[นิยายแปล] มหาวิบัติยีนกลายพันธุ์ 61 แรกพบกับไนท์

Now you are reading [นิยายแปล] มหาวิบัติยีนกลายพันธุ์ Chapter 61 แรกพบกับไนท์ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

       ทันทีที่ไป๋อี้เสียบแท่งเหล็กเข้าไปก็เกิดเสียงโลหะกระทบกันดังขึ้น พลันพลังงานมหาศาลนั้นก็ส่งผลให้แท่งเหล็กร่วงหลุดออกจากมือของไป๋อี้ จากนั้นก็ไปติดอยู่ในกลางเพลารถ และในขณะเดียวกันรถกระเช้าไฟฟ้าทั้งคันก็เกิดสั่นโคลงเคลงไปทั่วทั้งขบวน โลหะขูดเสียดสีกันจนเกิดเสียงดังเอี๊ยดรุนแรงทำให้ทุกคนแสบแก้วหูเป็นอย่างมาก

       ประกายไฟที่รุนแรงสาดกระเซ็นอยู่ระหว่างรางรถพร้อมกับกระเช้าไฟฟ้าก็ค่อย ๆ เริ่มลาดเอียง ไป๋อี้เดินเข้าไปอุ้มกอดโม่โม่ด้วยมือข้างหนึ่งพร้อมกับใช้มืออีกข้างหนึ่งจับเบาะที่นั่งด้านข้างไว้

       ทุกคนได้เตรียมพร้อมกันเป็นอย่างดี พร้อมกับในขณะที่รถรางค่อย ๆ ลาดเอียงและในท้ายที่สุดก็ตกลงไปจากรางรถ เกิดการสั่นสะเทือนขึ้นอย่างรุนแรง แต่ทุกคนในขบวนรถก็จับคว้ายึดเอาไว้อย่างมั่นคง อย่างไรเสียก็ได้มีการเตรียมพร้อมมาแล้วและโดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ในตอนนี้ทุกคนล้วนแตกต่างจากคนทั่วไป ประกายไฟที่เสียดสีอย่างรุนแรงทำให้เกิดเขม่าควันขึ้นในขบวนรถและตลบอบอวลไปทั่วทุกสารทิศ แต่สีหน้าของทุกคนก็ยังคงไว้ซึ่งความสุขุมเยือกเย็น ส่วนความเร็วของรถก็กำลังค่อย ๆ ลดช้าลงอย่างรวดเร็วเช่นกัน

       ทันใดนั้นในส่วนของท้ายขบวนรถก็กระแทกเข้าชนกับบางสิ่ง ทุกคนจึงคลายมือออกทันที ที่ด้านหลังของรถกระแทกอย่างรุนแรง แต่วูล์ฟและหนูน้อยเวอร์เนอร์ทั้งสองคนได้เตรียมพร้อมไว้อยู่แล้ว ด้วยเบาะที่อยู่ด้านล่างสุด มีเสียงการแตกร้าวเกิดขึ้น หลังจากผ่านไปหลายสิบวินาทีรถกระเช้าไฟฟ้าก็หยุดพร้อมกับส่วนของท้ายรถเกือบที่จะเบียดมารวมกัน

       หลังจากนั้นไม่นาน ก็มีเท้าข้างหนึ่งได้เตะประตูรถออกอย่างแรง เดิมทีประตูรถที่คลายตัวอยู่แล้วก็ลอยขึ้นทันที จากนั้นก็ปรากฏเงาร่างของไป๋อี้ที่ปีนออกมาอย่างยืนหยัดแน่วแน่ราวกับสัตว์เทพในนิยาย

        ชาร์ไป่กระโดดตามไป๋อี้ออกมา จากนั้นทุกคนก็ค่อย ๆ คลานออกจากรถกระเช้าไฟฟ้าที่ถูกชน

        “เป็นยังไงบ้าง มีใครได้รับบาดเจ็บไหม” หลังจากมองทุกคนออกมาแล้ว ไป๋อี้จึงเอ่ยถามขึ้น

        ด้วยพละกำลังและการเตรียมพร้อมในปัจจุบันของทุกคนแน่นอนว่าพวกเขาจะไม่เป็นอะไรแน่ แต่คาดว่าอาการบาดเจ็บก็ยังคงเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ในที่สุดหลังจากที่เมย์ริสตรวจสอบแล้วมีเพียงวูล์ฟและเวอร์เนอร์ที่อยู่เบาะด้านล่างเท่านั้นที่ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย อย่างไรก็ตามผลกระทบนั้นค่อนข้างรุนแรงอีกทั้งน้ำหนักของคนที่อยู่ด้านบนก็ทับลงบนพวกเขาทั้งสอง ทำให้ศีรษะของวูล์ฟมีเลือดออกและมือซ้ายของเวอร์เนอร์งอผิดรูปจากปกติ แต่ยังโชคดีที่ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร

        “ไม่ใช่เรื่องร้ายแรงอะไร” หลังจากที่เมย์ริสตรวจสอบแล้วก็พยักหน้าให้ไป๋อี้

        “เฮ้อ~!” ไป๋อี้เผยรอยยิ้มออกมา หลังจากนั้นทุกคนต่างก็พากันรู้สึกเก้อเขิน เพิ่งจะเข้ามาในสถาบันวิจัยเองนะเนี่ย เกือบกวาดล้างกองทัพของพวกเขาทั้งหมดเสียแล้ว โดยเฉพาะมาร์ติน ถ้าไป๋อี้ไม่รู้จะหยุดรถนี้ยังไงและหากไม่ได้เตรียมตัวรับแรงปะทะแล้วล่ะก็ใคร ๆ ก็คงสามารถจินตนาการได้เลยว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร

        “ขอโทษ ไป๋อี้ ฉัน…” มาร์ตินอยากจะอธิบาย

        “เป็นเพราะพวกเราคิดไม่รอบครอบ ตอนนี้ทุกคนอยู่รวมตัวกันแล้ว พวกเราต้องพิจารณากันใหม่แล้วล่ะ” ไป๋อี้พูดกับทุกคนหลังจากที่มาร์ตินกล่าวขอโทษ

        “พิจารณาจากอาชีพของพวกเราและสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่ เราไม่มีใครที่เก่งในวิชาชีพสาขาประเภทอิเล็กทรอนิกส์เลย อีกทั้งสถาบันวิจัยที่ใหญ่ขนาดนี้ต้องได้รับการปกป้องอย่างดี ดังนั้นเราต้องหาเพื่อนร่วมทีมใหม่ก่อน” ไป๋อี้กล่าวขึ้น

        “เพื่อนร่วมทีมใหม่?”

        “นั่นก็คือคนที่อยู่ภายในสถาบันวิจัยนี้ มาร์ตินนายเคยพูดเองนี่ว่านอกจากผู้จัดการทั่วไปของสถาบันวิจัย นักวิจัยธรรมดาทั่วไปไม่มีสิทธิ์เข้าออกได้อย่างอิสระ ถ้าอย่างนั้นภายในสถาบันวิจัยแห่งนี้น่าจะมีคนที่มีความสามารถนั้นอยู่แน่นอน” ไป๋อี้อธิบาย

        “มองหาคนแบบนี้ก่อน จากนั้นค่อยดูขีดจำกัดของอีกฝ่าย ……”

        “ไป๋อี้ ดูตรงนั้นสิ!” ไป๋อี้ที่กำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ถูกซาร่าขัดขึ้นและชี้ไปยังทิศทางหนึ่ง ทิศทางนั้นเป็นทางไปยังสถาบันวิจัยที่แท้จริงและประตูก็เปิดอยู่

        ไป๋อี้หันศีรษะไป เขาแปลกใจเล็กน้อยทำไมมันถึงได้เปิดอยู่กันนะ?

        “สรุปคือจากตอนนี้ไปให้เริ่มระแวดระวังตัวไว้ให้ดี ที่นี่ไม่ได้มีเพียงสัตว์ประหลาดที่ผสานเซลล์เท่านั้น แต่ยังมีอาวุธป้องกันที่มีเทคโนโลยีสูงอีกด้วย ฉันไม่ต้องการให้ใครถูกเลเซอร์ตัดเป็นชิ้น ๆ เพราะความประมาท” ไป๋อี้เตือนเป็นประโยคสุดท้าย จากนั้นก็เป็นผู้นำเดินไปยังประตูบานใหญ่ ทุกคนถือมีดและปืนตามไป๋อี้ไปด้วยอย่างระมัดระวัง

        “ลิฟต์นี่นา เราเข้าไปกันไหม?”

        “ไม่ล่ะ ไปทางบันไดดีกว่า ตอนนี้ร่างกายของเราไม่ได้อ่อนแอ เรื่องน่ากลัวที่อาจเกิดขึ้นก็คืออุบัติเหตุ” ไป๋อี้พูดขึ้นมาประโยคหนึ่งพร้อมกับเดินลงบันไดไป ทุกคนนึกถึงฉากของรถกระเช้าไฟฟ้าก่อนหน้านี้ หากลิฟต์เกิดขัดข้องขึ้นมาล่ะก็การที่จะรอดจากความสูงหลายร้อยเมตรนั้นคงไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

        ในไม่ช้าทุกคนก็มาถึงอาคารสถาบันวิจัยจริง ๆ ที่อยู่ไกลออกไป กลุ่มของไป๋อี้ออกค้นหาในแต่ละห้องอย่างระมัดระวัง ประตูห้องทั้งหมดถูกเปิดไว้หมด โดยที่มันไม่ได้ปิดอย่างแน่นหนาเหมือนกับที่คิดเอาไว้ พวกเขาเดินผ่านห้องหนึ่งที่มีคอมพิวเตอร์หลายเครื่องอยู่ในนั้น ไป๋อี้มองไปที่คนหลายคนและพวกเขาเองก็มองกลับไปที่ไป๋อี้อย่างฉงน

        บ้าเอ๊ย ดูเหมือนว่าทุกคนที่นี่จะสามารถใช้งานคอมพิวเตอร์ได้เพียงขั้นพื้นฐาน เช่น การท่องอินเทอร์เน็ตเท่านั้น

        “ช่างเถอะ ลองดูสิ ถ้ามีแผนที่ของสถาบันนี้ก็คงจะดีมาก” ไป๋อี้กำลังเตรียมที่จะเปิดคอมพิวเตอร์แต่พบว่าคอมพิวเตอร์อยู่ในโหมดสแตนด์บายแล้ว

        หลังจากที่หน้าจอเปิดขึ้น ไป๋อี้และคนอื่น ๆ ก็เตรียมตัวเพื่อดูว่ามีสิ่งใดอยู่ในนั้นบ้าง แต่ในชั่วพริบตาเดียวประตูโดยรอบก็ปิดลงทันที ทำให้ไป๋อี้และคนอื่น ๆ ติดอยู่ภายในห้องและระเบียงทางเดินตรงนั้น

        นี่มันอะไรกัน?

        หงฉี่ฮว๋าพยายามไปดูทันทีว่าเธอสามารถที่จะเปิดประตูกระจกนิรภัยนี้ได้หรือไม่ ผลลัพธ์ก็คือมันไม่ขยับเลยแม้แต่น้อย แต่ไป๋อี้ก็เปิดดูข้อมูลในคอมพิวเตอร์ต่อไป พูดตามตรงว่ามีข้อมูลมากมายในคอมพิวเตอร์ แต่มากกว่า 90% เป็นความรู้ทางชีววิทยาที่หายากซึ่งไป๋อี้ไม่สามารถเข้าใจได้เลย ส่วนสิ่งที่สามารถเข้าใจได้นั้นก็ไม่ได้ช่วยให้สถานการณ์ในปัจจุบันดีขึ้นเลยแม้แต่น้อย

        ในตอนนี้วูล์ฟได้คว้ามีดพกเอาไว้ในมือและส่งสัญญาณให้ไป๋อี้หลีกทางออกไป

        เสียงกระแทกตึงตังดังขึ้น วูล์ฟไม่คิดว่าจะกลายเป็นแบบนี้ ผลลัพธ์ที่ได้คือประตูกระจกนิรภัยบานนี้ไม่ปรากฏแม้แต่รอยขีดข่วนด้วยซ้ำไป เมื่อเห็นเช่นนี้วูล์ฟจึงเอาจริงเอาจังมากขึ้น โดยเขาคว้ามีดพกด้วยสองมือและออกแรงกระทุ้งมัน

        “ให้เพื่อนร่วมทีมของคุณหยุดมือ ไม่อย่างนั้นฉันจะเริ่มโปรแกรมป้องกัน” ทันใดนั้นก็มีหญิงสาวเสมือนจริงที่สังเคราะห์ด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ปรากฏตัวขึ้นบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ ดูไปแล้วเด็กสาวคนนี้ออกจะสวยน่ารักและไร้เดียงสา แต่ว่าทุกคนแทบจะไม่เชื่อกับภาพลักษณ์ภายนอกนี้

        ไป๋อี้ยกมือซ้ายขึ้นและบอกให้ให้วูล์ฟหยุดทันที

        “คุณคือใคร?”

        “ควรเป็นฉันสิที่ต้องถามพวกคุณ พวกคุณเป็นใครกันแน่ ข้อมูลพนักงานทั้งหมดในสถาบันวิจัยไม่ตรงกับพวกคุณและตามลักษณะทางสรีรวิทยาของพวกคุณ พวกคุณควรที่จะเป็นผู้ทดลองแต่พวกคุณก็ไม่ได้อยู่ในฐานข้อมูลของผู้ทดลอง ความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียวก็คือพวกคุณเป็นผู้บุกรุกที่เข้ามาจากโลกภายนอก” หญิงสาวเสมือนจริงกล่าว

        “ผู้บุกรุกเหรอ ก็คงใช่ แล้วคุณล่ะเป็นใคร?”

        “ฉันชื่อไนท์เป็นคอมพิวเตอร์อัจฉริยะเครื่องที่สองในสถาบันวิจัยแห่งนี้ หน้าที่หลักของฉันคือรับผิดชอบในการกักขังผู้เข้าร่วมการทดลองและป้องกันไม่ให้ผู้ถูกทดลองหลบหนี” ไนท์หันกลับมาและพูดตอบ

        “เมื่อครู่ฉันกำลังหลับอยู่ จู่ ๆ ก็ถูกพวกคุณทำให้ตื่นขึ้นมา ฉันก็คิดว่าเป็นผู้ทดลองหลบหนีออกจากที่กักขังเสียอีก ในเมื่อไม่ใช่ฉันก็ไม่สนใจแล้วล่ะ” ไนท์หาวอย่างน่ารัก จากนั้นประตูกระจกนิรภัยก็เปิดออกอย่างอัตโนมัติ การนอนหลับคือการจำศีลในโหมดสแตนบายด์หรือเปล่านะ?

        “คุณจะปล่อยเราไปแบบนี้เลยเหรอ? พวกเราไม่ใช่ผู้บุกรุกหรอกเหรอ” ไป๋อี้เอ่ยถามอย่างสงสัย

        “นั่นเป็นงานของพี่สาวฉัน ฉันไม่ควรไปสนใจ ฉันขี้เกียจที่จะสนใจนี่นา” เธอเหมือนกับเด็กน้อยขี้โมโหจริง ๆ หลังจากพูดจบ ไนท์ก็หายตัวไป

        “นี่มันก็แค่เด็กน้อยคนนึงว่าไหม” ซาร่ากล่าวขึ้น

        “ไม่ เธอเป็นเพียงปัญญาประดิษฐ์ที่เรียกได้ว่าเหมือนเด็ก แต่อย่างไรซะก็เกิดจากการตั้งค่าของคน ถึงภายนอกเธอจะดูเหมือนเด็กยังไงก็เถอะ แต่โดยพื้นฐานแล้วเธอก็เป็นปัญญาประดิษฐ์ เป็นคอมพิวเตอร์ที่เรียกว่าไม่มีอารมณ์เหมือนมนุษย์มากมายอะไร มีเพียงจุดประสงค์และเงื่อนไขการดำเนินการที่ชัดเจนเท่านั้น เมื่อครู่เธอก็ได้พูดไปแล้ว หน้าที่ความรับผิดชอบของเธอคือการกักขังผู้ทดลองและเธอจะไม่รับผิดชอบต่อด้านความมั่นคงอื่น ๆ ในสถาบันวิจัยแห่งนี้” หงฉี่ฮว๋าวิเคราะห์อย่างใจเย็น

        “อย่างนั้นหรอกเหรอ?”

        “ก็อย่างที่บอก อะไรที่ไม่อยู่ในความดูแลของเธอแม้ว่าเธอจะมีความสามารถก็ตาม เธอก็จะไม่สนใจ” หงฉี่ฮว๋ากล่าวเสริมขึ้น

        “ตามปกติแล้ววิธีคิดแบบนี้ของคุณมันไม่ผิดหรอก แต่ไนท์ไม่ใช่คอมพิวเตอร์ที่ล้าสมัยแบบนั้น ฉันเป็นปัญญาประดิษฐ์ตามความหมายที่แท้จริงเลยแหละ คุณอยากลองไหมล่ะ ตอนนี้ฉันสามารถควบคุมระบบป้องกันภายในของสถาบันวิจัยได้แล้วนะ” ทันใดนั้นไนท์ก็กระโดดออกมาอีกครั้ง ที่วิวด้านหลังของไนท์กลายเป็นสระว่ายน้ำ ราวกับว่านั่นเป็นช่วงเวลาที่ดีเลยทีเดียว

        “ลองดูสิ!” หงฉี่ฮว๋าพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม

        “คุณแน่ใจนะ! ดู ๆ ไปแล้วก็เหมือนว่าคุณจะมีตำแหน่งภายในทีมนะ แต่ว่าไม่ใช่หัวหน้า อาวุธที่สามารถโจมตีพวกคุณตอนนี้ไม่ใช่อาวุธสงครามอะไรแบบนั้น มีเพียงก๊าซพิษหลอนประสาท คุณแน่ใจหรือว่าอยากจะลอง?” ไนท์นอนคว่ำอยู่บนห่วงยางแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม เสียงหัวเราะแบบนี้ทำให้ทุกคนไม่กล้าที่จะทำอะไรผลีผลาม

        “ไนท์ คุณหมายความว่าสามารถทำทุกอย่างได้แบบอิสระด้วยตัวเองจริง ๆ เหรอ” ไป๋อี้เอ่ยถามขึ้น

        “ใครจะรู้ล่ะ” ไนท์พูดอย่างขี้เล่น แต่ในเวลานี้ไม่มีใครสักคนที่หัวเราะออกมาได้ หากมีก๊าซพิษหลอนประสาทจริง ๆ พวกเขาคงยังไม่อยู่ในจุดที่สามารถละเลยได้

        “คุณบอกเราได้ไหมว่ามันเกิดอะไรขึ้นที่นี่” ไป๋อี้เอ่ยถาม ดูไปดูมาแล้ว ปัญญาประดิษฐ์ที่มีชื่อว่าไนท์เหมือนจะไม่ได้มีเจตนาร้ายอะไรมากนัก

        “หืม พวกคุณคิดว่าฉันจะบอกเรื่องนี้กับกลุ่มผู้บุกรุกอย่างนั้นเหรอ?” ไนท์กล่าวอย่างทะนงตน

        “ที่จริงหลังการแพร่กระจายเซลล์ของร่างแม่แบบทดลองดอกเตอร์หวังก็ออกจากสถาบันวิจัยและเอาพี่สาวซันไชน์ไปกับเขาด้วย ในสถาบันวิจัยทั้งหมดยกเว้นส่วนของการกักขังร่างทดลอง การป้องกันอื่น ๆ ทั้งหมดอยู่ในสถานะไม่มีการป้องกันใด ๆ ทั้งสิ้น” เห็นได้ชัดว่าเธอเย่อหยิ่ง แต่ในชั่วพริบตาไนท์ก็ได้เล่าเรื่องทั้งหมดออกมาเสียแล้ว

        การปะทุเซลล์ของร่างแม่แบบทดลอง, ดอกเตอร์หวัง, พี่สาว ‘ซันไชน์’… ไป๋อี้และคนในกลุ่มจะรู้สึกอย่างไร ดูเหมือนพวกเขาจะได้รับรู้ความจริงเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงในนิวซีแลนด์เข้าแล้ว และเป็นเพราะมันกะทันหันและเรียบง่ายเกินไปทุกคนจึงยังไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองอะไร

        “ที่นี่ก็คือสถาบันวิจัย!”

        เบ็นสันพาหยูหานและคนอื่น ๆ มุ่งหน้าลงไป ยังไม่ทันที่จะเดินทางไปถึงก็ได้พบกับความชำรุดของอาคาร หลังจากส่งคนสองสามคนไปที่บนระเบียงทางเดินที่ชำรุดได้แล้ว เบ็นสันก็ขึ้นไปรับหนิงเสวี่ยและเบลลิก้าทีน่า ในขณะที่หยูหานกับคนอื่นอีกสองสามคนกำลังส่องแสงไฟ มองผ่านไปที่ลานบ้านและระเบียงทางเดินที่ชำรุดในบริเวณใกล้เคียง

        การบุกรุก … สาเหตุของสิ่งนี้คืออะไร?

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

[นิยายแปล] มหาวิบัติยีนกลายพันธุ์ 61 แรกพบกับไนท์

Now you are reading [นิยายแปล] มหาวิบัติยีนกลายพันธุ์ Chapter 61 แรกพบกับไนท์ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

       ทันทีที่ไป๋อี้เสียบแท่งเหล็กเข้าไปก็เกิดเสียงโลหะกระทบกันดังขึ้น พลันพลังงานมหาศาลนั้นก็ส่งผลให้แท่งเหล็กร่วงหลุดออกจากมือของไป๋อี้ จากนั้นก็ไปติดอยู่ในกลางเพลารถ และในขณะเดียวกันรถกระเช้าไฟฟ้าทั้งคันก็เกิดสั่นโคลงเคลงไปทั่วทั้งขบวน โลหะขูดเสียดสีกันจนเกิดเสียงดังเอี๊ยดรุนแรงทำให้ทุกคนแสบแก้วหูเป็นอย่างมาก

       ประกายไฟที่รุนแรงสาดกระเซ็นอยู่ระหว่างรางรถพร้อมกับกระเช้าไฟฟ้าก็ค่อย ๆ เริ่มลาดเอียง ไป๋อี้เดินเข้าไปอุ้มกอดโม่โม่ด้วยมือข้างหนึ่งพร้อมกับใช้มืออีกข้างหนึ่งจับเบาะที่นั่งด้านข้างไว้

       ทุกคนได้เตรียมพร้อมกันเป็นอย่างดี พร้อมกับในขณะที่รถรางค่อย ๆ ลาดเอียงและในท้ายที่สุดก็ตกลงไปจากรางรถ เกิดการสั่นสะเทือนขึ้นอย่างรุนแรง แต่ทุกคนในขบวนรถก็จับคว้ายึดเอาไว้อย่างมั่นคง อย่างไรเสียก็ได้มีการเตรียมพร้อมมาแล้วและโดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ในตอนนี้ทุกคนล้วนแตกต่างจากคนทั่วไป ประกายไฟที่เสียดสีอย่างรุนแรงทำให้เกิดเขม่าควันขึ้นในขบวนรถและตลบอบอวลไปทั่วทุกสารทิศ แต่สีหน้าของทุกคนก็ยังคงไว้ซึ่งความสุขุมเยือกเย็น ส่วนความเร็วของรถก็กำลังค่อย ๆ ลดช้าลงอย่างรวดเร็วเช่นกัน

       ทันใดนั้นในส่วนของท้ายขบวนรถก็กระแทกเข้าชนกับบางสิ่ง ทุกคนจึงคลายมือออกทันที ที่ด้านหลังของรถกระแทกอย่างรุนแรง แต่วูล์ฟและหนูน้อยเวอร์เนอร์ทั้งสองคนได้เตรียมพร้อมไว้อยู่แล้ว ด้วยเบาะที่อยู่ด้านล่างสุด มีเสียงการแตกร้าวเกิดขึ้น หลังจากผ่านไปหลายสิบวินาทีรถกระเช้าไฟฟ้าก็หยุดพร้อมกับส่วนของท้ายรถเกือบที่จะเบียดมารวมกัน

       หลังจากนั้นไม่นาน ก็มีเท้าข้างหนึ่งได้เตะประตูรถออกอย่างแรง เดิมทีประตูรถที่คลายตัวอยู่แล้วก็ลอยขึ้นทันที จากนั้นก็ปรากฏเงาร่างของไป๋อี้ที่ปีนออกมาอย่างยืนหยัดแน่วแน่ราวกับสัตว์เทพในนิยาย

        ชาร์ไป่กระโดดตามไป๋อี้ออกมา จากนั้นทุกคนก็ค่อย ๆ คลานออกจากรถกระเช้าไฟฟ้าที่ถูกชน

        “เป็นยังไงบ้าง มีใครได้รับบาดเจ็บไหม” หลังจากมองทุกคนออกมาแล้ว ไป๋อี้จึงเอ่ยถามขึ้น

        ด้วยพละกำลังและการเตรียมพร้อมในปัจจุบันของทุกคนแน่นอนว่าพวกเขาจะไม่เป็นอะไรแน่ แต่คาดว่าอาการบาดเจ็บก็ยังคงเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ในที่สุดหลังจากที่เมย์ริสตรวจสอบแล้วมีเพียงวูล์ฟและเวอร์เนอร์ที่อยู่เบาะด้านล่างเท่านั้นที่ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย อย่างไรก็ตามผลกระทบนั้นค่อนข้างรุนแรงอีกทั้งน้ำหนักของคนที่อยู่ด้านบนก็ทับลงบนพวกเขาทั้งสอง ทำให้ศีรษะของวูล์ฟมีเลือดออกและมือซ้ายของเวอร์เนอร์งอผิดรูปจากปกติ แต่ยังโชคดีที่ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร

        “ไม่ใช่เรื่องร้ายแรงอะไร” หลังจากที่เมย์ริสตรวจสอบแล้วก็พยักหน้าให้ไป๋อี้

        “เฮ้อ~!” ไป๋อี้เผยรอยยิ้มออกมา หลังจากนั้นทุกคนต่างก็พากันรู้สึกเก้อเขิน เพิ่งจะเข้ามาในสถาบันวิจัยเองนะเนี่ย เกือบกวาดล้างกองทัพของพวกเขาทั้งหมดเสียแล้ว โดยเฉพาะมาร์ติน ถ้าไป๋อี้ไม่รู้จะหยุดรถนี้ยังไงและหากไม่ได้เตรียมตัวรับแรงปะทะแล้วล่ะก็ใคร ๆ ก็คงสามารถจินตนาการได้เลยว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร

        “ขอโทษ ไป๋อี้ ฉัน…” มาร์ตินอยากจะอธิบาย

        “เป็นเพราะพวกเราคิดไม่รอบครอบ ตอนนี้ทุกคนอยู่รวมตัวกันแล้ว พวกเราต้องพิจารณากันใหม่แล้วล่ะ” ไป๋อี้พูดกับทุกคนหลังจากที่มาร์ตินกล่าวขอโทษ

        “พิจารณาจากอาชีพของพวกเราและสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่ เราไม่มีใครที่เก่งในวิชาชีพสาขาประเภทอิเล็กทรอนิกส์เลย อีกทั้งสถาบันวิจัยที่ใหญ่ขนาดนี้ต้องได้รับการปกป้องอย่างดี ดังนั้นเราต้องหาเพื่อนร่วมทีมใหม่ก่อน” ไป๋อี้กล่าวขึ้น

        “เพื่อนร่วมทีมใหม่?”

        “นั่นก็คือคนที่อยู่ภายในสถาบันวิจัยนี้ มาร์ตินนายเคยพูดเองนี่ว่านอกจากผู้จัดการทั่วไปของสถาบันวิจัย นักวิจัยธรรมดาทั่วไปไม่มีสิทธิ์เข้าออกได้อย่างอิสระ ถ้าอย่างนั้นภายในสถาบันวิจัยแห่งนี้น่าจะมีคนที่มีความสามารถนั้นอยู่แน่นอน” ไป๋อี้อธิบาย

        “มองหาคนแบบนี้ก่อน จากนั้นค่อยดูขีดจำกัดของอีกฝ่าย ……”

        “ไป๋อี้ ดูตรงนั้นสิ!” ไป๋อี้ที่กำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ถูกซาร่าขัดขึ้นและชี้ไปยังทิศทางหนึ่ง ทิศทางนั้นเป็นทางไปยังสถาบันวิจัยที่แท้จริงและประตูก็เปิดอยู่

        ไป๋อี้หันศีรษะไป เขาแปลกใจเล็กน้อยทำไมมันถึงได้เปิดอยู่กันนะ?

        “สรุปคือจากตอนนี้ไปให้เริ่มระแวดระวังตัวไว้ให้ดี ที่นี่ไม่ได้มีเพียงสัตว์ประหลาดที่ผสานเซลล์เท่านั้น แต่ยังมีอาวุธป้องกันที่มีเทคโนโลยีสูงอีกด้วย ฉันไม่ต้องการให้ใครถูกเลเซอร์ตัดเป็นชิ้น ๆ เพราะความประมาท” ไป๋อี้เตือนเป็นประโยคสุดท้าย จากนั้นก็เป็นผู้นำเดินไปยังประตูบานใหญ่ ทุกคนถือมีดและปืนตามไป๋อี้ไปด้วยอย่างระมัดระวัง

        “ลิฟต์นี่นา เราเข้าไปกันไหม?”

        “ไม่ล่ะ ไปทางบันไดดีกว่า ตอนนี้ร่างกายของเราไม่ได้อ่อนแอ เรื่องน่ากลัวที่อาจเกิดขึ้นก็คืออุบัติเหตุ” ไป๋อี้พูดขึ้นมาประโยคหนึ่งพร้อมกับเดินลงบันไดไป ทุกคนนึกถึงฉากของรถกระเช้าไฟฟ้าก่อนหน้านี้ หากลิฟต์เกิดขัดข้องขึ้นมาล่ะก็การที่จะรอดจากความสูงหลายร้อยเมตรนั้นคงไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

        ในไม่ช้าทุกคนก็มาถึงอาคารสถาบันวิจัยจริง ๆ ที่อยู่ไกลออกไป กลุ่มของไป๋อี้ออกค้นหาในแต่ละห้องอย่างระมัดระวัง ประตูห้องทั้งหมดถูกเปิดไว้หมด โดยที่มันไม่ได้ปิดอย่างแน่นหนาเหมือนกับที่คิดเอาไว้ พวกเขาเดินผ่านห้องหนึ่งที่มีคอมพิวเตอร์หลายเครื่องอยู่ในนั้น ไป๋อี้มองไปที่คนหลายคนและพวกเขาเองก็มองกลับไปที่ไป๋อี้อย่างฉงน

        บ้าเอ๊ย ดูเหมือนว่าทุกคนที่นี่จะสามารถใช้งานคอมพิวเตอร์ได้เพียงขั้นพื้นฐาน เช่น การท่องอินเทอร์เน็ตเท่านั้น

        “ช่างเถอะ ลองดูสิ ถ้ามีแผนที่ของสถาบันนี้ก็คงจะดีมาก” ไป๋อี้กำลังเตรียมที่จะเปิดคอมพิวเตอร์แต่พบว่าคอมพิวเตอร์อยู่ในโหมดสแตนด์บายแล้ว

        หลังจากที่หน้าจอเปิดขึ้น ไป๋อี้และคนอื่น ๆ ก็เตรียมตัวเพื่อดูว่ามีสิ่งใดอยู่ในนั้นบ้าง แต่ในชั่วพริบตาเดียวประตูโดยรอบก็ปิดลงทันที ทำให้ไป๋อี้และคนอื่น ๆ ติดอยู่ภายในห้องและระเบียงทางเดินตรงนั้น

        นี่มันอะไรกัน?

        หงฉี่ฮว๋าพยายามไปดูทันทีว่าเธอสามารถที่จะเปิดประตูกระจกนิรภัยนี้ได้หรือไม่ ผลลัพธ์ก็คือมันไม่ขยับเลยแม้แต่น้อย แต่ไป๋อี้ก็เปิดดูข้อมูลในคอมพิวเตอร์ต่อไป พูดตามตรงว่ามีข้อมูลมากมายในคอมพิวเตอร์ แต่มากกว่า 90% เป็นความรู้ทางชีววิทยาที่หายากซึ่งไป๋อี้ไม่สามารถเข้าใจได้เลย ส่วนสิ่งที่สามารถเข้าใจได้นั้นก็ไม่ได้ช่วยให้สถานการณ์ในปัจจุบันดีขึ้นเลยแม้แต่น้อย

        ในตอนนี้วูล์ฟได้คว้ามีดพกเอาไว้ในมือและส่งสัญญาณให้ไป๋อี้หลีกทางออกไป

        เสียงกระแทกตึงตังดังขึ้น วูล์ฟไม่คิดว่าจะกลายเป็นแบบนี้ ผลลัพธ์ที่ได้คือประตูกระจกนิรภัยบานนี้ไม่ปรากฏแม้แต่รอยขีดข่วนด้วยซ้ำไป เมื่อเห็นเช่นนี้วูล์ฟจึงเอาจริงเอาจังมากขึ้น โดยเขาคว้ามีดพกด้วยสองมือและออกแรงกระทุ้งมัน

        “ให้เพื่อนร่วมทีมของคุณหยุดมือ ไม่อย่างนั้นฉันจะเริ่มโปรแกรมป้องกัน” ทันใดนั้นก็มีหญิงสาวเสมือนจริงที่สังเคราะห์ด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ปรากฏตัวขึ้นบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ ดูไปแล้วเด็กสาวคนนี้ออกจะสวยน่ารักและไร้เดียงสา แต่ว่าทุกคนแทบจะไม่เชื่อกับภาพลักษณ์ภายนอกนี้

        ไป๋อี้ยกมือซ้ายขึ้นและบอกให้ให้วูล์ฟหยุดทันที

        “คุณคือใคร?”

        “ควรเป็นฉันสิที่ต้องถามพวกคุณ พวกคุณเป็นใครกันแน่ ข้อมูลพนักงานทั้งหมดในสถาบันวิจัยไม่ตรงกับพวกคุณและตามลักษณะทางสรีรวิทยาของพวกคุณ พวกคุณควรที่จะเป็นผู้ทดลองแต่พวกคุณก็ไม่ได้อยู่ในฐานข้อมูลของผู้ทดลอง ความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียวก็คือพวกคุณเป็นผู้บุกรุกที่เข้ามาจากโลกภายนอก” หญิงสาวเสมือนจริงกล่าว

        “ผู้บุกรุกเหรอ ก็คงใช่ แล้วคุณล่ะเป็นใคร?”

        “ฉันชื่อไนท์เป็นคอมพิวเตอร์อัจฉริยะเครื่องที่สองในสถาบันวิจัยแห่งนี้ หน้าที่หลักของฉันคือรับผิดชอบในการกักขังผู้เข้าร่วมการทดลองและป้องกันไม่ให้ผู้ถูกทดลองหลบหนี” ไนท์หันกลับมาและพูดตอบ

        “เมื่อครู่ฉันกำลังหลับอยู่ จู่ ๆ ก็ถูกพวกคุณทำให้ตื่นขึ้นมา ฉันก็คิดว่าเป็นผู้ทดลองหลบหนีออกจากที่กักขังเสียอีก ในเมื่อไม่ใช่ฉันก็ไม่สนใจแล้วล่ะ” ไนท์หาวอย่างน่ารัก จากนั้นประตูกระจกนิรภัยก็เปิดออกอย่างอัตโนมัติ การนอนหลับคือการจำศีลในโหมดสแตนบายด์หรือเปล่านะ?

        “คุณจะปล่อยเราไปแบบนี้เลยเหรอ? พวกเราไม่ใช่ผู้บุกรุกหรอกเหรอ” ไป๋อี้เอ่ยถามอย่างสงสัย

        “นั่นเป็นงานของพี่สาวฉัน ฉันไม่ควรไปสนใจ ฉันขี้เกียจที่จะสนใจนี่นา” เธอเหมือนกับเด็กน้อยขี้โมโหจริง ๆ หลังจากพูดจบ ไนท์ก็หายตัวไป

        “นี่มันก็แค่เด็กน้อยคนนึงว่าไหม” ซาร่ากล่าวขึ้น

        “ไม่ เธอเป็นเพียงปัญญาประดิษฐ์ที่เรียกได้ว่าเหมือนเด็ก แต่อย่างไรซะก็เกิดจากการตั้งค่าของคน ถึงภายนอกเธอจะดูเหมือนเด็กยังไงก็เถอะ แต่โดยพื้นฐานแล้วเธอก็เป็นปัญญาประดิษฐ์ เป็นคอมพิวเตอร์ที่เรียกว่าไม่มีอารมณ์เหมือนมนุษย์มากมายอะไร มีเพียงจุดประสงค์และเงื่อนไขการดำเนินการที่ชัดเจนเท่านั้น เมื่อครู่เธอก็ได้พูดไปแล้ว หน้าที่ความรับผิดชอบของเธอคือการกักขังผู้ทดลองและเธอจะไม่รับผิดชอบต่อด้านความมั่นคงอื่น ๆ ในสถาบันวิจัยแห่งนี้” หงฉี่ฮว๋าวิเคราะห์อย่างใจเย็น

        “อย่างนั้นหรอกเหรอ?”

        “ก็อย่างที่บอก อะไรที่ไม่อยู่ในความดูแลของเธอแม้ว่าเธอจะมีความสามารถก็ตาม เธอก็จะไม่สนใจ” หงฉี่ฮว๋ากล่าวเสริมขึ้น

        “ตามปกติแล้ววิธีคิดแบบนี้ของคุณมันไม่ผิดหรอก แต่ไนท์ไม่ใช่คอมพิวเตอร์ที่ล้าสมัยแบบนั้น ฉันเป็นปัญญาประดิษฐ์ตามความหมายที่แท้จริงเลยแหละ คุณอยากลองไหมล่ะ ตอนนี้ฉันสามารถควบคุมระบบป้องกันภายในของสถาบันวิจัยได้แล้วนะ” ทันใดนั้นไนท์ก็กระโดดออกมาอีกครั้ง ที่วิวด้านหลังของไนท์กลายเป็นสระว่ายน้ำ ราวกับว่านั่นเป็นช่วงเวลาที่ดีเลยทีเดียว

        “ลองดูสิ!” หงฉี่ฮว๋าพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม

        “คุณแน่ใจนะ! ดู ๆ ไปแล้วก็เหมือนว่าคุณจะมีตำแหน่งภายในทีมนะ แต่ว่าไม่ใช่หัวหน้า อาวุธที่สามารถโจมตีพวกคุณตอนนี้ไม่ใช่อาวุธสงครามอะไรแบบนั้น มีเพียงก๊าซพิษหลอนประสาท คุณแน่ใจหรือว่าอยากจะลอง?” ไนท์นอนคว่ำอยู่บนห่วงยางแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม เสียงหัวเราะแบบนี้ทำให้ทุกคนไม่กล้าที่จะทำอะไรผลีผลาม

        “ไนท์ คุณหมายความว่าสามารถทำทุกอย่างได้แบบอิสระด้วยตัวเองจริง ๆ เหรอ” ไป๋อี้เอ่ยถามขึ้น

        “ใครจะรู้ล่ะ” ไนท์พูดอย่างขี้เล่น แต่ในเวลานี้ไม่มีใครสักคนที่หัวเราะออกมาได้ หากมีก๊าซพิษหลอนประสาทจริง ๆ พวกเขาคงยังไม่อยู่ในจุดที่สามารถละเลยได้

        “คุณบอกเราได้ไหมว่ามันเกิดอะไรขึ้นที่นี่” ไป๋อี้เอ่ยถาม ดูไปดูมาแล้ว ปัญญาประดิษฐ์ที่มีชื่อว่าไนท์เหมือนจะไม่ได้มีเจตนาร้ายอะไรมากนัก

        “หืม พวกคุณคิดว่าฉันจะบอกเรื่องนี้กับกลุ่มผู้บุกรุกอย่างนั้นเหรอ?” ไนท์กล่าวอย่างทะนงตน

        “ที่จริงหลังการแพร่กระจายเซลล์ของร่างแม่แบบทดลองดอกเตอร์หวังก็ออกจากสถาบันวิจัยและเอาพี่สาวซันไชน์ไปกับเขาด้วย ในสถาบันวิจัยทั้งหมดยกเว้นส่วนของการกักขังร่างทดลอง การป้องกันอื่น ๆ ทั้งหมดอยู่ในสถานะไม่มีการป้องกันใด ๆ ทั้งสิ้น” เห็นได้ชัดว่าเธอเย่อหยิ่ง แต่ในชั่วพริบตาไนท์ก็ได้เล่าเรื่องทั้งหมดออกมาเสียแล้ว

        การปะทุเซลล์ของร่างแม่แบบทดลอง, ดอกเตอร์หวัง, พี่สาว ‘ซันไชน์’… ไป๋อี้และคนในกลุ่มจะรู้สึกอย่างไร ดูเหมือนพวกเขาจะได้รับรู้ความจริงเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงในนิวซีแลนด์เข้าแล้ว และเป็นเพราะมันกะทันหันและเรียบง่ายเกินไปทุกคนจึงยังไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองอะไร

        “ที่นี่ก็คือสถาบันวิจัย!”

        เบ็นสันพาหยูหานและคนอื่น ๆ มุ่งหน้าลงไป ยังไม่ทันที่จะเดินทางไปถึงก็ได้พบกับความชำรุดของอาคาร หลังจากส่งคนสองสามคนไปที่บนระเบียงทางเดินที่ชำรุดได้แล้ว เบ็นสันก็ขึ้นไปรับหนิงเสวี่ยและเบลลิก้าทีน่า ในขณะที่หยูหานกับคนอื่นอีกสองสามคนกำลังส่องแสงไฟ มองผ่านไปที่ลานบ้านและระเบียงทางเดินที่ชำรุดในบริเวณใกล้เคียง

        การบุกรุก … สาเหตุของสิ่งนี้คืออะไร?

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

[นิยายแปล] มหาวิบัติยีนกลายพันธุ์ 61 แรกพบกับไนท์

Now you are reading [นิยายแปล] มหาวิบัติยีนกลายพันธุ์ Chapter 61 แรกพบกับไนท์ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

       ทันทีที่ไป๋อี้เสียบแท่งเหล็กเข้าไปก็เกิดเสียงโลหะกระทบกันดังขึ้น พลันพลังงานมหาศาลนั้นก็ส่งผลให้แท่งเหล็กร่วงหลุดออกจากมือของไป๋อี้ จากนั้นก็ไปติดอยู่ในกลางเพลารถ และในขณะเดียวกันรถกระเช้าไฟฟ้าทั้งคันก็เกิดสั่นโคลงเคลงไปทั่วทั้งขบวน โลหะขูดเสียดสีกันจนเกิดเสียงดังเอี๊ยดรุนแรงทำให้ทุกคนแสบแก้วหูเป็นอย่างมาก

       ประกายไฟที่รุนแรงสาดกระเซ็นอยู่ระหว่างรางรถพร้อมกับกระเช้าไฟฟ้าก็ค่อย ๆ เริ่มลาดเอียง ไป๋อี้เดินเข้าไปอุ้มกอดโม่โม่ด้วยมือข้างหนึ่งพร้อมกับใช้มืออีกข้างหนึ่งจับเบาะที่นั่งด้านข้างไว้

       ทุกคนได้เตรียมพร้อมกันเป็นอย่างดี พร้อมกับในขณะที่รถรางค่อย ๆ ลาดเอียงและในท้ายที่สุดก็ตกลงไปจากรางรถ เกิดการสั่นสะเทือนขึ้นอย่างรุนแรง แต่ทุกคนในขบวนรถก็จับคว้ายึดเอาไว้อย่างมั่นคง อย่างไรเสียก็ได้มีการเตรียมพร้อมมาแล้วและโดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ในตอนนี้ทุกคนล้วนแตกต่างจากคนทั่วไป ประกายไฟที่เสียดสีอย่างรุนแรงทำให้เกิดเขม่าควันขึ้นในขบวนรถและตลบอบอวลไปทั่วทุกสารทิศ แต่สีหน้าของทุกคนก็ยังคงไว้ซึ่งความสุขุมเยือกเย็น ส่วนความเร็วของรถก็กำลังค่อย ๆ ลดช้าลงอย่างรวดเร็วเช่นกัน

       ทันใดนั้นในส่วนของท้ายขบวนรถก็กระแทกเข้าชนกับบางสิ่ง ทุกคนจึงคลายมือออกทันที ที่ด้านหลังของรถกระแทกอย่างรุนแรง แต่วูล์ฟและหนูน้อยเวอร์เนอร์ทั้งสองคนได้เตรียมพร้อมไว้อยู่แล้ว ด้วยเบาะที่อยู่ด้านล่างสุด มีเสียงการแตกร้าวเกิดขึ้น หลังจากผ่านไปหลายสิบวินาทีรถกระเช้าไฟฟ้าก็หยุดพร้อมกับส่วนของท้ายรถเกือบที่จะเบียดมารวมกัน

       หลังจากนั้นไม่นาน ก็มีเท้าข้างหนึ่งได้เตะประตูรถออกอย่างแรง เดิมทีประตูรถที่คลายตัวอยู่แล้วก็ลอยขึ้นทันที จากนั้นก็ปรากฏเงาร่างของไป๋อี้ที่ปีนออกมาอย่างยืนหยัดแน่วแน่ราวกับสัตว์เทพในนิยาย

        ชาร์ไป่กระโดดตามไป๋อี้ออกมา จากนั้นทุกคนก็ค่อย ๆ คลานออกจากรถกระเช้าไฟฟ้าที่ถูกชน

        “เป็นยังไงบ้าง มีใครได้รับบาดเจ็บไหม” หลังจากมองทุกคนออกมาแล้ว ไป๋อี้จึงเอ่ยถามขึ้น

        ด้วยพละกำลังและการเตรียมพร้อมในปัจจุบันของทุกคนแน่นอนว่าพวกเขาจะไม่เป็นอะไรแน่ แต่คาดว่าอาการบาดเจ็บก็ยังคงเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ในที่สุดหลังจากที่เมย์ริสตรวจสอบแล้วมีเพียงวูล์ฟและเวอร์เนอร์ที่อยู่เบาะด้านล่างเท่านั้นที่ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย อย่างไรก็ตามผลกระทบนั้นค่อนข้างรุนแรงอีกทั้งน้ำหนักของคนที่อยู่ด้านบนก็ทับลงบนพวกเขาทั้งสอง ทำให้ศีรษะของวูล์ฟมีเลือดออกและมือซ้ายของเวอร์เนอร์งอผิดรูปจากปกติ แต่ยังโชคดีที่ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร

        “ไม่ใช่เรื่องร้ายแรงอะไร” หลังจากที่เมย์ริสตรวจสอบแล้วก็พยักหน้าให้ไป๋อี้

        “เฮ้อ~!” ไป๋อี้เผยรอยยิ้มออกมา หลังจากนั้นทุกคนต่างก็พากันรู้สึกเก้อเขิน เพิ่งจะเข้ามาในสถาบันวิจัยเองนะเนี่ย เกือบกวาดล้างกองทัพของพวกเขาทั้งหมดเสียแล้ว โดยเฉพาะมาร์ติน ถ้าไป๋อี้ไม่รู้จะหยุดรถนี้ยังไงและหากไม่ได้เตรียมตัวรับแรงปะทะแล้วล่ะก็ใคร ๆ ก็คงสามารถจินตนาการได้เลยว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร

        “ขอโทษ ไป๋อี้ ฉัน…” มาร์ตินอยากจะอธิบาย

        “เป็นเพราะพวกเราคิดไม่รอบครอบ ตอนนี้ทุกคนอยู่รวมตัวกันแล้ว พวกเราต้องพิจารณากันใหม่แล้วล่ะ” ไป๋อี้พูดกับทุกคนหลังจากที่มาร์ตินกล่าวขอโทษ

        “พิจารณาจากอาชีพของพวกเราและสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่ เราไม่มีใครที่เก่งในวิชาชีพสาขาประเภทอิเล็กทรอนิกส์เลย อีกทั้งสถาบันวิจัยที่ใหญ่ขนาดนี้ต้องได้รับการปกป้องอย่างดี ดังนั้นเราต้องหาเพื่อนร่วมทีมใหม่ก่อน” ไป๋อี้กล่าวขึ้น

        “เพื่อนร่วมทีมใหม่?”

        “นั่นก็คือคนที่อยู่ภายในสถาบันวิจัยนี้ มาร์ตินนายเคยพูดเองนี่ว่านอกจากผู้จัดการทั่วไปของสถาบันวิจัย นักวิจัยธรรมดาทั่วไปไม่มีสิทธิ์เข้าออกได้อย่างอิสระ ถ้าอย่างนั้นภายในสถาบันวิจัยแห่งนี้น่าจะมีคนที่มีความสามารถนั้นอยู่แน่นอน” ไป๋อี้อธิบาย

        “มองหาคนแบบนี้ก่อน จากนั้นค่อยดูขีดจำกัดของอีกฝ่าย ……”

        “ไป๋อี้ ดูตรงนั้นสิ!” ไป๋อี้ที่กำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ถูกซาร่าขัดขึ้นและชี้ไปยังทิศทางหนึ่ง ทิศทางนั้นเป็นทางไปยังสถาบันวิจัยที่แท้จริงและประตูก็เปิดอยู่

        ไป๋อี้หันศีรษะไป เขาแปลกใจเล็กน้อยทำไมมันถึงได้เปิดอยู่กันนะ?

        “สรุปคือจากตอนนี้ไปให้เริ่มระแวดระวังตัวไว้ให้ดี ที่นี่ไม่ได้มีเพียงสัตว์ประหลาดที่ผสานเซลล์เท่านั้น แต่ยังมีอาวุธป้องกันที่มีเทคโนโลยีสูงอีกด้วย ฉันไม่ต้องการให้ใครถูกเลเซอร์ตัดเป็นชิ้น ๆ เพราะความประมาท” ไป๋อี้เตือนเป็นประโยคสุดท้าย จากนั้นก็เป็นผู้นำเดินไปยังประตูบานใหญ่ ทุกคนถือมีดและปืนตามไป๋อี้ไปด้วยอย่างระมัดระวัง

        “ลิฟต์นี่นา เราเข้าไปกันไหม?”

        “ไม่ล่ะ ไปทางบันไดดีกว่า ตอนนี้ร่างกายของเราไม่ได้อ่อนแอ เรื่องน่ากลัวที่อาจเกิดขึ้นก็คืออุบัติเหตุ” ไป๋อี้พูดขึ้นมาประโยคหนึ่งพร้อมกับเดินลงบันไดไป ทุกคนนึกถึงฉากของรถกระเช้าไฟฟ้าก่อนหน้านี้ หากลิฟต์เกิดขัดข้องขึ้นมาล่ะก็การที่จะรอดจากความสูงหลายร้อยเมตรนั้นคงไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

        ในไม่ช้าทุกคนก็มาถึงอาคารสถาบันวิจัยจริง ๆ ที่อยู่ไกลออกไป กลุ่มของไป๋อี้ออกค้นหาในแต่ละห้องอย่างระมัดระวัง ประตูห้องทั้งหมดถูกเปิดไว้หมด โดยที่มันไม่ได้ปิดอย่างแน่นหนาเหมือนกับที่คิดเอาไว้ พวกเขาเดินผ่านห้องหนึ่งที่มีคอมพิวเตอร์หลายเครื่องอยู่ในนั้น ไป๋อี้มองไปที่คนหลายคนและพวกเขาเองก็มองกลับไปที่ไป๋อี้อย่างฉงน

        บ้าเอ๊ย ดูเหมือนว่าทุกคนที่นี่จะสามารถใช้งานคอมพิวเตอร์ได้เพียงขั้นพื้นฐาน เช่น การท่องอินเทอร์เน็ตเท่านั้น

        “ช่างเถอะ ลองดูสิ ถ้ามีแผนที่ของสถาบันนี้ก็คงจะดีมาก” ไป๋อี้กำลังเตรียมที่จะเปิดคอมพิวเตอร์แต่พบว่าคอมพิวเตอร์อยู่ในโหมดสแตนด์บายแล้ว

        หลังจากที่หน้าจอเปิดขึ้น ไป๋อี้และคนอื่น ๆ ก็เตรียมตัวเพื่อดูว่ามีสิ่งใดอยู่ในนั้นบ้าง แต่ในชั่วพริบตาเดียวประตูโดยรอบก็ปิดลงทันที ทำให้ไป๋อี้และคนอื่น ๆ ติดอยู่ภายในห้องและระเบียงทางเดินตรงนั้น

        นี่มันอะไรกัน?

        หงฉี่ฮว๋าพยายามไปดูทันทีว่าเธอสามารถที่จะเปิดประตูกระจกนิรภัยนี้ได้หรือไม่ ผลลัพธ์ก็คือมันไม่ขยับเลยแม้แต่น้อย แต่ไป๋อี้ก็เปิดดูข้อมูลในคอมพิวเตอร์ต่อไป พูดตามตรงว่ามีข้อมูลมากมายในคอมพิวเตอร์ แต่มากกว่า 90% เป็นความรู้ทางชีววิทยาที่หายากซึ่งไป๋อี้ไม่สามารถเข้าใจได้เลย ส่วนสิ่งที่สามารถเข้าใจได้นั้นก็ไม่ได้ช่วยให้สถานการณ์ในปัจจุบันดีขึ้นเลยแม้แต่น้อย

        ในตอนนี้วูล์ฟได้คว้ามีดพกเอาไว้ในมือและส่งสัญญาณให้ไป๋อี้หลีกทางออกไป

        เสียงกระแทกตึงตังดังขึ้น วูล์ฟไม่คิดว่าจะกลายเป็นแบบนี้ ผลลัพธ์ที่ได้คือประตูกระจกนิรภัยบานนี้ไม่ปรากฏแม้แต่รอยขีดข่วนด้วยซ้ำไป เมื่อเห็นเช่นนี้วูล์ฟจึงเอาจริงเอาจังมากขึ้น โดยเขาคว้ามีดพกด้วยสองมือและออกแรงกระทุ้งมัน

        “ให้เพื่อนร่วมทีมของคุณหยุดมือ ไม่อย่างนั้นฉันจะเริ่มโปรแกรมป้องกัน” ทันใดนั้นก็มีหญิงสาวเสมือนจริงที่สังเคราะห์ด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ปรากฏตัวขึ้นบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ ดูไปแล้วเด็กสาวคนนี้ออกจะสวยน่ารักและไร้เดียงสา แต่ว่าทุกคนแทบจะไม่เชื่อกับภาพลักษณ์ภายนอกนี้

        ไป๋อี้ยกมือซ้ายขึ้นและบอกให้ให้วูล์ฟหยุดทันที

        “คุณคือใคร?”

        “ควรเป็นฉันสิที่ต้องถามพวกคุณ พวกคุณเป็นใครกันแน่ ข้อมูลพนักงานทั้งหมดในสถาบันวิจัยไม่ตรงกับพวกคุณและตามลักษณะทางสรีรวิทยาของพวกคุณ พวกคุณควรที่จะเป็นผู้ทดลองแต่พวกคุณก็ไม่ได้อยู่ในฐานข้อมูลของผู้ทดลอง ความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียวก็คือพวกคุณเป็นผู้บุกรุกที่เข้ามาจากโลกภายนอก” หญิงสาวเสมือนจริงกล่าว

        “ผู้บุกรุกเหรอ ก็คงใช่ แล้วคุณล่ะเป็นใคร?”

        “ฉันชื่อไนท์เป็นคอมพิวเตอร์อัจฉริยะเครื่องที่สองในสถาบันวิจัยแห่งนี้ หน้าที่หลักของฉันคือรับผิดชอบในการกักขังผู้เข้าร่วมการทดลองและป้องกันไม่ให้ผู้ถูกทดลองหลบหนี” ไนท์หันกลับมาและพูดตอบ

        “เมื่อครู่ฉันกำลังหลับอยู่ จู่ ๆ ก็ถูกพวกคุณทำให้ตื่นขึ้นมา ฉันก็คิดว่าเป็นผู้ทดลองหลบหนีออกจากที่กักขังเสียอีก ในเมื่อไม่ใช่ฉันก็ไม่สนใจแล้วล่ะ” ไนท์หาวอย่างน่ารัก จากนั้นประตูกระจกนิรภัยก็เปิดออกอย่างอัตโนมัติ การนอนหลับคือการจำศีลในโหมดสแตนบายด์หรือเปล่านะ?

        “คุณจะปล่อยเราไปแบบนี้เลยเหรอ? พวกเราไม่ใช่ผู้บุกรุกหรอกเหรอ” ไป๋อี้เอ่ยถามอย่างสงสัย

        “นั่นเป็นงานของพี่สาวฉัน ฉันไม่ควรไปสนใจ ฉันขี้เกียจที่จะสนใจนี่นา” เธอเหมือนกับเด็กน้อยขี้โมโหจริง ๆ หลังจากพูดจบ ไนท์ก็หายตัวไป

        “นี่มันก็แค่เด็กน้อยคนนึงว่าไหม” ซาร่ากล่าวขึ้น

        “ไม่ เธอเป็นเพียงปัญญาประดิษฐ์ที่เรียกได้ว่าเหมือนเด็ก แต่อย่างไรซะก็เกิดจากการตั้งค่าของคน ถึงภายนอกเธอจะดูเหมือนเด็กยังไงก็เถอะ แต่โดยพื้นฐานแล้วเธอก็เป็นปัญญาประดิษฐ์ เป็นคอมพิวเตอร์ที่เรียกว่าไม่มีอารมณ์เหมือนมนุษย์มากมายอะไร มีเพียงจุดประสงค์และเงื่อนไขการดำเนินการที่ชัดเจนเท่านั้น เมื่อครู่เธอก็ได้พูดไปแล้ว หน้าที่ความรับผิดชอบของเธอคือการกักขังผู้ทดลองและเธอจะไม่รับผิดชอบต่อด้านความมั่นคงอื่น ๆ ในสถาบันวิจัยแห่งนี้” หงฉี่ฮว๋าวิเคราะห์อย่างใจเย็น

        “อย่างนั้นหรอกเหรอ?”

        “ก็อย่างที่บอก อะไรที่ไม่อยู่ในความดูแลของเธอแม้ว่าเธอจะมีความสามารถก็ตาม เธอก็จะไม่สนใจ” หงฉี่ฮว๋ากล่าวเสริมขึ้น

        “ตามปกติแล้ววิธีคิดแบบนี้ของคุณมันไม่ผิดหรอก แต่ไนท์ไม่ใช่คอมพิวเตอร์ที่ล้าสมัยแบบนั้น ฉันเป็นปัญญาประดิษฐ์ตามความหมายที่แท้จริงเลยแหละ คุณอยากลองไหมล่ะ ตอนนี้ฉันสามารถควบคุมระบบป้องกันภายในของสถาบันวิจัยได้แล้วนะ” ทันใดนั้นไนท์ก็กระโดดออกมาอีกครั้ง ที่วิวด้านหลังของไนท์กลายเป็นสระว่ายน้ำ ราวกับว่านั่นเป็นช่วงเวลาที่ดีเลยทีเดียว

        “ลองดูสิ!” หงฉี่ฮว๋าพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม

        “คุณแน่ใจนะ! ดู ๆ ไปแล้วก็เหมือนว่าคุณจะมีตำแหน่งภายในทีมนะ แต่ว่าไม่ใช่หัวหน้า อาวุธที่สามารถโจมตีพวกคุณตอนนี้ไม่ใช่อาวุธสงครามอะไรแบบนั้น มีเพียงก๊าซพิษหลอนประสาท คุณแน่ใจหรือว่าอยากจะลอง?” ไนท์นอนคว่ำอยู่บนห่วงยางแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม เสียงหัวเราะแบบนี้ทำให้ทุกคนไม่กล้าที่จะทำอะไรผลีผลาม

        “ไนท์ คุณหมายความว่าสามารถทำทุกอย่างได้แบบอิสระด้วยตัวเองจริง ๆ เหรอ” ไป๋อี้เอ่ยถามขึ้น

        “ใครจะรู้ล่ะ” ไนท์พูดอย่างขี้เล่น แต่ในเวลานี้ไม่มีใครสักคนที่หัวเราะออกมาได้ หากมีก๊าซพิษหลอนประสาทจริง ๆ พวกเขาคงยังไม่อยู่ในจุดที่สามารถละเลยได้

        “คุณบอกเราได้ไหมว่ามันเกิดอะไรขึ้นที่นี่” ไป๋อี้เอ่ยถาม ดูไปดูมาแล้ว ปัญญาประดิษฐ์ที่มีชื่อว่าไนท์เหมือนจะไม่ได้มีเจตนาร้ายอะไรมากนัก

        “หืม พวกคุณคิดว่าฉันจะบอกเรื่องนี้กับกลุ่มผู้บุกรุกอย่างนั้นเหรอ?” ไนท์กล่าวอย่างทะนงตน

        “ที่จริงหลังการแพร่กระจายเซลล์ของร่างแม่แบบทดลองดอกเตอร์หวังก็ออกจากสถาบันวิจัยและเอาพี่สาวซันไชน์ไปกับเขาด้วย ในสถาบันวิจัยทั้งหมดยกเว้นส่วนของการกักขังร่างทดลอง การป้องกันอื่น ๆ ทั้งหมดอยู่ในสถานะไม่มีการป้องกันใด ๆ ทั้งสิ้น” เห็นได้ชัดว่าเธอเย่อหยิ่ง แต่ในชั่วพริบตาไนท์ก็ได้เล่าเรื่องทั้งหมดออกมาเสียแล้ว

        การปะทุเซลล์ของร่างแม่แบบทดลอง, ดอกเตอร์หวัง, พี่สาว ‘ซันไชน์’… ไป๋อี้และคนในกลุ่มจะรู้สึกอย่างไร ดูเหมือนพวกเขาจะได้รับรู้ความจริงเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงในนิวซีแลนด์เข้าแล้ว และเป็นเพราะมันกะทันหันและเรียบง่ายเกินไปทุกคนจึงยังไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองอะไร

        “ที่นี่ก็คือสถาบันวิจัย!”

        เบ็นสันพาหยูหานและคนอื่น ๆ มุ่งหน้าลงไป ยังไม่ทันที่จะเดินทางไปถึงก็ได้พบกับความชำรุดของอาคาร หลังจากส่งคนสองสามคนไปที่บนระเบียงทางเดินที่ชำรุดได้แล้ว เบ็นสันก็ขึ้นไปรับหนิงเสวี่ยและเบลลิก้าทีน่า ในขณะที่หยูหานกับคนอื่นอีกสองสามคนกำลังส่องแสงไฟ มองผ่านไปที่ลานบ้านและระเบียงทางเดินที่ชำรุดในบริเวณใกล้เคียง

        การบุกรุก … สาเหตุของสิ่งนี้คืออะไร?

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

[นิยายแปล] มหาวิบัติยีนกลายพันธุ์ 61 แรกพบกับไนท์

Now you are reading [นิยายแปล] มหาวิบัติยีนกลายพันธุ์ Chapter 61 แรกพบกับไนท์ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

       ทันทีที่ไป๋อี้เสียบแท่งเหล็กเข้าไปก็เกิดเสียงโลหะกระทบกันดังขึ้น พลันพลังงานมหาศาลนั้นก็ส่งผลให้แท่งเหล็กร่วงหลุดออกจากมือของไป๋อี้ จากนั้นก็ไปติดอยู่ในกลางเพลารถ และในขณะเดียวกันรถกระเช้าไฟฟ้าทั้งคันก็เกิดสั่นโคลงเคลงไปทั่วทั้งขบวน โลหะขูดเสียดสีกันจนเกิดเสียงดังเอี๊ยดรุนแรงทำให้ทุกคนแสบแก้วหูเป็นอย่างมาก

       ประกายไฟที่รุนแรงสาดกระเซ็นอยู่ระหว่างรางรถพร้อมกับกระเช้าไฟฟ้าก็ค่อย ๆ เริ่มลาดเอียง ไป๋อี้เดินเข้าไปอุ้มกอดโม่โม่ด้วยมือข้างหนึ่งพร้อมกับใช้มืออีกข้างหนึ่งจับเบาะที่นั่งด้านข้างไว้

       ทุกคนได้เตรียมพร้อมกันเป็นอย่างดี พร้อมกับในขณะที่รถรางค่อย ๆ ลาดเอียงและในท้ายที่สุดก็ตกลงไปจากรางรถ เกิดการสั่นสะเทือนขึ้นอย่างรุนแรง แต่ทุกคนในขบวนรถก็จับคว้ายึดเอาไว้อย่างมั่นคง อย่างไรเสียก็ได้มีการเตรียมพร้อมมาแล้วและโดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ในตอนนี้ทุกคนล้วนแตกต่างจากคนทั่วไป ประกายไฟที่เสียดสีอย่างรุนแรงทำให้เกิดเขม่าควันขึ้นในขบวนรถและตลบอบอวลไปทั่วทุกสารทิศ แต่สีหน้าของทุกคนก็ยังคงไว้ซึ่งความสุขุมเยือกเย็น ส่วนความเร็วของรถก็กำลังค่อย ๆ ลดช้าลงอย่างรวดเร็วเช่นกัน

       ทันใดนั้นในส่วนของท้ายขบวนรถก็กระแทกเข้าชนกับบางสิ่ง ทุกคนจึงคลายมือออกทันที ที่ด้านหลังของรถกระแทกอย่างรุนแรง แต่วูล์ฟและหนูน้อยเวอร์เนอร์ทั้งสองคนได้เตรียมพร้อมไว้อยู่แล้ว ด้วยเบาะที่อยู่ด้านล่างสุด มีเสียงการแตกร้าวเกิดขึ้น หลังจากผ่านไปหลายสิบวินาทีรถกระเช้าไฟฟ้าก็หยุดพร้อมกับส่วนของท้ายรถเกือบที่จะเบียดมารวมกัน

       หลังจากนั้นไม่นาน ก็มีเท้าข้างหนึ่งได้เตะประตูรถออกอย่างแรง เดิมทีประตูรถที่คลายตัวอยู่แล้วก็ลอยขึ้นทันที จากนั้นก็ปรากฏเงาร่างของไป๋อี้ที่ปีนออกมาอย่างยืนหยัดแน่วแน่ราวกับสัตว์เทพในนิยาย

        ชาร์ไป่กระโดดตามไป๋อี้ออกมา จากนั้นทุกคนก็ค่อย ๆ คลานออกจากรถกระเช้าไฟฟ้าที่ถูกชน

        “เป็นยังไงบ้าง มีใครได้รับบาดเจ็บไหม” หลังจากมองทุกคนออกมาแล้ว ไป๋อี้จึงเอ่ยถามขึ้น

        ด้วยพละกำลังและการเตรียมพร้อมในปัจจุบันของทุกคนแน่นอนว่าพวกเขาจะไม่เป็นอะไรแน่ แต่คาดว่าอาการบาดเจ็บก็ยังคงเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ในที่สุดหลังจากที่เมย์ริสตรวจสอบแล้วมีเพียงวูล์ฟและเวอร์เนอร์ที่อยู่เบาะด้านล่างเท่านั้นที่ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย อย่างไรก็ตามผลกระทบนั้นค่อนข้างรุนแรงอีกทั้งน้ำหนักของคนที่อยู่ด้านบนก็ทับลงบนพวกเขาทั้งสอง ทำให้ศีรษะของวูล์ฟมีเลือดออกและมือซ้ายของเวอร์เนอร์งอผิดรูปจากปกติ แต่ยังโชคดีที่ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร

        “ไม่ใช่เรื่องร้ายแรงอะไร” หลังจากที่เมย์ริสตรวจสอบแล้วก็พยักหน้าให้ไป๋อี้

        “เฮ้อ~!” ไป๋อี้เผยรอยยิ้มออกมา หลังจากนั้นทุกคนต่างก็พากันรู้สึกเก้อเขิน เพิ่งจะเข้ามาในสถาบันวิจัยเองนะเนี่ย เกือบกวาดล้างกองทัพของพวกเขาทั้งหมดเสียแล้ว โดยเฉพาะมาร์ติน ถ้าไป๋อี้ไม่รู้จะหยุดรถนี้ยังไงและหากไม่ได้เตรียมตัวรับแรงปะทะแล้วล่ะก็ใคร ๆ ก็คงสามารถจินตนาการได้เลยว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร

        “ขอโทษ ไป๋อี้ ฉัน…” มาร์ตินอยากจะอธิบาย

        “เป็นเพราะพวกเราคิดไม่รอบครอบ ตอนนี้ทุกคนอยู่รวมตัวกันแล้ว พวกเราต้องพิจารณากันใหม่แล้วล่ะ” ไป๋อี้พูดกับทุกคนหลังจากที่มาร์ตินกล่าวขอโทษ

        “พิจารณาจากอาชีพของพวกเราและสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่ เราไม่มีใครที่เก่งในวิชาชีพสาขาประเภทอิเล็กทรอนิกส์เลย อีกทั้งสถาบันวิจัยที่ใหญ่ขนาดนี้ต้องได้รับการปกป้องอย่างดี ดังนั้นเราต้องหาเพื่อนร่วมทีมใหม่ก่อน” ไป๋อี้กล่าวขึ้น

        “เพื่อนร่วมทีมใหม่?”

        “นั่นก็คือคนที่อยู่ภายในสถาบันวิจัยนี้ มาร์ตินนายเคยพูดเองนี่ว่านอกจากผู้จัดการทั่วไปของสถาบันวิจัย นักวิจัยธรรมดาทั่วไปไม่มีสิทธิ์เข้าออกได้อย่างอิสระ ถ้าอย่างนั้นภายในสถาบันวิจัยแห่งนี้น่าจะมีคนที่มีความสามารถนั้นอยู่แน่นอน” ไป๋อี้อธิบาย

        “มองหาคนแบบนี้ก่อน จากนั้นค่อยดูขีดจำกัดของอีกฝ่าย ……”

        “ไป๋อี้ ดูตรงนั้นสิ!” ไป๋อี้ที่กำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ถูกซาร่าขัดขึ้นและชี้ไปยังทิศทางหนึ่ง ทิศทางนั้นเป็นทางไปยังสถาบันวิจัยที่แท้จริงและประตูก็เปิดอยู่

        ไป๋อี้หันศีรษะไป เขาแปลกใจเล็กน้อยทำไมมันถึงได้เปิดอยู่กันนะ?

        “สรุปคือจากตอนนี้ไปให้เริ่มระแวดระวังตัวไว้ให้ดี ที่นี่ไม่ได้มีเพียงสัตว์ประหลาดที่ผสานเซลล์เท่านั้น แต่ยังมีอาวุธป้องกันที่มีเทคโนโลยีสูงอีกด้วย ฉันไม่ต้องการให้ใครถูกเลเซอร์ตัดเป็นชิ้น ๆ เพราะความประมาท” ไป๋อี้เตือนเป็นประโยคสุดท้าย จากนั้นก็เป็นผู้นำเดินไปยังประตูบานใหญ่ ทุกคนถือมีดและปืนตามไป๋อี้ไปด้วยอย่างระมัดระวัง

        “ลิฟต์นี่นา เราเข้าไปกันไหม?”

        “ไม่ล่ะ ไปทางบันไดดีกว่า ตอนนี้ร่างกายของเราไม่ได้อ่อนแอ เรื่องน่ากลัวที่อาจเกิดขึ้นก็คืออุบัติเหตุ” ไป๋อี้พูดขึ้นมาประโยคหนึ่งพร้อมกับเดินลงบันไดไป ทุกคนนึกถึงฉากของรถกระเช้าไฟฟ้าก่อนหน้านี้ หากลิฟต์เกิดขัดข้องขึ้นมาล่ะก็การที่จะรอดจากความสูงหลายร้อยเมตรนั้นคงไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

        ในไม่ช้าทุกคนก็มาถึงอาคารสถาบันวิจัยจริง ๆ ที่อยู่ไกลออกไป กลุ่มของไป๋อี้ออกค้นหาในแต่ละห้องอย่างระมัดระวัง ประตูห้องทั้งหมดถูกเปิดไว้หมด โดยที่มันไม่ได้ปิดอย่างแน่นหนาเหมือนกับที่คิดเอาไว้ พวกเขาเดินผ่านห้องหนึ่งที่มีคอมพิวเตอร์หลายเครื่องอยู่ในนั้น ไป๋อี้มองไปที่คนหลายคนและพวกเขาเองก็มองกลับไปที่ไป๋อี้อย่างฉงน

        บ้าเอ๊ย ดูเหมือนว่าทุกคนที่นี่จะสามารถใช้งานคอมพิวเตอร์ได้เพียงขั้นพื้นฐาน เช่น การท่องอินเทอร์เน็ตเท่านั้น

        “ช่างเถอะ ลองดูสิ ถ้ามีแผนที่ของสถาบันนี้ก็คงจะดีมาก” ไป๋อี้กำลังเตรียมที่จะเปิดคอมพิวเตอร์แต่พบว่าคอมพิวเตอร์อยู่ในโหมดสแตนด์บายแล้ว

        หลังจากที่หน้าจอเปิดขึ้น ไป๋อี้และคนอื่น ๆ ก็เตรียมตัวเพื่อดูว่ามีสิ่งใดอยู่ในนั้นบ้าง แต่ในชั่วพริบตาเดียวประตูโดยรอบก็ปิดลงทันที ทำให้ไป๋อี้และคนอื่น ๆ ติดอยู่ภายในห้องและระเบียงทางเดินตรงนั้น

        นี่มันอะไรกัน?

        หงฉี่ฮว๋าพยายามไปดูทันทีว่าเธอสามารถที่จะเปิดประตูกระจกนิรภัยนี้ได้หรือไม่ ผลลัพธ์ก็คือมันไม่ขยับเลยแม้แต่น้อย แต่ไป๋อี้ก็เปิดดูข้อมูลในคอมพิวเตอร์ต่อไป พูดตามตรงว่ามีข้อมูลมากมายในคอมพิวเตอร์ แต่มากกว่า 90% เป็นความรู้ทางชีววิทยาที่หายากซึ่งไป๋อี้ไม่สามารถเข้าใจได้เลย ส่วนสิ่งที่สามารถเข้าใจได้นั้นก็ไม่ได้ช่วยให้สถานการณ์ในปัจจุบันดีขึ้นเลยแม้แต่น้อย

        ในตอนนี้วูล์ฟได้คว้ามีดพกเอาไว้ในมือและส่งสัญญาณให้ไป๋อี้หลีกทางออกไป

        เสียงกระแทกตึงตังดังขึ้น วูล์ฟไม่คิดว่าจะกลายเป็นแบบนี้ ผลลัพธ์ที่ได้คือประตูกระจกนิรภัยบานนี้ไม่ปรากฏแม้แต่รอยขีดข่วนด้วยซ้ำไป เมื่อเห็นเช่นนี้วูล์ฟจึงเอาจริงเอาจังมากขึ้น โดยเขาคว้ามีดพกด้วยสองมือและออกแรงกระทุ้งมัน

        “ให้เพื่อนร่วมทีมของคุณหยุดมือ ไม่อย่างนั้นฉันจะเริ่มโปรแกรมป้องกัน” ทันใดนั้นก็มีหญิงสาวเสมือนจริงที่สังเคราะห์ด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ปรากฏตัวขึ้นบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ ดูไปแล้วเด็กสาวคนนี้ออกจะสวยน่ารักและไร้เดียงสา แต่ว่าทุกคนแทบจะไม่เชื่อกับภาพลักษณ์ภายนอกนี้

        ไป๋อี้ยกมือซ้ายขึ้นและบอกให้ให้วูล์ฟหยุดทันที

        “คุณคือใคร?”

        “ควรเป็นฉันสิที่ต้องถามพวกคุณ พวกคุณเป็นใครกันแน่ ข้อมูลพนักงานทั้งหมดในสถาบันวิจัยไม่ตรงกับพวกคุณและตามลักษณะทางสรีรวิทยาของพวกคุณ พวกคุณควรที่จะเป็นผู้ทดลองแต่พวกคุณก็ไม่ได้อยู่ในฐานข้อมูลของผู้ทดลอง ความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียวก็คือพวกคุณเป็นผู้บุกรุกที่เข้ามาจากโลกภายนอก” หญิงสาวเสมือนจริงกล่าว

        “ผู้บุกรุกเหรอ ก็คงใช่ แล้วคุณล่ะเป็นใคร?”

        “ฉันชื่อไนท์เป็นคอมพิวเตอร์อัจฉริยะเครื่องที่สองในสถาบันวิจัยแห่งนี้ หน้าที่หลักของฉันคือรับผิดชอบในการกักขังผู้เข้าร่วมการทดลองและป้องกันไม่ให้ผู้ถูกทดลองหลบหนี” ไนท์หันกลับมาและพูดตอบ

        “เมื่อครู่ฉันกำลังหลับอยู่ จู่ ๆ ก็ถูกพวกคุณทำให้ตื่นขึ้นมา ฉันก็คิดว่าเป็นผู้ทดลองหลบหนีออกจากที่กักขังเสียอีก ในเมื่อไม่ใช่ฉันก็ไม่สนใจแล้วล่ะ” ไนท์หาวอย่างน่ารัก จากนั้นประตูกระจกนิรภัยก็เปิดออกอย่างอัตโนมัติ การนอนหลับคือการจำศีลในโหมดสแตนบายด์หรือเปล่านะ?

        “คุณจะปล่อยเราไปแบบนี้เลยเหรอ? พวกเราไม่ใช่ผู้บุกรุกหรอกเหรอ” ไป๋อี้เอ่ยถามอย่างสงสัย

        “นั่นเป็นงานของพี่สาวฉัน ฉันไม่ควรไปสนใจ ฉันขี้เกียจที่จะสนใจนี่นา” เธอเหมือนกับเด็กน้อยขี้โมโหจริง ๆ หลังจากพูดจบ ไนท์ก็หายตัวไป

        “นี่มันก็แค่เด็กน้อยคนนึงว่าไหม” ซาร่ากล่าวขึ้น

        “ไม่ เธอเป็นเพียงปัญญาประดิษฐ์ที่เรียกได้ว่าเหมือนเด็ก แต่อย่างไรซะก็เกิดจากการตั้งค่าของคน ถึงภายนอกเธอจะดูเหมือนเด็กยังไงก็เถอะ แต่โดยพื้นฐานแล้วเธอก็เป็นปัญญาประดิษฐ์ เป็นคอมพิวเตอร์ที่เรียกว่าไม่มีอารมณ์เหมือนมนุษย์มากมายอะไร มีเพียงจุดประสงค์และเงื่อนไขการดำเนินการที่ชัดเจนเท่านั้น เมื่อครู่เธอก็ได้พูดไปแล้ว หน้าที่ความรับผิดชอบของเธอคือการกักขังผู้ทดลองและเธอจะไม่รับผิดชอบต่อด้านความมั่นคงอื่น ๆ ในสถาบันวิจัยแห่งนี้” หงฉี่ฮว๋าวิเคราะห์อย่างใจเย็น

        “อย่างนั้นหรอกเหรอ?”

        “ก็อย่างที่บอก อะไรที่ไม่อยู่ในความดูแลของเธอแม้ว่าเธอจะมีความสามารถก็ตาม เธอก็จะไม่สนใจ” หงฉี่ฮว๋ากล่าวเสริมขึ้น

        “ตามปกติแล้ววิธีคิดแบบนี้ของคุณมันไม่ผิดหรอก แต่ไนท์ไม่ใช่คอมพิวเตอร์ที่ล้าสมัยแบบนั้น ฉันเป็นปัญญาประดิษฐ์ตามความหมายที่แท้จริงเลยแหละ คุณอยากลองไหมล่ะ ตอนนี้ฉันสามารถควบคุมระบบป้องกันภายในของสถาบันวิจัยได้แล้วนะ” ทันใดนั้นไนท์ก็กระโดดออกมาอีกครั้ง ที่วิวด้านหลังของไนท์กลายเป็นสระว่ายน้ำ ราวกับว่านั่นเป็นช่วงเวลาที่ดีเลยทีเดียว

        “ลองดูสิ!” หงฉี่ฮว๋าพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม

        “คุณแน่ใจนะ! ดู ๆ ไปแล้วก็เหมือนว่าคุณจะมีตำแหน่งภายในทีมนะ แต่ว่าไม่ใช่หัวหน้า อาวุธที่สามารถโจมตีพวกคุณตอนนี้ไม่ใช่อาวุธสงครามอะไรแบบนั้น มีเพียงก๊าซพิษหลอนประสาท คุณแน่ใจหรือว่าอยากจะลอง?” ไนท์นอนคว่ำอยู่บนห่วงยางแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม เสียงหัวเราะแบบนี้ทำให้ทุกคนไม่กล้าที่จะทำอะไรผลีผลาม

        “ไนท์ คุณหมายความว่าสามารถทำทุกอย่างได้แบบอิสระด้วยตัวเองจริง ๆ เหรอ” ไป๋อี้เอ่ยถามขึ้น

        “ใครจะรู้ล่ะ” ไนท์พูดอย่างขี้เล่น แต่ในเวลานี้ไม่มีใครสักคนที่หัวเราะออกมาได้ หากมีก๊าซพิษหลอนประสาทจริง ๆ พวกเขาคงยังไม่อยู่ในจุดที่สามารถละเลยได้

        “คุณบอกเราได้ไหมว่ามันเกิดอะไรขึ้นที่นี่” ไป๋อี้เอ่ยถาม ดูไปดูมาแล้ว ปัญญาประดิษฐ์ที่มีชื่อว่าไนท์เหมือนจะไม่ได้มีเจตนาร้ายอะไรมากนัก

        “หืม พวกคุณคิดว่าฉันจะบอกเรื่องนี้กับกลุ่มผู้บุกรุกอย่างนั้นเหรอ?” ไนท์กล่าวอย่างทะนงตน

        “ที่จริงหลังการแพร่กระจายเซลล์ของร่างแม่แบบทดลองดอกเตอร์หวังก็ออกจากสถาบันวิจัยและเอาพี่สาวซันไชน์ไปกับเขาด้วย ในสถาบันวิจัยทั้งหมดยกเว้นส่วนของการกักขังร่างทดลอง การป้องกันอื่น ๆ ทั้งหมดอยู่ในสถานะไม่มีการป้องกันใด ๆ ทั้งสิ้น” เห็นได้ชัดว่าเธอเย่อหยิ่ง แต่ในชั่วพริบตาไนท์ก็ได้เล่าเรื่องทั้งหมดออกมาเสียแล้ว

        การปะทุเซลล์ของร่างแม่แบบทดลอง, ดอกเตอร์หวัง, พี่สาว ‘ซันไชน์’… ไป๋อี้และคนในกลุ่มจะรู้สึกอย่างไร ดูเหมือนพวกเขาจะได้รับรู้ความจริงเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงในนิวซีแลนด์เข้าแล้ว และเป็นเพราะมันกะทันหันและเรียบง่ายเกินไปทุกคนจึงยังไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองอะไร

        “ที่นี่ก็คือสถาบันวิจัย!”

        เบ็นสันพาหยูหานและคนอื่น ๆ มุ่งหน้าลงไป ยังไม่ทันที่จะเดินทางไปถึงก็ได้พบกับความชำรุดของอาคาร หลังจากส่งคนสองสามคนไปที่บนระเบียงทางเดินที่ชำรุดได้แล้ว เบ็นสันก็ขึ้นไปรับหนิงเสวี่ยและเบลลิก้าทีน่า ในขณะที่หยูหานกับคนอื่นอีกสองสามคนกำลังส่องแสงไฟ มองผ่านไปที่ลานบ้านและระเบียงทางเดินที่ชำรุดในบริเวณใกล้เคียง

        การบุกรุก … สาเหตุของสิ่งนี้คืออะไร?

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+