดูกำยำมาก สำหรับสายพันธุ์ของเจ้าสิ่งนี้คืออะไรนั้น ไม่มีผู้ใดสามารถแยกแยะออกได้ เมื่อมองสังเกตดูแล้วลักษณะของมันมีความคล้ายกับสัตว์เลื้อยคลาน อีกทั้งบนริมฝีปากของเจ้านี่ก็มีเลือดสด ๆ แปดเปื้อนอยู่ รวมถึงบนพื้นก็ยังมีเศษซากชิ้นส่วนอวัยวะของลูกแมวกระจัดกระจายเกลื่อนกลาดไปทั่ว

        เมื่อพวกไป๋อี้เห็นคราเดียวก็เข้าใจว่าเหตุใดก่อนหน้าแมวยักษ์ตัวนี้จึงได้จู่ ๆ ก็เข้าไปใกล้พวกเขา และยังคาบอาหารกลับมาด้วย

        เป็นเพราะมันได้รับบาดเจ็บจึงไม่สะดวกในการล่าอาหารมากิน ดังนั้นมันจึงได้ระลึกถึงการพึ่งพามนุษย์ที่อยู่ในความทรงจำภายในหัวขึ้นมาอีกครั้ง ต่อให้ทราบดีว่าการที่มันเข้าไปใกล้มนุษย์ในตอนนี้อาจจะมีอันตรายและบางทีอาจจะเสี่ยงถูกไล่ล่าจนตัวตายก็ตาม แต่มันก็ยังตัดสินใจเข้าไปใกล้พวกไป๋อี้อยู่ดี นั่นเป็นเพราะว่าตัวมันคือแม่แมวและการที่มันคาบอาหารกลับมานั้นก็เห็นได้ชัดว่ามันต้องการที่จะนำมาให้บรรดาลูก ๆ ของตน

        ทว่าผลลัพธ์ที่ได้มาก็คือหลังจากที่แม่แมวตัวนี้กลับมากลับต้องเห็นฉากที่ลูก ๆ ของตนถูกสิ่งมีชีวิตตัวนี้ไล่ล่าสวาปามจนสิ้น

        วูล์ฟจับง้าวยักษ์ไว้แน่นหวังจะพุ่งเข้าไปช่วยเหลือ แต่จู่ ๆ แม่แมวกลับหันหน้ามาทางพวกไป๋อี้พร้อมส่งเสียงร้องคำรามเสียงดัง เสียงร้องของแมวครั้งนี้แสดงออกถึงความดุดันและเด็ดเดี่ยว ไป๋อี้จึงได้คว้าวูล์ฟไว้ในทันที ปรากฏหลังจากที่เห็นว่าไป๋อี้จับวูล์ฟไว้แล้วนั้น แม่แมวตัวนี้จึงหันหน้าไปเผชิญกับฆาตกรที่ฆ่าลูกของตนอีกครั้ง

        “เหมียว หง่าว!” ในเวลานี้แมวยักษ์ได้แสดงพละกำลังของตัวเองออกมาอย่างสุดกำลัง ซึ่งเป็นพละกำลังการสังหารอันเหี้ยมโหด สัตว์ตระกูลแมวเมื่ออยู่บนโลกถือว่าเป็นผู้ล่า นั่นจึงทำให้สิ่งมีชีวิตที่มีวิวัฒนาการอย่างแมวยักษ์ตัวนี้ยิ่งมีความแข็งแกร่งขึ้นไปอีก ฉากที่มันทำตัวน่าเอ็นดูต่อหน้าพวกไป๋อี้เมื่อก่อนหน้านี้ จึงดูราวกับว่าเป็นเพียงแค่ภาพลวงตาเท่านั้น

        แต่ทว่าสิ่งมีชีวิตที่ไร้ชื่อในฝั่งตรงข้ามตัวนั้นก็มีความแข็งแกร่งมาก ๆ เช่นกัน เมื่อมันเผชิญหน้ากับแม่แมวตัวนั้น พละกำลังของมันก็ไม่ได้ด้อยกว่าเลยแม้แต่น้อย ณ ขณะนี้บนร่างกายของแม่แมวมีรอยบาดแผลอยู่จึงทำให้ไม่นานมันก็ต้องตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ

        “พ่อคะ!” โม่โม่มองไปยังผู้เป็นพ่อ ไม่รู้ว่าเหตุใดไป๋อี้จึงไม่เข้าไปช่วยเหลือ เห็นได้ชัดว่าแม่แมวไม่ใช่คู่ต่อสู้ของสัตว์ประหลาดนั่นเลย

        “ดูก่อน นี่เป็นการต่อสู้ครั้งสุดท้ายของผู้เป็นแม่” สายตาของไป๋อี้จริงจังมาก

        เดิมทีโม่โม่ไม่เข้าใจสถานการณ์ ครั้นหลังจากได้ยินคำพูดของไป๋อี้ที่พูดมาเช่นนั้นทำให้เธอถึงกับอึ้งไปในทันที เป็นเพราะโม่โม่ไม่มีแม่มาโดยตลอด ฉะนั้นจึงไม่สามารถรับรู้ได้ว่าความรักของผู้เป็นแม่คืออะไร เธอมีแค่พ่อคนเดียวก็เพียงพอแล้ว เวลานี้โม่โม่มองดูแม่แมวที่ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบแต่ก็ยังคงต่อสู้อย่างสุดชีวิต ขณะนั้นเองเธอก็ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไรไป คล้ายกับว่าลึก ๆ ในใจเธอมีความรู้สึกซึ้งใจอย่างบอกไม่ถูก

        ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาการต่อสู้ระหว่างสัตว์ป่าก็ล้วนเป็นการต่อสู้ภายใต้ร่างเปลือยเปล่าไร้เกราะคุ้มกันพร้อมด้วยเลือดที่ไหลนอง การที่แมวยักษ์ต่อสู้กับสัตว์ประหลาดที่ไม่รู้ชื่อตัวนี้ยิ่งทำให้แผลของมันฉีกออกจนเลือดไหลนองออกมาท่วมไปทั้งตัว แม้กระทั่งเมื่อพวกไป๋อี้เห็นเหตุการณ์นี้แล้วก็ยังตัวสั่นคลอนอย่างควบคุมไม่ได้เช่นเดียวกัน นี่จะเป็นฉากการสู้รบที่ตราตรึงจิตใจของมนุษย์อย่างถึงที่สุดฉากหนึ่ง

        ลมหายใจของแมวยักษ์ค่อย ๆ แผ่วเบาและไร้เรี่ยวแรงลงเรื่อย ๆ ซึ่งมันยังคงตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบอยู่ ไป๋อี้ได้วางมือไว้บนด้ามดาบแต่กลับยังไม่ลงมือ เขาทราบดีว่าแมวยักษ์ตัวนี้ได้แสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่คาดหวังให้มีผู้อื่นยื่นมือเข้ามาแทรกแซงในสนามสู้รบครั้งนี้ นี่เป็นการตัดสินใจของมันกับการต่อสู้เต็มกำลังในวาระสุดท้ายเพื่อลูกของตนเอง

        และทันใดนั้นเองขณะที่ทุกคนยังไม่ทันได้มองให้ชัดเจนว่าเกิดอะไรขึ้น แม่แมวก็ได้บิดโค้งลำตัวจากนั้นก็กัดเข้าไปยังลำคอของสัตว์ประหลาดตัวนั้นด้วยมุมองศาที่น่าเหลือเชื่อทันที และหลังจากที่แม่แมวกัดถูกจุดแล้ว แม่แมวก็ไม่ได้คลายปากออกมาแม้แต่น้อย มีเพียงเสียงร้องของสัตว์ประหลาดตัวนั้นที่สู้รัดฟัดเหวี่ยงกระทบกันอยู่กับพื้นดังขึ้นมาไม่หยุด

        หลังจากผ่านมาเป็นเวลาสิบกว่านาที การสู้รัดฟัดเหวี่ยงจึงหยุดลง หลงเหลือเพียงพื้นที่รอบ ๆ ที่เละเทะกระจัดกระจาย

        ในขณะนั้นเอง โม่โม่ก็ได้พุ่งเข้าไปยังรังถ้ำบริเวณนั้น ภายใต้สายตาของทุกคนที่กำลังอยู่ในความตกตะลึง โม่โม่ก็ทำการผ่ารังที่กำลังยุบตัวลงออก จากนั้นทุกคนจึงสังเกตเห็นว่ามีลูกแมวรูปร่างผอมโซตัวหนึ่งกำลังถูกหินทับอยู่ตรงบริเวณภายในมุมถ้ำ ซึ่งมันมีขนาดตัวเล็กเท่าฝ่ามือ ดูเหมือนว่ามันคือลูกแมวที่ทั้งน่ารักทั้งน่าสงสารตัวหนึ่ง

        ลูกแมวตัวนี้เหมือนจะได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย แต่มันก็ยังดิ้นขัดขืนไปมาอยู่ในฝ่ามือของโม่โม่ จากนั้นมันก็กระโดดลงมาจากฝ่ามือของเธอ และหลังจากกระโดดลงมาอยู่บนพื้นแล้วนั้น เจ้าลูกแมวก็วิ่งโซซัดโซเซไปหาแม่แมวในทันที เมื่อลูกแมววิ่งไปถึงตัวแม่แมวแล้วมันก็เลียเลือดสด ๆ ที่ไหลอยู่บนร่างกายของแม่แมวไม่หยุด พร้อมทั้งเปล่งเสียงร้องที่นุ่มนวลออกมาอย่างต่อเนื่อง สุดท้ายแม่แมวที่พวกไป๋อี้ล้วนคิดว่าเสียชีวิตไปแล้วนั้นก็ได้ลืมตาขึ้นมาพร้อมสีหน้าที่ดูสดใส จากนั้นก็แลบลิ้นออกมาช้า ๆ พร้อมกับเลียไปบนใบหน้าของลูกแมว

        ลูกแมวตัวนี้ดูเหมือนว่าจะสุขใจในความรักและความเมตตาของแม่แมวที่มีให้เป็นอย่างมาก มันหลับตาพริ้มทันทีเพื่อดื่มด่ำความรักของแม่

        อันที่จริงพวกไป๋อี้ไม่ใช่คนที่อ่อนไหวกับเรื่องอะไรง่าย ๆ แต่ทว่าพวกเขาเองก็ยังอดไม่ได้ที่จะมีน้ำตาคลอเบ้าในตอนนี้

        “เหมียว?”

        “เหมียว …… เหมียว หง่าว!” เสียงของลูกแมวไล่ระดับตั้งแต่สงสัยและค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นเศร้าโศกเสียใจ จากนั้นก็ดุดัน ชัดเจนเลยว่าแม่แมวที่รักทะนุถนอมมันและพี่น้องทั้งหมดของมันมาโดยตลอดนั้นได้ตายจากไปเสียแล้วจริง ๆ

        “พ่อคะ พวกเราเลี้ยงลูกแมวตัวนี้เถอะค่ะ” ทันใดนั้นโม่โม่ก็พูดขึ้นกับไป๋อี้

        “ได้สิ” ไป๋อี้พยักหน้า โดยไม่มีความลังเลเลยแม้แต่น้อย

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

[นิยายแปล] มหาวิบัติยีนกลายพันธุ์ 127 ความรักของแม่

Now you are reading [นิยายแปล] มหาวิบัติยีนกลายพันธุ์ Chapter 127 ความรักของแม่ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

        จริง ๆ เลยเชียว แค่จะกินอาหารสักหน่อยก็มีคนมารบกวน!

        ถึงแม้จะเป็นเสียงการเคลื่อนไหวเบา ๆ เท่านั้นแต่นั่นก็เพียงพอที่จะทำให้พวกไป๋อี้ได้ยินกันแทบทุกคน ช่วยไม่ได้ เพราะนิวซีแลนด์ในตอนนี้หากทุกคนไม่มีความระแวดระวังกับสิ่งรอบข้างกันสักนิดก็อาจจะทำให้เกิดเรื่องอันตรายขึ้นได้อย่างง่ายดาย เดิมทีไป๋อี้อยากถามโม่โม่ว่าเกิดอะไรขึ้นกับชาร์ไป่กันแน่ แต่ดันถูกตัดบทเสียก่อน ในเวลาชั่วครู่นั้นทำให้จุดสนใจของเขาย้ายไปยังเบื้องหลังแทน

        ทันใดนั้นก็มีสัตว์ตัวหนึ่งที่มีรูปร่างใหญ่มหึมาเดินออกมาจากเบื้องหลัง เมื่อไป๋อี้และคนอื่น ๆ มองเห็นสัตว์ตัวนั้นต่างก็ตะลึงงันไปในทันที …… เสือเหรอ? ไม่สิ ไม่ใช่ มันไม่ใช่เสือ เพียงแค่มองดูแล้วลักษณะคล้ายกับเสือเท่านั้น แต่สิ่งนี้น่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในตระกูลแมวหรืออาจกล่าวได้เลยว่ามันก็คือแมวนั่นเอง และแน่นอนว่าที่นิวซีแลนด์ในตอนนี้ไม่มีสิ่งมีชีวิตที่สมบูรณ์อย่างสิ้นเชิงเหลืออยู่เลย พวกไป๋อี้เองก็คร้านที่จะไปพิจารณาแยกแยะสิ่งมีชีวิตทุกชนิดเช่นกัน เพียงแค่จำลักษณะเด่น ๆ ของสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นได้อย่างถูกต้องก็น่าจะเพียงพอแล้ว

        ชาร์ไป่ลุกยืนขึ้นแต่ทว่าไป๋อี้กลับยกมือขวาขึ้นมาขวางไว้เบื้องหน้า

        แปลกจริง!

        แมวยักษ์ตัวนี้มีความยาวถึง 2 เมตรกว่า ๆ และดูเหมือนมันจะไม่ได้มีท่าทีที่ดูเป็นศัตรูเท่าไหร่นัก มันดูเหมือนมีความหวังระคนความระแวดระวังเสียมากกว่า เพียงแค่ไป๋อี้หันหน้าไปมอง แมวยักษ์ตัวนี้ก็เกร็งตัวและส่งเสียงร้องขู่อย่างดุร้ายออกมา จากนั้นแมวยักษ์ตัวนี้จึงค่อย ๆ ย่างก้าวเข้ามาใกล้พวกไป๋อี้อย่างระมัดระวัง ทำให้ทุกคนเริ่มสังเกตเห็นว่าบนเอวของแมวยักษ์ตัวนี้มีบาดแผลตรงโครงกระดูกลามไปจนถึงขาหลัง นั่นจึงทำให้ท่าเดินของมันดูไม่ค่อยเป็นปกตินัก

        เป็นอย่างนี้นี่เอง เสียงการเดินไม่สม่ำเสมอกันเบา ๆ ที่ได้ยินนั่นก็คือเจ้านี่เอง

        “แกอยากได้ของกินเหรอ?” ขณะนั้นเองไป๋อี้ก็รับรู้ได้ถึงจุดประสงค์ในการมาเยือนของมัน และถึงแม้แมวยักษ์ตัวนี้จะมีความระแวดระวังแต่มันก็ไม่ได้มีท่าทีที่เป็นศัตรูเลย รวมถึงท่าทางของมันที่แสดงออกมาดูราวกับว่ามันกำลังออดอ้อนพวกเขาอยู่อย่างไรอย่างนั้น ซึ่งพฤติกรรมของมันก็คล้ายกับท่าทางของแมวปกติทั่วไปที่ปฏิบัติต่อมนุษย์ และจากพฤติกรรมของมัน ไป๋อี้จึงตัดสินชี้ขาดได้ในทันทีว่าแมวยักษ์ตัวนี้มาเพื่อขออาหารกินเท่านั้น

        “เหมียว ~!”

        ไป๋อี้หยิบชามใส่อาหารออกมาแล้วนำหนังของหนอนแก้วใส่ลงไปจนเต็มชาม จากนั้นก็วางไว้เบื้องหน้าของแมวยักษ์ ต่อมามันใช้ปากคาบชามอาหารไว้ทันทีพร้อมยกขึ้นแล้ววิ่งหนีออกไป เป็นเพราะร่างกายของแมวยักษ์ตัวนี้บาดเจ็บอยู่ จึงทำให้ลักษณะท่าทางในขณะที่มันวิ่งออกไปแลดูไม่เป็นธรรมชาติ และในเวลาต่อมามันก็ได้วิ่งหายไปต่อหน้าทุกคนภายในเวลาอันรวดเร็ว

        “มันคือ?”

        “มันน่าจะได้กลิ่นอาหารก็เลยเข้ามาขออาหารน่ะ เมื่อก่อนแมวตัวนี้น่าจะเป็นแมวที่ถูกมนุษย์เลี้ยงดูมาเลยมีความเป็นมิตรกับมนุษย์” ไป๋อี้พูดอธิบายช้า ๆ

        “น่าแปลกจริง พวกเราเคยเจอสัตว์เลี้ยงไม่น้อยเลยนะ แต่ว่านี่เป็นครั้งแรกที่ได้เจอกับสิ่งมีชีวิตที่มีความเป็นมิตรกับมนุษย์แบบนี้”

        “พวกนายก็เห็นแล้วนี่ว่าบนลำตัวของแมวยักษ์ตัวนั้นมีแผลที่ใหญ่มาก ฉะนั้นนั่นคงส่งผลกระทบกับมันเวลาที่ออกล่าหาอาหารในชีวิตประจำวันเป็นแน่ มันก็คงไม่มีทางเลือกล่ะมั้ง ดูเหมือนมันจะไม่ได้กินอะไรมานานมากแล้วด้วย พอจู่ ๆ ได้กลิ่นอาหารบวกกับยังมีความทรงจำลึก ๆ เกี่ยวกับการที่เมื่อก่อนเคยมีมนุษย์ให้อาหาร มันก็เลยเดินออกมาหาเรา อันที่จริงตอนที่มันปรากฏตัวออกมา ความเป็นมิตรของมันมีมากกว่าความระแวดระวังเสียอีก” ไป๋อี้พูดอธิบาย

        “เป็นอย่างนี้นี่เอง แต่ว่ากินอยู่ที่นี่ก็ได้นี่นาทำไมต้องคาบชามอาหารไปด้วย” วูล์ฟพูดขึ้นมา

        “น่าจะเอาไปให้เพื่อนตัวอื่นด้วยล่ะมั้ง” เฮลัวส์พูดขึ้นเช่นกัน

        “อืม น่าจะเป็นอย่างนั้น” ไป๋อี้พยักหน้า

        ไป๋อี้ไม่ได้เก็บเรื่องของแมวยักษ์ตัวนี้มาใส่ใจนัก อันที่จริงเรื่องราวลักษณะนี้ในความคิดของไป๋อี้นั้นมันไม่คุ้มแก่การกล่าวถึงสักเท่าไหร่ และถึงแม้พวกไป๋อี้ก็ไล่ล่าเหยื่อเช่นกันแต่พวกเขาก็ไม่เคยไล่ฆ่าตามอำเภอใจเพราะความชอบส่วนตัวเลย โดยเฉพาะกับสัตว์เลี้ยงที่ไม่ได้มีท่าทีเป็นศัตรูและยิ่งเคยเป็นสัตว์เลี้ยงของมนุษย์ด้วยเช่นนี้

        “โม่โม่!”

        “ค่ะ!” เมื่อโม่โม่ได้ยินเสียงของไป๋อี้ก็ถึงกับสะดุ้งตกใจในทันที

        “ลูกและชาร์ไป่กำลังทำอะไรอยู่กันแน่?” น้ำเสียงของไป๋อี้ไม่ได้ดังสักเท่าไหร่แต่กลับทำให้โม่โม่รู้สึกกลัวเอามาก ๆ เพราะเธอยังเป็นเด็กจึงมีความรู้สึกเกรงกลัวต่อผู้ปกครองอยู่เสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลาที่ตนเองกำลังมีเรื่องอะไรปิดบังอยู่

        “คือ คือว่า ……” สายตาของโม่โม่เคลื่อนไปเคลื่อนมาไม่หยุดนิ่ง โม่โม่ ท่าทางของเธอนี่ช่างไม่แนบเนียนเอาเสียเลย ท่าทางแบบนี้เป็นท่าทางที่ในหัวต้องมีเรื่องลับลมคมในอยู่แน่ ๆ และขณะนี้ภายในหัวของโม่โม่ก็กำลังใช้ความคิดไปมาไม่หยุดเพื่อคิดหาข้ออ้างมาตอบกลับพ่อไปพลาง ๆ ก่อน แต่ทว่าหัวสมองอันเล็กและเรียบง่ายของโม่โม่กลับคิดหาวิธีอะไรไม่ออกเลย ส่วนวูล์ฟและเฮลัวส์เองก็คงจะไม่ยื่นมือเข้าไปแทรกเพื่อช่วยเหลือโม่โม่อย่างแน่นอน ก็ถือเสียว่าดูละครตลกก็แล้วกัน

        “พ่อคะ หนูได้ยินเสียงค่ะ เสียง!” ทันใดนั้นโม่โม่ก็พูดโพล่งขึ้นมา

        “อย่าบ่ายเบี่ยงประเด็น”

        “จริง ๆ นะคะ มีเสียงดัง” โม่โม่ชี้นิ้วมือน้อย ๆ ของเธอไปยังทางที่แมวยักษ์ตัวนั้นวิ่งออกไปก่อนหน้านี้ จากนั้นก็พูดขึ้น

        ในเวลานี้ สายตาของไป๋อี้และคนอื่น ๆ ก็ไม่ได้จดจ่ออยู่กับเรื่องที่ตนกำลังสนใจตรงนี้อีกแล้ว แต่พวกเขากลับหันไปทางเสียงนั้นแล้วตั้งใจฟังตามที่โม่โม่บอก ที่แท้ก็มีเสียงบางอย่างอย่างที่โม่โม่บอกไว้จริง ๆ แม้เสียงนั้นจะเบามากแต่ก็สามารถฟังออกว่าเป็นเสียงแมวร้องคำรามที่ทุ้มและดุดัน ครั้นภายในเวลาชั่วพริบตาทุกคนจึงได้นึกถึงแมวยักษ์ตัวนั้นที่วิ่งออกไปก่อนหน้านี้

        “ไปดูกันหน่อยเถอะ” เมื่อไป๋อี้เห็นว่าทุกคนล้วนกำลังจ้องมองมายังตน เขาจึงพูดขึ้นมาเช่นนั้นอย่างช่วยไม่ได้

        ทันใดนั้นเองโม่โม่ก็คว้าเอากระดูกของชาร์ไป่ไว้แล้วตีลังกาขึ้นไปนั่งบนหลังของชาร์ไป่ “หนูไปเองค่ะ” โม่โม่พูดขึ้นอย่างรีบร้อน คล้ายกับว่าโม่โม่กำลังจะหนีเพราะกลัวว่าจะถูกไป๋อี้ดึงห้ามเอาไว้อย่างไรอย่างนั้น เฮลัวส์เห็นท่าทางของโม่โม่จึงหัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้ อย่างไรเสียก็ไม่มีทางที่จะให้โม่โม่เข้าไปดูเพียงลำพังหรอก ดังนั้นทุกคนจึงตามโม่โม่ไปยังทางซึ่งมีเสียงดังออกมาในทันที

        คิดไม่ถึงจริง ๆ ว่าเพียงแค่เวลาอันสั้นเช่นนี้แมวยักษ์ตัวนั้นจะวิ่งไปได้ไกลมากแล้ว พวกไป๋อี้วิ่งตามไปจนเป็นระยะทางถึง 1 กิโลเมตรถึงเจอแมวยักษ์ตัวนั้น

        เห็นได้ชัดว่าตรงนี้คือรังของสัตว์ ซึ่งก็คือรังของแมวยักษ์ตัวนี้นั่นเอง แต่ทว่าภายในรังแห่งนี้กลับเต็มไปด้วยรอยเปื้อนเลือดที่ไหลนองอยู่ และแมวยักษ์ตัวนี้ก็กำลังเผชิญหน้าอยู่กับสิ่งมีชีวิตอีกตัวหนึ่ง

        ลำคอของสิ่งมีชีวิตตัวนั้นทั้งหนาและใหญ่มาก ซึ่งความยาวของลำตัวมันนั้นยาวราว ๆ 3 เมตรได้ บริเวณลำตัวเผยส่วนเว้าส่วนโค้งมองดูแล้วรูปร่างผอมเพรียว แต่ทว่ากล้ามเนื้อส่วนขาและลำคอของมันกลับดูกำยำมาก สำหรับสายพันธุ์ของเจ้าสิ่งนี้คืออะไรนั้น ไม่มีผู้ใดสามารถแยกแยะออกได้ เมื่อมองสังเกตดูแล้วลักษณะของมันมีความคล้ายกับสัตว์เลื้อยคลาน อีกทั้งบนริมฝีปากของเจ้านี่ก็มีเลือดสด ๆ แปดเปื้อนอยู่ รวมถึงบนพื้นก็ยังมีเศษซากชิ้นส่วนอวัยวะของลูกแมวกระจัดกระจายเกลื่อนกลาดไปทั่ว

        เมื่อพวกไป๋อี้เห็นคราเดียวก็เข้าใจว่าเหตุใดก่อนหน้าแมวยักษ์ตัวนี้จึงได้จู่ ๆ ก็เข้าไปใกล้พวกเขา และยังคาบอาหารกลับมาด้วย

        เป็นเพราะมันได้รับบาดเจ็บจึงไม่สะดวกในการล่าอาหารมากิน ดังนั้นมันจึงได้ระลึกถึงการพึ่งพามนุษย์ที่อยู่ในความทรงจำภายในหัวขึ้นมาอีกครั้ง ต่อให้ทราบดีว่าการที่มันเข้าไปใกล้มนุษย์ในตอนนี้อาจจะมีอันตรายและบางทีอาจจะเสี่ยงถูกไล่ล่าจนตัวตายก็ตาม แต่มันก็ยังตัดสินใจเข้าไปใกล้พวกไป๋อี้อยู่ดี นั่นเป็นเพราะว่าตัวมันคือแม่แมวและการที่มันคาบอาหารกลับมานั้นก็เห็นได้ชัดว่ามันต้องการที่จะนำมาให้บรรดาลูก ๆ ของตน

        ทว่าผลลัพธ์ที่ได้มาก็คือหลังจากที่แม่แมวตัวนี้กลับมากลับต้องเห็นฉากที่ลูก ๆ ของตนถูกสิ่งมีชีวิตตัวนี้ไล่ล่าสวาปามจนสิ้น

        วูล์ฟจับง้าวยักษ์ไว้แน่นหวังจะพุ่งเข้าไปช่วยเหลือ แต่จู่ ๆ แม่แมวกลับหันหน้ามาทางพวกไป๋อี้พร้อมส่งเสียงร้องคำรามเสียงดัง เสียงร้องของแมวครั้งนี้แสดงออกถึงความดุดันและเด็ดเดี่ยว ไป๋อี้จึงได้คว้าวูล์ฟไว้ในทันที ปรากฏหลังจากที่เห็นว่าไป๋อี้จับวูล์ฟไว้แล้วนั้น แม่แมวตัวนี้จึงหันหน้าไปเผชิญกับฆาตกรที่ฆ่าลูกของตนอีกครั้ง

        “เหมียว หง่าว!” ในเวลานี้แมวยักษ์ได้แสดงพละกำลังของตัวเองออกมาอย่างสุดกำลัง ซึ่งเป็นพละกำลังการสังหารอันเหี้ยมโหด สัตว์ตระกูลแมวเมื่ออยู่บนโลกถือว่าเป็นผู้ล่า นั่นจึงทำให้สิ่งมีชีวิตที่มีวิวัฒนาการอย่างแมวยักษ์ตัวนี้ยิ่งมีความแข็งแกร่งขึ้นไปอีก ฉากที่มันทำตัวน่าเอ็นดูต่อหน้าพวกไป๋อี้เมื่อก่อนหน้านี้ จึงดูราวกับว่าเป็นเพียงแค่ภาพลวงตาเท่านั้น

        แต่ทว่าสิ่งมีชีวิตที่ไร้ชื่อในฝั่งตรงข้ามตัวนั้นก็มีความแข็งแกร่งมาก ๆ เช่นกัน เมื่อมันเผชิญหน้ากับแม่แมวตัวนั้น พละกำลังของมันก็ไม่ได้ด้อยกว่าเลยแม้แต่น้อย ณ ขณะนี้บนร่างกายของแม่แมวมีรอยบาดแผลอยู่จึงทำให้ไม่นานมันก็ต้องตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ

        “พ่อคะ!” โม่โม่มองไปยังผู้เป็นพ่อ ไม่รู้ว่าเหตุใดไป๋อี้จึงไม่เข้าไปช่วยเหลือ เห็นได้ชัดว่าแม่แมวไม่ใช่คู่ต่อสู้ของสัตว์ประหลาดนั่นเลย

        “ดูก่อน นี่เป็นการต่อสู้ครั้งสุดท้ายของผู้เป็นแม่” สายตาของไป๋อี้จริงจังมาก

        เดิมทีโม่โม่ไม่เข้าใจสถานการณ์ ครั้นหลังจากได้ยินคำพูดของไป๋อี้ที่พูดมาเช่นนั้นทำให้เธอถึงกับอึ้งไปในทันที เป็นเพราะโม่โม่ไม่มีแม่มาโดยตลอด ฉะนั้นจึงไม่สามารถรับรู้ได้ว่าความรักของผู้เป็นแม่คืออะไร เธอมีแค่พ่อคนเดียวก็เพียงพอแล้ว เวลานี้โม่โม่มองดูแม่แมวที่ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบแต่ก็ยังคงต่อสู้อย่างสุดชีวิต ขณะนั้นเองเธอก็ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไรไป คล้ายกับว่าลึก ๆ ในใจเธอมีความรู้สึกซึ้งใจอย่างบอกไม่ถูก

        ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาการต่อสู้ระหว่างสัตว์ป่าก็ล้วนเป็นการต่อสู้ภายใต้ร่างเปลือยเปล่าไร้เกราะคุ้มกันพร้อมด้วยเลือดที่ไหลนอง การที่แมวยักษ์ต่อสู้กับสัตว์ประหลาดที่ไม่รู้ชื่อตัวนี้ยิ่งทำให้แผลของมันฉีกออกจนเลือดไหลนองออกมาท่วมไปทั้งตัว แม้กระทั่งเมื่อพวกไป๋อี้เห็นเหตุการณ์นี้แล้วก็ยังตัวสั่นคลอนอย่างควบคุมไม่ได้เช่นเดียวกัน นี่จะเป็นฉากการสู้รบที่ตราตรึงจิตใจของมนุษย์อย่างถึงที่สุดฉากหนึ่ง

        ลมหายใจของแมวยักษ์ค่อย ๆ แผ่วเบาและไร้เรี่ยวแรงลงเรื่อย ๆ ซึ่งมันยังคงตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบอยู่ ไป๋อี้ได้วางมือไว้บนด้ามดาบแต่กลับยังไม่ลงมือ เขาทราบดีว่าแมวยักษ์ตัวนี้ได้แสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่คาดหวังให้มีผู้อื่นยื่นมือเข้ามาแทรกแซงในสนามสู้รบครั้งนี้ นี่เป็นการตัดสินใจของมันกับการต่อสู้เต็มกำลังในวาระสุดท้ายเพื่อลูกของตนเอง

        และทันใดนั้นเองขณะที่ทุกคนยังไม่ทันได้มองให้ชัดเจนว่าเกิดอะไรขึ้น แม่แมวก็ได้บิดโค้งลำตัวจากนั้นก็กัดเข้าไปยังลำคอของสัตว์ประหลาดตัวนั้นด้วยมุมองศาที่น่าเหลือเชื่อทันที และหลังจากที่แม่แมวกัดถูกจุดแล้ว แม่แมวก็ไม่ได้คลายปากออกมาแม้แต่น้อย มีเพียงเสียงร้องของสัตว์ประหลาดตัวนั้นที่สู้รัดฟัดเหวี่ยงกระทบกันอยู่กับพื้นดังขึ้นมาไม่หยุด

        หลังจากผ่านมาเป็นเวลาสิบกว่านาที การสู้รัดฟัดเหวี่ยงจึงหยุดลง หลงเหลือเพียงพื้นที่รอบ ๆ ที่เละเทะกระจัดกระจาย

        ในขณะนั้นเอง โม่โม่ก็ได้พุ่งเข้าไปยังรังถ้ำบริเวณนั้น ภายใต้สายตาของทุกคนที่กำลังอยู่ในความตกตะลึง โม่โม่ก็ทำการผ่ารังที่กำลังยุบตัวลงออก จากนั้นทุกคนจึงสังเกตเห็นว่ามีลูกแมวรูปร่างผอมโซตัวหนึ่งกำลังถูกหินทับอยู่ตรงบริเวณภายในมุมถ้ำ ซึ่งมันมีขนาดตัวเล็กเท่าฝ่ามือ ดูเหมือนว่ามันคือลูกแมวที่ทั้งน่ารักทั้งน่าสงสารตัวหนึ่ง

        ลูกแมวตัวนี้เหมือนจะได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย แต่มันก็ยังดิ้นขัดขืนไปมาอยู่ในฝ่ามือของโม่โม่ จากนั้นมันก็กระโดดลงมาจากฝ่ามือของเธอ และหลังจากกระโดดลงมาอยู่บนพื้นแล้วนั้น เจ้าลูกแมวก็วิ่งโซซัดโซเซไปหาแม่แมวในทันที เมื่อลูกแมววิ่งไปถึงตัวแม่แมวแล้วมันก็เลียเลือดสด ๆ ที่ไหลอยู่บนร่างกายของแม่แมวไม่หยุด พร้อมทั้งเปล่งเสียงร้องที่นุ่มนวลออกมาอย่างต่อเนื่อง สุดท้ายแม่แมวที่พวกไป๋อี้ล้วนคิดว่าเสียชีวิตไปแล้วนั้นก็ได้ลืมตาขึ้นมาพร้อมสีหน้าที่ดูสดใส จากนั้นก็แลบลิ้นออกมาช้า ๆ พร้อมกับเลียไปบนใบหน้าของลูกแมว

        ลูกแมวตัวนี้ดูเหมือนว่าจะสุขใจในความรักและความเมตตาของแม่แมวที่มีให้เป็นอย่างมาก มันหลับตาพริ้มทันทีเพื่อดื่มด่ำความรักของแม่

        อันที่จริงพวกไป๋อี้ไม่ใช่คนที่อ่อนไหวกับเรื่องอะไรง่าย ๆ แต่ทว่าพวกเขาเองก็ยังอดไม่ได้ที่จะมีน้ำตาคลอเบ้าในตอนนี้

        “เหมียว?”

        “เหมียว …… เหมียว หง่าว!” เสียงของลูกแมวไล่ระดับตั้งแต่สงสัยและค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นเศร้าโศกเสียใจ จากนั้นก็ดุดัน ชัดเจนเลยว่าแม่แมวที่รักทะนุถนอมมันและพี่น้องทั้งหมดของมันมาโดยตลอดนั้นได้ตายจากไปเสียแล้วจริง ๆ

        “พ่อคะ พวกเราเลี้ยงลูกแมวตัวนี้เถอะค่ะ” ทันใดนั้นโม่โม่ก็พูดขึ้นกับไป๋อี้

        “ได้สิ” ไป๋อี้พยักหน้า โดยไม่มีความลังเลเลยแม้แต่น้อย

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

[นิยายแปล] มหาวิบัติยีนกลายพันธุ์ 127 ความรักของแม่

Now you are reading [นิยายแปล] มหาวิบัติยีนกลายพันธุ์ Chapter 127 ความรักของแม่ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

        จริง ๆ เลยเชียว แค่จะกินอาหารสักหน่อยก็มีคนมารบกวน!

        ถึงแม้จะเป็นเสียงการเคลื่อนไหวเบา ๆ เท่านั้นแต่นั่นก็เพียงพอที่จะทำให้พวกไป๋อี้ได้ยินกันแทบทุกคน ช่วยไม่ได้ เพราะนิวซีแลนด์ในตอนนี้หากทุกคนไม่มีความระแวดระวังกับสิ่งรอบข้างกันสักนิดก็อาจจะทำให้เกิดเรื่องอันตรายขึ้นได้อย่างง่ายดาย เดิมทีไป๋อี้อยากถามโม่โม่ว่าเกิดอะไรขึ้นกับชาร์ไป่กันแน่ แต่ดันถูกตัดบทเสียก่อน ในเวลาชั่วครู่นั้นทำให้จุดสนใจของเขาย้ายไปยังเบื้องหลังแทน

        ทันใดนั้นก็มีสัตว์ตัวหนึ่งที่มีรูปร่างใหญ่มหึมาเดินออกมาจากเบื้องหลัง เมื่อไป๋อี้และคนอื่น ๆ มองเห็นสัตว์ตัวนั้นต่างก็ตะลึงงันไปในทันที …… เสือเหรอ? ไม่สิ ไม่ใช่ มันไม่ใช่เสือ เพียงแค่มองดูแล้วลักษณะคล้ายกับเสือเท่านั้น แต่สิ่งนี้น่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในตระกูลแมวหรืออาจกล่าวได้เลยว่ามันก็คือแมวนั่นเอง และแน่นอนว่าที่นิวซีแลนด์ในตอนนี้ไม่มีสิ่งมีชีวิตที่สมบูรณ์อย่างสิ้นเชิงเหลืออยู่เลย พวกไป๋อี้เองก็คร้านที่จะไปพิจารณาแยกแยะสิ่งมีชีวิตทุกชนิดเช่นกัน เพียงแค่จำลักษณะเด่น ๆ ของสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นได้อย่างถูกต้องก็น่าจะเพียงพอแล้ว

        ชาร์ไป่ลุกยืนขึ้นแต่ทว่าไป๋อี้กลับยกมือขวาขึ้นมาขวางไว้เบื้องหน้า

        แปลกจริง!

        แมวยักษ์ตัวนี้มีความยาวถึง 2 เมตรกว่า ๆ และดูเหมือนมันจะไม่ได้มีท่าทีที่ดูเป็นศัตรูเท่าไหร่นัก มันดูเหมือนมีความหวังระคนความระแวดระวังเสียมากกว่า เพียงแค่ไป๋อี้หันหน้าไปมอง แมวยักษ์ตัวนี้ก็เกร็งตัวและส่งเสียงร้องขู่อย่างดุร้ายออกมา จากนั้นแมวยักษ์ตัวนี้จึงค่อย ๆ ย่างก้าวเข้ามาใกล้พวกไป๋อี้อย่างระมัดระวัง ทำให้ทุกคนเริ่มสังเกตเห็นว่าบนเอวของแมวยักษ์ตัวนี้มีบาดแผลตรงโครงกระดูกลามไปจนถึงขาหลัง นั่นจึงทำให้ท่าเดินของมันดูไม่ค่อยเป็นปกตินัก

        เป็นอย่างนี้นี่เอง เสียงการเดินไม่สม่ำเสมอกันเบา ๆ ที่ได้ยินนั่นก็คือเจ้านี่เอง

        “แกอยากได้ของกินเหรอ?” ขณะนั้นเองไป๋อี้ก็รับรู้ได้ถึงจุดประสงค์ในการมาเยือนของมัน และถึงแม้แมวยักษ์ตัวนี้จะมีความระแวดระวังแต่มันก็ไม่ได้มีท่าทีที่เป็นศัตรูเลย รวมถึงท่าทางของมันที่แสดงออกมาดูราวกับว่ามันกำลังออดอ้อนพวกเขาอยู่อย่างไรอย่างนั้น ซึ่งพฤติกรรมของมันก็คล้ายกับท่าทางของแมวปกติทั่วไปที่ปฏิบัติต่อมนุษย์ และจากพฤติกรรมของมัน ไป๋อี้จึงตัดสินชี้ขาดได้ในทันทีว่าแมวยักษ์ตัวนี้มาเพื่อขออาหารกินเท่านั้น

        “เหมียว ~!”

        ไป๋อี้หยิบชามใส่อาหารออกมาแล้วนำหนังของหนอนแก้วใส่ลงไปจนเต็มชาม จากนั้นก็วางไว้เบื้องหน้าของแมวยักษ์ ต่อมามันใช้ปากคาบชามอาหารไว้ทันทีพร้อมยกขึ้นแล้ววิ่งหนีออกไป เป็นเพราะร่างกายของแมวยักษ์ตัวนี้บาดเจ็บอยู่ จึงทำให้ลักษณะท่าทางในขณะที่มันวิ่งออกไปแลดูไม่เป็นธรรมชาติ และในเวลาต่อมามันก็ได้วิ่งหายไปต่อหน้าทุกคนภายในเวลาอันรวดเร็ว

        “มันคือ?”

        “มันน่าจะได้กลิ่นอาหารก็เลยเข้ามาขออาหารน่ะ เมื่อก่อนแมวตัวนี้น่าจะเป็นแมวที่ถูกมนุษย์เลี้ยงดูมาเลยมีความเป็นมิตรกับมนุษย์” ไป๋อี้พูดอธิบายช้า ๆ

        “น่าแปลกจริง พวกเราเคยเจอสัตว์เลี้ยงไม่น้อยเลยนะ แต่ว่านี่เป็นครั้งแรกที่ได้เจอกับสิ่งมีชีวิตที่มีความเป็นมิตรกับมนุษย์แบบนี้”

        “พวกนายก็เห็นแล้วนี่ว่าบนลำตัวของแมวยักษ์ตัวนั้นมีแผลที่ใหญ่มาก ฉะนั้นนั่นคงส่งผลกระทบกับมันเวลาที่ออกล่าหาอาหารในชีวิตประจำวันเป็นแน่ มันก็คงไม่มีทางเลือกล่ะมั้ง ดูเหมือนมันจะไม่ได้กินอะไรมานานมากแล้วด้วย พอจู่ ๆ ได้กลิ่นอาหารบวกกับยังมีความทรงจำลึก ๆ เกี่ยวกับการที่เมื่อก่อนเคยมีมนุษย์ให้อาหาร มันก็เลยเดินออกมาหาเรา อันที่จริงตอนที่มันปรากฏตัวออกมา ความเป็นมิตรของมันมีมากกว่าความระแวดระวังเสียอีก” ไป๋อี้พูดอธิบาย

        “เป็นอย่างนี้นี่เอง แต่ว่ากินอยู่ที่นี่ก็ได้นี่นาทำไมต้องคาบชามอาหารไปด้วย” วูล์ฟพูดขึ้นมา

        “น่าจะเอาไปให้เพื่อนตัวอื่นด้วยล่ะมั้ง” เฮลัวส์พูดขึ้นเช่นกัน

        “อืม น่าจะเป็นอย่างนั้น” ไป๋อี้พยักหน้า

        ไป๋อี้ไม่ได้เก็บเรื่องของแมวยักษ์ตัวนี้มาใส่ใจนัก อันที่จริงเรื่องราวลักษณะนี้ในความคิดของไป๋อี้นั้นมันไม่คุ้มแก่การกล่าวถึงสักเท่าไหร่ และถึงแม้พวกไป๋อี้ก็ไล่ล่าเหยื่อเช่นกันแต่พวกเขาก็ไม่เคยไล่ฆ่าตามอำเภอใจเพราะความชอบส่วนตัวเลย โดยเฉพาะกับสัตว์เลี้ยงที่ไม่ได้มีท่าทีเป็นศัตรูและยิ่งเคยเป็นสัตว์เลี้ยงของมนุษย์ด้วยเช่นนี้

        “โม่โม่!”

        “ค่ะ!” เมื่อโม่โม่ได้ยินเสียงของไป๋อี้ก็ถึงกับสะดุ้งตกใจในทันที

        “ลูกและชาร์ไป่กำลังทำอะไรอยู่กันแน่?” น้ำเสียงของไป๋อี้ไม่ได้ดังสักเท่าไหร่แต่กลับทำให้โม่โม่รู้สึกกลัวเอามาก ๆ เพราะเธอยังเป็นเด็กจึงมีความรู้สึกเกรงกลัวต่อผู้ปกครองอยู่เสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลาที่ตนเองกำลังมีเรื่องอะไรปิดบังอยู่

        “คือ คือว่า ……” สายตาของโม่โม่เคลื่อนไปเคลื่อนมาไม่หยุดนิ่ง โม่โม่ ท่าทางของเธอนี่ช่างไม่แนบเนียนเอาเสียเลย ท่าทางแบบนี้เป็นท่าทางที่ในหัวต้องมีเรื่องลับลมคมในอยู่แน่ ๆ และขณะนี้ภายในหัวของโม่โม่ก็กำลังใช้ความคิดไปมาไม่หยุดเพื่อคิดหาข้ออ้างมาตอบกลับพ่อไปพลาง ๆ ก่อน แต่ทว่าหัวสมองอันเล็กและเรียบง่ายของโม่โม่กลับคิดหาวิธีอะไรไม่ออกเลย ส่วนวูล์ฟและเฮลัวส์เองก็คงจะไม่ยื่นมือเข้าไปแทรกเพื่อช่วยเหลือโม่โม่อย่างแน่นอน ก็ถือเสียว่าดูละครตลกก็แล้วกัน

        “พ่อคะ หนูได้ยินเสียงค่ะ เสียง!” ทันใดนั้นโม่โม่ก็พูดโพล่งขึ้นมา

        “อย่าบ่ายเบี่ยงประเด็น”

        “จริง ๆ นะคะ มีเสียงดัง” โม่โม่ชี้นิ้วมือน้อย ๆ ของเธอไปยังทางที่แมวยักษ์ตัวนั้นวิ่งออกไปก่อนหน้านี้ จากนั้นก็พูดขึ้น

        ในเวลานี้ สายตาของไป๋อี้และคนอื่น ๆ ก็ไม่ได้จดจ่ออยู่กับเรื่องที่ตนกำลังสนใจตรงนี้อีกแล้ว แต่พวกเขากลับหันไปทางเสียงนั้นแล้วตั้งใจฟังตามที่โม่โม่บอก ที่แท้ก็มีเสียงบางอย่างอย่างที่โม่โม่บอกไว้จริง ๆ แม้เสียงนั้นจะเบามากแต่ก็สามารถฟังออกว่าเป็นเสียงแมวร้องคำรามที่ทุ้มและดุดัน ครั้นภายในเวลาชั่วพริบตาทุกคนจึงได้นึกถึงแมวยักษ์ตัวนั้นที่วิ่งออกไปก่อนหน้านี้

        “ไปดูกันหน่อยเถอะ” เมื่อไป๋อี้เห็นว่าทุกคนล้วนกำลังจ้องมองมายังตน เขาจึงพูดขึ้นมาเช่นนั้นอย่างช่วยไม่ได้

        ทันใดนั้นเองโม่โม่ก็คว้าเอากระดูกของชาร์ไป่ไว้แล้วตีลังกาขึ้นไปนั่งบนหลังของชาร์ไป่ “หนูไปเองค่ะ” โม่โม่พูดขึ้นอย่างรีบร้อน คล้ายกับว่าโม่โม่กำลังจะหนีเพราะกลัวว่าจะถูกไป๋อี้ดึงห้ามเอาไว้อย่างไรอย่างนั้น เฮลัวส์เห็นท่าทางของโม่โม่จึงหัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้ อย่างไรเสียก็ไม่มีทางที่จะให้โม่โม่เข้าไปดูเพียงลำพังหรอก ดังนั้นทุกคนจึงตามโม่โม่ไปยังทางซึ่งมีเสียงดังออกมาในทันที

        คิดไม่ถึงจริง ๆ ว่าเพียงแค่เวลาอันสั้นเช่นนี้แมวยักษ์ตัวนั้นจะวิ่งไปได้ไกลมากแล้ว พวกไป๋อี้วิ่งตามไปจนเป็นระยะทางถึง 1 กิโลเมตรถึงเจอแมวยักษ์ตัวนั้น

        เห็นได้ชัดว่าตรงนี้คือรังของสัตว์ ซึ่งก็คือรังของแมวยักษ์ตัวนี้นั่นเอง แต่ทว่าภายในรังแห่งนี้กลับเต็มไปด้วยรอยเปื้อนเลือดที่ไหลนองอยู่ และแมวยักษ์ตัวนี้ก็กำลังเผชิญหน้าอยู่กับสิ่งมีชีวิตอีกตัวหนึ่ง

        ลำคอของสิ่งมีชีวิตตัวนั้นทั้งหนาและใหญ่มาก ซึ่งความยาวของลำตัวมันนั้นยาวราว ๆ 3 เมตรได้ บริเวณลำตัวเผยส่วนเว้าส่วนโค้งมองดูแล้วรูปร่างผอมเพรียว แต่ทว่ากล้ามเนื้อส่วนขาและลำคอของมันกลับดูกำยำมาก สำหรับสายพันธุ์ของเจ้าสิ่งนี้คืออะไรนั้น ไม่มีผู้ใดสามารถแยกแยะออกได้ เมื่อมองสังเกตดูแล้วลักษณะของมันมีความคล้ายกับสัตว์เลื้อยคลาน อีกทั้งบนริมฝีปากของเจ้านี่ก็มีเลือดสด ๆ แปดเปื้อนอยู่ รวมถึงบนพื้นก็ยังมีเศษซากชิ้นส่วนอวัยวะของลูกแมวกระจัดกระจายเกลื่อนกลาดไปทั่ว

        เมื่อพวกไป๋อี้เห็นคราเดียวก็เข้าใจว่าเหตุใดก่อนหน้าแมวยักษ์ตัวนี้จึงได้จู่ ๆ ก็เข้าไปใกล้พวกเขา และยังคาบอาหารกลับมาด้วย

        เป็นเพราะมันได้รับบาดเจ็บจึงไม่สะดวกในการล่าอาหารมากิน ดังนั้นมันจึงได้ระลึกถึงการพึ่งพามนุษย์ที่อยู่ในความทรงจำภายในหัวขึ้นมาอีกครั้ง ต่อให้ทราบดีว่าการที่มันเข้าไปใกล้มนุษย์ในตอนนี้อาจจะมีอันตรายและบางทีอาจจะเสี่ยงถูกไล่ล่าจนตัวตายก็ตาม แต่มันก็ยังตัดสินใจเข้าไปใกล้พวกไป๋อี้อยู่ดี นั่นเป็นเพราะว่าตัวมันคือแม่แมวและการที่มันคาบอาหารกลับมานั้นก็เห็นได้ชัดว่ามันต้องการที่จะนำมาให้บรรดาลูก ๆ ของตน

        ทว่าผลลัพธ์ที่ได้มาก็คือหลังจากที่แม่แมวตัวนี้กลับมากลับต้องเห็นฉากที่ลูก ๆ ของตนถูกสิ่งมีชีวิตตัวนี้ไล่ล่าสวาปามจนสิ้น

        วูล์ฟจับง้าวยักษ์ไว้แน่นหวังจะพุ่งเข้าไปช่วยเหลือ แต่จู่ ๆ แม่แมวกลับหันหน้ามาทางพวกไป๋อี้พร้อมส่งเสียงร้องคำรามเสียงดัง เสียงร้องของแมวครั้งนี้แสดงออกถึงความดุดันและเด็ดเดี่ยว ไป๋อี้จึงได้คว้าวูล์ฟไว้ในทันที ปรากฏหลังจากที่เห็นว่าไป๋อี้จับวูล์ฟไว้แล้วนั้น แม่แมวตัวนี้จึงหันหน้าไปเผชิญกับฆาตกรที่ฆ่าลูกของตนอีกครั้ง

        “เหมียว หง่าว!” ในเวลานี้แมวยักษ์ได้แสดงพละกำลังของตัวเองออกมาอย่างสุดกำลัง ซึ่งเป็นพละกำลังการสังหารอันเหี้ยมโหด สัตว์ตระกูลแมวเมื่ออยู่บนโลกถือว่าเป็นผู้ล่า นั่นจึงทำให้สิ่งมีชีวิตที่มีวิวัฒนาการอย่างแมวยักษ์ตัวนี้ยิ่งมีความแข็งแกร่งขึ้นไปอีก ฉากที่มันทำตัวน่าเอ็นดูต่อหน้าพวกไป๋อี้เมื่อก่อนหน้านี้ จึงดูราวกับว่าเป็นเพียงแค่ภาพลวงตาเท่านั้น

        แต่ทว่าสิ่งมีชีวิตที่ไร้ชื่อในฝั่งตรงข้ามตัวนั้นก็มีความแข็งแกร่งมาก ๆ เช่นกัน เมื่อมันเผชิญหน้ากับแม่แมวตัวนั้น พละกำลังของมันก็ไม่ได้ด้อยกว่าเลยแม้แต่น้อย ณ ขณะนี้บนร่างกายของแม่แมวมีรอยบาดแผลอยู่จึงทำให้ไม่นานมันก็ต้องตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ

        “พ่อคะ!” โม่โม่มองไปยังผู้เป็นพ่อ ไม่รู้ว่าเหตุใดไป๋อี้จึงไม่เข้าไปช่วยเหลือ เห็นได้ชัดว่าแม่แมวไม่ใช่คู่ต่อสู้ของสัตว์ประหลาดนั่นเลย

        “ดูก่อน นี่เป็นการต่อสู้ครั้งสุดท้ายของผู้เป็นแม่” สายตาของไป๋อี้จริงจังมาก

        เดิมทีโม่โม่ไม่เข้าใจสถานการณ์ ครั้นหลังจากได้ยินคำพูดของไป๋อี้ที่พูดมาเช่นนั้นทำให้เธอถึงกับอึ้งไปในทันที เป็นเพราะโม่โม่ไม่มีแม่มาโดยตลอด ฉะนั้นจึงไม่สามารถรับรู้ได้ว่าความรักของผู้เป็นแม่คืออะไร เธอมีแค่พ่อคนเดียวก็เพียงพอแล้ว เวลานี้โม่โม่มองดูแม่แมวที่ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบแต่ก็ยังคงต่อสู้อย่างสุดชีวิต ขณะนั้นเองเธอก็ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไรไป คล้ายกับว่าลึก ๆ ในใจเธอมีความรู้สึกซึ้งใจอย่างบอกไม่ถูก

        ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาการต่อสู้ระหว่างสัตว์ป่าก็ล้วนเป็นการต่อสู้ภายใต้ร่างเปลือยเปล่าไร้เกราะคุ้มกันพร้อมด้วยเลือดที่ไหลนอง การที่แมวยักษ์ต่อสู้กับสัตว์ประหลาดที่ไม่รู้ชื่อตัวนี้ยิ่งทำให้แผลของมันฉีกออกจนเลือดไหลนองออกมาท่วมไปทั้งตัว แม้กระทั่งเมื่อพวกไป๋อี้เห็นเหตุการณ์นี้แล้วก็ยังตัวสั่นคลอนอย่างควบคุมไม่ได้เช่นเดียวกัน นี่จะเป็นฉากการสู้รบที่ตราตรึงจิตใจของมนุษย์อย่างถึงที่สุดฉากหนึ่ง

        ลมหายใจของแมวยักษ์ค่อย ๆ แผ่วเบาและไร้เรี่ยวแรงลงเรื่อย ๆ ซึ่งมันยังคงตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบอยู่ ไป๋อี้ได้วางมือไว้บนด้ามดาบแต่กลับยังไม่ลงมือ เขาทราบดีว่าแมวยักษ์ตัวนี้ได้แสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่คาดหวังให้มีผู้อื่นยื่นมือเข้ามาแทรกแซงในสนามสู้รบครั้งนี้ นี่เป็นการตัดสินใจของมันกับการต่อสู้เต็มกำลังในวาระสุดท้ายเพื่อลูกของตนเอง

        และทันใดนั้นเองขณะที่ทุกคนยังไม่ทันได้มองให้ชัดเจนว่าเกิดอะไรขึ้น แม่แมวก็ได้บิดโค้งลำตัวจากนั้นก็กัดเข้าไปยังลำคอของสัตว์ประหลาดตัวนั้นด้วยมุมองศาที่น่าเหลือเชื่อทันที และหลังจากที่แม่แมวกัดถูกจุดแล้ว แม่แมวก็ไม่ได้คลายปากออกมาแม้แต่น้อย มีเพียงเสียงร้องของสัตว์ประหลาดตัวนั้นที่สู้รัดฟัดเหวี่ยงกระทบกันอยู่กับพื้นดังขึ้นมาไม่หยุด

        หลังจากผ่านมาเป็นเวลาสิบกว่านาที การสู้รัดฟัดเหวี่ยงจึงหยุดลง หลงเหลือเพียงพื้นที่รอบ ๆ ที่เละเทะกระจัดกระจาย

        ในขณะนั้นเอง โม่โม่ก็ได้พุ่งเข้าไปยังรังถ้ำบริเวณนั้น ภายใต้สายตาของทุกคนที่กำลังอยู่ในความตกตะลึง โม่โม่ก็ทำการผ่ารังที่กำลังยุบตัวลงออก จากนั้นทุกคนจึงสังเกตเห็นว่ามีลูกแมวรูปร่างผอมโซตัวหนึ่งกำลังถูกหินทับอยู่ตรงบริเวณภายในมุมถ้ำ ซึ่งมันมีขนาดตัวเล็กเท่าฝ่ามือ ดูเหมือนว่ามันคือลูกแมวที่ทั้งน่ารักทั้งน่าสงสารตัวหนึ่ง

        ลูกแมวตัวนี้เหมือนจะได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย แต่มันก็ยังดิ้นขัดขืนไปมาอยู่ในฝ่ามือของโม่โม่ จากนั้นมันก็กระโดดลงมาจากฝ่ามือของเธอ และหลังจากกระโดดลงมาอยู่บนพื้นแล้วนั้น เจ้าลูกแมวก็วิ่งโซซัดโซเซไปหาแม่แมวในทันที เมื่อลูกแมววิ่งไปถึงตัวแม่แมวแล้วมันก็เลียเลือดสด ๆ ที่ไหลอยู่บนร่างกายของแม่แมวไม่หยุด พร้อมทั้งเปล่งเสียงร้องที่นุ่มนวลออกมาอย่างต่อเนื่อง สุดท้ายแม่แมวที่พวกไป๋อี้ล้วนคิดว่าเสียชีวิตไปแล้วนั้นก็ได้ลืมตาขึ้นมาพร้อมสีหน้าที่ดูสดใส จากนั้นก็แลบลิ้นออกมาช้า ๆ พร้อมกับเลียไปบนใบหน้าของลูกแมว

        ลูกแมวตัวนี้ดูเหมือนว่าจะสุขใจในความรักและความเมตตาของแม่แมวที่มีให้เป็นอย่างมาก มันหลับตาพริ้มทันทีเพื่อดื่มด่ำความรักของแม่

        อันที่จริงพวกไป๋อี้ไม่ใช่คนที่อ่อนไหวกับเรื่องอะไรง่าย ๆ แต่ทว่าพวกเขาเองก็ยังอดไม่ได้ที่จะมีน้ำตาคลอเบ้าในตอนนี้

        “เหมียว?”

        “เหมียว …… เหมียว หง่าว!” เสียงของลูกแมวไล่ระดับตั้งแต่สงสัยและค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นเศร้าโศกเสียใจ จากนั้นก็ดุดัน ชัดเจนเลยว่าแม่แมวที่รักทะนุถนอมมันและพี่น้องทั้งหมดของมันมาโดยตลอดนั้นได้ตายจากไปเสียแล้วจริง ๆ

        “พ่อคะ พวกเราเลี้ยงลูกแมวตัวนี้เถอะค่ะ” ทันใดนั้นโม่โม่ก็พูดขึ้นกับไป๋อี้

        “ได้สิ” ไป๋อี้พยักหน้า โดยไม่มีความลังเลเลยแม้แต่น้อย

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+