[นิยายแปล] มหาวิบัติยีนกลายพันธุ์ 28 การวิเคราะห์เชิงเหตุผล

Now you are reading [นิยายแปล] มหาวิบัติยีนกลายพันธุ์ Chapter 28 การวิเคราะห์เชิงเหตุผล at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

 

  “หลังจากที่เราผสานรวมยีนและกลายเป็นสัตว์ประหลาดเราจะสูญเสียสติสัมปชัญญะของเราหรือไม่” ไป๋อี้กล่าวอย่างเคร่งขรึม

 

  “คุณหมายความว่ายังไง” วูล์ฟงงงวย ในทางกลับกันหงฉี่ฮว๋าและเฮลัวส์เป็นคนที่ฉลาดมาก ไป๋อี้พูดเพียงครั้งเดียว พวกเธอก็สามารถเดาความหมายได้แล้ว อย่างไรก็ตามไป๋อี้ก็ยังคงต้องอธิบายให้วูล์ฟเข้าใจอย่างชัดเจน

 

  “สิ่งที่สำคัญมากคือ! มาร์ตินกล่าวว่าหลังจากเซลล์ดัดแปลงแฝงตัวเป็นปรสิต การวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตและมนุษย์จะผสานรวมยีนของสิ่งมีชีวิตอื่นเข้าด้วยกัน จากนั้นรูปร่างจะเปลี่ยนไป การเปลี่ยนแปลงนี้ได้รับการยืนยันแล้ว ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องสงสัยอีก การเปลี่ยนแปลงนี้จะส่งผลต่อร่างกายเท่านั้น ในขณะที่ความทรงจำและเหตุผลของเรายังคงมีอยู่ แต่หากเราเสียสติและกลายเป็นสัตว์ประหลาด เราจำเป็นต้องเตรียมการเพิ่มเติม”

 

  “คง …… ไม่หรอกมั้ง ฉันก็ยังปกติดีอยู่ไม่ใช่หรือไง” วูล์ฟพูดอย่างลังเล รูปลักษณ์ปัจจุบันของเขาเปลี่ยนไปมากที่สุด หากนี่เป็นสถานการณ์ปกติ เขาก็เป็นสัตว์ประหลาดอย่างสมบูรณ์ แต่เห็นได้ชัดว่ามันไม่มีผลต่อความมีสติสัมปชัญญะของเขา

 

  “นั่นมันก็ไม่แน่” ไป๋อี้ส่ายหัว

 

  LV0:ระยะแรกเริ่ม

  ◆การกระตุ้น

  LV1-1:ระยะหิวโหย

  LV1-2:ระยะดุร้าย

  LV1-3:ระยะหลับใหล

  ◆การเปลี่ยนแปลง

  LV2:กลายพันธุ์

 

  “จำสิ่งที่มาร์ตินพูดตอนต้นได้ไหม นี่ไม่ใช่แค่ชื่อสุ่มมั่ว ๆ แต่ขึ้นอยู่กับการเปลี่ยนแปลงของรูปแบบของสิ่งมีชีวิต กล่าวคือชื่อนี้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยาของสิ่งมีชีวิตที่มีวิวัฒนาการในเวลานั้น แน่นอนว่าเราอยู่ใน LV1-1 ช่วงที่หิวตะกละตะกลามคือระยะหิวโหยจากนั้นก็ระยะดุร้าย LV1-2 … ฉันสงสัยว่ามันอาจจะควบคุมไม่ได้” ไป๋อี้พูดอย่างเคร่งขรึม

 

  “งั้นจะทำยังไงดี เราจะไม่ผสานรวมยีนแล้วเหรอ?”

 

  “ไม่ เรายังต้องผสานรวมยีน” ไป๋อี้ส่ายหัว “ไม่ว่าเราจะทำหรือไม่ก็ตาม หากยึดตามการทำงานของเซลล์ดัดแปลงแล้ว การผสานรวมของยีนนั้นเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้นจึงเป็นการดีที่สุดที่จะควบคุมให้อยู่ในมือของเราเอง ฉันยกคำถามนี้ขึ้นมาเพียงเพื่อให้เราเตรียมพร้อมทางจิตใจก่อน นอกจากนี้ถึงเราไม่สูญเสียสติสัมปชัญญะก็คงจะมีปัญหาอื่นตามมาอยู่ดี”

 

  “ปัญหาอะไร?”

 

  “พวกเราทุกคนคงรู้ดีว่ามาร์ตินพูดอะไรเกี่ยวกับสัตว์ทดลอง อันที่จริงมีการจำแนกอีกประเภทหนึ่ง คือ 1.สัตว์ผสานรวมยีนจากสิ่งมีชีวิตอื่นและกลายเป็นสัตว์ประหลาด 2.มนุษย์ผสานรวมยีนจากสิ่งมีชีวิตอื่นและกลายเป็นสัตว์ประหลาด ในกรณีหลังถ้ายีนที่ผสานรวมไม่ทำให้เราสูญเสียสติสัมปชัญญะ สิ่งที่เราจะเผชิญคือการที่ความทรงจำของเรายังเป็นมนุษย์ แต่ร่างกายของเราจะเกิดการวิวัฒนาการ … เป็นสัตว์ประหลาด” ไป๋อี้ชูสองนิ้วขึ้นมาและอธิบายทีละนิ้ว

 

  “เป็นไปได้ยังไง!” วูล์ฟพูดด้วยความประหลาดใจ

 

  “จะเป็นไปไม่ได้ยังไงล่ะ ตอนนี้นายก็เป็นอย่างนั้นไม่ใช่เหรอ” ไป๋อี้พูดติดตลก

 

  “การดำรงอยู่แบบนี้แต่ยังคงมีความทรงจำของมนุษย์ แม้ว่าร่างกายเป็นสัตว์ประหลาดและยังผ่านการทดลองมาหลายครั้ง แต่เราไม่สามารถถือว่าพวกเขาเป็นสัตว์ประหลาดได้เพราะพวกเขาเป็น … ผู้บุกเบิกของเรา แต่ก็เช่นเดียวกัน พวกเราต้องเฝ้าระวังพวกเขาด้วยเพราะไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาปลอดภัยจริงหรือเปล่า” ไป๋อี้กล่าวเสียงค่อนข้างหนักแน่น

 

  ……

 

  เวลาต่อมา พวกเขาก็ยังถกกันถึงเรื่องเกี่ยวกับยีนที่ผสานรวมกัน จนกระทั่งทันใดนั้นแสงจากหลอดนีออนในห้องก็ดับลง คอมพิวเตอร์ของหงฉี่ฮว๋ายังคงเปิดอยู่ แต่ได้เปลี่ยนไปใช้แหล่งจ่ายไฟในตัวแทน

 

  “ไฟดับ ว่าแล้วเวลาแบบนี้ต้องมาถึงในไม่ช้า” พวกเขาตกตะลึง จากนั้นไป๋อี้ก็พูดขึ้น

 

  “คอมพิวเตอร์ของฉันยังใช้งานได้อีกสักพัก ฉันมีแหล่งจ่ายไฟพลังงานแสงอาทิตย์ แต่ว่าไม่มีเครือข่ายอินเทอร์เน็ต นั่นมันก็ไม่มีประโยชน์อยู่ดี” หงฉี่ฮว๋ากล่าว

 

  “มันไม่ได้สำคัญมากขนาดนั้น สิ่งที่ต้องบันทึกลงในคอมพิวเตอร์มีไม่มาก”

 

  “เนื่องจากไฟดับและยังไม่เช้า ทุกคนควรกลับไปที่ห้องและพักผ่อน พรุ่งนี้เราต้องเดินทางผ่านโอโทโรฮังกากับหยูหาน ดูเหมือนว่าไม่น่าจะมีสัตว์ประหลาดมากนัก มันคงยังไม่กระจายตัวมาที่นี่” ไป๋อี้มองออกไปข้างนอก มีเปลวไฟจาง ๆ จากทางโอโทโรฮังกา แต่ยังไม่มีสัตว์ประหลาดมาที่นี่

 

  “อ๋อ จริงสิ พวกคุณคิดว่าเราควรบอกหยูหานเกี่ยวกับการผสานรวมยีนกับพวกเขาดีไหม” เมื่อหลายคนกำลังจะเดินออกจากห้องไป ไป๋อี้ก็พูดขึ้น วูล์ฟและเฮลัวส์ที่เดินมาอยู่ที่ประตูแล้วหันมามองไปที่ไป๋อี้ด้วยความประหลาดใจ พวกเขาได้ยินถูกแล้วเหรอ

 

  “คุณพูดว่าอะไรนะ?” วูล์ฟถามด้วยความประหลาดใจ

 

  “ฉันบอกว่าเราควรบอกหยูหานเกี่ยวกับความคิดที่จะผสานรวมยีนทางชีววิทยาไหม” ไป๋อี้พูดซ้ำ แสงจันทร์จาง ๆ ส่องกระทบใบหน้าของไป๋อี้ จึงทำให้วูล์ฟและคนอื่น ๆ แน่ใจว่าไป๋อี้ไม่ได้ล้อเล่น

 

  “ไป๋อี้ เจ้าโง่ นายไม่เห็นเหรอว่าหยูหานทำอะไร?” วูล์ฟถามอย่างงงงวย

 

  “ฉันรู้ แน่นอนว่าฉันรู้” ไป๋อี้พยักหน้าเล็กน้อย

 

  “หยูหานเป็นคนที่มีความทะเยอทะยานมาก เขาอยากเป็นผู้นำของทีม แบบนี้ไม่เหมือนกับผู้คนในยุคสงบสุขหรือไง เมื่อพบโอกาสก็อยากจะปีนขึ้นไปแม้ว่าจะยากลำบากก็ตาม อันที่จริงนี่ไม่ใช่เรื่องผิด เมื่อไม่ชอบกันต่อไปก็ติดต่อสื่อสารกันให้น้อยลง ฉันพูดแบบนี้ไม่ใช่เพราะเขา แต่เป็นเพราะคนอื่น คนอื่น ๆ ก็เป็นอดีตเพื่อนพ้องกันทั้งนั้น บอกให้พวกเขารู้ข่าวและพวกเขาจะได้มีพลังปกป้องตัวเองได้เพิ่มอีกสักหน่อย ส่วนพวกเขาจะฟังไหม นั่นไม่ใช่สิ่งที่เราควบคุมได้” ไป๋อี้อธิบาย

 

  วูล์ฟและเฮลัวส์นิ่งเงียบไปชั่วขณะ แล้ววูล์ฟก็พูดขึ้น

 

  “ไป๋อี้ นายเป็นคนดีจริง ๆ!” วูล์ฟพูดพลางวางมาดเท่ห์ล้อเลียนไป๋อี้

 

  “ไป!” ไป๋อี้ทำท่าทำทางจะเตะวูล์ฟ แต่ก็ถูกวูล์ฟแตะเข้าที่ไหล่ซ้ายของเขาเสียก่อนจนทำให้รู้สึกปวดแปลบขึ้นมา

 

  และตอนนี้วูล์ฟก็ได้วิ่งหนีออกไปแล้ว เฮลัวส์ซึ่งตอนแรกรู้สึกประหม่าเล็กน้อยกับรูปลักษณ์ของวูล์ฟ ก็ยังอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาเมื่อเห็นวูล์ฟทำตัวแปลก ๆ ตอนแรกเธอตกใจเล็กน้อยเมื่อเห็นลักษณะที่มีหัวเป็นสุนัข มีเขา และตัวอ้วน ๆของวูล์ฟ แต่ตอนนี้เมื่อได้รู้จักสนิทสนมกันแล้ว เธอก็รู้สึกว่าไม่ว่าจะเป็นไป๋อี้ หงฉี่ฮว๋า หรือ วูล์ฟ ต่างก็เป็นเพื่อนที่ดีทั้งนั้น

 

  คำพูดของไป๋อี้ พวกเขาไม่ได้ตอบรับในทันที แต่ค่อย ๆ คิดไตร่ตรองดู ข้อเสนอของไป๋อี้ดูโง่เขลา แต่ก็แสดงถึงลักษณะนิสัยของไป๋อี้ได้เป็นอย่างดีด้วย ไป๋อี้พูดถูก อย่างไรซะคนอื่น ๆ ก็ยังคงเป็นเพื่อนกัน อย่างเช่น เบลลิก้าทีน่า ไต้ยู่เหยา และคำว่ามิตรภาพไม่ใช่ว่าจะสามารถละทิ้งไปได้ง่าย ๆ

 

  ยิ่งไปกว่านั้นถ้าไป๋อี้เป็นคนเห็นแก่ตัวจริง ๆ พวกเขาจะอยู่เคียงข้างเขาด้วยความเต็มใจเหมือนตอนนี้หรือไม่?

 

  คนอย่างเช่น …… หยูหาน!

 

  ในสังคมสมัยใหม่ความคิดมีอิสระมากขึ้น แต่ไม่มีใครที่จะนับถือใครก็ตามที่เห็นเพียงรูปลักษณ์ หากไม่มีสิ่งดึงดูดใจผู้อื่นจะมีคนคอยสนับสนุนได้อย่างไร

 

  ————————————————

 

  เป็นอีกหนึ่งคืนที่ทุกคนนอนไม่ค่อยหลับและมีอาการหิว เห็นได้ชัดว่าพวกเขากินอาหารเยอะมากก่อนเข้านอน แต่ไม่นานท้องของพวกเขาก็ว่างเปล่า แน่นอนว่ามีอีกเหตุผลหนึ่งนั่นก็คือโอโทโรฮังกาที่อยู่ใกล้แค่เอื้อม ทุกคนกังวลเกี่ยวกับสัตว์ประหลาดหนึ่งหรือสองตัวที่อาจวิ่งมาจากที่นั่น โชคดีที่ดูเหมือนว่ามีสัตว์ประหลาดไม่มากนักในละแวกนี้ หลังจากคืนแห่งความหวาดกลัวผ่านไป ในที่สุดรุ่งอรุณก็มาถึง

 

  หลังจากตื่นนอนในตอนเช้า ไป๋อี้พบว่าการเปลี่ยนแปลงของเขามีเพิ่มขึ้นกว่าเดิม อีกทั้งยังปรากฏขนอ่อนละเอียดขึ้นบนใบหน้าของโม่โม่ ซึ่งนั่นเป็นปุยของผีเสื้อ

 

  “พ่อ หนูมีขนขึ้น” โม่โม่พูดกับไป๋อี้

 

  “อืม ๆ ไม่เป็นไรนะ แบบนี้ดูน่ารักดีออก” ไป๋อี้พูดด้วยรอยยิ้ม

 

  “จริงเหรอคะ โม่โม่แตะไปที่ใบหน้าของเธอและมองในกระจกอย่างอยากรู้อยากเห็น ในใจที่ไร้เดียงสาของโม่โม่ยังไม่ค่อยเข้าใจความหมายของสัตว์ประหลาดเท่าไรนัก และในเวลานี้ชาร์ไป่ที่พักฟื้นมาตลอดทั้งคืนก็ลุกขึ้นยืนด้วยตัวเองและส่งเสียงร้องเรียกหาไป๋อี้กับโม่โม่ ทันทีที่โม่โม่ได้ยินเสียงร้องของชาร์ไป่ เธอก็กลับมามีสติทันที และประหลาดใจเป็นอย่างมาก

 

  “ชาร์ไป่ ดีขึ้นแล้วเหรอ!” โม่โม่วิ่งไปหาด้วยความดีใจ

 

  ไป๋อี้มองไปที่ชาร์ไป่ บาดแผลเริ่มปิดแล้วและไม่มีอันตรายถึงชีวิต … มันเป็นเพราะเซลล์ดัดแปลงที่ทรงพลังแน่ ๆ!

 

  ไป๋อี้พาโม่โม่ออกมา และพบว่าเบลลิก้าทีน่ากำลังแอบอยู่ ไป๋อี้มองดูเธอเล็กน้อยและพบว่าเบลลิก้าทีน่าเองก็มีการเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์เช่นกัน เธอมีหนวดสั้น ๆ 2 เส้นปรากฏบนหน้าผากและใบหน้าของเธอก็เริ่มเปลี่ยนเป็นสีกากี ไป๋อี้ไม่รู้แน่ชัดว่าเบลลิก้าทีน่าถูกผสานรวมเข้ากับยีนของสิ่งมีชีวิตชนิดใด แต่ด้วยร่างกายที่อ้วนท้วมนั้นเห็นได้ชัดว่ามันดูไม่สวยงามนัก … หรือเรียกได้ว่าน่าเกลียด

 

  “จิ้งหรีด ตั๊กแตน แมลงหลายชนิดที่กัดเบลลิก้าทีน่าบนทางหลวง” หงฉี่ฮว๋ากระซิบขณะไป๋อี้เดินผ่าน

 

  เห็นได้ชัดว่าการเปลี่ยนแปลงของบลลิก้าทีน่าช่วยยืนยันความกังวลของไป๋อี้และหงฉี่ฮว๋าเมื่อคืนนี้ได้เป็นอย่างดี ศักยภาพการกระตุ้นพลังของเซลล์ดัดแปลงนั้นแข็งแกร่งมากและการสัมผัสที่ไม่ตั้งใจบางอย่างอาจผสานรวมกับยีนทางชีววิทยาของสิ่งมีชีวิตบางชนิด และยีนเหล่านี้นอกจากจะเปลี่ยนมนุษย์ให้กลายเป็นสัตว์ประหลาดแล้วยีนหลายตัวก็ยังไม่สามารถนำพลังที่แข็งแกร่งมาสู่มนุษย์ได้

 

  เรื่องที่ไป๋อี้ถามเมื่อคืนว่าจะบอกหยูหานเกี่ยวกับความคิดของพวกเขาในการผสานรวมยีนหรือไม่ แม้ว่าวูล์ฟและหงฉี่ฮว๋าจะไม่คัดค้าน แต่สิ่งที่เขาก่อไว้มันก็ไม่ง่ายที่จะพูดอย่างชัดเจน หลังจากนั้นไป๋อี้ก็คิดสักพัก เขายังรู้สึกว่าคงจะดีกว่าที่จะปกปิดเรื่องนี้ไว้เป็นการชั่วคราว

 

  “กินอาหารก่อนไหม” หยูหานกล่าวโดยไม่ได้ถาม

 

  “แน่นอน!” ไป๋อี้พยักหน้า เมื่อคืนเขาหิวเกินกว่าที่จะจินตนาการได้ ความหิวในระยะหิวโหยเป็นสิ่งที่ไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูดได้เลย

 

  เมื่อได้ยินคำว่าอาหารทุกคนก็ต่างยุ่งอยู่กับการหยิบจับอาหารออกมาจากรถ หลังจากง่วนอยู่เป็นเวลาหนึ่งชั่วโมง ทุกคนก็กินกันจนอิ่มไปกว่า 80% หลังจากที่กินอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว ดูเหมือนว่าพวกเขาจะกินอาหารไปเยอะมาก ๆ โดยกินกันไปเสียเกินครึ่งแล้ว และคาดว่าอาหารน่าจะไม่เพียงพอสำหรับมื้อต่อไป

 

  เมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้ แม้ว่าจะทราบเหตุผลเรื่องนี้มานานแล้ว แต่ทุกคนก็ยังคงประหลาดใจกับความอยากอาหารในระยะหิวโหยเช่นนี้ 

 

  “ออกเดินทางกัน!” ไป๋อี้พูด

 

  หลังจากเข้าไปในรถ ไป๋อี้ก็พบว่าวูล์ฟกำลังเดินถือแท่งเหล็กสองอัน เหล็กเส้นทั้งสองมีความหนาไม่น้อยและมีแขนขนาดเล็ก มีเกลียวล้อมรอบ ซึ่งมันคือเหล็กเส้นชนิดหนึ่งที่ใช้สำหรับตอกเสาเข็มในไซต์งานก่อสร้าง

 

  “หาเจอแล้ว?”

 

  “อืม ฉันเพิ่งเจอมัน และฉันไม่รู้ว่าฉันจะเจออะไรแบบนี้อีกในเมืองไหม สิ่งนี้สามารถใช้เป็นอาวุธได้” วูล์ฟพูดพร้อมกับโยนเหล็กเส้นลงบนรถ จากนั้นจึงเริ่มสตาร์ทรถ

 

  ไป๋อี้พยักหน้าแล้วเริ่มจัดปืนพก ปืนพกกระบอกนี้ถูกฉกมาจากแก๊งมาเฟียทมิฬในเตอวามูตูเมื่อวานนี้ แม้จะมีกระสุนไม่มาก แต่ก็สามารถใช้ได้หลายครั้ง ถึงไป๋อี้จะไม่คิดว่าปืนพกนี้จะสร้างความเสียหายให้กับสัตว์ประหลาดขนาดใหญ่เหล่านั้นได้มากนัก เว้นแต่มันจะโดนจุดสำคัญก็ตาม

 

  “เจ้าสิ่งนี้ไม่แม้แต่จะระคายผิวหนังของปีศาจอสรพิษยักษ์ได้ด้วยซ้ำ” วูล์ฟพูด โดยเห็นตรงกันกับสิ่งที่ไป๋อี้คิด

 

  “”อืม แต่ก็ยังดีกว่าไม่มีอะไร” ไป๋อี้พยักหน้า

 

  ……

 

  วูล์ฟสตาร์ทรถและขับออกไปด้านหน้า ส่วนคนอื่น ๆ ก็ค่อย ๆ ทยอยตามไปทีหลัง และพวกเขาทั้งหมดก็กำลังมุ่งตรงไปยังตัวเมืองโอโทโรฮังกา

 

 

                                                                ————————

                              อ่านเร็วก่อนใคร ไม่พลาดทุกการอัปเดตนิยายได้ที่เว็บ Kawebook ^^

                                                  https://www.kawebook.com/story/6809

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

[นิยายแปล] มหาวิบัติยีนกลายพันธุ์ 28 การวิเคราะห์เชิงเหตุผล

Now you are reading [นิยายแปล] มหาวิบัติยีนกลายพันธุ์ Chapter 28 การวิเคราะห์เชิงเหตุผล at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

 

  “หลังจากที่เราผสานรวมยีนและกลายเป็นสัตว์ประหลาดเราจะสูญเสียสติสัมปชัญญะของเราหรือไม่” ไป๋อี้กล่าวอย่างเคร่งขรึม

 

  “คุณหมายความว่ายังไง” วูล์ฟงงงวย ในทางกลับกันหงฉี่ฮว๋าและเฮลัวส์เป็นคนที่ฉลาดมาก ไป๋อี้พูดเพียงครั้งเดียว พวกเธอก็สามารถเดาความหมายได้แล้ว อย่างไรก็ตามไป๋อี้ก็ยังคงต้องอธิบายให้วูล์ฟเข้าใจอย่างชัดเจน

 

  “สิ่งที่สำคัญมากคือ! มาร์ตินกล่าวว่าหลังจากเซลล์ดัดแปลงแฝงตัวเป็นปรสิต การวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตและมนุษย์จะผสานรวมยีนของสิ่งมีชีวิตอื่นเข้าด้วยกัน จากนั้นรูปร่างจะเปลี่ยนไป การเปลี่ยนแปลงนี้ได้รับการยืนยันแล้ว ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องสงสัยอีก การเปลี่ยนแปลงนี้จะส่งผลต่อร่างกายเท่านั้น ในขณะที่ความทรงจำและเหตุผลของเรายังคงมีอยู่ แต่หากเราเสียสติและกลายเป็นสัตว์ประหลาด เราจำเป็นต้องเตรียมการเพิ่มเติม”

 

  “คง …… ไม่หรอกมั้ง ฉันก็ยังปกติดีอยู่ไม่ใช่หรือไง” วูล์ฟพูดอย่างลังเล รูปลักษณ์ปัจจุบันของเขาเปลี่ยนไปมากที่สุด หากนี่เป็นสถานการณ์ปกติ เขาก็เป็นสัตว์ประหลาดอย่างสมบูรณ์ แต่เห็นได้ชัดว่ามันไม่มีผลต่อความมีสติสัมปชัญญะของเขา

 

  “นั่นมันก็ไม่แน่” ไป๋อี้ส่ายหัว

 

  LV0:ระยะแรกเริ่ม

  ◆การกระตุ้น

  LV1-1:ระยะหิวโหย

  LV1-2:ระยะดุร้าย

  LV1-3:ระยะหลับใหล

  ◆การเปลี่ยนแปลง

  LV2:กลายพันธุ์

 

  “จำสิ่งที่มาร์ตินพูดตอนต้นได้ไหม นี่ไม่ใช่แค่ชื่อสุ่มมั่ว ๆ แต่ขึ้นอยู่กับการเปลี่ยนแปลงของรูปแบบของสิ่งมีชีวิต กล่าวคือชื่อนี้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยาของสิ่งมีชีวิตที่มีวิวัฒนาการในเวลานั้น แน่นอนว่าเราอยู่ใน LV1-1 ช่วงที่หิวตะกละตะกลามคือระยะหิวโหยจากนั้นก็ระยะดุร้าย LV1-2 … ฉันสงสัยว่ามันอาจจะควบคุมไม่ได้” ไป๋อี้พูดอย่างเคร่งขรึม

 

  “งั้นจะทำยังไงดี เราจะไม่ผสานรวมยีนแล้วเหรอ?”

 

  “ไม่ เรายังต้องผสานรวมยีน” ไป๋อี้ส่ายหัว “ไม่ว่าเราจะทำหรือไม่ก็ตาม หากยึดตามการทำงานของเซลล์ดัดแปลงแล้ว การผสานรวมของยีนนั้นเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้นจึงเป็นการดีที่สุดที่จะควบคุมให้อยู่ในมือของเราเอง ฉันยกคำถามนี้ขึ้นมาเพียงเพื่อให้เราเตรียมพร้อมทางจิตใจก่อน นอกจากนี้ถึงเราไม่สูญเสียสติสัมปชัญญะก็คงจะมีปัญหาอื่นตามมาอยู่ดี”

 

  “ปัญหาอะไร?”

 

  “พวกเราทุกคนคงรู้ดีว่ามาร์ตินพูดอะไรเกี่ยวกับสัตว์ทดลอง อันที่จริงมีการจำแนกอีกประเภทหนึ่ง คือ 1.สัตว์ผสานรวมยีนจากสิ่งมีชีวิตอื่นและกลายเป็นสัตว์ประหลาด 2.มนุษย์ผสานรวมยีนจากสิ่งมีชีวิตอื่นและกลายเป็นสัตว์ประหลาด ในกรณีหลังถ้ายีนที่ผสานรวมไม่ทำให้เราสูญเสียสติสัมปชัญญะ สิ่งที่เราจะเผชิญคือการที่ความทรงจำของเรายังเป็นมนุษย์ แต่ร่างกายของเราจะเกิดการวิวัฒนาการ … เป็นสัตว์ประหลาด” ไป๋อี้ชูสองนิ้วขึ้นมาและอธิบายทีละนิ้ว

 

  “เป็นไปได้ยังไง!” วูล์ฟพูดด้วยความประหลาดใจ

 

  “จะเป็นไปไม่ได้ยังไงล่ะ ตอนนี้นายก็เป็นอย่างนั้นไม่ใช่เหรอ” ไป๋อี้พูดติดตลก

 

  “การดำรงอยู่แบบนี้แต่ยังคงมีความทรงจำของมนุษย์ แม้ว่าร่างกายเป็นสัตว์ประหลาดและยังผ่านการทดลองมาหลายครั้ง แต่เราไม่สามารถถือว่าพวกเขาเป็นสัตว์ประหลาดได้เพราะพวกเขาเป็น … ผู้บุกเบิกของเรา แต่ก็เช่นเดียวกัน พวกเราต้องเฝ้าระวังพวกเขาด้วยเพราะไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาปลอดภัยจริงหรือเปล่า” ไป๋อี้กล่าวเสียงค่อนข้างหนักแน่น

 

  ……

 

  เวลาต่อมา พวกเขาก็ยังถกกันถึงเรื่องเกี่ยวกับยีนที่ผสานรวมกัน จนกระทั่งทันใดนั้นแสงจากหลอดนีออนในห้องก็ดับลง คอมพิวเตอร์ของหงฉี่ฮว๋ายังคงเปิดอยู่ แต่ได้เปลี่ยนไปใช้แหล่งจ่ายไฟในตัวแทน

 

  “ไฟดับ ว่าแล้วเวลาแบบนี้ต้องมาถึงในไม่ช้า” พวกเขาตกตะลึง จากนั้นไป๋อี้ก็พูดขึ้น

 

  “คอมพิวเตอร์ของฉันยังใช้งานได้อีกสักพัก ฉันมีแหล่งจ่ายไฟพลังงานแสงอาทิตย์ แต่ว่าไม่มีเครือข่ายอินเทอร์เน็ต นั่นมันก็ไม่มีประโยชน์อยู่ดี” หงฉี่ฮว๋ากล่าว

 

  “มันไม่ได้สำคัญมากขนาดนั้น สิ่งที่ต้องบันทึกลงในคอมพิวเตอร์มีไม่มาก”

 

  “เนื่องจากไฟดับและยังไม่เช้า ทุกคนควรกลับไปที่ห้องและพักผ่อน พรุ่งนี้เราต้องเดินทางผ่านโอโทโรฮังกากับหยูหาน ดูเหมือนว่าไม่น่าจะมีสัตว์ประหลาดมากนัก มันคงยังไม่กระจายตัวมาที่นี่” ไป๋อี้มองออกไปข้างนอก มีเปลวไฟจาง ๆ จากทางโอโทโรฮังกา แต่ยังไม่มีสัตว์ประหลาดมาที่นี่

 

  “อ๋อ จริงสิ พวกคุณคิดว่าเราควรบอกหยูหานเกี่ยวกับการผสานรวมยีนกับพวกเขาดีไหม” เมื่อหลายคนกำลังจะเดินออกจากห้องไป ไป๋อี้ก็พูดขึ้น วูล์ฟและเฮลัวส์ที่เดินมาอยู่ที่ประตูแล้วหันมามองไปที่ไป๋อี้ด้วยความประหลาดใจ พวกเขาได้ยินถูกแล้วเหรอ

 

  “คุณพูดว่าอะไรนะ?” วูล์ฟถามด้วยความประหลาดใจ

 

  “ฉันบอกว่าเราควรบอกหยูหานเกี่ยวกับความคิดที่จะผสานรวมยีนทางชีววิทยาไหม” ไป๋อี้พูดซ้ำ แสงจันทร์จาง ๆ ส่องกระทบใบหน้าของไป๋อี้ จึงทำให้วูล์ฟและคนอื่น ๆ แน่ใจว่าไป๋อี้ไม่ได้ล้อเล่น

 

  “ไป๋อี้ เจ้าโง่ นายไม่เห็นเหรอว่าหยูหานทำอะไร?” วูล์ฟถามอย่างงงงวย

 

  “ฉันรู้ แน่นอนว่าฉันรู้” ไป๋อี้พยักหน้าเล็กน้อย

 

  “หยูหานเป็นคนที่มีความทะเยอทะยานมาก เขาอยากเป็นผู้นำของทีม แบบนี้ไม่เหมือนกับผู้คนในยุคสงบสุขหรือไง เมื่อพบโอกาสก็อยากจะปีนขึ้นไปแม้ว่าจะยากลำบากก็ตาม อันที่จริงนี่ไม่ใช่เรื่องผิด เมื่อไม่ชอบกันต่อไปก็ติดต่อสื่อสารกันให้น้อยลง ฉันพูดแบบนี้ไม่ใช่เพราะเขา แต่เป็นเพราะคนอื่น คนอื่น ๆ ก็เป็นอดีตเพื่อนพ้องกันทั้งนั้น บอกให้พวกเขารู้ข่าวและพวกเขาจะได้มีพลังปกป้องตัวเองได้เพิ่มอีกสักหน่อย ส่วนพวกเขาจะฟังไหม นั่นไม่ใช่สิ่งที่เราควบคุมได้” ไป๋อี้อธิบาย

 

  วูล์ฟและเฮลัวส์นิ่งเงียบไปชั่วขณะ แล้ววูล์ฟก็พูดขึ้น

 

  “ไป๋อี้ นายเป็นคนดีจริง ๆ!” วูล์ฟพูดพลางวางมาดเท่ห์ล้อเลียนไป๋อี้

 

  “ไป!” ไป๋อี้ทำท่าทำทางจะเตะวูล์ฟ แต่ก็ถูกวูล์ฟแตะเข้าที่ไหล่ซ้ายของเขาเสียก่อนจนทำให้รู้สึกปวดแปลบขึ้นมา

 

  และตอนนี้วูล์ฟก็ได้วิ่งหนีออกไปแล้ว เฮลัวส์ซึ่งตอนแรกรู้สึกประหม่าเล็กน้อยกับรูปลักษณ์ของวูล์ฟ ก็ยังอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาเมื่อเห็นวูล์ฟทำตัวแปลก ๆ ตอนแรกเธอตกใจเล็กน้อยเมื่อเห็นลักษณะที่มีหัวเป็นสุนัข มีเขา และตัวอ้วน ๆของวูล์ฟ แต่ตอนนี้เมื่อได้รู้จักสนิทสนมกันแล้ว เธอก็รู้สึกว่าไม่ว่าจะเป็นไป๋อี้ หงฉี่ฮว๋า หรือ วูล์ฟ ต่างก็เป็นเพื่อนที่ดีทั้งนั้น

 

  คำพูดของไป๋อี้ พวกเขาไม่ได้ตอบรับในทันที แต่ค่อย ๆ คิดไตร่ตรองดู ข้อเสนอของไป๋อี้ดูโง่เขลา แต่ก็แสดงถึงลักษณะนิสัยของไป๋อี้ได้เป็นอย่างดีด้วย ไป๋อี้พูดถูก อย่างไรซะคนอื่น ๆ ก็ยังคงเป็นเพื่อนกัน อย่างเช่น เบลลิก้าทีน่า ไต้ยู่เหยา และคำว่ามิตรภาพไม่ใช่ว่าจะสามารถละทิ้งไปได้ง่าย ๆ

 

  ยิ่งไปกว่านั้นถ้าไป๋อี้เป็นคนเห็นแก่ตัวจริง ๆ พวกเขาจะอยู่เคียงข้างเขาด้วยความเต็มใจเหมือนตอนนี้หรือไม่?

 

  คนอย่างเช่น …… หยูหาน!

 

  ในสังคมสมัยใหม่ความคิดมีอิสระมากขึ้น แต่ไม่มีใครที่จะนับถือใครก็ตามที่เห็นเพียงรูปลักษณ์ หากไม่มีสิ่งดึงดูดใจผู้อื่นจะมีคนคอยสนับสนุนได้อย่างไร

 

  ————————————————

 

  เป็นอีกหนึ่งคืนที่ทุกคนนอนไม่ค่อยหลับและมีอาการหิว เห็นได้ชัดว่าพวกเขากินอาหารเยอะมากก่อนเข้านอน แต่ไม่นานท้องของพวกเขาก็ว่างเปล่า แน่นอนว่ามีอีกเหตุผลหนึ่งนั่นก็คือโอโทโรฮังกาที่อยู่ใกล้แค่เอื้อม ทุกคนกังวลเกี่ยวกับสัตว์ประหลาดหนึ่งหรือสองตัวที่อาจวิ่งมาจากที่นั่น โชคดีที่ดูเหมือนว่ามีสัตว์ประหลาดไม่มากนักในละแวกนี้ หลังจากคืนแห่งความหวาดกลัวผ่านไป ในที่สุดรุ่งอรุณก็มาถึง

 

  หลังจากตื่นนอนในตอนเช้า ไป๋อี้พบว่าการเปลี่ยนแปลงของเขามีเพิ่มขึ้นกว่าเดิม อีกทั้งยังปรากฏขนอ่อนละเอียดขึ้นบนใบหน้าของโม่โม่ ซึ่งนั่นเป็นปุยของผีเสื้อ

 

  “พ่อ หนูมีขนขึ้น” โม่โม่พูดกับไป๋อี้

 

  “อืม ๆ ไม่เป็นไรนะ แบบนี้ดูน่ารักดีออก” ไป๋อี้พูดด้วยรอยยิ้ม

 

  “จริงเหรอคะ โม่โม่แตะไปที่ใบหน้าของเธอและมองในกระจกอย่างอยากรู้อยากเห็น ในใจที่ไร้เดียงสาของโม่โม่ยังไม่ค่อยเข้าใจความหมายของสัตว์ประหลาดเท่าไรนัก และในเวลานี้ชาร์ไป่ที่พักฟื้นมาตลอดทั้งคืนก็ลุกขึ้นยืนด้วยตัวเองและส่งเสียงร้องเรียกหาไป๋อี้กับโม่โม่ ทันทีที่โม่โม่ได้ยินเสียงร้องของชาร์ไป่ เธอก็กลับมามีสติทันที และประหลาดใจเป็นอย่างมาก

 

  “ชาร์ไป่ ดีขึ้นแล้วเหรอ!” โม่โม่วิ่งไปหาด้วยความดีใจ

 

  ไป๋อี้มองไปที่ชาร์ไป่ บาดแผลเริ่มปิดแล้วและไม่มีอันตรายถึงชีวิต … มันเป็นเพราะเซลล์ดัดแปลงที่ทรงพลังแน่ ๆ!

 

  ไป๋อี้พาโม่โม่ออกมา และพบว่าเบลลิก้าทีน่ากำลังแอบอยู่ ไป๋อี้มองดูเธอเล็กน้อยและพบว่าเบลลิก้าทีน่าเองก็มีการเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์เช่นกัน เธอมีหนวดสั้น ๆ 2 เส้นปรากฏบนหน้าผากและใบหน้าของเธอก็เริ่มเปลี่ยนเป็นสีกากี ไป๋อี้ไม่รู้แน่ชัดว่าเบลลิก้าทีน่าถูกผสานรวมเข้ากับยีนของสิ่งมีชีวิตชนิดใด แต่ด้วยร่างกายที่อ้วนท้วมนั้นเห็นได้ชัดว่ามันดูไม่สวยงามนัก … หรือเรียกได้ว่าน่าเกลียด

 

  “จิ้งหรีด ตั๊กแตน แมลงหลายชนิดที่กัดเบลลิก้าทีน่าบนทางหลวง” หงฉี่ฮว๋ากระซิบขณะไป๋อี้เดินผ่าน

 

  เห็นได้ชัดว่าการเปลี่ยนแปลงของบลลิก้าทีน่าช่วยยืนยันความกังวลของไป๋อี้และหงฉี่ฮว๋าเมื่อคืนนี้ได้เป็นอย่างดี ศักยภาพการกระตุ้นพลังของเซลล์ดัดแปลงนั้นแข็งแกร่งมากและการสัมผัสที่ไม่ตั้งใจบางอย่างอาจผสานรวมกับยีนทางชีววิทยาของสิ่งมีชีวิตบางชนิด และยีนเหล่านี้นอกจากจะเปลี่ยนมนุษย์ให้กลายเป็นสัตว์ประหลาดแล้วยีนหลายตัวก็ยังไม่สามารถนำพลังที่แข็งแกร่งมาสู่มนุษย์ได้

 

  เรื่องที่ไป๋อี้ถามเมื่อคืนว่าจะบอกหยูหานเกี่ยวกับความคิดของพวกเขาในการผสานรวมยีนหรือไม่ แม้ว่าวูล์ฟและหงฉี่ฮว๋าจะไม่คัดค้าน แต่สิ่งที่เขาก่อไว้มันก็ไม่ง่ายที่จะพูดอย่างชัดเจน หลังจากนั้นไป๋อี้ก็คิดสักพัก เขายังรู้สึกว่าคงจะดีกว่าที่จะปกปิดเรื่องนี้ไว้เป็นการชั่วคราว

 

  “กินอาหารก่อนไหม” หยูหานกล่าวโดยไม่ได้ถาม

 

  “แน่นอน!” ไป๋อี้พยักหน้า เมื่อคืนเขาหิวเกินกว่าที่จะจินตนาการได้ ความหิวในระยะหิวโหยเป็นสิ่งที่ไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูดได้เลย

 

  เมื่อได้ยินคำว่าอาหารทุกคนก็ต่างยุ่งอยู่กับการหยิบจับอาหารออกมาจากรถ หลังจากง่วนอยู่เป็นเวลาหนึ่งชั่วโมง ทุกคนก็กินกันจนอิ่มไปกว่า 80% หลังจากที่กินอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว ดูเหมือนว่าพวกเขาจะกินอาหารไปเยอะมาก ๆ โดยกินกันไปเสียเกินครึ่งแล้ว และคาดว่าอาหารน่าจะไม่เพียงพอสำหรับมื้อต่อไป

 

  เมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้ แม้ว่าจะทราบเหตุผลเรื่องนี้มานานแล้ว แต่ทุกคนก็ยังคงประหลาดใจกับความอยากอาหารในระยะหิวโหยเช่นนี้ 

 

  “ออกเดินทางกัน!” ไป๋อี้พูด

 

  หลังจากเข้าไปในรถ ไป๋อี้ก็พบว่าวูล์ฟกำลังเดินถือแท่งเหล็กสองอัน เหล็กเส้นทั้งสองมีความหนาไม่น้อยและมีแขนขนาดเล็ก มีเกลียวล้อมรอบ ซึ่งมันคือเหล็กเส้นชนิดหนึ่งที่ใช้สำหรับตอกเสาเข็มในไซต์งานก่อสร้าง

 

  “หาเจอแล้ว?”

 

  “อืม ฉันเพิ่งเจอมัน และฉันไม่รู้ว่าฉันจะเจออะไรแบบนี้อีกในเมืองไหม สิ่งนี้สามารถใช้เป็นอาวุธได้” วูล์ฟพูดพร้อมกับโยนเหล็กเส้นลงบนรถ จากนั้นจึงเริ่มสตาร์ทรถ

 

  ไป๋อี้พยักหน้าแล้วเริ่มจัดปืนพก ปืนพกกระบอกนี้ถูกฉกมาจากแก๊งมาเฟียทมิฬในเตอวามูตูเมื่อวานนี้ แม้จะมีกระสุนไม่มาก แต่ก็สามารถใช้ได้หลายครั้ง ถึงไป๋อี้จะไม่คิดว่าปืนพกนี้จะสร้างความเสียหายให้กับสัตว์ประหลาดขนาดใหญ่เหล่านั้นได้มากนัก เว้นแต่มันจะโดนจุดสำคัญก็ตาม

 

  “เจ้าสิ่งนี้ไม่แม้แต่จะระคายผิวหนังของปีศาจอสรพิษยักษ์ได้ด้วยซ้ำ” วูล์ฟพูด โดยเห็นตรงกันกับสิ่งที่ไป๋อี้คิด

 

  “”อืม แต่ก็ยังดีกว่าไม่มีอะไร” ไป๋อี้พยักหน้า

 

  ……

 

  วูล์ฟสตาร์ทรถและขับออกไปด้านหน้า ส่วนคนอื่น ๆ ก็ค่อย ๆ ทยอยตามไปทีหลัง และพวกเขาทั้งหมดก็กำลังมุ่งตรงไปยังตัวเมืองโอโทโรฮังกา

 

 

                                                                ————————

                              อ่านเร็วก่อนใคร ไม่พลาดทุกการอัปเดตนิยายได้ที่เว็บ Kawebook ^^

                                                  https://www.kawebook.com/story/6809

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+